เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๔
วิ่งตามกิเลสมีแต่ทุกข์
วันเกิดลูกสาวใช่ไหม (ใช่ครับ มาถวายทอง ๑๐ บาท เงินเหรียญ ๑๐๐ เหรียญครับ) โน่นแน่ะไม่ใช่เล่น เด็กนครนายกนี้เกิดได้ทองหนัก ๑๐ บาท แล้วดอลลาร์ได้ ๑๐๐ ดอลล์ กลับไปนครนายกนี้ไปเกิดอีกนะ แล้วกลับมาอีก คราวนี้เกิดหมดทั้งพ่อทั้งแม่เลย หลวงตาจะได้ร่ำรวย (ขอให้พ่อแม่และหนูมีสุขภาพดีร่างกายแข็งแรง ค้าขายเจริญรุ่งเรือง จะได้กลับมาหาหลวงตาอีก) เออ แข็งแรง พ่อแม่ไม่เคยทะเลาะกันเหรอ แข็งแรงไปทางทะเลาะกันไม่ได้นะ ตีปั๊วะเลย (ดร้าฟท์อีก สองหมื่นครับ) โธ่ ไม่ใช่เล่น ดี วันเกิด เราระลึกถึงวันเกิด เป็นคุณค่าของเรามากทีเดียว
เราพึ่งเข้าบ้านเป็นครั้งแรกหรือไง เด็กคนนี้เพิ่งคลอดแดง ๆ เราไปกราบพ่อแม่ครูจารย์มั่นที่นครนายก ถ้ำสาริกา ลงมาก็มาเข้าบ้านนี้ละ เด็กคนนี้พึ่งตกคลอดนะ วันนี้เลยมาถวายทองคำตั้ง ๑๐ บาท ดอลลาร์ ๑๐๐ ดอลล์แล้วเช็คอีกสองหมื่น ของเล่นเมื่อไร ได้ ๑๐ ปีแล้วนะ บ้านนี้เป็นบ้านที่เราได้เข้าบ่อยที่สุด มันเป็นจังหวะเป็นช่องทางพอดีกับถ้ำสาริกา หลวงปู่มั่นเรา เราไปกราบท่านมา ถ้าเราจะแวะเราก็แวะนั้นเลยเพราะเป็นทางผ่าน ถ้าไม่แวะเรามีธุระทางอื่นเราก็เตลิดเลย เช่นออกจากนี้ไปปราจีนเข้าเขาใหญ่อย่างนี้ เราก็ไปเลย ถ้าเราจะแวะ พอถอยออกมานี้ปั๊บก็แวะนี่เสีย ถ้าไม่แวะจะไปปราจีนจากจุดเดียวกันนี้ก็ไปเลย จึงได้ไปบ่อย บ้านนี้ไปบ่อยแล้วก็ปราจีน บ้านอุมา นั่นก็หลายหนแล้วนะ
พี่น้องชาวอุดรอย่างอิจฉานะ อยู่อุดรจริง ๆ เราไม่ได้เข้าร้านไหนนะ คิดดูซิ บ้านตาดเป็นบ้านเกิดของหลวงตาบัว ไม่เคยเข้าไปเหยียบบ้านใดขึ้นเรือนของใคร พวกน้อง ๆ ลูกหลานนี้ไม่เคยเข้าไปเหยียบ ไปนั่งร้านใดบ้านใดเลยจนกระทั่งป่านนี้พิจารณาซิ ลูกหลานของเราตามความนิยมก็ หลวงตากับหลานก็ต้องเข้าเช้า เข้าออกตอนบ่าย เข้าตอนเย็นออกอยู่อย่างนั้นใช่ไหมล่ะ นี่ไม่เคยเข้าเลย ลูกหลานมาใครเป็นลูกคนไหน ๆ ไม่รู้ เขาบอกถึงรู้ แต่นครนายกเข้าไม่ทราบกี่ครั้ง แล้วอุดรก็เหมือนกัน
คือธรรมดานี้เราให้ความเสมอภาคหมด ไม่มีว่าใกล้ว่าไกล เป็นความเสมอภาค ครอบด้วยความเมตตาล้วน ๆ ทั้งนั้นหมดเลย นี่เป็นปรกติ อย่างที่ว่าบ้านตาดเรานี้ไม่เคยไปขึ้นบ้านใดเรือนใด ถ้าธรรมดาพวกลูกหลานนี้จะน้อยใจมากกว่าทุกคนใช่ไหมล่ะ ชาวอุดรยังห่างไกล พวกลูกหลานอยู่ในบ้านนี้ไม่เข้าไปเหยียบบ้านเลย ถ้าน้อยใจลูกหลานก็จะน้อยใจก่อนคนอื่น เพราะฉะนั้นชาวอุดรเราอย่าน้อยใจก็แล้วกัน ลูกหลานแท้ ๆ ไม่เคยเข้าไปเหยียบนะ จึงไม่รู้ว่าบ้านใครอยู่ที่ไหนนะ ว่าเสมอก็เสมอไปหมดเลย ถ้าจะใกล้ก็ใกล้ตามเหตุการณ์ มีธุระจำเป็นที่จะใกล้ อยู่ไหนใกล้หมด ไกลเท่าไรก็ใกล้ เป็นอย่างนั้นนะ มีธุระมีเหตุมีผลทุกอย่าง นี่เป็นปรกติ
ไปทีแรกมันตัวแดง ๆ พึ่งคลอด จำได้ไม่ลืม ร้านวิดีโอนี้ติดต่อมานานแล้วนะ เพราะฉะนั้นเราจึงได้เข้า เพราะบอกบ้านเลขที่ ถนนอะไร ๆ เรียบร้อย ก็คืออยากให้เข้านั่นเองถึงบอก พอดีเป็นจังหวะที่เราไปกราบพ่อแม่ครูจารย์ ไปกราบท่านบ่อยอยู่นะ เราซึ้งเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่น นี้แหมซึ้งจริง ๆ นะ บอกไม่ถูกเลยฟังซิ ขนาดนั้นแหละ ความซึ้งของหัวใจเราต่อท่าน สด ๆ ร้อน ๆ เวลานี้ก็ซึ้งอยู่ตลอด สม่ำเสมอ สด ๆ ร้อน ๆ อยู่ตลอดเวลา นี่ละคุณค่าอันใหญ่หลวงที่ครอบกระหม่อมเราคือหลวงปู่มั่น เพราะฉะนั้นถึงได้ซึ้งเอามากทีเดียว เรียกพ่อแม่ครูอาจารย์นี้ซึ้งที่สุดนะ เป็นความเคารพนบน้อม ความกราบไหว้บูชา เป็นขวัญตาขวัญใจ รวมอยู่ในคำว่าพ่อว่าแม่ที่ให้อรรถให้ธรรมมีบุญมีคุณนี้มากที่สุดเลย เพราะฉะนั้นบรรดาพระกรรมฐานที่มีความเคารพในท่านองค์ใด ท่านจึงมักจะพูดว่าพ่อแม่ครูอาจารย์ ๆ มันซึ้ง เป็นภาษาที่ซึ้งมาก ออกมาจากจิตใจจริง ๆ ไม่ใช่เสแสร้งนะ
อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้เราซึ้งจริง ๆ ถึงขนาดที่ได้เปิดให้พี่น้องชาวไทยฟังที่เราปฏิบัติต่อท่านเข้าใจไหมล่ะ เป็นไรถึงไหนถึงกัน เรามอบเลย กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรานี้เรียกว่า เราไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยในตัวของเราว่า เป็นของมีคุณค่ายิ่งกว่าองค์ท่านว่างั้นเถอะ เพราะฉะนั้นเราจึงรวมอยู่นั้นหมดเลย เป็นตายมอบให้หมด เราไม่ได้มีอะไรกับเรา ขอแต่ท่านต้องการอะไร ๆ เมื่อมีอยู่แล้วมอบถวาย เรียกว่าหมดทั้งตัวเลย เราเคารพขนาดนั้นนะ เพราะฉะนั้นวันเทศน์ที่วัดกุดก้อมจึงได้เล่าให้ฟังว่า นี่กระต๊อบกุฏิที่ท่านพักอยู่ ทางจงกรมเราอยู่นั้น แต่ก่อนพอออกจากนี้ปั๊บมันก็เป็นดง ดงต่อกันไปหมด เราไปเดินจงกรมอยู่ในป่า ไม่เห็นละเพราะเป็นดงล้วน ๆ เวลานี้มันโล่งหมดแล้วแหละ มองไปไหนทะลุหมด แต่ก่อนเป็นดง ท่านพักอยู่ที่นั่น
เวลาออกจากมุ้งท่านไปก็ต้องบอกว่า นี่ผมจะไปเดินจงกรม อยู่ทางจงกรมเส้นนี้นะ เผื่อท่านจะเรียกได้ง่าย ความหมายว่างั้น เวลาต้องการเราก็ปั๊บเข้าไปนั้นเลย เราก็ออกมาจากนั้นเข้าเลย ๆ ไม่ได้ห่างไกลท่าน เคารพสุดยอด ๆ ท่านไม่นอนเราก็ไม่นอนทั้งคืนเวลาไหนก็ตาม ส่วนกลางวี่กลางวันโรควัณโรคท่านไม่ค่อยหนาวไม่ค่อยไอนะ พอตกเย็นมาวันไหนหนาวมากวันนั้นไม่ได้นอนเลย สำลีอยู่ในกะละมัง เอาวางไว้พูน จับกว้านช่วยท่าน ขากก็ไม่ออกเราต้องเข้าช่วยตลอดเวลาเลย ท่านไม่มีนะจะพูด แสดงอาการอะไร ๆ นี้ไม่มีเลย พิลึกจริง ๆ ไม่มีอะไรที่จะคาดถูกเลย คาดพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้คาดไม่ถูกเลย
จริตนิสัยท่านหนักไปในทางใด ๆ นี้เราเคยมาพูด จับไม่ได้เลย ขนาดนั้นละ จะไม่ให้เคารพสุดยอดได้ยังไง เราก็เป็นเหมือนลิงตัวหนึ่งเหมือนกัน เรื่องซอกแซกซิกแซ็กเรื่องราวอะไร ๆ จะว่าจับผิดจับถูกอะไรก็ยอมรับ คือสังเกตท่านทำอะไรผิดถูกประการใดมันจะจับตลอด เพราะเรียนมาด้วยกันก็รู้ ไม่มีเลย เก็บหอมรอมริบไม่ให้เรี่ยราดสาดกระจายไปไหนแม้แต่เล็กแต่น้อย พระวินัยข้อไหนจับปั๊บ เดินเรียบ ๆ ไปตามนั้นเลย นั่นซิมันถึงได้ลง
เรื่องธรรมที่ลึกซึ้งของท่านนี้ไม่ต้องพูดละนะ เรื่องธรรมที่ลึกซึ้ง เวลาท่านเทศน์ล่ะซี ฟังซิ ๔ ชั่วโมง ท่านเอาโวหารจากไหนมาเทศน์ เทศน์ในเบื้องต้นที่เราไปทีแรกนั้นท่านเทศน์ ๔ ชั่วโมงนะ พูดไม่หยุดปาก ตลอด ๆ ๔ ชั่วโมง ครั้นหลัง ๆ มานี้ท่านอ่อนลงก็ลดลง ๓ ชั่วโมง พอสุดท้ายนี้มาถึงแค่ ๒ ชั่วโมง ท่านเทศน์ถึง ๒ ชั่วโมงหยุด จากนั้นมาแล้วก็ไม่เทศน์อีกเลย เป็น ๓ พัก ๔ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง เทศน์นี้ไหลไปเลยเทียวนะ อู๊ย อยากให้พี่น้องทั้งหลายฟังนะ นั่นละเทศน์ที่ใจทั้งดวงนั้นถ้าเป็นมหาสมุทร คือน้ำมหาสมุทร คือน้ำแห่งธรรมเต็มหัวใจท่าน ไหลออกเท่าไรไม่มีหมดมีสิ้น ไหลตลอด น้ำมหาสมุทรฟังซิ มันหมดมันสิ้นที่ไหน นี่เทียบนะ ทีนี้ใจของท่านยิ่งครอบท้องฟ้ามหาสมุทร โลกธาตุครอบหมดธรรมอันนี้ มากยิ่งกว่ามหาสมุทรเป็นไหน ๆ แต่ไม่มีอะไรเทียบ เราก็เทียบว่าน้ำในโลกเรานี้คือน้ำมหาสมุทรมากที่สุด พอที่จะเทียบกับธรรมในหัวใจของท่านได้ว่างั้นเถอะ พอมีวี่แววบ้าง
น้ำมหาสมุทรมันกว้างมันลึกมันใหญ่มันมาก น้ำพระทัยน้ำหัวใจน้ำอรรถน้ำธรรมของท่านพอเทียบได้ ก็คือเอาน้ำมหาสมุทรไปเทียบ ถ้าให้เป็นตามหลักความจริงจริง ๆ แล้วเทียบไม่ได้เลย คือมันเลยสมมุติ ครอบสมมุติไปหมด จะเอาสมมุติไหนไปเทียบไม่ได้เลย นี่เราก็ดึงไปเทียบพอเข้าใจเท่านั้น เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการของท่านนี้ไหลเลยนะ เทศน์แต่ธรรมะสุดยอด ๆ ฟังนี้ลืมเนื้อลืมตัวนะ จะนานกว่านั้นก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะจิตไม่ได้ออก ฟังเท่าไรยิ่งเพลิน ๆ ยิ่งดื่ม ๆ เลย ธรรมะพุ่ง ๆ เหมือนน้ำดับไฟ ๆ ไปเรื่อย ๆ
