เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
ท่านพ่อลี
ก่อนจังหัน
พระเท่าไร (๓๑ ครับผม) เปลี่ยนหน้าใหม่มาเรื่อยนะพระก็ดี เปลี่ยนหน้าใหม่มาเรื่อยๆ เชียว เข้าออกๆ อยู่ตลอด วัดป่าบ้านตาดนี้เป็นตลาดพระ เข้าออกๆ ตลอดเวลา ใครเข้ามาออกไปให้สังเกตศึกษาด้วยดี พินิจพิจารณาด้วยปัญญา อย่าสักแต่ว่ามาๆ นะ พระที่มาเกี่ยวข้องกับวัดป่าบ้านตาดนี้เป็นหมื่นๆ แสนๆ ไม่ใช่ธรรมดา ตั้งแต่สร้างวัดมา พระเข้าออกๆ นี้ตลอดเวลาตั้งแต่ปี ๒๔๙๙ มา นี่ละพระที่เข้าออกๆ อยู่ในวัดป่าบ้านตาดเป็นเวลา ๕๐ ปีมาแล้ว จะเป็นจำนวนสักเท่าไร เป็นหมื่นๆ แสนๆ พระ
ตั้งใจมาศึกษาจริงๆ แล้วก็ควรจะได้พระที่เด่นดังๆ ออกไปให้ความร่มเย็นแก่ประชาชนและเพื่อนฝูงด้วยกันมาก ไม่น้อยนะ นี่ไปไหนหมดก็ไม่รู้ ออกจากนี้ไปก็ลงทะเลๆ แห่งความล่มจมก็ไม่รู้นะ อย่างอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นเหมือนกัน อันนั้นเราพูดจริงๆ ควรจะเปิดให้เปิดเสียบ้าง เราอกจะแตกนะอยู่วัดหนองผือ เพราะฉะนั้นเวลาเราจะลาพ่อแม่ครูจารย์ไปไหน ดูอาการท่านไม่อยากให้ไป ท่านคงจะดูเวลาเราออกจากวัดไปปฏิบัติแล้วพระเณรจะระเกะระกะให้ขวางหูขวางตาท่านอยู่นั้นแหละ คือเวลาเราอยู่เป็นอย่างหนึ่ง พระเณรทั้งหลายเป็นอย่างหนึ่ง เวลาเราออกไปนี้จะเป็นอย่างหนึ่งแน่นอน
ทีนี้เวลาเราจะลาท่านไปเที่ยวที่ไหน แต่เราไม่ได้ลาตรงๆ ต้องกราบเรียนปรึกษาหารือเรื่องการงานอะไรภายในวัด เมื่อท่านว่าไม่มีอะไร เราก็จะถือโอกาสตรงนั้น หากว่าไม่มีอะไร พอมีโอกาสที่จะไปหาที่ภาวนาชั่วระยะบ้างเราว่างี้ เพียงเท่านั้นละ ท่านจะตอบเมื่อไรท่านจะตอบเองนะ ออกปากไว้เท่านั้นแล้วเงียบไปเลย นู่นได้โอกาสแล้วท่านจะออกละที่นี่ เอ้อ ท่านมหาอยากไปภาวนาก็ไปได้ นั่น ไม่ใช่ว่าว่าปั๊บไปปุ๊บนะเรา กราบเรียนปรึกษาความมุ่งหมายของเราไว้เพียงเท่านั้น ทีนี้ท่านให้ไปก็ไป อาการท่านไม่อยากให้ไป
จะว่ายกตนข่มเพื่อนฝูงก็ให้ว่าไป เราหนักจริงๆ อยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เพราะดูแลสอดส่องพระเณรตลอดเวลา หูไม่ดีก็ให้ดี ตาไม่ดีก็ให้ดี โง่ก็คิดเพื่อความฉลาดต่อพ่อแม่ครูจารย์มั่นเกี่ยวกับหมู่เพื่อนทั้งหลาย อยู่อย่างนั้นตลอดเวลา หนัก เราพูดให้ชัดๆ เราหนักมากทีเดียว อะไรๆ ต้องสอดส่อง เป็นบ๋อยของหมู่เพื่อนในวัด นำหน้าๆ ตลอดเลยไอ้เก้งๆ ก้างๆ อย่างนั้นละที่มานี้มันก็เข้ากันได้แล้ว เราเคยอยู่แล้ว จะมาเก้งๆ ก้างๆ อยู่นั้นเราเป็นคนดูแล มาที่นี่มันจะเป็นแบบเดียวกันละพระเณรที่มานี่ ออกไปแล้วจึงไม่ค่อยปรากฏความดีงามเด่นสถานที่นั่นที่นี่ ไม่ค่อยมีนะ เป็นยังไง เพราะมาก็สักแต่ว่ามา ไปสักแต่ว่าไป อยู่สักแต่ว่าอยู่ แล้วไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรนะ ศาสนาก็เลยเป็นมูตรเป็นคูถไปกับพระกับเณรเรา ที่ปฏิบัติตัวเหลวแหลกแหวกแนวนี้ไปเสียทั้งนั้น
