เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๔
นิสัย
ที่หัวหินวัดต้นเกด บริเวณนั้นมีวัดอยู่ตั้งสี่ห้าวัดหกวัด หมาอยากจะว่าเป็นพันนู่น วัดท่านฉลวยเขาเรียกวัดต้นเกด วัดรอบ ๆ วัดนี้อยู่สูง พวกอยู่ต่ำ ๆ เต็มไปหมดมีแต่วัด แถวนั้นมีแต่วัด รวมวัดทั่วประเทศไทยดูไม่มีที่ไหนสู้ตรงนั้นได้ รวมวัดด้วยรวมหมาด้วย หมาแต่ละวัด ๆ เป็นร้อย พอพูดถึงเรื่องหมาก็มาสัมผัสกับเรื่องของเราเข้า ตอนนั้นไปรักษาท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์เรานี่ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ รักษาที่ศิริราช เราเหน็ดเหนื่อยมากก็เลยไปพักชั่วระยะที่วัดเขาต้นเกด แต่เพียงแต่ว่าพักหนา มาพักตอนกลางคืน ตอนกลางวันอยู่ฟากเขาทางโน้น ภูเขามาวัดนี้ออกหัวหิน เราอยู่ทางฟากโน้นมันไม่มีบ้านคน เป็นป่าพวกไม้ไผ่ ทีนี้เราคิดจะซักผ้าเลยเดินไป มันเป็นร้านมีแก่นขนุนวางอยู่ข้างบน เราไปเลือกดูแก่นขนุนที่จะต้มน้ำซักผ้า
มีเณรหนึ่งอยู่นั่น พอเราไปก็เลยพาเณรมาดูแก่นขนุน หมาตัวหนึ่งมันนอนอยู่ใต้นั้น คือมันเป็นร้านสูงขนาดนี้ ข้างบนนี้แก่นขนุน หมานอนอยู่ข้างใต้ เราก็ไม่สนใจกับหมากับอะไร พอเราดูแก่นขนุนท่อนนั้นท่อนนี้เป็นท่อน ๆ แล้ว หมาตัวนี้ก็เลยวาก ๆ มาใส่เรานี่ เราเดินไปนี่ เณรก็ไปด้วยกัน หมาตัวนี้โวกวากเข้าใส่เรา ใกล้ ๆ เรานี่ เราก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะกับหมามันถูกกันตลอดเวลา ไม่ได้คิดว่าหมาจะเป็นภัยอะไรกับเรา ไปไหนเหมือนกันหมดนะ พอโวกวากมานี่ ธรรมดาก็ตื่นเท่านั้นแหละ แต่เรามันเฉย มันโวกวากมา ทางเณรนั้นเคยกับหมาตัวนี้แล้ว เป็นไง ๆ มันกัดไหมเข้าไหม โอ๋ย ไม่ได้กัด มันกัดคนไหม โถ เก่งมาก แล้วทำไมเขาเลี้ยงมันไว้ มันมากัดพระทำไม เราก็เป็นพระ อู๋ย นิสัยมันอย่างนี้ แม้แต่พระที่แปลกหน้ามันก็รู้ ที่มันโฮกฮากใส่ท่านนี้คือมันรู้แล้วว่าไม่ใช่พระในวัดนี้ว่างั้นนะ เราก็ไม่สนใจ พูดแล้วยังหาแก่นขนุนอีก เขาก็อยู่นี้ละ ติดตามดูเราอยู่ตลอด
พอเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ว่า เณร เณรรักหมาตัวนี้ไหม โอ๋ย รัก เลี้ยงมา เขารักผมมาก ถ้าเณรรักหมานี้ต้องระวังหมาตัวนี้ให้ดีนะ ถ้ากัดเรานี้มันตายนะหมาตัวนี้ ถ้าลงกัดเรายังไงมันจะพ้นไปไม่ได้มันต้องตายหมาตัวนี้ แม้แต่ไม่กัดเรามันก็จะตายอยู่แล้วเราว่าอย่างนี้ มีพัก ๆ โอ๊ย ตั้งแต่นั้นเรานี้แสนสบายนะ เราเดินไปไหนเณรวิ่งดัก ๆ กลัวหมาจะไปกัดเรา กลัวหมาแกจะตาย ตั้งแต่นั้นมาเราแสนสบายเลย ไปไหนเณรเป็นตำรวจดัก เขาก็ไม่มีอะไรแหละหมาตัวนั้นกับเรา ก็เท่านั้นแหละ แต่เณรรักหมากลัวหมาจะตาย เพราะเราบอกว่าเณรต้องระวังนะหมาตัวนี้ ชี้ไปที่หมาด้วยนะ ถ้าลงกัดแล้วมันต้องตายนะหมาตัวนี้เราว่าอย่างนี้นะ แม้แต่ไม่กัดเรามันก็จะตายอยู่แล้ว ยิ่งกัดเราแล้วยิ่งแม่นยำเราบอกอย่างนี้นะ โห ตั้งแต่นั้นมาเอาละเณร มันขบขันแท้ ๆ คนหนึ่งพูดเล่น คนหนึ่งเอาจริงเอาจัง
เณรเอาจริงเอาจังมากนะ คือกลัวหมาแกจะตาย เรานี่พูดเล่นกับเณร เล่นกับหมาเข้าใจไหม จากนั้นมาเราเดินลงจากกุฏิ กุฏิเราก็เตี้ย ๆ อยู่ลึก ๆ แกดูจะมองดูแต่เรา แกกลัวหมาแกตาย มันเลยขบขันใหญ่นะ นี่เราพูดถึงเรื่องไปอยู่ทางเขาทางโน้น ไม่มีบ้านคนเลย ไม่มีเลยจริง ๆ หลังเขาไปทางโน้นแล้วไม่มี ทางนี้ก็มีแต่วัด เราไปอยู่ที่นั่นสบาย ๆ พอฉันเสร็จแล้วสะพายย่ามแล้วไปเลย หายเงียบ ๆ มันมีร่มไม้ใหญ่ ๆ อยู่ มีกระต๊อบเล็ก ๆ อยู่ใต้ร่มไม้สำหรับพระกรรมฐานท่านไปภาวนา เราไปอยู่นู่นสบาย ๆ หัวหินนี้ ฟังแต่ว่า ๐๕ เป็นไร นานไหม ๐๕ จน ๔๔ เกือบ ๔๐ ปีตั้งแต่ปี ๐๕ ที่เราไปพักภาวนา พูดถึงเรื่องหัวหิน หมาเยอะจริง ๆ ทุกวัด ๆ เสียงเห่านี้อึกทึกเลยนะ
วัดที่เราไปอยู่วัดเขาสวนเกด หมานี้ ๓๐ ตัว อยู่ในวัดนี้มี ๓๐ ตัว เราขบขันที่เณร เณรมันเอาจริงเอาจัง ขอแต่เราลงจากกุฏิเถอะ เณรจะวิ่งโน้นวิ่งนี้มองดูหมากลัวหมา เพราะเราพูดมีท่าให้กลัวมันก็กลัวใช่ไหม ท่าก็หลายท่า เขาเล่นลิเก ละคร ท่าร้องห่มร้องไห้ ท่าหัวเราะ เขามีทั้งนั้นใช่ไหม นี่ท่าขู่เณรเข้าใจไหม ตั้งแต่นั้นมาเราออกจากกุฏิทีไรเณรจะวิ่งปั๊บแล้วมองโน้นมองนี้มองหาหมาแก กลัวหมาจะมากัดเรา คือกลัวหมาแกตาย ขบขัน พูดถึงเรื่องไปภาวนา ไปเที่ยววัดนี้แล้วก็พูดถึงเรื่องภาวนาทางด้านโน้น โอ๊ย แย้เต็มไปหมดบนหลังเขาไหล่เขาทั่วไปหมด แย้ ยั้วเยี้ย ๆ แย้ชุมจริง ๆ แถวนั้นไปที่ไหนเหมือนกันหมด ไม่มีใครไปแตะไม่มีใครไปยุ่งนะ เขาอยู่ลำพังเขา เราเดินไปดู โห แย้พิลึกพิลั่นนะ มากจริง ๆ โน้นตั้งแต่ปี ๐๕ นะ มันไม่ค่อยมีหมู่บ้านคนนี่ บิณฑบาตก็ลงไปทางสถานีรถไฟทางโน้น