เทศน์ในหัวใจ ถอดออกมาจากหัวใจเลย พูดแล้วสาธุ เราไม่ได้ประมาทปริยัตินะ ปริยัติเรียนมานี้จะหนาแน่นมากเท่าไรขนาดไหน ๆ อย่างท่านกล่าวไว้ว่าพอประมาณ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ นี้เพียงพอประมาณเท่านั้นนะ ท่านจะหยิบจะยกออกมาแต่จุดสำคัญ ๆ พอให้อ่านให้จดให้จำมาได้พอเป็นแนวเป็นทาง ถ้าหากมากกว่านั้นก็เหลือเฟือฟั่นเฝือจำไม่ได้ ท่านจึงเอามาพอประมาณ ๆ เป็นจุดสำคัญ เช่น อริยสัจ ๔ แก่นศาสนา สติปัฏฐาน ๔ รวมแล้วเป็นโพธิปักขิยธรรม นี้คือแก่นศาสนาอยู่จุดนี้ ท่านก็เอามาไว้หมด นอกนั้นก็ปลีก ๆ ย่อย ๆ ไป นี่หมายถึงพระไตรปิฎกท่านจดจารึกมาแต่จุดที่สำคัญ ๆ ที่จะพอจดจำท่องบ่นสังวัธยายและนำไปปฏิบัติได้ มากกว่านั้นเหลือประมาณ จะฟั่นเฝือเกินไป เหลือกำลังที่จะศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติตาม ไม่ทราบจะยึดอะไรต่ออะไร ทำให้ท้อถอยน้อยใจไปได้ ท่านจึงจดมาพอประมาณ นี่คือปริยัติธรรม
๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี้ก็ว่ากว้างว่าลึกนะ เวลาธรรมได้เกิดในหัวใจ อันนี้ผิวเผินมากนะฟังซิ ผิวเผินมากที่สุด คือธรรมในคัมภีร์นั่นน่ะ เล่มนี้แหละ เราเรียนตรงไหนเราจะจำไปได้ตามแถวตามแนวที่เราได้ศึกษาเล่าเรียนไป หน้าไหน ๆ ในเล่มนั้นที่เราไม่ได้เรียนก็ไม่รู้ เราจะรู้เฉพาะหน้าเฉพาะช่องทางแถวที่เราเรียนไป ๆ จำได้เท่านั้น นอกจากนั้นที่เราไม่ได้เรียนในเล่มเดียวกันเราก็ไม่รู้ว่าท่านกล่าวถึงอะไรบ้าง ความจำนี้จะไม่ติดตามไปหาสิ่งที่ไม่ได้เรียน อันไหนไม่ได้เรียนความจำจะไม่ไป จะไปเฉพาะที่ได้เรียน ความจำจะจดจำไปตามนี้ ๆ
ทีนี้เทียบปั๊บเข้าไปว่า ความจริงไม่เป็นอย่างนั้น ความจำนี้คือจำไปตามแถวตามแนว ความจริงนี้ขอแต่ว่า เล่มนี้มันมีอยู่กี่หน้ากี่แถวไปหมดเลย เช่นเดียวกับไฟได้เชื้อ เชื้อไฟจะอยู่ที่ไหนก็ตาม จ่อไฟลงไปปั๊บเท่านี้ ไม่ว่าอยู่กองใดมุมใดขึ้นชื่อว่าเชื้อไฟ มันจะเผาจะไหม้ติดตามลุกลามไปหมด ไม่ว่าเชื้อไฟส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด มันจะส่งเปลวหรือกำลังความร้อน เปลวของมันขึ้นตามลำดับของเชื้อไฟที่มีหนาแน่นและเบาบางลงไป สุดท้ายก็เรียกว่าไหม้หมด เชื้อไฟมีเท่าไรไหม้หมด ไม่ได้คำนึงว่าอยู่กองใดที่ไหนบ้าง มันติดตามไหม้กันไปหมดเลย
อันนี้คัมภีร์เราเรียนมานั้นก็ไปตามช่องตามทาง ไม่ลุกลามไปนะ แต่สำหรับความจริงนี้ สภาวธรรมนั้นคือความจริง มีอยู่ทั่วไปเรียกว่าความจริง ความรู้ความเห็นของธรรมทั้งหลายนี่เท่ากับไฟ มันจะลุกลาม คือตามรู้ตามเห็นไปหมดเลย ต่างกันตรงนี้ เวลาได้รู้แล้วมันคาดไม่ถูก เรียกว่าเชื้อไฟอยู่ที่ไหน คือความจริงได้แก่สภาวธรรม มีลึกตื้นหนาบางหยาบละเอียดแค่ไหน ไฟคือความรู้ ได้แก่ธรรมทั้งหลายนี้จะตามรู้ตามเห็นตามสอดตามแทรกไปตาม ๆ กัน ซึ่งเท่ากับไฟได้เชื้อ ไหม้ไปเรื่อย ๆ นั่นมันต่างกันอย่างนั้น ผิดกันมากทีเดียว
นี่ละธรรมประเภทนี้ ที่พระพุทธเจ้าเป็นอันดับหนึ่ง พระสาวกผู้เชี่ยวชาญเป็นอันดับรองลงมา ๆ เป็นผู้ที่เข้าใจในธรรมเหล่านี้เต็มกำลังความสามารถของตน สำหรับพระพุทธเจ้านั้นยกให้เลย ไม่มีเชื้อไฟใดจะเหลือหลอที่จะไม่ถูกทรงรู้ทรงเห็นไปทุกอย่าง จึงเรียกว่า โลกวิทู อาโลโก อุทปาทิ สว่างโร่ไปหมดเลย เห็นหมดเลย รองลงมาก็เรื่อย ๆ เหมือนกัน จะไหม้เหมือนกัน แต่พุทธวิสัยกับสาวกวิสัยต่างกัน สาวกวิสัยก็ขึ้นอยู่กับนิสัยวาสนาอีกด้วย องค์ไหนมีความเชี่ยวชาญทางไหนก็เป็นไปตามนิสัยวาสนาของตัวเอง ที่ได้ทำความปรารถนาไว้แล้วตั้งแต่ต้นทาง
เช่น เราปรารถนาเป็นพระอรหันต์ ความเป็นพระอรหันต์นี้เป็นรากฐานอันใหญ่โต จุดยุติตรงนั้น แต่สิ่งปลีกย่อยที่จะได้มีได้รู้ได้เห็นเป็นพิเศษตามความปรารถนาของผู้นั้นยังมีอีก เช่น มีความเฉลียวฉลาด มีรอบรู้ มีฤทธาศักดานุภาพ มีหูทิพย์ตาทิพย์ แยกปรารถนาไป เวลาสำเร็จแล้วก็ไปตามสายทางของความปรารถนา อันนี้จึงไม่ค่อยเหมือนกัน จะว่าไฟได้เชื้อ เชื้อไฟก็ไหลไปตามนิสัยวาสนา วาสนากว้างแคบขนาดไหน ไฟก็มีอำนาจที่จะลุกลามไปตามนิสัยวาสนา วาสนานี้ครอบเอาไว้ สภาวธรรมก็อยู่ในวงนี้ ที่ผู้นี้จะสามารถรู้ได้ตามความปรารถนาของตน ๆ เพราะฉะนั้นความลึกตื้นหนาบางของผู้นำธรรมออกมาทำประโยชน์แก่โลกจึงมีแง่หนักเบาต่างกัน ไม่ได้เหมือนกันหมด สำหรับความบริสุทธิ์นั้นเหมือนกัน ไม่มีอะไรยิ่งหย่อน นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาจนกระทั่งถึงสาวกองค์สุดท้ายเป็นผู้บริสุทธิ์ เรียกว่าเป็นธรรมธาตุด้วยกันหมดเลย อันนี้ไม่มียิ่งหย่อนต่างกัน