ศาสนาที่ออกจากศาสดาองค์เอก เลิศไม่มีโลกไหนจะเสมอเหมือนได้ คือศาสดาองค์เอก เลิศในโลกทั้งสาม ธรรมที่พระองค์แสดงก็เลิศอีกเหมือนกัน ทีนี้ธรรมเหล่านั้นพระเรามาปฏิบัติ มันเอามาขยี้ขยำผสมกับมูตรกับคูถไปหมด เลยไม่มีอะไรที่จะเด่นจะดังเป็นสิริมงคล เป็นที่อบอุ่นในตนเองเลย เพราะเหลวแหลกอยู่ตลอดเวลาด้วยความไม่มีสติ ไม่เอาไหนนั้นแหละ นี่ละพระเณรที่มาอยู่กับเรานี่เป็นหมื่นๆ แสนๆ
ที่เรายกหนองผือมาเข้ากับวัดป่าบ้านตาด เข้าได้สนิท มันจะมีเก้งๆ ก้างๆ อยู่นี้จนได้นั่นแหละ เราอยู่หนองผือเราอกจะแตกนะ โห พิลึก ตื่นปั๊บนี้จะออกหน้าหมู่เพื่อน จะว่าเป็นบ๋อยหมู่เพื่อนก็ได้ หรือเป็นผู้นำหมู่เพื่อนก็ได้ อยู่อย่างนั้นตลอด ทุกสิ่งทุกอย่างให้เรียบทีเดียว ก็เราไปหาท่านเอง ท่านไม่ได้ไปหาขันตีนิมนต์มา เราไปเอง แล้วยังไปสร้างความหนักหน่วงใจให้ท่านอีกมีอย่างเหรอ นี้ละที่เราอกจะแตก คอยสอดส่องพระเณรทั้งวัดๆ หนัก บอกว่าหนัก ว่างั้นเลย
เวลาเราจะลาท่านไป อาการท่านไม่อยากให้ไป ท่านเล็งถึงพระเณรทั้งหลาย เวลาเราอยู่เป็นอย่างหนึ่ง เวลาเราไปเป็นอย่างหนึ่ง แต่ท่านก็คิดถึงประโยชน์ส่วนใหญ่ของเราคือจิตตภาวนา ท่านก็ยอมปล่อยให้ไป พูดให้มันชัดๆ เสีย เราเป็นผู้ดูผู้พินิจพิจารณาทุกอย่าง ประสบทุกอย่างในวัดป่าหนองผือ ทีนี้มันก็จะเข้ามาในวัดป่าบ้านตาดนี้ มาเก้งๆ ก้างๆ ไม่ได้นะพระเณร เลอะๆ เทอะๆ ไม่ได้นะ เราอกจะแตกแล้วอยู่หนองผือนั่นก็ดี มาอยู่นี้ก็จะให้อกแตกอีกไม่ได้ ให้ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
การภาวนาเคยบอกแล้ว อยู่ที่ไหนพระต้องมีสติ ถ้ามีสติเป็นผู้มีความเพียร ความสงบเสงี่ยมงามตาจะอยู่กับผู้มีสติ ถ้าไม่มีสติเลอะๆ เทอะๆ ไปหมด แม้ที่สุดเวลาภาวนายิ่งไม่ได้เรื่องนะ สติจับติดๆ จิตที่ยังตั้งรากฐานไม่ได้ เอาคำบริกรรม ที่ยังไม่มีรากมีฐานเอาคำบริกรรม เราชอบคำใด เช่น พุทโธ หรือธัมโม เป็นต้น สติติดกับนั้นเลยไม่ยอมให้มันคิดมันอ่านไปที่ไหน เกิดมาจนกระทั่งป่านนี้มันคิดมากเท่าไร ได้ผลประโยชน์อะไร ทีนี้จะให้คิดกับอรรถกับธรรม เช่น พุทโธ เป็นต้น เป็นคำบริกรรมติดกับหัวใจ มีสติติดแนบอยู่นั้น บังคับ มันจะไปไหนว่ะ