เมืองกาญจน์นี้ก็วัดอะไรอยู่ทางด้านทิศเหนือโน้น นี่ก็เหมือนกันสงัด ตอนนั้นไปกับสมเด็จพระสังฆราช คือท่านพักอยู่วัดเหนือ เป็นวัดเดิมของท่าน พักอยู่วัดเหนือ ท่านนิมนต์เราไปในงานโยมมารดาท่าน ไปเผาศพโยมมารดาท่าน ท่านนิมนต์เราไป แล้วท่านนิมนต์เราเป็นองค์แสดงธรรมด้วยเราถึงได้ไป ไปพักอยู่หลายคืนเหมือนกัน ท่านทรงเป็นเจ้าภาพมารดาของท่าน คนเคารพนับถือมาก งานจึงเป็นไปหลายวัน นั่นละตอนเรามีโอกาส ไปงานของท่าน งานของเราอยู่ในป่า จึงได้สนุกเที่ยวดูป่าแถวนั้น โฮ้ ภาวนาดี เราไม่ได้มาหาท่านแหละ ไปสักแต่ว่าไป ถึงเวลาแล้วก็ลงมาเท่านั้นแหละ มาเทศน์มาอะไร มีสองครั้งสามครั้งที่เรามาเกี่ยวข้อง นอกนั้นเราไม่มา ก็เป็นภาระของท่านเอง ธุระของท่านเอง เราไม่ยุ่งท่าน ถึงได้สนุกภาวนา
วัดนี้เป็นฐานหนึ่งของที่ภาวนาสะดวกสบาย เข้าไปในป่านี้สบายไปหมดเลยนะ นี่หมายถึงเมืองกาญจน์ เป็นป่าเป็นเขา ตัวเมืองจริง ๆ ห่างไกลกันอยู่ นั่นละที่มันสงัดวิเวกดี ตอนที่เรามีโอกาสบ้างก็ตอนตามเสด็จสมเด็จพระสังฆราช ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช กับเราสนิทสนมกันมาก เพราะเคยอยู่ด้วยกันมาแล้ว สนิทกัน เราไปพักวัดบวรฯ แรก ๆ ก็ไปพักกุฏิท่าน ท่านนิมนต์ให้พักกุฏิท่านให้อยู่ชั้นบนเลย ท่านนิมนต์เราขึ้นชั้นบนเราไม่ขึ้น จากนั้นมาแล้วเราจะพักคณะไหน ๆ วัดบวรฯ เราก็พัก พอท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชแล้วเราก็ไม่ได้ไปกราบเยี่ยมท่านเลย ถ้าหากว่าพูดตามทางโลกแล้วเรียกว่าเรานี้ถือเนื้อถือตัว เย่อหยิ่งจองหอง แต่ภายในใจของเราแล้วไม่มี เราเคารพท่านตลอดมา
ที่ไม่ไปก็เพราะว่า ปรกติท่านมีพระภาระมากมายอยู่แล้ว แม้เราเพียงตัวเท่าหนูงานของเราก็ไม่เคยว่าง ไหนอาจารย์มหาบัวจะมาเยี่ยมแล้วจะยุ่งใหญ่ใช่ไหมล่ะ เพราะไปหาท่าน ไม่ไปกราบเรียนท่าน ปุบปับเข้าไปเลยก็ไม่เหมาะ ก็เสียอีกทางหนึ่ง ถ้าจะกราบเรียนท่านแล้วค่อยเข้าไปก็เสียอีกทางหนึ่ง สุดท้ายเลยไม่ไป ไม่ไปเลยนะตั้งแต่ท่านเป็นสังฆราชแล้วไม่ไป ท่านมาที่นี่นะ ท่านมางานกุมภวาปี ออกจากนั้นท่านเสด็จบึ่งมาเลยบอกว่าจะมาวัดป่าบ้านตาด ออกจากนี้ดูว่าขึ้นเครื่องบินกลับเลย ท่านยังอุตส่าห์มาท่านเป็นสมเด็จสังฆราชแล้วนะ เราเป็นฝ่ายถือตัว เลยไม่ได้ไปหาท่านเลยจนกระทั่งป่านนี้ ท่านเคยมาภาวนาที่นี่แต่ก่อนที่ท่านยังไม่ได้เป็นสมเด็จสังฆราช สมัยนั้นสมเด็จพระสังฆราชท่านยังทรงพระชนม์อยู่ กรมหลวงวชิรญาณวงศ์น่ะ ท่านก็มีโอกาสมาล่ะซิ มาพักอยู่กับเราทีละไม่น้อยกว่าสิบแหละท่านมาแต่ละครั้ง ๆ
นั่นละคำว่าสนิทกัน สนิทมากมานาน ก่อนนี้อีกด้วยนะ ท่านเป็นพระที่สุขุมมาก เราอยากจะพูดว่าท่านดุใครไม่เป็น ไม่เคยเห็นท่านดุใครเลยนะ เรานี้ไปที่ไหนมันต้องได้สะพายยาทันใจติดย่ามไปด้วยแก้ปวดหัว วันไหนไม่มีอะไรดุแล้ววันนั้นปวดหัว ต้องงัดยาทันใจออกมาฉันเพื่อระงับปวดหัว มันไม่ได้ดุ วันนี้ปวดหัวมากเข้าใจไหม ต้องมียาทันใจติดย่ามไปด้วย ไปทั้งมองโน้นมองนี้ไม่เห็นอะไรก็คว้าเอายาทันใจออกมาฉันแล้วก็เดินไป พอไปเจออะไรเข้าไปนี้เวิกวากแล้วยาทันใจก็สบาย นอนหลับ มันคนละแบบเราน่ะ ท่านแบบหนึ่ง ถ้าท่านดุแล้วท่านก็คงจะปวดหัว เราไม่ได้ดุเราปวดหัว นี่มันต่างกันนะนิสัยคนเรา มันต่างกัน มันหากเป็นตามนิสัยนะ ไม่ต้องมีท่ามีทางตั้งโปรกงโปรแกรมอะไรไว้เรื่องดุไม่ดุ ท่านไม่เคยดุท่านก็เป็นของท่านอย่างนั้น ไอ้เราเคยดุเราก็เป็นของเราอย่างนี้ แม้ที่สุดนอนก็ต้องเอาย่ามมัดติดคอไว้ บางทีหนูมาครอกแครกนี้ดุหนูล่ะซี ถ้าไม่ได้ดุหนูมันก็ปวดหัว อย่างนั้นละเรา มันเป็นนิสัยคนละอย่าง ๆ
อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้อันนี้จับไม่ได้เลย เราอัศจรรย์อันนี้นะ ว่าท่านหนักในทางไหน ๆ จับไม่ได้เลย หลวงปู่มั่นเรานี่ เราจึงเทิดท่านสุดหัวใจเรานะ ไปอยู่กับท่านเป็นเวลาตั้ง ๘ ปี เข้าไปอยู่ทีแรกจนกระทั่งท่านมรณภาพรวมแล้วก็ ๘ ปี ไม่เคยเห็นความเคลื่อนคลาดในหลักธรรมหลักวินัย แม้ที่สุดกิริยานิสัยว่าท่านจะหนักไปทางไหน จับไม่ได้เลยนะ นี่จึงว่าจอมปราชญ์สมัยปัจจุบัน เราพูดจริง ๆ เราเป็นนักล่าพระทั่วประเทศไทย นักล่าครูนักล่าอาจารย์ ครั้นแล้วก็มาอยู่จุดนี้หมดเลย จุดหลวงปู่มั่นเรา เทิดสุดยอดเลย ถ้าว่าตายก็ตายเลยเทียว
สมมุติว่ามหาองค์นี้มันโง่จะตายมันอยู่ให้หนักแผ่นดินทำไม ไปตายเสีย ทางนี้กราบเรียนถามเลย เอาเมื่อไรว่างั้นเลยนะ นั่นดูซิน่ะ ความเสียสละ ความเทิดทูนนะ ท่านบอกให้ตายเสีย มันอยู่หนักแผ่นดินเขา คนทั้งโลกเขาฉลาดพอเป็นพอไป โง่ที่สุดคือพระองค์นี้ จะเรียกว่ามหาบัวมันก็ไม่สนิท ถ้าเรียกหมาบัวนั้นถูกต้อง เรายิ่งหมอบเลย เข้าใจไหมล่ะ นี่คือความลงใจ คือสุดยอดแล้วกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น แหม สุดจริง ๆ นะเรา พูดทีไรไม่มีคำว่าอิ่มพอ ไม่ทราบเป็นยังไง สด ๆ ร้อน ๆ อยู่เหมือนท่านอยู่กับเรา เราอยู่กับท่านตลอดเวลา เรื่องความเทิดทูนจึงสุดหัวใจ
พูดถึงเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้เราไม่มีคำว่าอิ่มพอนะ มันดูดมันดื่มมันซาบมันซึ้งทุกอย่างเลย ด้วยการประมวลมาหมดที่สัมผัสสัมพันธ์กับท่านเป็นเวลา ๘ ปี ไม่มีอะไรที่จะจับได้เลยว่าท่านหนักทางนั้น นี่เป็นอย่างน้อยนะ นิสัยท่านหนักทางนั้นไม่มีเลย อย่าว่าแต่พูดถึงเรื่องธรรมวินัยเลย อันนี้ไม่มีเคลื่อนคลาดเลย เพราะต่างคนต่างเรียนมาก็รู้ด้วยกัน เฉพาะอย่างยิ่งเป็นของตัวเองของทุกคนเรื่องนิสัยนะ นิสัยเป็นของตัวเป็นสมบัติของตัวทุกคน ๆ ท่านมีสมบัติอะไรที่ท่านจะนำออกมาแสดงเหมือนทั้งหลาย ทั้งประชาชนโลกทั่วไป ทั้งพระทั้งเณร ครูบาอาจารย์ ต้องเอานิสัยของตัวเองออกใช้ตลอดไป นิสัยเป็นของดั้งเดิม
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงรับสั่งว่า การละนิสัยวาสนานี้ไม่มีใครละได้ สำหรับพระพุทธเจ้าละได้พระองค์เดียว ฟังซิ นอกนั้นละไม่ได้ ต้องใช้นิสัยเดิมของตัวเอง นี่ละนิสัยเดิมที่จะออกในแง่ไหนบ้าง ท่านหนักทางไหนเราจับไม่ได้เลยนะ นี่อันหนึ่ง โอ๊ย ละเอียดลออทุกอย่าง เราก็เห็นองค์นี้ละที่ผ่านมานะ ตานี้ แหม พูดไม่ถูกทุกอย่างนะ ตาพูดก็สาธุเราไม่ได้ประมาทนะ คือตาไก่ป่ามันตาดีเข้าใจไหม ตาแหลมตาคมคือตาไก่ป่า พวกไก่ป่านี้ตาดี ท่านเป็นอย่างนั้น แพล็บ ๆ ๆ หูก็ดีตาก็ดี ทุกอย่างดีหมด อวัยวะสำหรับเครื่องใช้ของท่านไม่ค่อยชำรุดนะ หลง ๆ ลืม ๆ ก็ไม่มี จึงว่าหาที่ต้องติไม่ได้ แม้นิสัยเป็นเรื่องของขันธ์เรื่องของสมมุติยังจับไม่ได้เลย ท่านละเอียดลออเสียทุกอย่าง
แต่เวลาพูดให้ท่านหัวเราะได้ก็มีแต่เรานะแปลกอยู่อันหนึ่ง มันหากมีของมันนั่นแหละนิสัยบ้าอันนี้น่ะ แหย่นั้นแหย่นี้ บางทีก็มีอะไรล่อเข้ามาปั๊บ ท่านหัวเราะขึ้นทันทีก็มี มีแต่เราเท่านั้น ดุก็ฟาดลงนี้ หยอกเล่นก็อยู่นี้ เวลาท่านดุเรานี่ตัวเบอร์หนึ่งแหละ ท่านดุนี้รู้สึกจะไม่มีใครเกินเรา ที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นดุนะ มีเรื่องขบขันก็เรานี่ละแหย่ให้ท่านหัวเราะ มันหากเป็นของมันอยู่งั้นแหละ นี่พูดถึงเรื่องครูบาอาจารย์ที่เยี่ยมยอดที่สุดในสมัยปัจจุบัน เฉพาะอย่างยิ่งวงกรรมฐาน เรายกให้เลิศเลยเทียว ขนาดอยู่ด้วยกัน ๘ ปีจับอะไร ๆ ที่ว่ามีความผิดปรกติบ้างเล็กน้อย หรือว่านิสัยท่านหนักไปทางไหนไม่มีเลย นี่สำคัญมากนะ คนหนึ่งมีอย่างหนึ่ง ๆ จับจนได้ ไม่จับมันก็ได้มันก็รู้มันเด่นอยู่แล้วละ มันเด่นอยู่ในนิสัยของคนนั้น เป็นสมบัติของคนนั้นออกมาจ่ายตลาดมันก็เห็นล่ะซี อยู่เฉย ๆ ก็ไม่เป็นไร เวลาออกจ่ายตลาดนิสัยมันก็ออกไปด้วย สำหรับพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ไม่มี
พูดอย่างนี้ก็ไม่ลืมท่านอาจารย์หลุย นั่นก็นิสัยท่านอาจารย์หลุย กับเราสนิทกันมากขนาดนั้นละ เราเดินจงกรมอยู่ในป่าลึก ๆ กลางคืนมืด ๆ เพราะปรกติเราไม่เคยจุดไฟแต่ไหนแต่ไรมา จนกระทั่งทุกวันนี้เราก็ไม่เคยจุด นี่ก็เป็นนิสัยอันหนึ่งเหมือนกัน ไปอยู่คนเดียวก็ไม่จุด ยิ่งกับหมู่กับเพื่อนแล้วแม้เดินจงกรมก็ไม่ให้เห็นนะ เป็นนิสัยอะไรชอบกลอยู่ ถ้าพูดภาษาของโลกเขาเรียกว่า ถ้ามีใครเห็น เช่นเสือมันไปเที่ยวหากินมีใครไปเห็นมัน มันถือว่าเสียความขลังแล้ววันนั้นนะ ไอ้เรามีคนมาเห็นเราเดินจงกรมนี้เสียความขลัง มันหากลักษณะอย่างนั้นละ เพราะฉะนั้นการทำความเพียรของเรา พระเณรทั้งหลายนี้อาจจะเข้าใจเป็นจำนวนมากว่า อาจารย์มหาบัวไม่เห็นเดินจงกรม
นู่น เดินอยู่ในป่านู่น ไม่ให้เห็นเลย นั่นเราเป็นอย่างนั้น ถ้ากลางคืนพระเงียบหมดแล้วถึงค่อยด้อมลงมา ลงมาก็ไม่จุดไฟ พอก้าวลงแล้วเท่าไรกี่ชั่วโมง เป็นอย่างนั้นนะ พอเห็นไฟแพล็บ ๆ ขึ้นกุฏิแล้วหนีแล้วเข้าห้องแล้วไม่เห็น กลางคืนก็ไม่เห็น กลางวันยิ่งแล้ว นู่นอยู่ในป่าลึก ๆ นี่พูดถึงเรื่องการเดินจงกรมกลางคืน ทีนี้เราก็เดินจงกรมอยู่ในป่าลึก ๆ กลางคืน เสียงกุบกับ ๆ เข้าไป เอ๊ ใครมานี่ผิดเวลา คือตามธรรมดาเราพูดตามความจริงพระเณรกลัวเราอยู่มากนะ กลัวรองพ่อแม่ครูจารย์มั่นลงมา เพราะสัมผัสสัมพันธ์กันตลอดเวลาจึงต้องกลัวเรามากล่ะซี จี้กันเลยซัดกันเลย อันนี้กุบกับ ๆ เข้าไป เอ๊ ใครมา เราก็ไม่ได้คิดเรื่องราวอะไร เราสะดุดไปถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่นเลย
เอ๊ะ หรือพ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่สบาย พระเณรมาตามเราหรือไง เข้าไปใกล้ ๆ ประมาณต้นเสากับนี้ บุกเข้าไปในป่านู่น ใครมานี่เราว่างั้นนะ ผมเองว่างั้นนะ ท่านบอกผมเอง พอไปจับคว้าได้แขนเราแล้วจูงมาเลย จะเอาไปไหน จะพาไปฟังเทศน์ล่ะซิ อู๋ย จูงไม่ถอยนะ ลากออกมาเลย อย่างนั้นละความสนิทกัน อ้าว ก็เมื่อคืนนี้ผมไปครูจารย์ทำไมไม่เห็นไป ก็นั่นซี ผมไม่ได้ไปถึงเอาท่านมหาไป ไปแต่ท่านอาจารย์ไม่ได้หรือ โอ๊ย ไม่ได้เดี๋ยวท่านไล่ลง แล้วจูงเรื่อยนะ จนกระทั่งมาถึงที่โล่ง ๆ ถึงปล่อยมือแล้วคุยกันไปเรื่อย นี่พูดถึงเรื่องความสนิท นิสัยของท่านก็เป็นอย่างนั้น
ท่านชอบอย่างนั้นละกับองค์ไหนก็เหมือนกัน พวกหมู่เพื่อนที่สนิทของท่านท่านทำอย่างนั้นละ ถ้าเป็นพวกไล่เลี่ยกันที่สนิทสนมกันเป็นอย่างนั้นละ กับองค์ไหนก็เหมือนกัน นี่เรียกว่านิสัย เป็นของตัวเอง เวลาออกมาเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กันก็จับกันได้รู้กันได้นิสัยอย่างไร เป็นนิสัยอย่างนั้นหลวงปู่หลุย คนละองค์ ๆ เป็นนิสัยของตัวเอง ๆ ไม่ได้ไปเอาจากใครละ หากเป็นของตัวเองออกมาจนได้