ท่านจึงแสดงไว้ในธรรมว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาท่านผู้บริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้นแล้วนั้น ไม่มีองค์ใดยิ่งหย่อนกว่ากัน เสมอกันหมด แต่นิสัยวาสนาที่จะเป็นไปตามของผู้ที่ทำความปรารถนานั้นต่างกัน เพราะฉะนั้นผู้ที่นำธรรมมาสอนโลกจึงมีผลมากน้อยต่างกัน อย่างครั้งพุทธกาลพระสารีบุตร เรียกว่าปัญญาเฉลียวฉลาดไม่มีใครเกินเลย เป็นที่หนึ่ง ยกเอตทัคคะให้เป็นผู้เฉลียวฉลาดทางด้านปัญญา พระโมคคัลลาน์ก็เก่งทางฤทธาศักดานุภาพ องค์อื่นท่านก็เก่ง แต่ผู้นี้เด่นกว่าเพื่อน ยกผู้นี้เป็นเอตทัคคะเลิศกว่าเพื่อนเสีย ไม่ใช่ว่าหมู่เพื่อนจะไม่รู้นะ อย่างพระสารีบุตรว่าเป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด องค์อื่นท่านก็ฉลาดเหมือนกัน แต่ผู้นี้สูงกว่าเพื่อน ยกผู้นี้ให้เป็นอันดับหนึ่งเสีย เลิศในทางนี้ไปเสีย ประหนึ่งว่าองค์อื่นไม่มีปัญญา มีแต่ไม่เหมือนท่าน ลดหย่อนผ่อนผันกันลงมาอย่างนั้น
ใจนี้ที่เป็นธรรมล้วน ๆ ก็คือว่า กิเลสนี้ออกหมดไม่มีอะไรเหลือเลย เป็นฝั่งของกิเลส เป็นฝั่งของวัฏจักร อันนี้เป็นธรรมล้วน ๆ เป็นวิสุทธิธรรมล้วน ๆ เป็นฝั่งนี้ เรียกว่าวิมุตติ ฝั่งนี้เป็นวิมุตติ ฝั่งนั้นเป็นสมมุติ ต่างกันอย่างนั้น เวลารู้ คือจิตนี่นะ คือผู้ปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริง ๆ มุ่งหน้าปฏิบัติตามแนวทางดำเนินของพระพุทธเจ้าซึ่งแสดงไว้แล้วว่าเป็นแบบแปลนแผนผัง คือสวากขาตธรรมนั่นละ เรายกมาพอประมาณนะที่ตรัสไว้แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เท่ากับแบบแปลนแผนผังของธรรมทั้งหลาย คำว่าธรรมทั้งหลายนี้ มีทั้งบาปทั้งบุญ ทั้งดีทั้งชั่ว มีทั้งสูงทั้งต่ำ จึงเรียกว่าแปลนแห่งธรรมทั้งหลาย แห่งสภาวธรรมทั้งหลาย พระองค์ทรงแสดงไว้นั้นหมด เห็นหมด รู้หมด แสดงไว้นั้น ๆ หมดเลย
ทีนี้เวลาเราเรียน ถ้าเรียนตั้งแต่ตำรับตำรา มันก็จำได้แต่ชื่อแต่นามของแปลน ว่าบาปว่าบุญว่านรก สวรรค์อะไร ก็จำได้แต่ชื่อ ตัวบาปจริง ๆ ไม่เห็นในหัวใจ บุญจริง ๆ ไม่เห็นในหัวใจ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ตลอดเปรตผีประเภทต่าง ๆ ที่แสดงไว้แล้วในแปลนแห่งพุทธศาสนานั้นไม่มีในใจ จึงได้แต่ชื่อไม่ได้ตัวจริง อย่างศาสนาที่ว่าเวลานี้มีอยู่ในคัมภีร์ ก็เรียกว่าบ้านไม่มี มีแต่แปลน ไม่ผิดกัน เปิดห้องไหนก็มีแต่แปลนบ้าน แต่ไม่มีใครนำแปลนออกมากางแล้วสร้างบ้านสร้างเรือนตามแปลน ก็ไม่สำเร็จเป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมา
ทีนี้แปลนพระพุทธเจ้าคือแปลนแห่งพุทธศาสนา แปลนแห่งสภาวธรรม แปลนแห่งความดีความชั่วทั้งหลาย รวมอยู่ในศาสนธรรมทั้งหมดก็จำได้แต่เรียนเท่านั้นเอง ตัวจริงของสิ่งเหล่านั้นไม่เห็นไม่มี เพราะไม่ได้ดึงแปลนคือศาสนธรรมออกมากางมาปฏิบัติ เมื่อเอาออกมากางมาปฏิบัติ ดังสาวกทั้งหลายเอาออกมากางมาปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ก็สำเร็จเป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมา องค์นี้สำเร็จโสดา องค์นี้สำเร็จสกิทา องค์นั้นสำเร็จอนาคา องค์นั้นสำเร็จอรหันต์เรื่อย สิ่งทั้งหลายที่จะรู้จะเห็นกระจายอยู่ทั่วโลกดินแดน จะรู้จะเห็นไปเต็มกำลังความสามารถจากแปลนที่ท่านปฏิบัติรู้เห็นไปแล้ว นี่ละเรียนสมบูรณ์แบบ
ศาสนาพุทธของเราก็เหมือนกับแปลนบ้านนั่นเอง ให้สมบูรณ์แบบ แปลนบ้านทำแล้วให้เอามากางมาทำมาปลูกบ้านปลูกเรือน จะสำเร็จตามแปลนนั้นหมด แปลนอย่างทางโลกเขาทำถึงเขาจะมีกิเลสก็ตาม แต่เขาก็คำนึงคำนวณรับรองยืนยันไว้หมดว่า แปลนนี้ถูกต้องแล้ว เมื่อดึงแปลนนี้มาทำก็ถูกต้องตามนั้น ทีนี้แปลนพระพุทธเจ้า ยิ่งเป็นแปลนของผู้สิ้นกิเลสด้วยแล้วจะผิดไปที่ไหน นี่ต่างกันตรงนี้ แปลนนี้แปลนของผู้สิ้นกิเลส รู้ประจักษ์ในพระทัยแล้วกางออกมา คือสอนโลกมาว่าอันใดมี ๆ นั้นละคือความจริงล้วน ๆ บาปมีบุญมีจริงทั้งนั้น ๆ นรกมีสวรรค์มี นรกมีกี่หลุม ๆ แจงออกไป บอกหมดเลย จนกระทั่งถึงสวรรค์ พรหมโลก แล้วเปรตผีประเภทต่าง ๆ เต็มอยู่ทั่วโลกดินแดน แดนวัฏจักรนี้เป็นสถานที่อยู่ของเปรตของผีของสัตว์ประเภทต่าง ๆ เต็มไปหมดไม่ใช่น้อย ๆ