กิเลสไม่เหนือธรรมไปได้ บังคับให้มันได้ ความเสียดายความอยากคิดอยากปรุงนี้ของเล่นเมื่อไร บังคับ เราถึงจะรู้ว่ากิเลสมันผาดโผนที่สุดเลย เช่นอย่างคำบริกรรมบังคับๆ ไม่ยอมให้คิดอย่างอื่น มันดันขึ้นมาๆ อยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็น อยากทุกอย่าง ดันเข้ามา เราเอาคำบริกรรมปิดช่องมันไว้ไม่ให้มันออก เอาพุทโธๆ ปิด ถ้าใครถือคำบริกรรมใดก็ให้ถือคำนั้นติด ไม่ให้มันออกจริงๆ ไม่หลายวันละ สัก ๓ วันจะเห็นผลชัดขึ้น ที่มันดันมากๆ นั่นคือกำลังของกิเลส เมื่อกำลังของธรรมหนักเข้าๆ กำลังของกิเลสคือความอยากคิดอยากปรุงต่างๆ นั้นจะเบาลงๆ ทีนี้ธรรมก็ก้าวเดินๆ จากนั้นก็ตั้งหลักได้ คือจิตสงบ ไม่อยากคิดอยากปรุงละที่นี่ สงบ
จากความสงบแล้วก็สง่างามภายในใจ จำให้ดีทุกคน เราผ่านมาหมด นำมาสอนนี้สอนด้วยความผ่านมาแล้วทั้งนั้น วิธีฝึกหัดตนเองเอาเต็มเหนี่ยวทีเดียวแล้วตั้งรากฐานได้ จิตสงบเรียกว่าตั้งรากฐานได้ จากนั้นก็เป็นสมาธิ แน่นหนามั่นคง แล้วก็กระจายออกทางปัญญา เมื่อจิตอิ่มอารมณ์คือมีความสงบใจแล้วไม่หิวโหยในอารมณ์ พิจารณาทางด้านปัญญา จะแยกธาตุแยกขันธ์สกลกายทั้งเขาทั้งเราให้เป็นอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ป่าช้าผีดิบผีสด ดูให้มันชัดเจนในนี้ เรียกว่าปัญญาก้าวเดิน ผ่านได้ๆ ไม่สงสัย
ธรรมพระพุทธเจ้าเปิดโล่งเพื่อมรรคผลนิพพาน เราให้กิเลสปิดตันๆ มรรคผลนิพพานไม่มี บุญไม่มี บาปไม่มี นี่ละกิเลสไปปิดตันทางมรรคผลนิพพานไปเสีย ทั้งๆ ที่ถือศาสนาพุทธนั่นละ มันมีเปรตมีผีอยู่ในหัวใจ มันปิดมรรคผลนิพพานไปเสีย ถึงไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว พากันจำเอานะพระทั้งหลาย ประชาชนก็มีกิเลสเหมือนกันเต็มหัวใจ นำไปฝึกหัดดัดแปลงตนเองถ้าอยากเป็นคนดีพระดี ธรรมพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนใครให้เสียหายล่มจม แต่กิเลสนี้เอาได้ทั้งนั้น ตั้งแต่ปู่ย่าตายายลูกเต้าหลานเหลนของกิเลส เป็นรวงรัง เป็นสกุลแห่งความต้มตุ๋นหลอกลวง ลับลมคมในอยู่กับกิเลสทั้งหมด ปลิ้นปล้อนหลอกลวงไม่มีอะไรเกินกิเลส เอาธรรมฟาดเข้าไปๆ แล้วสิ่งเหล่านี้จางไปๆ ธรรมจะสง่างามภายในใจ เอาละเทศน์เพียงเท่านี้
หลังจังหัน
จังหวัดตราดแต่ก่อนลูกศิษย์มีเยอะ แต่ก็คงจะล่วงลับไปแล้ว เพราะแต่ก่อนเป็นคนกลางคนไป เราไม่ได้ไปจังหวัดตราดนาน ลูกศิษย์คงจะหมดไปแล้ว จังหวัดตราดนี้เยอะนะลูกศิษย์ พอพูดถึงเรื่องจังหวัดตราดก็ทำให้ระลึกถึง ที่เคยพูดเสมอว่าโยมหริ่ง ของเล่นเมื่อไร โยมหริ่งคนจังหวัดตราด เป็นคู่กันกับโยมทองแดง เป็นคนจังหวัดจันท์ ภาวนาเก่งทั้งคู่ ลูกศิษย์อีตาบัวนี่ เขาเรียกอะไรเป็นเนินหนึ่ง อาจารย์เฟื่องไปพักอยู่ที่เนินนั้น เป็นสวนยาง ที่สงบสงัดดี เราก็ไม่ได้ถามว่าเขาจะถวายวัดหรือว่าเขาถวายแล้ว หรือว่าท่านไปพักธรรมดา แต่เป็นทำเลที่เหมาะสมมาก เดินผ่านทุ่งนาไป ไม่มีถนนผ่าน สถานที่เหมาะสมมากในการภาวนา