สำหรับเรานี้ถ้าว่าก็ขึ้นปั๊บ เรียกว่า ลิงเป็นที่หนึ่ง แมวเป็นที่สอง ตบก็เร็ว เล่นก็เร็ว สำหรับเราจะว่านิสัยหรือไม่ว่านิสัยก็ตาม จะให้เอาลิงมามัดติดคอเรา ทั้งแมวมามัดติดหน้าอกอย่างนั้นหรือถึงจะบอกว่าเรามีนิสัยอย่างนั้น ถ้าใครไม่รู้ก็ทราบเสีย ลิงกับแมวมันมาด้วยกัน ตบก็เร็ว ลิงปั๊บ ๆ เร็วเหมือนกัน นี่เป็นนิสัยอันหนึ่ง ไม่ได้คิดนะมันหากเป็นของมันเอง อะไร ๆ นี้มันจะไปของมัน ยิ่งทุกวันนี้ด้วยแล้วไปอีกแบบหนึ่งนะ อันนี้คาดไม่ได้เลย เราพูดจริง ๆ ไม่ใช่คุยนะ แต่ก่อนก็เป็นนิสัยอย่างนั้นอยู่แล้ว เป็นนิสัยชอบซอกแซกคิดอ่านไตร่ตรอง เรื่องราวอะไรสังเกต
เพราะฉะนั้นเดินทางไปสายไหนก็ตาม พอแวะจากนี้ไปนั้น ทางนี้กิโลที่เท่าไรมันจับไว้แล้ว ๆ ตลอด ด้วยเหตุนี้เองไปที่ไหนจึงรู้ไปหมด ทางแยกกิโลที่เท่าไร ๆ แล้วกินของเก่านั่นละนะ ทุกวันนี้ถึงจะสังเกตก็จำไม่ได้ แต่ก่อนสังเกตด้วยจำได้ด้วย ไปที่ไหนรู้หมด ระหว่างทางแยกไปไหนมาไหน กิโลที่เท่าไร ๆ นี้จำได้หมด อันนี้เป็นนิสัยอันหนึ่งเหมือนกัน อย่างทุกวันนี้เรื่องสังเกตนั้นไม่มีปัญหาอะไร แต่เรื่องความจำที่จะจำเอาจากความสังเกตนั้นไม่ได้แล้วเดี๋ยวนี้ หายหมดแล้วแหละ กินแต่ของเก่า ไปไหนกินแต่ของเก่า นี่พูดถึงเรื่องนิสัย
แต่เราทุกวันนี้เราพูดจริง ๆ เราไม่ใช่โอ้อวดนะมันเลยจากนั้นมาแล้ว ไม่ทราบพูดอะไรถึงจะถูก เจ้าของเองก็พูดเจ้าของไม่ถูกนะ แต่ไม่สงสัยเจ้าของ ไม่ว่าอะไรมันหากเป็นของมันเอง พูดให้มันชัดไปเลยมันจวนจะตายแล้ว นอนอยู่ในรถนี้ร่างกายเหมือนขอนซุง หัวใจมันเหมือนเมื่อไร พูดอย่างนี้มันไม่ได้เหมือนนะหัวใจ มันหมุนของมันอยู่ตลอดเป็นหลักธรรมชาติของมันเอง ควรจะสัมผัสสัมพันธ์เรื่องอะไร ๆ ไม่ต้องมีใครบอกแล้วไม่ต้องถามใคร เจอเข้าพับเข้าใจทันที ๆ เลย นี่พระพุทธเจ้าว่า สนฺทิฏฺฐิโก ทั้งเรื่องความรู้เองเห็นเองในสิ่งภายในเกี่ยวกับกิเลส ทั้งสิ่งภายนอกที่เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์หัวใจนี้เป็น สนฺทิฏฺฐิโก ด้วยกันทั้งนั้นไม่ต้องถามใคร
กิเลสตัวไหนเป็นยังไง ๆ สติปัญญาที่จะมาฟัดมาเหวี่ยงกันก็เป็น สนฺทิฏฺฐิโก แก้กิเลสได้มากน้อยเพียงไรเป็น สนฺทิฏฺฐิโก เป็นหลักธรรมชาติอันหนึ่ง ทีนี้จิตอันนี้ที่มันจะรู้จะเห็นสิ่งใดเข้ามาสัมผัสสัมพันธ์ก็เป็น สนฺทิฏฺฐิโก ไม่ต้องไปถามใคร นี่ละหลักธรรมชาติที่ปฏิบัติจริง ๆ พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น เราไม่ได้วัดรอยนะ ฐานใหญ่พระพุทธเจ้ารู้อย่างนั้น ฐานเล็กที่บรรดาสาวกทั้งหลายผู้มีอุปนิสัยสามารถหรือเชี่ยวชาญในทางไหน จะรู้ไปตามนิสัยของตัวเองไม่ต้องไปถามใครนะ มันหากพอดิบพอดีกับผู้นั้น ๆ จะเป็นไปเอง ๆ มันเป็นเองนี่นะ
เพราะฉะนั้นถึงพูดว่า บาปนรกอเวจีเปรตผีสัตว์อะไรเหล่านี้ไม่มีถึง แหม สะเทือนใจมากนะ โถ ตาบอดยังมาอวดพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ อวดพระสงฆ์สาวกผู้มีความเชี่ยวชาญทุกพระองค์ไปได้อย่างหน้าด้าน มันสลดสังเวชถึงขนาดนั้นนะ เทวดาไม่มี โอ๊ย สะเทือนมากนะ ในเมืองไทยของเรานี้ยกเอายันกันเลยนะ ยกเอาความจริงไม่ต้องยกเอาภาพพจน์มาตีหน้าผากกันแหละ เพราะภาพพจน์ของพวกกายทิพย์นี้ไม่มีภาพพจน์หยาบ ๆ เหมือนอย่างมนุษย์ขี้เหม็นเรานี่ พวกเรามีทั้งคนมีทั้งขี้ วาดภาพไม่วาดภาพมันก็เห็นอยู่ทั้งคนทั้งขี้อะไร แต่เทวบุตรเทวดาวาดไม่ได้ซี เห็นประจักษ์อยู่ในหัวใจนี้ก็วาดไม่ได้ เพราะไม่มีสิ่งหยาบ ๆ อย่างนี้
อันนี้เราก็มาเอาหยาบ ๆ ทั้งสดทั้งขี้นี้อวดว่ามีแต่มนุษย์ เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมไม่มีนี่ซิมันสำคัญนะ ผู้ที่ท่านรู้ท่านเห็นท่านไม่ใช่คนตาบอดอย่างนี้นี่นะ เอาไปอวดท่านหาอะไร มันน่าสลดสังเวชไหมพิจารณาซิ โห พิลึกพิลั่น เทวดาเพียงสวรรค์ชั้นเดียวมากกว่ามนุษย์เราในแดนโลกอันนี้ เรียกว่าในแดนมนุษย์เรานี้เท่าไร มนุษย์เรานี้มีคนกี่ล้านคนยังอยู่กันได้สบาย เทวดาเพียงสวรรค์ชั้นเดียวเท่านั้นมากกว่านี้ขนาดไหน ฟังซิ เราไม่ต้องพูดนรก เทวดาซึ่งสัตวโลกทั้งหลายจะผ่านไปได้มีจำนวนน้อยมากก็ยังมากขนาดนั้น มากกว่ามนุษย์ของเราที่เต็มอยู่ในแผ่นดินนี้ บ่นอื้อกัน มีแต่กองฟืนกองไฟเผาหัวใจกันตลอดเวลา แล้วมันเด่นที่ไหนมนุษย์ เด่นที่ไฟมันเผาหัวอกเท่านั้นเอง
แต่งตัวหรูหราฟู่ฟ่าเทวดาสู้ไม่ได้นะ ทุกสิ่งทุกอย่างหรูหราฟู่ฟ่าไม่มีใครเกินมนุษย์ แต่ความเลวร้ายหรือความเป็นฟืนเป็นไฟไม่มีใครเกินหัวใจมนุษย์เผามากที่สุด ยิ่งมีคนเสกสรรปั้นยอว่าเป็นใหญ่เป็นโตด้วยแล้ว นั้นละคือส่งเสริมไฟให้มันแสดงเปลว อะไรก็แสดงเปลวไปตาม ๆ กันหมด ยศก็ใหญ่ ไฟก็ใหญ่ ทิฐิมานะสูงเท่าไรไฟก็ยิ่งไหม้เข้าไปเรื่อย ว่ามั่งมีศรีสุข เรียนได้ชั้นนั้นชั้นนี้เท่าไรเพิ่มไฟ ๆ มันไม่ได้เพิ่มคุณธรรมนะ เพราะวิชาเหล่านี้เป็นวิชาของกิเลส เพิ่มมาเท่าไรก็เหมือนกับเพิ่มเชื้อไฟเผาหัวใจคนนั่น ความจริงเป็นอย่างนี้