เราอย่าเอามาอวดนะมนุษย์เรา อย่างพวกเราอยู่เพียงศาลานี้กี่คน แล้วสัตว์อยู่ในนี้มันมากขนาดไหน พิจารณาซิ ที่มันลึกลับในสายตาของคนตาบอดอย่างพวกเรา แต่เปิดเผยสำหรับท่านผู้มีนัยน์ตาดี คือมีความบริสุทธิ์มีพระญาณหยั่งทราบ เปิดเผยไปหมด ท่านเอาความเปิดเผยด้วยพระญาณของท่านมาสอนเรา แล้วเราเวลาฟัง เอาแบบหูหนวกตาบอดไปฟังก็เข้ากันไม่ได้ซิ มันขัดกันตรงนี้ละ คือกิเลสเป็นผู้ขัด กิเลสหลับตาฟังหลับตาดู ธรรมเปิดตาฟังเปิดตาสอน มันต่างกัน ธรรมพระพุทธเจ้าสอนตามหลักความจริง กิเลสมันตาบอดมันปิดไม่มี ๆ มันบอกไม่เห็น ๆ โลกก็โลกตาบอดด้วยแล้วกิเลสลากไปไหนก็ไปตามนั้นเลย ตาบอดไปด้วยกันเลย เพราะฉะนั้นจึงมีแต่กองทุกข์นะในโลกนี้ ไม่ได้มีอะไรเป็นสุขนะ อย่าพากันเป็นบ้า
เราอยากจะพูดให้เต็มยันถอดออกมาจากหัวอกนี้ว่างั้นเลยนะ หัวใจนี้มันเคยบรรทุกความทุกข์ความร้อนเป็นฟืนเป็นไฟมาแต่ไหนตั้งแต่เกิดมา นี่เอายันกันตรงนี้เลยนะหัวใจดวงนี้ ดวงที่เป็นอยู่เวลานี้ เกิดมาตั้งแต่เป็นเด็กเป็นเล็กเรามาคำนึง เวลานี้มันเท้าความหลังนะ ข้างหน้าไม่ไป ข้างหน้ามันสุดทุกอย่างแล้ว คือหายสงสัยทุกอย่าง จะไปที่ไหนก็มีแต่ปัจจุบันเท่านั้น อนาคตก็ไม่มีในจิตดวงนี้ แต่อดีตที่ผ่านมาเป็นยังไงมันตามของมัน เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วเรียกว่าสิ้นสุดที่จะไปข้างหน้า อะไรก็หายสงสัยหมดแล้วไปหาอะไร อนาคตก็ไม่มี ปัจจุบันก็บริสุทธิ์แล้ว ส่วนอดีตที่เป็นมายังไง ๆ ที่มันย้อนได้ที่นี่นะ
อย่างพระพุทธเจ้าทรงพิจารณาบุพเพนิวาสานุสติญาณนั่นละ ทรงเล็งญาณพิจารณาย้อนหลังว่าเคยเกิดเป็นอะไร ๆ นี่เป็นอดีตที่ผ่านมา ทีนี้จิตของเราเอาปัจจุบันที่ว่าเกิดมานี้ตั้งแต่เป็นเด็กเป็นเล็กมา จำได้จนกระทั่งไปลักอ้อยเขาเราก็จำได้ นั่นน่ะอดีตของมัน อีตาบัวนี้เป็นเด็กมันไปลักอ้อยเขา อ้อยก็เป็นอ้อยพวกญาติกันด้วย แต่น่าชมอันหนึ่งเราจำไม่ลืมนะ เอ๊ มันไปได้อุบายมายังไงมาแก้ แก้น่าเชื่อเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่ความจริงมันโกหกเขาเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกก็ไปขโมยอ้อยเขามา พอเขาจับตัวได้ อยู่หน้าประตูลากอ้อยออกมากับพี่ชาย เด็กเหล่านี้ทำไมสูไปขโมยอ้อยกูล่ะว่างั้นนะ
ป้าฝ้าย ชื่อแกชื่อฝ้าย โอ๊ย แกเป็นคนสวยงามมาก กิริยามารยาทนี้เหมือนผ้าพับไว้ สวยงามมากเราก็ชม ทีนี้เวลาแกถามเรา แกไม่มีกิริยาขึงขังตึงตังนะ เพราะมันเด็กเกินกว่าจะมาถือสีถือสา พูดยิ้ม ๆ นะ เด็กเหล่านี้ทำไมสูมาขโมยอ้อยกูล่ะ มองดูเรา เราก็มอง โอ๋ย ผมไม่ได้ขโมยนะป้า นู่นน่ะฟังซิ มันจำได้นะ ผมไม่ได้ขโมยนะป้า คือผมผ่านไปผ่านมาผมหิวทนไม่ไหว ผมเลยจะเข้าไปตัดเอาอ้อยของป้า แล้วจะแบกอ้อยนี้ไปบอกป้า แล้วถึงจะเอาไปบ้านว่างั้นนะ โถมันเก่งจริง ๆ เราไม่ลืมนะ ก็เราจำได้นี่นะ ถ้าอย่างงั้นก็เอาเสีย ถ้างั้นเจ้าก็เอาไปเสีย โอ๊ย กูไม่เอาแล้ว สูตัดไปแล้วสูก็เอาไปเสีย จึงได้เอาอ้อยนี้แบกไปอวดตาล่ะซี ตาจึงขนาบเอาเสีย
นี่พิจารณามาย้อนหลังมาถึงเรื่องบาปเรื่องบุญไม่ค่อยคำนึงนะ มีแต่ความอยากความทะเยอทะยานความดีดความดิ้นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น มันดึงมันลากมันไถไป จนกระทั่งถึงเข้าบวชดังที่ว่านี่ พอเข้าบวชจิตค่อยเปลี่ยน ๆ สนใจในธรรม สะดุดเรื่อย ๆ ทีนี้ออกปฏิบัติเข้าถึงจิตเลย เข้าปฏิบัติจิตมันก็มืดตื้อแปดทิศแปดด้าน เวลาชำระเข้าไป ๆ อย่างว่านี่นะ พอทางนี้ค่อยสว่างออกสิ่งเหล่านั้นมันมีอยู่แล้วนี่ ก็ค่อยเริ่มเห็น ๆ เห็นทั้งกิเลสเห็นทั้งสิ่งภายนอกที่เกี่ยวโยงกัน มันก็เห็นลงไป แต่อะไรก็ไม่สนใจยิ่งกว่าสนใจดูกิเลสฆ่ากิเลส สิ่งเหล่านั้นก็มีสัมผัสสัมพันธ์กันมา ไม่ปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็น แต่มันไม่สนใจมากยิ่งกว่ากิเลสซึ่งเป็นตัวภัย มันจะแก้มันจะถอดจะถอนจุดนี้ ๆ ทีนี้ก็ไม่พ้นที่มันจะรู้ออกไป ๆ นี่ภาคปฏิบัตินะมันจะเป็นของมันเองอย่างนี้