ตอนนั้นเราไป ท่านเพ็งนี่เราไม่ลืมนะ คือตัดสินใจตอน ๕ โมงเช้าจะไปตราด ก็เรียกท่านเพ็งมา เพ็ง นี่ผมจะไปตราดเดี๋ยวนี้มันมีกิจจำเป็นที่จะต้องไป คราวนี้ผมจะไม่สะดวกนะหากไม่เป็นภัย หากไม่สะดวก จวนเข้าพรรษาแล้วด้วย คอยฟังก็แล้วกัน บอกชัดๆ เลยวันนี้ไม่สะดวก หากจะไป ไม่มีอันตรายอะไรแหละ พอเราเตรียมของปุบปับๆ รถแต่ก่อนมีสองบริษัท บริษัทรสพ. กับบริษัทเทียนชัย ในระยะเที่ยงมีรถรสพ..ไป ออกไปปั๊บรถเขาก็มาพอดี เราก็ขึ้นไป
ทีนี้โยมหริ่งแกพักอยู่มุมโน้น มีบริเวณที่อุบาสิกาเขาพักอยู่ทางด้าน ดูจะเป็นด้านทิศตะวันออก แกวิ่งกุลีกุจอมา แกเป็นคนไม่ชอบพูด ทั้งวันแกจะพูดหรือไม่พูดก็ไม่รู้ นิสัยแกนิ่ง เฉย แต่ภาวนาสำคัญนะ แกปุบปับๆ ออกมาศาลาเล็กๆ พระก็มีอาจารย์เฟื่องกับใครอยู่นั้น แกปุบปับๆ ออกมา ลักษณะตาลีตาลานมา โยมหริ่งมาอะไร จะมาอะไรก็ท่านพ่อบัวกำลังมา ว่างั้นนะ นี่ท่านกำลังมา ท่านกำลังออกเดินทางมา โยมหริ่งไม่ใช่เป็นบ้าแล้วหรือ ใครก็รุมโจมตีแก เป็นบ้ายังไงท่านกำลังออกเดินทางมาเดี๋ยวนี้ ท่านจะมาที่นี่
ทีนี้เราก็ไม่เคยไป แต่เราจะไปหาอาจารย์เฟื่องนั่นแหละ จุดนั้นละ แกก็พูดอุบอิบกุลีกุจอตาลีตาลาน ว่าท่านจะมาที่นี่ ใครก็รุมโจมตีแก เอ้า ถ้าหากว่าท่านไม่มาคราวนี้ต้องเผาศพโยมหริ่งวันนี้ เอ้า เผาก็เผา ก็ท่านมาแล้วนี่น่ะ มาแล้วเดี๋ยวนี้ ว่างั้นนะ พอบ่ายประมาณสัก ๔ โมงกว่าๆ เราก็เข้าถึง พอไปเราก็เดินผ่านทุ่งนาเข้าไปนั้นเลย ไปพวกนั้นก็ยังรอกันอยู่ ทั้งคอยฟังว่าเราจะมาถึงจริงๆ หรือไม่จริง ถ้าไม่จริงจะฆ่าโยมหริ่ง มีสองทาง โยมหริ่งอยู่บนเขียงแล้วละว่างั้นเถอะ
พอเราไปเขาก็ฮือเข้ามาเลย โอ๊ย มาจริงๆ มาจริงๆ อะไร เขาก็เลยพูด โยมหริ่งตาลีตาลานมาบอกว่า ท่านพ่อมหาบัวกำลังมา มาบอกเดี๋ยวนี้ ว่าจะฆ่าโยมหริ่งอยู่ คอยฟังถ้าอาจารย์ไม่มาโยมหริ่งต้องตาย แกพูดอย่างอาจหาญเสียด้วย นั่นเห็นไหมล่ะ พูดอะไรแกไม่ยอมฟัง บอกว่ามาแล้วเดี๋ยวนี้ ว่างั้นเลย พอ ๔ โมงเย็นเราก็ไปจริงๆ พวกนั้นก็รออยู่นั้นละ พวกญาติโยมมีหลายคน พระก็มีหลายองค์รออยู่ที่ศาลา รอตามที่โยมหริ่งพูด ว่าเราจะมาจริงๆ เหรอ ท่านไม่เคยมาที่นี่ท่านจะมาเหรอ พอโผล่เข้าไป โอ๊ย มาจริงๆ เสียงฮือฮาๆ รู้ได้ยังไง ก็โยมหริ่งมาฮือฮาๆ เป็นบ้าอยู่นี้ ว่ากำลังจะฆ่าโยมหริ่ง พอดีท่านอาจารย์มาโยมหริ่งเลยรอดชีวิตไป