เทวดาท่านไม่ได้มีความทุกข์ยากนี่นะ เรื่องความทุกข์ประจำหัวใจนั้นมีด้วยกันแต่ไม่มีแบบมนุษย์ขี้เหม็นนี้ พินาศฉิบหาย ฆ่าฟันรันแทงกันก็เพราะตัวฉิบหายภายในหัวใจระเบิดออกมานั่นเองมันเผากันเวลานี้ เทวดามีเผากันที่ไหน แล้วยังไปปฏิเสธว่าเทวดาไม่มี มันลบจริง ๆ นะลบศาสนาเวลานี้ อันไหนที่เป็นของจริง พระพุทธเจ้าแสดงไว้แบบเดียวกันหมดฟังซิ ไม่มีเคลื่อนคลาดนะ พระพุทธเจ้าพระองค์ใดสอนไม่เคยเคลื่อนคลาดจากกัน ว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้นทุกกระเบียดเลย เพราะรู้อย่างเดียวกันทุกกระเบียด เห็นอย่างเดียวกันทุกกระเบียด สอนมาก็ต้องเป็นแบบเดียวกันทุกกระเบียด ทีนี้กิเลสทุกกระเบียดของมันมีแต่ตัวจอมปลอม มันลบไปหมดตลอดเวลา ให้จำเอานะอันนี้นะ ไม่งั้นจมนะพวกเรา เชื่อแต่กิเลส ๆ ครูบาอาจารย์เทศน์ให้ฟังไม่ยอมฟัง
นี่เราพูดถึงเรื่องความสัมผัสสัมพันธ์ของจิตใจมันของเล่นเมื่อไร คาดไม่ได้นะ วิสัยของความรู้ คือใจเป็นธรรมชาติเป็นนักรู้ สิ่งใดที่มาสัมผัสสัมพันธ์อันเป็นสิ่งที่คู่ควรกันแล้วปิดไม่อยู่ มันจะสัมผัสสัมพันธ์ของมัน มันจะรู้ของมันทะลุ ๆ ดินฟ้าอากาศเหล่านี้ไม่มีความหมายนะ เพราะอันนี้เป็นต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศ ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีความรู้ความหลงอะไรอยู่ในนี้ ไม่มีในตัวของมันไม่มีความหมาย เพราะฉะนั้นจิตจึงไม่ได้มาสนใจอันนี้ พุ่งสิ่งที่มีความหมายสัมผัสสัมพันธ์กันได้ จิตวิญญาณนี้สำคัญมากเป็นอันดับหนึ่งเลยนะ จิตวิญญาณไม่ว่าของสัตว์ของบุคคลของเปรตของผีของสัตว์นรกอเวจี สวรรค์ชั้นพรหม ประสานกันได้ทั้งนั้น นี่วิสัยของจิตเข้าใจไหมล่ะ รู้อย่างนั้น เหล่านี้ไม่มีความหมาย
ท่านจึงว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โลกนี้มันว่าง คือโลกอันนี้โลกที่โลกติดกันนี่น่ะ วัตถุที่โลกมันติดกัน ติดเขาติดเราติดหญิงติดชายติดทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ติดโลกวัตถุนี้ทั้งนั้น ท่านจึงบอกว่าเปิดออกหมดว่างไปหมดไม่สัตว์มีบุคคล เขาไม่รู้ว่าเขาเป็นสัตว์เป็นบุคคล ไม่รู้ว่าเป็นต้นไม้ภูเขา เราไปให้ความหมายเขาต่างหาก แล้วเราก็ไปติดพันกับเขาดีใจเสียใจกับเขาต่างหาก ให้ถอนตัวออกมา ทิฐิว่านั้นเป็นต้นไม้ นี้เป็นภูเขา นั้นเป็นเขานี้เป็นเรา เหล่านี้เป็นอัตตานุทิฏฐิ อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ ถอนอัตตานุทิฏฐิความเห็นว่าตนว่าตัวเสีย เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา จะพึงข้ามพ้นจากพญามัจจุราชเสียได้นั่น ทีแรกก็ขึ้นว่า สุญฺญโตโลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต อันดับที่สองมาก็อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา จากนั้นก็ เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ ดูก่อนโมฆราชเธอจงมีสติทุกเมื่อ ฟังซิสติ เธอจงมีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิความเห็นว่าตนว่าตัวเสีย จะพึงข้ามพ้นจากพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชจะมองไม่เห็นผู้พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่าอยู่อย่างนี้
พระพุทธเจ้าท่านว่างมาเท่าไร ตั้งแต่ขณะเวลาท่านตรัสรู้ว่างหมด เหล่านี้ไม่มี ว่างไปหมดไม่มากีดขวางพระทัยท่านได้เลยละ ท่านว่างไปหมด นี่ละท่านเอามาสอนเพราะเวลานั้นมาณพโมฆราชยังติดยังพันอยู่นี้ ท่านจึงเปิดออก อย่าไปยึดไปถือนี้ให้ถือเป็นของว่างไปหมด ผ่านไปเลยความหมายก็ว่างั้น นั่นว่างไปหมดเห็นไหมล่ะ ท่านสอนท่านถอดออกมาจากหัวใจมาสอน มันมีอะไรเป็นตนเป็นตัวของโลกอันนี้ มันตื่นบ้ากันเฉย ๆ จิตมันทะลุไปหมดแล้วว่างเลย ที่มันไม่ว่างก็คือหัวใจปิดตันตัวเองนั่นเอง อะไรก็ปิดตันหมดถ้าลงหัวใจปิดตันตัวเองแล้วนะ ถ้าหัวใจเปิดโล่งตัวเองแล้วไม่มีอะไรปิดได้ในโลกอันนี้ ไม่มีติดอะไรทั้งนั้นสามแดนโลกธาตุ ถ้าหากเราไม่ติดกับกิเลส กิเลสไม่ติดเราเสียอย่างเดียวไม่มีอะไรติดในโลกนี้ เพราะฉะนั้นกิเลสจึงเป็นตัวมหาภัยอย่างยิ่ง ให้พากันจำเอานะ
นี่เราพูดถึงเรื่องวิสัยของจิตที่ท่านรู้ท่านเห็น ท่านรู้เหมือนกันท่านเห็นเหมือนกันแต่ท่านไม่พูด พูดอะไรใครก็ไม่รู้เรื่อง แม้อย่างพูดเวลานี้ใครรู้เรื่องเมื่อไร ก็มีแต่หลวงตาบัวเป็นบ้าคนเดียวพูด ดีไม่ดีทั้งศาลานี้ก็จะว่าหลวงตาบัวเป็นบ้าคนเดียว พวกนี้ดีเลิศกันหมดเลยเข้าใจไหม ดีจนขี้แตกก็ยังดี พวกนี้น่ะเข้าใจไหม ไอ้เราไม่ขี้ไม่ปวดก็เหม็นยิ่งกว่าพวกนี้อีก ถูกเขาโจมตีล่ะซี นี่ละมันสลดสังเวช พระพุทธเจ้าที่ว่าท้อพระทัย ท้อไปเสียทุกสิ่งทุกอย่างนะ ภายนอกภายในท้อหมดเลยเพราะไม่ใช่วิสัยของโลกที่จะรู้ได้เห็นได้ดังที่พระองค์รู้และเห็นอยู่นั้นน่ะ เราอย่าพูดแต่เพียงย่อ ๆ เลย พิสดารมากที่สุดที่โลกรู้ไม่ได้เห็นไม่ได้ พระพุทธเจ้ารู้หมดว่าไง มันต่างกันขนาดไหนน่ะ นี่ละธรรมที่ว่าเลิศเลอเลิศอย่างนี้เอง