แล้วไม่ถามใครเสียด้วยนะ เวลาเจอเข้าตรงไหน ๆ นี้มันแม่นยำ ๆ เพราะสิ่งเหล่านั้นแม่นยำแล้ว พอจิตเจอเข้าปั๊บ ต่างอันต่างแม่นยำต่อกันสงสัยกันหาอะไร นั่นมันต่างอันต่างจริงแล้ว มันค่อยกระจายออก ๆ ถึงขึ้นสมาธินี้ก็สว่างไสวเต็มภูมิของสมาธิ อยู่ที่ไหนสะดวกสบายหมดเลยนะ อู๋ย ง่ายสบายที่สุดขั้นสมาธิ เพราะฉะนั้นถึงได้นอนใจได้ซิ จิตนี้มีตั้งแต่อยากอยู่อันเดียวเท่านั้น ไม่อยากยุ่งเหยิงวุ่นวายคิดนั้นคิดนี้ คือตามธรรมดาแต่ก่อนจิตไม่คิดไม่ได้นะ มันดีดมันดิ้นมันอยากคิดอยากรู้อยากเห็นอยากนั้นอยากนี้ อยากตลอดเวลาอยู่ภายในใจ ทีนี้พอสมาธิซึ่งเป็นเหมือนกับน้ำดับไฟเข้าไประงับความฟุ้งซ่านทั้งหลาย จิตมีความสงบเย็นใจ ทีนี้อยู่ที่ไหนสบายหมด แม้ที่สุดความคิดที่มันเคยก่อกวนมากมาย กลายเป็นเรื่องรำคาญไปแล้วไม่อยากคิด อยู่อย่างนี้ตลอดเวลา แน่ว รู้อยู่เท่านั้นพอแล้ว ความคิดแย็บขึ้นมากวนแล้ว ๆ นั่นสมาธิถืออารมณ์ทั้งหลายเป็นเครื่องก่อกวน ตำหนิ ขั้นนี้มันก็สบาย
ทีนี้มันก็ขยันอยู่ในนี้แหละ มันก็เป็นความเพียรอันหนึ่งของตัวเอง ก็อยู่อย่างนั้นทั้งวันมันก็อยู่ได้ ไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่อย่างนั้น มันก็เป็นงานของจิตที่สงบอยู่ด้วยอารมณ์อันเดียว ๆ อย่างนี้ ก็เป็นงานอันหนึ่ง ทีนี้เวลาออกทางด้านปัญญา อันนี้ละพิลึกนะ คือสมาธิมันเหมือนน้ำเต็มโอ่งน้ำเต็มแก้ว เอาให้เต็มขนาดไหนล้นกว่านั้นไม่ได้เลยนะ มันสุดขีดก็อยู่แน่ว ละเอียดก็สุดขีดอยู่นั้นไม่เลย จะเข้าเวลาเท่าไรกี่ชั่วโมงกี่วันกี่คืนมันก็เท่าเดิม เรียกว่าน้ำเต็มแก้ว น้ำเต็มโอ่ง ทีนี้พอเปิดทางด้านปัญญาออกเท่านั้นละที่นี่ มันจะเริ่มเป็นน้ำล้นโอ่งที่นี่นะ พอเปิดทางด้านปัญญาออกมานี่เป็นน้ำล้นโอ่ง ๆ ล้นออกเรื่อย ๆ ๆ อันนี้ละที่เป็นเรื่องของความแปลกประหลาดอัศจรรย์ เจ้าของเองก็ไม่เคยคาดเคยคิดว่าจะรู้จะเห็นจะเป็นขึ้นมา ครั้นแล้วมันก็เป็นขึ้นมาจากเจ้าของเอง จะสงสัยที่ไหน
ความรู้ความเห็นทางด้านปัญญาทั้งฆ่ากิเลส ทั้งความสว่างไสวแพรวพราว ทั้งความคล่องตัว ๆ ไปเรื่อย เห็นกิเลสก็เห็นชัด เห็นสิ่งภายนอกที่เข้ามาเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กันมันก็เห็น แต่รวมแล้วมันต้องหนักไปทางฆ่ากิเลส เห็นอย่างนั้นก็เห็นแต่ว่าผ่านไป ๆ ไม่ได้ตั้งใจจดจ่ออะไร ๆ เหมือนจดจ่อจะฆ่ากิเลสนะ ทีนี้ก็เปิดออก ๆ ซิ เวลาถึงขั้นปัญญานี้พูดไม่ได้นะ คือละเอียดลออเข้าไปเป็นลำดับทั้ง ๆ ที่เจ้าของรู้อยู่เห็นอยู่แต่จะนำอะไรพูดนี่พูดไม่ถูกนะ มันกระจ่าง ๆ ความรู้ความเห็นทางตาทางหูเรานี้อย่าเอาไปเทียบกับความรู้ความเห็นภายในจิตใจโดยเฉพาะนะ ผิดกันคนละโลกเลย ตาเราเห็นอันนี้ ๆ เขา ๆ เรา ๆ มันก็พอ ๆ กันไม่เห็นแปลกประหลาด แต่เวลาจิตใจเป็นนามธรรมรู้สิ่งที่เป็นนามธรรมด้วยกันนี้มันแปลกประหลาดไปโดยลำดับ
องค์ไหนเห็นก็แปลกประหลาดตัวเอง ๆ ไปทั้งนั้นละ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีวันอิ่มพอที่จะรื่นเริงบันเทิงหรือว่าอุทธัจจะก็ถูกนะ ฟุ้ง เพลิน เพลินรู้เพลินเห็นเพลินดูสิ่งต่าง ๆ ทั้งเพลินฆ่ากิเลสทั้งเพลินสิ่งที่มาเกี่ยวข้องจิปาถะมันรอบด้าน เพราะจิตเป็นนักรู้รอบตัว อะไรที่จะไม่ให้มันรู้ไม่ได้ มันสัมผัสสัมพันธ์กันมันต้องรู้จนได้ ๆ นั่นเห็นไหมล่ะภาคปฏิบัติ มันกระจ่างออก ๆ จนกระทั่งเอาสรุปเลยว่า เปิดออกหมดเลย อะไรที่มีเคลือบแฝงนิดหนึ่งนั่นละ หากว่าเป็นดวงไฟก็แก้วไม่ใสสะอาดดี เวลาไฟส่องออกมาจากดวงไฟนี้มันก็มัว ๆ ถึงสว่างก็สว่างด้วยความมัว ความมัวนั้นแลคือกิเลสมันปิดแก้วครอบ เหมือนมลทินติดแก้วครอบ พอเปิดอันนั้นออกหมดไม่ให้มีเหลือ แก้วครอบก็ไม่มีที่นี่นะ เวลามันเปิดนะ แก้วครอบว่าใสอย่างนั้นใสอย่างนี้ไม่มี เพราะแก้วครอบก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง เวลาเปิด เปิดออกหมด ดวงไฟก็ไม่มี ดวงไฟที่เป็นต้นเหตุแห่งการแสดงสีแสงออกมานั้นก็พังไปด้วยกัน เพราะอันนี้ก็เป็นสมมุติ นั่นเห็นไหมที่นี่