ไหนโยมหริ่งอยู่ไหน อยู่โน้น บอกให้มาหาเราไม่ยอมมา กลัว คือกลัวมาก สำหรับเราแกกลัวมาก บอกให้มาเดี๋ยวนี้ มาแกก็มานั่งเฉยๆ ไม่พูด แต่เวลาพูดตรงไหนจริงตรงนั้นนะ ทีนี้เราเย็บผ้าอยู่ที่สถานีทดลอง เรากำลังเย็บผ้าอยู่ แกขึ้นไปกับโยมทองแดงสองคน เราเย็บผ้ากับพระอยู่เฉลียงกุฏิเรานั่นแหละ มาอะไร ไม่รู้จักเวล่ำเวลา แกก็นั่งนิ่งทั้งสองคน สักเดี๋ยวไม่นานนัก เราไม่พูดด้วยนี่เราเย็บผ้า เขาขึ้นมา มาอะไรไม่รู้จักเวล่ำเวลา เราว่าเท่านั้นแล้วเราก็หยุดแล้วก็เย็บผ้าของเราไปเรื่อยๆ สักเดี๋ยวแกก็ลงไป แกลงไปแกพูดขบขัน อู๊ย วันนี้นึกว่าจะไปดูท่านพ่อบัว ที่ไหนได้พอส่งจิตปั๊บท่านจ้อเราอยู่แล้ว ส่งทีไรจ้ออยู่แล้ว อยู่ไม่ได้เผ่นเลย แกหัวเราะคิกๆ คนเดียว
โยมทองแดงถาม ป้าเป็นอะไร อู๊ย มันขบขัน เราว่าจะไปดูท่าน ที่ไหนได้ท่านดูเราอยู่แล้ว เลยอยู่ไม่ได้ จ้องไปทีไรท่านจ้องเราอยู่แล้ว ก็เปิดเลยเท่านั้น หัวเราะมันขบขัน ว่าจะไปดูท่าน ท่านกลับดูเราอยู่แล้ว อย่างนั้นนะ แกไม่ค่อยพูดแหละ พูดอะไรจริงอันนั้นนะ แกพูดตรงไหนแน่ทุกอย่าง แกกลัวมากกลัวเรา ก็มีสองคนฝ่ายผู้หญิง แต่ผู้นี้ปากเปราะหน่อย โยมทองแดงปากเปราะ คนนั้นแกไม่ค่อยพูด ถ้าพูดเป็นจริงเป็นจังคึกคักขึ้นมาเลย โยมทองแดงแกก็เป็นความจริงของแกทางหนึ่งเหมือนกัน แต่ปากเปราะ จะตีปากเอานะเราว่า
ศาลาก็ทำพอได้พักเท่านั้น พอเราเดินเข้ามา ว้ากวี้กขึ้นเลย โอ๊ย ทำไมท่านอาจารย์ เรียกท่านอาจารย์ผู้นี้ ผู้นั้นเรียกท่านพ่อ ดูซิท่านอาจารย์รัศมีแผ่มาหมดเลยเห็นไหม รัศมีรัดสะหมาอะไรเป็นบ้าหรือ เดี๋ยวตีปากเอานะ เราว่างี้ นิ่งเงียบเลย นั่นละบทเวลาแกจะพูดแกปากเปราะ นู่นน่ะรัศมี รัศมีรัดสะหมาอะไรเดี๋ยวตีปากเอานะ เราก็ไม่ลืม แกเลยนิ่ง เป็นอย่างนั้นคนนี้ แกภาวนาดีทั้งคู่แหละ แกกำหนดไฟเผา ไม่บอกชื่อแหละ องค์นั้นลักษณะบ๊งเบ๊งหน่อย ไปที่ไหนก็อยากให้เขายกตัวว่าดี
พอไป เอ้า โยมทองแดง พอขึ้นไป บ้านแกอยู่กลางทุ่งนาหลังเดียวห่างๆ พอขึ้นไปก็นั่งภาวนา ก่อนจะนั่งภาวนาก็บอก เอ้า นั่งภาวนาแข่งท่านอาจารย์มหาบัว ว่างี้นะ ปากบ๊งเบ๊งละท่านองค์นี้ ไม่บอกชื่อแหละ เอ้า นั่งภาวนาแข่งอาจารย์มหาบัวดูหน่อยเป็นยังไงว่ะ แกกับเราเป็นยังไงกันแกก็รู้นี่นะ แกนั่งภาวนาอยู่ข้างล่างแหละก็นึกว่า เป็นยังไงพระองค์นี้จะเก่งขนาดไหน กูจะทดลองดูหน่อย เอะอะจะให้เป็นคู่แข่งกับอาจารย์ของเราอาจารย์มหาบัว ท่านเก่งขนาดไหนเราจะลองดู ก็กำหนดไฟเผา