ให้ธรรมได้เข้าครองในหัวใจใครแล้วหมอบทันทีกับพระพุทธเจ้า นิพพานไปไหนเท่านั้นเอง นั่นฟังซิน่ะ ก็เป็นพระรูปพระกายเท่านั้นนิพพาน พระพุทธเจ้านิพพาน ๆ คือสรีระร่างกายของเราซึ่งเป็นส่วนสมมุติ เมื่อหมดสภาพแล้วก็สลายไปเป็นดินเป็นน้ำเป็นลมเป็นไฟธรรมดาของมัน ทั่วโลกดินแดนเป็นอย่างนั้น นี่ก็ว่าตถาคตนิพพาน ๆ ไปไหนตายไปไหน อันนี้เป็นธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ธรรมชาติของธรรมธาตุอันนั้นไปไหน จ้าขึ้นทีเดียวถึงกันหมดเลย เหมือนกับแม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวงนี้ไหลเข้าถึงกันแล้วมีอดีตอนาคตที่ไหน น้ำสายไหนลงไปนั้นเป็นมหาสมุทรด้วยกันหมดมีอดีตอนาคตที่ไหน ไปถามหาน้ำมหาสมุทรมาจากอดีตที่ไหนอีก แล้วไปถามหาอนาคตที่ไหนอีก ก็เดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี้ก็น้ำมหาสมุทร
จิตเวลานี้ก็เป็นธรรมธาตุเรียบร้อยแล้ว จะไปหาพระพุทธเจ้าอดีตมาจากที่ไหน ว่าแปลกปลอมมาจากที่ไหนอีก เราจะไปหาอนาคตที่ไหน พระพุทธเจ้าที่แปลกปลอมมาจากที่ไหน ในธรรมชาติอันนี้ปัจจุบันนี้ธรรมธาตุจ้าอยู่ในหัวใจแล้วอันนั้นฉันใด อันนี้ฉันนั้นเป็นมหาสมุทรอันเดียวกันเลย นั่นเข้าใจไหมล่ะ นี่ละที่ว่าพระพุทธเจ้านิพพาน นิพพานไปไหนว่างั้นเลย นี่ละกราบราบกราบอันนี้เอง ธรรมธาตุนี้เป็นอันเดียวกันแล้ว จะไปหากราบที่เมืองไหน อินดงอินเดียเมืองโน้นเมืองนี้ เราก็ยกให้เป็นขั้นเป็นภูมิ แต่เวลาจะเอาเข้าสู่ความจริง นี้แลคือพระพุทธเจ้าว่างั้นเลย ธรรมธาตุหรือมหาสมุทรนี้แลว่างั้นเลย นั่นเป็นอย่างนั้นนี่นะ
เราก็พยายามสอน โอ๊ ทำไง ไอ้พวกภาวนาก็มานอนตาย ว่าจิตสงบก็ให้มันตายกับความสงบนี้อย่าให้มันออกนะ พิจารณาแยกออกไปเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ภูเขาภูเราดังที่กล่าวนี้บ้างซี จะได้เห็นเรื่องราวไป ต่อจากนั้นก็เปิดกว้างออก ๆ ว่างไปหมดเหมือนกันจะไปไหน พอพูดถึงเรื่องว่างนี้มันก็อดไม่ได้ ถอดมาจากหัวใจเหมือนกันนี่นะ จนถึงขนาดอัศจรรย์ตัวเอง เวลามันถึงขั้นว่างไม่มีอะไรติดหัวใจเลย ทั้ง ๆ ที่กิเลสยังติดหัวใจอยู่นะแต่มันมองไม่เห็น มันมองออกนอกเสีย เหมือนเราขึ้นไปยืนอยู่บนหัวตอนี่ เรามองดูท้องฟ้ามหาสมุทรเวิ้งว้างไปหมด แต่หัวตอที่เจ้าของเหยียบยืนอยู่นี้มันไม่ดู มันไม่ว่างที่ตรงนี้มันไม่เห็น มันก็เห็นตั้งแต่ข้างนอกว่างไปหมด นั่น มันก็อันนั้นอัศจรรย์ อันนี้อัศจรรย์ ตัวเป็นภัยต่อความอัศจรรย์คือหัวตอที่เหยียบอยู่นี้ทำไมไม่ดู เข้าใจไหมล่ะ
นี่ละใจที่เวลามันชำระของมัน ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างละเอียดเข้าไป ๆ จนกระทั่งว่างไปหมดเลย โห อันนั้นว่างอันนี้ว่าง แหม ว่างอัศจรรย์ จิตใจเรานี้ส่องไปไหนมันว่างไปหมดนะ โอ๋ย อัศจรรย์ใจดวงนี้ทำไมถึงได้สว่างไสวจ้าขนาดนี้นะ ว่างไปหมดเลย ๆ หัวตอมันไม่ได้ดูนะ มันเห็นแต่สิ่งนั้นว่างสิ่งนี้ว่าง บทเวลาถึงขั้นเต็มเหนี่ยวมันแล้ว ดูที่ไหน ๆ มันก็ว่างไปหมด ๆ วนเข้ามา ๆ จนกระทั่งถึงหัวตอ โอ๋ มันไม่ว่างอยู่ตรงนี้ ซัดตรงนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่ต้องถามว่างไม่ว่าง นั่นละหัวใจเมื่อมันขาดสะบั้นลงจากความติดข้องคือตัวนี้ อัตตาอยู่ภายใจลึก ๆ อวิชฺชาปจฺจยา ก็อัตตาตัวหนึ่งนั่นแหละ ฟาดตัวนั้นขาดสะบั้นลงไปแล้วว่างหรือไม่ว่างท่านไม่ถามหาใคร นั่นจิตเวลาว่างเป็นอย่างนั้นนะ ถึงอัศจรรย์นี่วะ
โห มันออกอุทานจริง ๆ นะไม่ใช่ธรรมดา เวลามันว่างนี่ถึงขนาดที่ว่า โถ จิตนี้ทำไมถึงว่างขนาดนี้หนา มองดูไหนว่างไปหมด แม้ที่สุดดูร่างกายเจ้าของก็ว่างไปหมด เห็นรูปร่างเพียงเป็นเงา ๆ ก็เห็นอยู่ รูปกายก็เห็นอยู่แต่มันเป็นเงา ๆ เท่านั้น ส่วนใหญ่ของมันคือความสว่างนี้มันจ้าออกไปหมดเลย มันก็จะอดที่จะออกอุทานไม่ได้ โถ ทำไมจิตนี้ถึงได้สว่างไสวอัศจรรย์ถึงขนาดนี้เชียวนา ๆ นั่นฟังซิน่ะ ทั้ง ๆ มันเหยียบกิเลสหรือกิเลสเหยียบหัวมันอยู่มันไม่รู้นะ พอเปิดหัวตอที่เหยียบย่ำกันอยู่นั้นออกแล้วไม่ต้องถาม ว่างหรือไม่ว่างมันก็รู้เอง พระพุทธเจ้านำอันนั้นมาสอนโลก ว่างหมดแล้วพระพุทธเจ้า พวกเรานี้มันไม่ได้เรื่องได้ราว ถ้าไปถึงขั้นหัวตอก็ยังดีนะอันนี้มันหัวตอหรืออะไรไม่รู้ เอาละพอเทศน์เท่านั้นแหละ ว่าจะไม่เทศน์มากมันก็ไปใหญ่แล้วแหละ
พากันกอดอยู่นี่นะ ถานขี้นี่อย่าพิจารณานะ ไอ้เรื่องเป็น อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา อสุภะอสุภัง ให้กอดทั้งขี้ทั้งตดอยู่นี้นะ อันนี้เป็นเราอันนี้เป็นของเรา ให้ยุ่งอยู่นี่นะ บอกทุกคนเข้าใจไหม อย่าพิจารณา ปัญญามีเอาไปหุงต้มเสียให้หมด ปล่อยให้กิเลสมาเพ่นพ่าน ๆ ต้มยำเรา เราเอาปัญญาไปหุงต้มแล้วกิเลสมาต้มเรากินแหลกเลย ให้พร..
กำลังพิจารณาอยู่เรื่องทางบ้านเมืองเขาเป็นยังไง ๆ เราจะค่อยช่วยสนับสนุนอีกทางหนึ่ง ทางนี้เป็นทางชาติบ้านเมือง ทางนี้เป็นทางศาสนา รวมสองมือทางขวากวาดเข้ามาทางซ้ายกวาดเข้ามา เข้าสู่ความแน่นหนามั่นคงของเราคือสมบัติเพื่อคลังหลวงอันเป็นหัวใจของชาติไทยเรา เราจะพยายามหนุนอันนี้แหละ เพราะฉะนั้นขอให้ฟังเสียงศาสนาก็แล้วกันนะ ถ้าฟังเสียงศาสนาแล้วจะค่อยเป็นค่อยไปค่อยคืบค่อยคลานหนาแน่นขึ้นเป็นลำดับ แล้วจะอุ่นหนาฝาคั่งต่อไป นี่คือศาสนา แนวทางหรือคำสอนของศาสนาบอกถึงจุดที่แน่นหนามั่นคงให้ ให้พากันพยายามปฏิบัติตามเสียงอรรถเสียงธรรม อย่าฝืนไปฟังเสียงกิเลสจะจมอย่างรวดเร็วด้วยนะ เรื่องกิเลสเหมือนไฟไหม้บ้าน จ่อเข้าไปไม้ขีดไฟก้านเดียวพึบหมดเลย ไม่มีเหลือ นี่คือความพินาศ แต่เราพยายามปลูกขึ้น ศาลาหนี่งใช้เวลาเท่าไร สิ้นเปลืองเงินไปเท่าไร กี่วันกี่คืน ตะเกียกตะกายมานานไหม แต่ไม้ขีดไฟก้านเดียวจุดเข้าไปปึ๊บหมดเลย นี่ละความฉิบหายของชาติรวดเร็วที่สุด เหมือนไม้ขีดไฟก้านเดียวเผาตึกทั้งตึกนั่นแหละ
การพยุงกันนี้คือความพร้อมเพรียงสามัคคีของพี่น้องชาวไทยทั้งชาติ ให้มีความกลมกลืนสามัคคี หลักใหญ่ที่ตายตัวคือศาสนาพุทธของเรา ให้เอานี้มาเป็นเข็มทิศทางเดินให้พากันก้าวตามนี้ จะช้าหรือเร็วให้ก้าวตามนี้จะขึ้นได้ไม่สงสัย จำข้อนี้ให้ดีนะ ถ้าพลาดจากนี้แล้วเราอย่าหวังความร่ำรวยจากไม้ขีดไฟก้านเดียวนะ ไม้ขีดไฟก้านเดียวนี้แลพาโลกให้พินาศ นี่ละเรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น เข้ามาปั๊บทันทีทำลายไปหมด
เราไม่ได้เรื่องนะลืมเวลานี้ลืม งานเราก็มาก สัญญาอารมณ์นี้มันหดเข้ามา ๆ ความจำไม่เป็นท่าเวลานี้ ความจำนี้เสื่อมเข้า ๆ นะ เวลานี้พอเทศน์ได้ก็คือว่าความจำนี้มันเสื่อมออกจากภายนอกหดเข้ามา ๆ มันก็มาอยู่ในวงนี้วงภายใน ที่เทศนาว่าการจดได้จำได้อยู่ภายในวงแคบ ๆ นี่นะ วงนอกมันแทบจะหมดแล้วเวลานี้ มันหดเข้ามาอยู่ในวงนี้เอง พอหดเข้าไปจริง ๆ แล้วก็ไม่มีสัญญาแล้วใช้ไม่ได้เลยนะเทศน์ไม่ได้ สัญญาต้องเป็นความจำ จำไกลไม่ได้จำใกล้จำปัจจุบัน ถ้าอันนี้หมดไปแล้ว ปัจจุบันก็จำไม่ได้เทศน์ไม่ได้ อยู่ตรงนี้นะ เรื่องธรรมเป็นธรรม แต่เรื่องกิริยาปากทางที่จะเข้าออกของธรรมนั่นซีมันปิดตันไปเสีย เช่น สัญญาปิดตันเสียมันก็ออกไม่ได้ ว่าใกล้ว่าไกลว่าอะไรเป็นอะไร ๆ ใช้สัญญาทั้งนั้นนะ ถ้าอันนี้หมดแล้วออกไม่ได้เลย หยุด เวลานี้ยังพอเทศน์ได้
เมื่อวานนี้เราไปวัดนาแอง ไปดูที่เขาสร้างศาลาวัดนาแอง กำหนดให้ความกว้างความแคบเราสั่งให้ทำ คือวงกรรมฐานทำอะไรมันมักจะเตลิดเปิดเปิง ถ้าใกล้ชิดพอที่เราจะติดตามหรือแนะนำได้เราก็ติดตามแนะนำ ไม่งั้นเตลิดเปิดเปิง พวกกรรมฐานเราบ้าก่อสร้างได้ง่ายมากทีเดียวนะ การก่อสร้างเป็นภัยต่อการภาวนาอย่างยิ่งมันไม่คิดนะ วัตถุเครื่องก่อสร้างนี้คือเครื่องวุ่นวาย นี่เป็นภัยต่อการภาวนา เช่น เราสร้างกุฏิหลังหนึ่งนี้ ความคิดยุ่งอยู่กับกุฏินี้มากขนาดไหนทำจิตตภาวนาให้เสียไปเท่าไร เพียงเท่านี้ไม่ต้องพูดมาก
เพราะฉะนั้นนักภาวนาครั้งพุทธกาลท่านจึงไม่ปรากฏว่าท่านมีการก่อสร้างวัตถุอะไร ๆ นี้ไม่มี นั่นละท่านสร้าง สร้างแต่จิตแต่ใจสร้างอรรถสร้างธรรม สร้างมรรคผลนิพพานขึ้นจากสถานที่เหมาะสม เช่น รุกฺขมูลฺเสนาสนํ ในป่าในเขาตามถ้ำเงื้อมผา นี่สถานที่ท่านสร้างอรรถสร้างธรรมสร้างมรรคผลนิพพานขึ้นที่ตรงนั้น นั่น พวกเรานี้ฟาดอะไรอยู่ที่ไหนไม่รู้ละขนมา เหล็กก็ไม่ทราบมาจากเมืองไหนบ้าง ประเทศไหนที่มีเหล็กมากมายมากลายเป็นป่าช้าเหล็กในเมืองไทยเรานี้ มันมากต่อมากกว้านเขามาเผาชาติไทยเรา มีแต่สิ่งก่อสร้าง หาเงินติดกระเป๋าก็ไม่มีสิ่งก่อสร้างเอาไปกินหมดเห็นไหม แล้วสิ่งที่เหลืออยู่ก็มีแต่กองทุกข์ความเดือดร้อนผิดหวัง ๆ นั่น เป็นอย่างนั้นนะ
นี่พูดถึงเรื่องโลกภายนอก โลกภายในเข้ามาหาพระ พระก็ก่อนั้นสร้างนี้ สร้างนั้นสร้างนี้ แล้วพระก่อสร้างยิ่งร้ายกว่าประชาชนเขาสร้างนะ เพราะพระไม่มีเงิน ก่อสร้างอะไรก็วิ่งไปหารบกวนประชาชน เลยกลายเป็นศาสนาพระเณรรบกวนประชาชนไป ศาสนากวนบ้านกวนเมือง พระเณรกวนบ้านกวนเมืองไปเสีย ไม่ได้กวนกิเลสซึ่งเป็นตัวยุ่งเหยิงภายในหัวใจ ฟาดมันแตกกระจายออกไปจากหัวใจ ครั้งพุทธกาลท่านกวนกิเลสตีกิเลสนะ พวกเรามีแต่ให้กิเลสกวนเรา นี่สำคัญมาก การก่อสร้างจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสำหรับพระผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมอย่ายุ่งเท่านั้นพอ ต้องตัดกันอย่างขาดสะบั้นเลย ถ้าเป็นผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมมรรคผลนิพพานแล้ว เรื่องการงานเกี่ยวกับด้านวัตถุอย่ายุ่งคำเดียวพอ ตัดขาดสะบั้นจากนั้น ให้มีแต่กิริยาของจิตซึ่งหมุนตัวเป็นเกลียวอยู่ภายใน ระหว่างสติกับปัญญาฟัดกันกับกิเลสซึ่งเป็นตัวยุ่งเหยิงวุ่นวายก่อกวนอยู่ภายในใจ ตีกันตลอดเวลา ๆ สารส้มแกว่งเข้าไป ๆ มันก็ใสเอง จำเอาไว้นะ
พ่อแม่ครูจารย์เป็นอันดับหนึ่งในสมัยปัจจุบัน การก่อการสร้างไม่มีเลยฟังซิน่ะเห็นไหมเลิศไหมพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไปอยู่ที่ไหนกระต๊อบเท่ากำปั้น ๆ ท่านยุ่งอะไรกับสิ่งเหล่านี้ ไม่ยุ่งนะ พระเณรเข้าไปปั๊บนี้เป็นไงภาวนา ยิ่งมีผู้มาจากที่ต่าง ๆ พระเณรที่เข้ามาหาท่าน เป็นไงภาวนา นั่นเห็นไหมล่ะขึ้นภาวนาเป็นยังไง นั่นต่างกันนะ นี่จึงสงวนตลอดเวลาเพราะไม่เห็นมีอะไรที่จะลดคุณค่าของธรรม พูดให้มันเต็มหัวอกภายในหัวใจของเรานี้ให้ลดลงไปแม้เม็ดหินเม็ดทรายเลย ไม่เคยมี เพราะฉะนั้นใครมาเกี่ยวข้อง พระเณรเกี่ยวข้องกับเราจึงเอากันตรงนี้เลย เป็นยังไงทันทีเลย เรื่องจิตใจภาวนาเป็นยังไงเข้าทันทีเลย เพราะอันนี้เลิศเลอสุดยอดแล้วในสามแดนโลกธาตุ ไม่มีอะไรเสมอเลย จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเข้ามากลบสิ่งเหล่านี้ให้กลายเป็นมูตรเป็นคูถ อันนี้เป็นทองคำทั้งแท่งแทน มันจะเป็นทองคำได้ยังไง ขี้อยู่บนทองคำมันก็อยู่บนทองคำนั่นแหละ อยู่ใต้ทองคำก็ขี้อยู่ใต้ทองคำ มันจะเป็นทองคำได้ยังไง
ธรรมเป็นธรรม อยู่ที่ไหนก็เป็นธรรม ถ้าลงเป็นธรรมแล้วอยู่ไหนเป็นธรรม ถ้าเป็นมูตรเป็นคูถเป็นความชั่วช้าลามก อยู่ที่ไหนก็เป็นความชั่วช้าลามกทั้งนั้นแหละนะ พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคม มีแต่หลายสันพันคมของความชั่วช้าลามกแสดงตัว ที่แสดงเป็นความดีไม่มี ความชั่วนี่พลิกไปทางไหนเป็นความชั่วตลอด เช่นอย่างถูกต้องหา เขาหาว่าเป็นโจรเป็นผู้ร้าย มันแก้ไขพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคมเพื่อจะเอาตัวรอด พลิกไปไหนก็คือนักโทษพลิกนั่นเอง คือผู้ต้องหาพลิก ในคนที่ผิดพลิกไปไหนมันก็ผิดให้เห็นตลอดเวลา มันเอาถูกที่ไหน เข้าไปอยู่ในรูในถ้ำมันก็ไปผิดอยู่ในรูในถ้ำ คนผิดคนชั่วออกมามันก็มาชั่วอยู่นอก พลิกไปเหลี่ยมไหนเล่ห์ไหนมันก็มีแต่เล่ห์แห่งความชั่วทั้งนั้น ๆ
เด็กดูมันก็รู้นี่ จะมาอวดตัวทำไม ความชั่วช้าลามกคดโกงรีดไถประเทศชาติบ้านเมืองจนแหลกจนเหลวยังตีหน้าตายหน้าด้านเฉยอยู่ เราเป็นผู้บริสุทธิ์ บริสุทธิ์หีพ่อหีแม่มึงอะไร หมดทั้งโคตรมันมีแต่ความสกปรกด้วยกัน มันพลิกไปไหนก็โคตรสกปรกนี้ไป โคตรนักโทษนี้ไป โคตรสังหารบ้านเมืองไป จะเอาความดีมาจากไหน ถ้าผู้ดีแล้วอยู่ที่ไหนก็ดี ไม่พลิกก็ดีนั่งอยู่ก็ดีนอนอยู่ก็ดีคนดี คนชั่วพลิกไปไหนชั่วทั้งนั้น นอนก็คนชั่วนอน ตายคนชั่วตายตกนรกคนชั่วตก แต่ว่าคนชั่วไปขึ้นสวรรค์เรายังไม่เคยเห็นในตำรานะ เราจึงไม่กล้าพูดออกมาเข้าใจไหม ส่วนเหล่านี้มีทั้งนั้นในตำรา
เมื่อวานนี้ไปบ้านนาแอง เลยเข้าไปนู้นนะเมื่อวาน เพราะไม่ได้ไปทางนี้นานแล้ว เกือบ ๒๐ ปี จากนี้เข้าไปหาอำเภอหนองแสง ทางสายนั้นดี แต่ก่อนไปมีแต่หินลูกรัง ตั้งแต่มาสร้างวัดทีแรกไม่นานนักเราเข้าไปทางนี้ เขากำลังเริ่มปลูกบ้านปลูกเรือนแถวนั้น เวลานี้มันเป็นอำเภอไปแล้ว ทางเขานี่โล่ง ทางกว้างไปได้อย่างสบาย ๆ ทะลุออกหนองแสง ทะลุออกห้วยเกิ้งฟาดมาทางกุมภวา เข้ามาทางดงเค็งเมื่อวานนี้ เที่ยวกรรมฐานใหญ่แหละเมื่อวานนี้ ทางเรียบเสมอกันหมด ไปเที่ยวกรรมฐานเฉย ๆ จากนั้นไปนี้ก็ขึ้นภูทอกเมื่อวานนี้นะไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ไม่นานนะ ให้ไอ้เยี่ยมพาไป ไอ้เยี่ยมมึงพากูไปเที่ยวกรรมฐานเสียหน่อย
บอกไอ้เยี่ยมมึงพากูไปกรรมฐานหน่อยนะ ไปกับกูเท่านั้นไม่มีใครทราบ ออกนี้ปั๊บก็ไปวัดใหม่ ไปวัดใหม่สักครู่นี้ก็ตัดออกนู้นเที่ยวมาภูทอกว่าจะขึ้นดูภูทอก พอดีวันนั้นคนเต็ม งานอะไรเขาก็ไม่รู้แหละ พอไปเห็น โอ๊ย คนมากไม่เอาเตลิดเลยไม่เข้า เมื่อวานนี้ขึ้นไปดูภูทอก ขึ้นไปดูหมดแล้วก็ลงมา ภูทอก คำว่าทอกนี้คือหมายความว่ามันมีภูเขาลูกเดียว อยู่ท่ามกลางภูเขาทั้งหลายนี้มีลูกเดียว เช่นอย่างเขาเรียกภูทอกท่านจวนนั้นก็มีลูกเดียวอยู่ตรงนั้น ทอก โทนอันเดียวกัน ภูทอก ถ้าเป็นลูกก็เป็นลูกคนเดียว ลูกโทนคือลูกคนเดียว ลูกทอกคือมีลูกคนเดียว อันนี้ภูเขาลูกนี้อยู่เฉพาะของมันอันเดียว เขาเรียกภูทอก อยู่ท่ามกลางแห่งภูเขาทั้งหลายล้อมรอบ มันมีลูกเดียวของมัน ภูทอกเข้าใจหรือเปล่าล่ะ
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร
www.luangta.com |