ทีนี้ความสว่างนอกสมมุติเป็นหลักธรรมชาติมีดั้งเดิมของจิตดวงนี้ เป็นแต่เพียงว่าสิ่งเหล่านี้ครอบไว้ ๆ จนกระทั่งถึงดวงสว่างก็เป็นสิ่งที่ครอบเอาไว้เสีย แก้วครอบก็เป็นสิ่งที่ครอบใจดวงนั้นเสีย พังออกหมดแล้วไม่มีเหลือ นี่เรียกว่าสมมุติหมดโดยประการทั้งปวง นั่นท่านให้ชื่อว่าวิมุตติ เอาทีนี้จะกำหนดยังไงไม่ได้เลย คำนวณคำนึงไม่ได้แต่ไม่สงสัย นั่นชัดเจน นี่ละจิตที่ว่าเปิดเต็มเหนี่ยวแล้วเป็นอย่างนั้น นี่ที่ว่ารู้จริงเป็นอย่างนี้ ที่รู้ไป ๆ ไม่มีอะไรสงสัย ๆ เลยนะ นี่ความรู้จริง เหมือนไฟได้เชื้อลุกลามไปหมดรู้ไปหมดเห็นไปหมดอย่างนี้นะ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดไหน พวกเรายังมากอดคัมภีร์เป็นหนอนแทะกระดาษ มิหนำซ้ำยังเห็นคัมภีร์ใบลานเป็นของครึของล้าสมัย เป็นตุ๊กตาเครื่องเล่นของเด็ก เห็นขี้หมูราขี้หมาแห้งเป็นของดิบของดี พากันขยี้ขยำคั้นอยู่ตลอดเวลา ครั้นผลที่ได้มาใครอยู่ที่ไหนมีแต่กองทุกข์ ๆ
โลกอันนี้โลกตรงไหนน่ะที่ว่ามีความสุข อย่าเอามาอวดธรรมหนา ในโลกอันนี้คือโลกเรือนจำแห่งวัฏจักร สุขก็มีเพียงเหยื่อล่อเท่านั้นเอง ส่วนทุกข์มหันตทุกข์แสนสาหัส เหยื่อล่อมี เพราะฉะนั้นสัตวโลกจึงได้ปีนป่ายกันกับเหยื่อล่อ ๆ แล้วก็ไปเจอเอาแต่ทุกข์ ๆ ตลอดเวลา ไม่หาทางออกเสียด้วย ถ้าจะหาทางออก อันนี้ก็ดีนะ นั่นเหยื่อล่อมาแล้ว อันนี้ก็ดีนะ เหยื่อล่อมาแล้วพันกันไป ๆ ติดแต่เบ็ด ปลาปากไม่ว่างแหละเบ็ดเต็มปาก พวกนี้ดูซิมีเบ็ดไหมนี่ หลวงตาบัวนี้มันพอแล้วแหละเรื่องเบ็ดเกาะปาก กิเลสหลอกคน เวลาเราดูแล้วในสามแดนโลกธาตุนี้ เราจะเอาอะไรมาวัดว่าใครมีความสุขเหนือธรรมพระพุทธเจ้า แล้วเอามาอวดธรรมได้มีที่ไหน ไม่มีเลย เป็นแบบเดียวกันหมด มีแต่ความทุกข์ความร้อน
จะพูดถึงเรื่องหยาบ ๆ เช่นมนุษย์เราอยู่ด้วยกัน นี่เอาหยาบ ๆ นะ บ้านเราไม่เจริญว่าบ้านเขาเจริญกว่าบ้านเรา เมืองเราไม่เจริญสู้เมืองเขาไม่ได้ไปเรื่อย ๆ นะ ต่อจากนั้นก็ประเทศเราประเทศเขาไม่เจริญ สู้ประเทศเขาไม่ได้ คนเราไม่เจริญสู้คนของเขาไม่ได้ เลยมีแต่สู้เขาไม่ได้ ๆ ครั้นไปดูเขาจริง ๆ เขาก็เป็นแบบเดียวกันนะ ไม่ได้มีใครมีความสุขต่างกัน ว่าพอใจแล้วที่เขามาชมเชยเราว่าเรามีความสุข เราไม่ได้มีความสุขเขาชมเชยเฉย ๆ เป็นลมปากความสำคัญต่าง ๆ หัวใจของเรามีแต่ไฟเผาอยู่นั้นมันเอาความสุขมาจากไหน หัวใจดวงนั้นคืออะไร คือกิเลสอยู่ในนั้น นั้นละกิเลสอยู่ตรงไหนไฟอยู่ตรงนั้น ๆ แล้วโลกอันนี้คือโลกของกิเลส ก็ต้องเป็นโลกของฟืนของไฟโดยตรง แล้วใครจะหาความสุขมาจากไหนไม่มี
อย่าพากันบ้าตื่นข่าวไปนักหนานะ พออยู่พอกินพอเป็นพอไปก็ให้ทำกัน อย่าดีดอย่าดิ้นเกินเหตุเกินผล จะเอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวเอง ใหญ่เท่าไรตามความสำคัญของตนและความสำคัญของผู้อื่นผู้ใดก็ตาม นั่นมันใหญ่ด้วยความสำคัญเพื่อจะส่งเสริมทิฐิมานะกล้าแข็งขึ้นโดยลำดับ แล้วโกยเอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวเอง ผู้นั้นเป็นทุกข์มากกว่าเพื่อน เงินทองมีมากเท่าไรยิ่งโอ่อ่าฟู่ฟ่า นั้นแหละคือกองไฟ ยศถาบรรดาศักดิ์สูงเท่าไรมีบริษัทบริวารมากเท่าไร ๆ ยิ่งมีความลืมเนื้อลืมตัว นั้นคือกองไฟ ๆ เผาเข้าไป สุดท้ายสู้ตาสีตาสาอยู่ตามท้องนาไม่ได้นะความสุข พวกนี้พวกหาบหามกองทุกข์ทิฐิมานะความสำคัญมั่นหมายซึ่งเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตลอดเวลา แล้วโลกไหนที่มีความสุขหามาอวดธรรมบ้างซิน่ะ
ธรรมท่านประกาศป้าง ๆ มา พระพุทธเจ้าพระองค์ใดมาตรัสรู้สอนธรรม สอนแบบเดียวกัน สอนจากบรมสุขด้วยกันหมด ไม่ได้สอนจากมหันตทุกข์นะพระพุทธเจ้าองค์ไหน พระสงฆ์สาวกอรหัตอรหันต์มีแต่บรมสุข ๆ มาสอนโลก นี่ธรรมที่ท่านครองความสุขเป็นผลที่ท่านได้จากการปฏิบัติธรรม แล้วความทุกข์ที่เราได้จากการวิ่งตามกิเลสมันมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ แล้วพวกไหนที่วิ่งตามกิเลสเอาผลของกิเลสมาแข่งธรรมพระพุทธเจ้ามีไหม ไม่เห็นมี มีแต่ฟืนแต่ไฟ ส่วนพระพุทธเจ้าไม่ว่าพระองค์ใดแบบเดียวกันหมด บรมสุข ๆ ให้พากันจำเอานะ วันนี้เอากิเลสกับธรรมไปอวดกันไปแข่งขันกัน ธรรมเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า กิเลสเป็นของวัฏจักร เอาผลที่วัฏจักรพาดีดพาดิ้นนั้นมาแข่งความสุขแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าใครจะเก่ง แล้ววันพรุ่งนี้มาอวดหลวงตาด้วยนะ ถ้าอวดยังไงแล้วหลวงตาจะเป็นคนคอยฟัง ถ้าวิ่งตามได้หลวงตาก็จะวิ่งตามนะ คนนี้มีความสุขมาก หลวงตาไม่มีหลวงตาจะขอสักหน่อย จะติดตามขอนะวันพรุ่งนี้ เอาละพอ
เป็นยังไงเทศน์วันนี้ วันนี้มีธรรมมากนะ วันไหนก็มีแต่โลกยั้วเยี้ย ๆ วันนี้มีธรรมบ้าง ให้พากันนอนกอดกองกระดูกอยู่นี่อย่าพิจารณานะปัญญา นอนกอดกองกระดูกอยู่นี่ นี่กระดูกโยนลงในกระโถนตะกี้นี้ใครเอาไป เอามาให้พวกนี้ดูมันเหมือนกันไหมกับกระดูกในตัวของเรานั่น พิจารณาบ้างซิ นี่มีแต่กระดูก นี้อร่อยนะกระดูกนั้นอร่อย มันอะไรก็ไม่รู้
วานนี้ทองคำเราได้ ๑ บาท ดอลลาร์ได้ ๕ ดอลล์ วันที่ ๒๐ เมื่อวานนี้ เราพักเราผ่อนติดเครื่องไปเรื่อย ๆ ต่อไปนี้ก็พาก้าวเดินอีก จะพาก้าวเดินต่อไปนี่นะ เดี๋ยวนี้พักเครื่องไปเสียก่อน คอยพิจารณาดูเหตุการณ์ต่าง ๆ เรื่อยไป เราทำหน้าที่ตลอดเวลา ดูผลแห่งการดำเนินเพื่อชาติบ้านเมืองของเราเป็นไปในแง่ไหน ๆ เราจะพิจารณาไปตลอดแล้วค่อยก้าวเดินไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ละ กรุณาทราบตามนี้ก็แล้วกัน หลวงตาจึงหนักมากอยู่นะ หนักอยู่ลึก ๆ ภายใน หัวใจมันทำงานเข้าใจไหมล่ะ
ข้าวเปลือกก็ได้เยอะ ข้าวสารคราวที่แล้วนี้ได้ ๕,๔๔๒ กระสอบ ๓๒๐ กระสอบปุ๋ย รวมแล้วเป็นเงิน ๒,๔๖๗,๑๗๖ บาทเป็นเงินนะข้าวเปลือกคราวนี้ เขาคิดมาเรียบร้อยแล้ว โรงสีนี้ตายใจได้เลยเหมือนกับหัวใจเราอวัยวะเรา มอบตูมให้เลยเป็นเสร็จเรียบร้อยมาด้วยผลสมบูรณ์พูนผลทุกอย่างเลย โรงสีโรงนี้เราจึงมอบความไว้วางใจให้ตลอดมาเราไม่ไปยุ่ง พอนั้นเขาจะจัดการเรียบทุกกระเบียดมาเลย แล้วโรงสีโรงนี้เป็นโรงที่สำคัญมากอยู่นะ โรงสีศรีไทยใหม่นี่นะ พระกรรมฐานเราอยู่ที่ไหน มองทางนู้นก็อ้าปากมาโรงสีนี้ มองไปทางไหนอ้าปากมาโรงนี้ทั้งนั้น แม้แต่วัดป่าบ้านตาดก็ยังอ้าปากไป พอเอะอะ ไหนเถ้าแก่ขอรถหน่อย เถ้าแก่เอารถนี้ให้หน่อย เถ้าแก่เอารถนั้นให้หน่อย วัดไหนก็หันหน้ามาเอารถเถ้าแก่ ใช้ทุกวัด นี่เอาให้ ๆ
ผลสุดท้ายนี้เรายังไม่ลืมนะฝังลึกมาก ที่ธรรมลีหรือใคร หรือธรรมเพียรเราลืมเสีย ขับรถมาจากอำเภอบ้านผือตอนเช้ามืด ตอนตี ๔ ตี ๕ จะมาถึงทางร่วมใหญ่หนองคาย-อุดรนี่นะ พอดีสีถนนกับสีควายตามถนนมันดำ ๆ เหมือนกัน มาเจอตรงกลางทางเลย หลบไม่ทัน เพราะสีถนนกับสีควายมันสีเดียวกันมันไม่รู้ จนเข้ามาใกล้ ๆ แล้วหลบไม่ทันจึงรู้ว่าควาย มันก็ชนควาย พอชนควายแล้ว ปึ๋งปั๋งเรียกเดี๋ยวนั้นไปเรียกรถโรงสีมาไม่ให้เสียเวลา นั่นฟังซิ สั่งเอารถบริษัทเขามาเลย เวลานี้รออยู่นั้น ให้เอารถของบริษัทมา พระก็ขึ้นรถคันนี้ไปเชียงใหม่เลย รถคันนี้ก็ให้เขาลากไปซ่อม ก็เป็นอย่างนั้นเห็นไหมล่ะ ไม่ให้เสียเวล่ำเวลาเลย
นี่เถ้าแก่โรงสีนี้ เราไว้ใจได้ทุกอย่าง ๆ เราถึงมอบความไว้วางใจให้หมด พอข้าวนั้นส่งไปเลย เขาเอารายการตายตัวมาร้อยเปอร์เซ็นต์มาแล้วนี่ เราเรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบเรื่องราวเป็นอย่างนั้น นี้เป็นลูกศิษย์พระ วัดไหน ๆ อยู่กับโรงสีนี้ทั้งนั้นแหละ ลูกศิษย์พระตั้งแต่วัดป่าบ้านตาดอันดับ ๑ ลงไปแถวนี้ใช่หมด จะเอาอะไรจะใช้อะไร คำว่าไม่มีหรือขอเวลาเท่านั้นเท่านี้ไม่มีเลย ผึงเลย ๆ นี่ก็ถึงใจเรา เอาจริงเอาจังทุกอย่าง คิดดูอย่างที่ว่ารถไปชนเขากลางทาง ไม่ได้พูดถึงอะไร ๆ เลย สั่งรถบริษัทเอามาเดี๋ยวนี้เลย มานี้ก็ขนของขึ้นรถคันใหม่นี้ไปเลย รถคันนี้ไปไหนไม่ได้เจ้าของจัดการเอง ก็อย่างนั้นแล้วฟังซิ คือไม่ให้ถือเป็นอุปสรรคให้เสียเวล่ำเวลา เอาจริงเอาจังมากนะ เอาละให้พร
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร
www.luangta.com |