แกเอาจริงๆ นะ แกกำหนดไฟเผา ดีดผึงเลย ทำไมโยมทองแดงมาทำอะไรอย่างนี้ บ๊งเบ๊งขึ้นเลย โยมทองแดงทำไมเอาไฟมาเผาเรานี่น่ะ เผาอะไรฉันก็นั่งอยู่ธรรมดา ความจริงเอาแล้วแกว่า นั่นไม่เห็นเก่ง ถ้าเก่งกว่าอาจารย์มหาบัวของเราจริงๆ ก็ให้รู้ซิดับไฟดับยังไง เรื่องภาวนาดับกันได้นี่ ไม่เห็นดับได้มีแต่บ๊งเบ๊งโดดผึงออกมา นี่แสดงว่าใช้ไม่ได้ อยากมาคุยโม้กับอาจารย์เรา แกมาเล่าให้เราฟังทีหลัง แกปากเปราะคนนี้ คงเสียไปแล้วแหละ เพราะแก่กว่าเราทั้งนั้น โยมทองแดงตอนนั้นดูอายุ ๕๐ แล้ว โยมหริ่งถึง ๖๐ กว่าแล้วแหละ คงเสียไปหมดแล้ว มีสองคนนี่ละภาวนาดีอยู่ โยมหริ่งก็เก่งทางภาวนา ดูใจคนนี่รู้หมดเลย เพราะฉะนั้นแกมานั่งปั๊บจะมาดูใจเรา มาดูทีไรท่านจ้ออยู่นี้ เลยถอยจิตออกมา พอจ่อเข้ามาทีไรท่านจ้อเราอยู่แล้ว ถึงสามหน โอ๋ย ไม่ได้เดี๋ยวท่านจะเขกเอา เลยเปิดหนีเลย ลงไปนอนแล้วหัวเราะคิกๆ ขึ้นมา แกพูดถึงเรื่องแกขบขัน ว่าจะมาดูใจเราที่ไหนได้เราดูแกอยู่แล้ว
แกภาวนาดีทั้งสอง คิดว่าจะผ่านได้ทั้งสอง เราดูเข้าวิถีแล้ว เข้าวิถีที่จะพ้น ไม่ถอยแหละ แต่ตอนนั้นยัง ทางจังหวัดจันท์มีคนหนึ่ง ทางจังหวัดตราดก็มีคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงด้วยกันทั้งนั้น จากนั้นก็ไม่ค่อยปรากฏนัก ธรรมดาๆ แต่สองคนนี่สำคัญอยู่มาก นี่ละการภาวนาไม่ขึ้นอยู่กับผู้ใด จิตไม่มีเพศ นิสัยปัจจัยอยู่ในหัวใจนั่น ไม่ได้อยู่กับเพศนั้นเพศนี้ อยู่ที่หัวใจ ใครมีอุปนิสัยยังไงๆ จะมีอยู่ที่หัวใจไม่ได้อยู่ที่เพศ เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน นิสัยวาสนาอยู่ที่หัวใจ อาภัพไม่อาภัพอยู่ที่หัวใจ หัวใจสำคัญมากทีเดียว ไปอยู่จันท์คราวนี้ก็ได้ประโยชน์ สำหรับผู้หญิงก็เด่นอยู่สองคน ส่วนนอกนั้นก็มีธรรมดา พระที่ได้คติเครื่องเตือนใจมีอยู่เยอะ เราไปจำพรรษาที่สถานีทดลอง
พอพูดเรื่องนี้แล้วก็มันขบขันเรื่องท่านอาจารย์ลีกับเรา คุ้นกันมาสักเท่าไรเขาไม่รู้ เรากับท่านอาจารย์ลีคุ้นกันมาสักเท่าไรเขาไม่รู้ ทีนี้พอดีเราไปจำพรรษาที่สถานีทดลอง ในตลาดจันท์พอถึงวันเสาร์วันอาทิตย์ เขาจะไปฟังเทศน์อยู่ทางโน้นละ ฟังเทศน์อยู่ที่สถานีทดลอง ท่านอาจารย์ลีท่านอยู่วัดป่าคลองกุ้ง แต่ท่านเข้ากรุงเทพบ่อย เข้าแล้วออกมาๆ เรื่อย เวลาท่านมาจากกรุงเทพท่านมาพักวัดสถานีทดลอง พวกนี้เขาก็ไปโม้ให้ท่านฟังละซี โอ๊ย ท่านพ่อ ได้พระดีมาองค์หนึ่ง เก่งมากทีเดียว เทศน์นี้เป็นน้ำไหลไปเลย ใครว่ะว่างั้นนะ ท่านอาจารย์มหาบัว เทศน์นี้แหมเป็นน้ำไหลไฟสว่างไปเลยทีเดียว เวลาท่านตอบ มันต้องอย่างนั้นซิ
คือท่านกับเราคุ้นกันมาเท่าไรแล้ว พวกนั้นเขาไม่รู้ เขาไปโม้ให้ท่านฟัง เวลาท่านตอบ ต้องอย่างนั้นซิ เท่านั้นพอ นี่ท่านอาจารย์ลีท่านก็ไปเยี่ยมสถานีทดลอง ท่านไปเยี่ยมเอง ไปเยี่ยมแล้วก็พาเราไปอำเภอขลุง ท่านไปกับญาติโยม รถตู้คันหนึ่งแล้วเอาเราไปด้วย เวลาขากลับมาท่านจะเอาเราไปที่วัดคลองกุ้งด้วย โอ๊ย วันนี้ไปยังไม่ได้ วันพรุ่งนี้จะตามไปทีหลัง วันพรุ่งนี้เราก็ตามท่านไป ท่านสนิทกับเรามากมาตั้งเมื่อไร พวกนั้นเขาไม่รู้ คิดดูอย่างวัดอโศการาม ระงับเหตุก็เรา อย่างนั้นนะ วัดอโศการามงานฉลอง ๒๕๐๐ คนแน่นหมดเลย ทีนี้พอดีมันก็เกิดเรื่องภายในวัด ยุ่งกันฝ่ายผู้หญิง แม่ครัวไม่พอบ้างอะไรบ้างยุ่งกัน
ท่านว่างานนี้จะให้มีอยู่สองอาทิตย์ ทำประมาณสัก ๖-๗ วันเรื่องราวก็เกิดขึ้น ท่านก็สั่งท่านอาจารย์เจี๊ยะนี้ละมาเลย ให้ท่านเจี๊ยะไปหาเรา ให้ไปบอกมหาบัวเข้าไประงับครัวเดี๋ยวนี้ ห้ามไม่ให้ใครเป็นตัวแทนไปเลย ให้มหาบัวเท่านั้นไป สั่งท่านอาจารย์เจี๊ยะมาบอก โอ๊ย ทำไงอย่างนี้ ก็ท่านสั่งอย่างนี้จะทำไง เราก็เลยไป นั่นละเรื่องราวมันจึงไประงับ ท่านคงจะเห็นผล พอเรากลับออกมาแล้วประกาศแม่ครัวขึ้นตั้งสองร้อยสามร้อย สองร้อยตอนค่ำ แล้วก็สองร้อยกว่า จน ๗ โมงเช้าสามร้อยกว่า แม่ครัวเต็มเอี๊ยดเลย พอ เลยขยายงานไปอีกเป็นสามอาทิตย์ นี่เราก็ไม่ลืม เรื่องราวเราละระงับเรื่องครัว
เราเอาอย่างหนักๆ เลยทีเดียว เพราะมันไม่ลงกัน แม่ครัวมีแต่เขาโค้งๆ ตัวใหญ่ๆ ตัวทิฐิมานะใหญ่ๆ ทั้งนั้นอยู่ในครัว พออาจารย์เจี๊ยะพูดคำหนึ่งเขารุมมานี้หลงทิศ เมาหมัด นี่ๆ ท่านอาจารย์เห็นไหมผมพูดอะไรไม่ได้ พอทางนี้พูด ทางนั้นขึ้นทางนี้ขึ้นเลยนะ ฟาดอาจารย์เจี๊ยะ อาจารย์เจี๊ยะเลยมากระซิบกับเรา นี่ท่านอาจารย์ผมพูดอะไรไม่ได้นะ เราก็ฟัง จากนั้นก็ให้เขาพูด เอา บอกตรงๆ เลย ให้พูดคนละฝ่าย ฝ่ายไหนจะพูดเรื่องราวอะไรให้พูดมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ฝ่ายหนึ่งให้นิ่งเราบอก บอกชัดเจนเลย เอาอย่างเด็ดนี่นะ ไม่เด็ดไม่ได้
นี่ก็ขบขันดีเหมือนกัน ทางนี้พูดทางนั้นจะแย็บออกมาไม่ได้ ฟัดเลย เลยนิ่งหมด เอ้า ทางนี้มีอะไร เอ้า พูดออกมาให้หมด บอกให้หมด พอหมดแล้ว หมดแล้วเหรอ หมดแล้ว เอ้า ทางนี้ขึ้น ทางนี้เงียบ ทางนี้ก็เงียบทางนั้นขึ้นเต็มที่ๆ เราก็เอาทั้งสองเข้ามาประมวลกัน ไม่เอามากละเอาเด็ดเสียด้วย ทั้งสองนี่เรามาในนามลูกศิษย์ของท่านพ่อนะ เราไม่ได้มาในนามอาจารย์ของท่านพ่อ เมื่อต่างคนต่างไม่ได้มาในนามของอาจารย์ท่านพ่อ เป็นลูกศิษย์ของท่านพ่อด้วยกันทั้งสองฝ่าย การมาทะเลาะเบาะแว้งอย่างนี้มันเป็นการเสริมเกียรติท่านพ่อ หรือเป็นการเหยียบท่านพ่อลง เอ้าตอบ นั่นาขึ้นอย่างนี้นะ ขึ้นงี้เลย
เอ้า ทีนี้ข้อสำคัญที่สุดคือว่า เวลานี้ท่านพ่อท่านไม่มีอะไรท่านนิ่งๆ ฟังเหตุการณ์ของพวกเราอยู่ ซึ่งกำลังกัดกัน บอกตรงๆ นี้ละเรา อยู่เวลานี้ นี่หากว่าท่านพ่อท่านดำเนินตามความรู้ความเห็นของท่านแล้ว ท่านเตรียมบริขาร ๘ เท่านั้น เดินผ่านพวกเราที่เป็นลูกศิษย์ทั้งหลายอวดอ้างตนเองว่าเป็นลูกศิษย์ท่านพ่อๆ ทั้งวัดนี้น่ะ ท่านเดินผ่านมานี้ว่า อาตมาไม่มีวาสนาแล้วเวลานี้ มีลูกศิษย์เท่าไรก็ไม่สามารถที่จะระงับ หรือจะส่งเสริมวาสนาอาตมาได้ อาตมาจะไปตามบุญตามกรรมของอาตมา สะพายบาตรเดินผ่านออกไปนี้ เอ้า ทั้งหมดนี้ใครจะไปเอาท่านกลับคืนมาได้มีไหม เอ้า ว่าซิ
นิ่งหมดเลย ก็เวลานี้เหตุการณ์ยังสมควรที่จะพิจารณากันได้อยู่ ในระหว่างลูกศิษย์ทั้งหลายที่จะคุยกันเพื่อส่งเสริมครูบาอาจารย์ ทำไมจะทำไม่ได้ แล้วจะให้ครูบาอาจารย์ออกหนี ด้วยการว่าท่านมีวาสนาน้อย ในขณะเดียวกันพวกเราวาสนาเป็นยังไง นั่นซัดกัน เอากันตรงนี้ละ เอ้า ใครจะไปเอาท่านมาได้ไหม ตอนนี้ท่านยังไม่ไป เราจะพิจารณายังไง ไอ้เรื่องแม่ครัวเขาก็มาในนามเป็นลูกศิษย์ทุกคน ไปโรงไหนๆ ติดต่อโรงไหนก็ได้แม่ครัวยากอะไรเราว่า แต่ครูหาอาจารย์นี้หาได้ง่ายๆ เหรอ ซัดกันตรงนี้นะ ทีนี้ก็ลงพรึบเลย คนนี้จะไปติดต่อครัวนั้น คนนั้นไปติดต่อครัวนี้พรึบเดียวเลย เพราะเห็นโทษที่ท่านจะเตรียมของออกมาเดินฉากหน้าไปนี่ แล้วใครแม้คนเดียวลูกศิษย์เต็มวัดนี้จะไปเอาท่านกลับคืนมาไม่ได้ใช่ไหมล่ะ เวลานี้ท่านยังไม่ได้ก้าวเดิน เราจะปฏิบัติยังไงว่างั้น ลงกันทันทีเลย
แม่ครัวนี้พรึบเดียว ยังไม่ถึงสองทุ่มฟาดสองร้อยคนแล้ว พอสองทุ่มกว่าสองร้อยกว่าคน พอเก้าโมงเช้านี้ออกมาสามร้อยกว่า เรื่องราวเรียบไปเลย เพราะเห็นโทษที่ท่านจะก้าวหนีจะเป็นยังไง อันนี้มันหนักมากขนาดไหน มันยอมมันเห็นโทษ เลยพรึบเลย เรียบตั้งแต่นั้นไม่มีเรื่องกันเลย จนกระทั่งท่านได้ขยายงานออกไปอีกเป็นสามอาทิตย์ เรียบตลอดเลย ก็อย่างนั้นแล้ว ไม่พ้นละหลวงตานี้ไปไหนหากมีจนได้ อันนั้นเด็ดมากนะ จนกระทั่งอาจารย์เจี๊ยะได้มากระซิบ ท่านอาจารย์ผมพูดอะไรไม่ได้นะ เราก็นิ่งเฉย
บทเวลาเราจะพูด เอ้า ฝ่ายไหนจะพูดออกมา ทางนี้ให้เงียบหมด พอทางนั้นเสร็จเรียบร้อย เอ้า ทางนี้พูดทางนั้นให้เงียบๆ จากนั้นแล้วเราเอาสองเรื่องนี้มาประมวลกันก็ใส่ตูมไปเลย เรียบร้อยไปเลย ก็อย่างนั้นแล้ว สนิทสนมกันหรือไม่สนิทสนมกันเรากับท่านพ่อลีน่ะเข้าใจไหม เขายังว่า โอ๋ย ได้พระดีมาเทศน์ เทศน์น้ำไหลไปเลยท่านพ่อๆ ใครท่านว่างั้น อาจารย์มหาบัวอยู่วัดสถานีทดลองไง เทศน์น้ำไหล มันต้องอย่างนั้นซิ ท่านว่าเท่านั้นพอ ก็เราคุ้นกันมาสักเท่าไร พวกนี้ไม่รู้เรื่องนี่นะ ท่านมีแต่ว่า มันต้องอย่างนั้นซิ ขบขันดี วันนี้พูดเรื่องอะไรก็เลยไปใหญ่ แต่ก็เป็นคติได้ดี (โยมหริ่ง) โยมหริ่งจะพ้นได้นะ เพราะเข้าช่องแล้ว เข้าช่องจะไปแล้ว โยมทองแดงก็เหมือนกัน ตอนนั้นยัง หากจะไป ถ้าลงเข้าจุดนี้แล้วพุ่งเลย ไม่ถอย
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |