เทศน์อบรมฆราวาส ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๙
ตกแต่งแก้ไขจิตใจบ้าง
แต่ก่อนเขาไม่อยากเข้าไปละวัดป่าบ้านตาด วิ่งไปหาครูบาอาจารย์ที่พูดนิ่มนวลอ่อนหวาน ชอบวิ่งไปนู้น วัดป่าบ้านตาดไม่ค่อยมีใครไป ก็สมกับเจตนาของวัดป่าบ้านตาดด้วย ไม่ชอบยุ่งกับใคร ถ้ามาก็เก้งๆ ก้างๆ ขวางหูขวางตา จากนั้นมาแล้วมันก็ทนไม่ได้ เดี๋ยวก็ใส่เปรี้ยงเข้าไป เขาก็กลัววิ่งป่าราบไปเลย พอดีเขาได้รับคำแนะนำจากท่านอาจารย์ฝั้น ต้นเหตุนะ เขาหลั่งไหลไปหาท่านอาจารย์ฝั้น ท่านก็เลยถาม แล้ววัดป่าบ้านตาดล่ะ ท่านมหาบัวได้มีใครไปไหม โอ๋ย ท่านดุไม่กล้าไป ท่านดุ ท่านเลยได้วิชานั้นมาท่า ท่านเลย เหอๆ ขึ้นเลย
ท่านอาจารย์ฝั้นท่านนิ่มนวลมากนะ นิ่มนวลทุกอย่างเลย ท่านถาม ว่าไม่ได้ไปเพราะกลัวท่านดุ ว่าอย่างนั้น ท่านก็ เหอ ขึ้นมาเลย เหอๆ ท่านดุเหรอ ท่านมหาบัวดุเหรอ เอาละที่นี่ ใครดุอย่างท่านมหาบัวมีไหม ไปหนาๆ นี่ละสำคัญอันนี้ มีใครดุอย่างนั้นมีไหม ไปหนาๆ ทีนี้มันก็ค่อยด้อมไปละซี วิชาดุเราก็ค่อยถูกลบลายลงไป ดุเท่าไรก็ค่อยเข้ามาเรื่อยๆ เวลานี้วิชาดุนั้น ที่เป็นวิชาลายพาดกลอนเหมือนเสือโคร่งเสือดาวหมดเลยไม่มีเหลือ เหลือก็ตัวเหลืองๆ มีแต่ผ้าแก่นขนุนเหลืองๆ นั่นละ ลายเขาลบหมด ดุเท่าไรมันยิ่งมาๆ หนักเข้าๆ วิชานั้นเลยหมด เดี๋ยวนี้จะทำอะไรมันยิ่งชอบ ดุเท่าไรมันยิ่งหมุนเข้ามา เป็นอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้
นี่ก็สอนวิชาหมาให้ไม่ทราบมันจะกลัวไม่กลัว ยิ่งวันหลังมันจะซ่อมให้หนักกว่านี้เข้าไปอีก เป็นอย่างนั้นนะ เอ้อ มันก็แปลกอยู่ ที่แปลกเพราะอะไร อันนี้ก็เพราะเราเป็นต้นเหตุอันหนึ่ง เราเอามาพิจารณา ไปหาท่านอาจารย์มั่น เพราะตั้งใจจะไปหาท่านแล้ว พอออกพรรษาแล้วจะรีบมา มาจากโคราช ออกจากกรุงเทพฯก็ไปจำพรรษาที่จักราช โคราช ไปจำพรรษาที่นั่น พอออกพรรษาแล้วจะรีบไปให้ทันท่าน ท่านอยู่อุดรตอนนั้น พอดีพวกกฐินเขาก็มาพัวพันยุ่งไปหมดเลย
ทีแรกเราก็เด็ด แต่เรามันเป็นอย่างไรนะ ส่วนมากมักจะแพ้ผู้หญิง ชอบกลอยู่ เราก็เด็ดมีแต่จะไปท่าเดียว เขาก็มาขอให้รับกฐินเสียก่อน เราบอกเราไม่รับ เราจะรีบไป มาเถียงกันกับเราตาดำตาแดงจนร้องไห้ เราก็เฉย เราจะไปท่าเดียว ทีนี้เราไม่รู้กลของเขาซี พอเราเผลอเขามาฉวยเอาห่อผ้าสังฆาฏิเรานี้เข้าบ้านเลย ร้องไห้อยู่ต่อหน้านั่นแหละ เราก็เฉย เราไม่สนใจ จากนั้นเราเผลอมันด้อมมาเอา ผู้หญิงน่ะ ด้อมมาเอาห่อผ้าสังฆาฯเรานี่ ไปเลย พอลงบันไดแล้ว ท่านจะไปอุดรก็ไปเสียนะ หันหน้ามาก็ร้องไห้อยู่ตะกี้นี้ ลงไป ท่านจะไปอุดรก็ไปเสียนะ แล้วมีลักษณะยิ้มๆ
เราก็ยังไม่รู้ตัวนะ ไม่ต้องบอกก็ได้ ความหมายก็ว่าอย่างนั้น พอลงไปบันได มันได้สังฆาฏิแล้วมันหอบไปแล้วนั่น เราไม่เห็นสังฆาฏิอยู่ข้างหลัง เผลอมันปั๊บมาเอาสังฆาฏิไปเลย พอลงไปบันไดหันหน้ามา ท่านจะไปอุดรก็ไปเสียนะ มียิ้มๆ เอ๊ ร้องไห้ตะกี้นี้ลงไปแล้วทำไมมันยิ้มน้า เรานึกเท่านั้นเอง พอเขาลงไปแล้วมีพระองค์หนึ่งมาสะกิด นี่เขาลงไปเขายิ้มๆ นั่นน่ะ เขายิ้มอะไร ยิ้มอะไรช่างใครเถอะ เราว่าอย่างนั้น ไม่ใช่เขามาขโมยเอาผ้าสังฆาฏิท่านไปแล้วเหรอ เหอ มองดูไม่เห็น เอาไปแล้ว เอาไปนู้นเอาเข้าในบ้านเลย โถ มันเก่งนะ
ไปแล้วเขาก็มาถามพระ เอาผ้าสังฆาฏิท่านเข้าไปในบ้านผิดพระวินัยของท่านอย่างไรๆ บ้าง เขามาถามกับพระ พระท่านก็เล่าให้ฟังตามความสัตย์ความจริง คือออกพรรษาแล้ว การอยู่ปราศจากจีวรผืนใดผืนหนึ่งก็อยู่ได้ ท่านว่าอย่างนั้นในพระวินัยมี ทีนี้เขาได้นั่นแล้วเขาก็ไม่ยอมเอาออกมา ผ้าสังฆาฏิไม่ยอมเอาออกมา เพราะว่าอยู่ปราศจากจีวรสบงสังฆาฏิผืนใดก็ได้เมื่อออกพรรษาแล้ว ไม่เป็นอาบัติ ถ้าธรรมดาปราศจากไม่ได้ ปรับอาบัติ
เขาก็มาถามพระ พระก็เล่าให้ฟัง เขาก็เลยกักไว้นั้นเลยเขาไม่ออกมา มาซัดกับเรา จนกระทั่งเราสุดท้ายยอมเขา เขาจึงเอาผ้าสังฆาฏิมาให้ ไม่อย่างนั้นเขาไม่ยอม โธ่ มันเอาขนาดนั้นนะ นี่ละพูดถึงเรื่องเขาเก่งๆ นี้ เราก็ว่าเราเก่ง ที่ไหนได้ร้องไห้ต่อหน้า สักครู่เดียวกลับลงไปแล้ว พอลงบันไดแล้วหันหน้า ท่านอยากไปอุดรก็ไปเสียนะ ยิ้มๆ เรายังไม่รู้นะ วิชายิ้ม เขาได้ทีแล้วนั่นไปแล้วเรายังเซ่ออยู่ จนกระทั่งยอมเขา รับกฐินเสียก่อนถึงจะไป เขาก็เอาสังฆาฏิกลับคืนมา เป็นอย่างนั้นละอยู่โคราช จำพรรษาจักราช
นี่ละที่ช้าไม่ทันพ่อแม่ครูจารย์มั่น เพราะอันนี้เอง เราจะรีบไปให้ทันท่าน จะไปกับท่าน ท่านอยู่ไหนก็อยู่ไป ไปด้วยเลย ไม่ทัน ก็เพราะเขาเอาสังฆาฏิเข้าไป ให้รับกฐินเสียก่อน ทีนี้พอรับกฐินแล้วไปมันก็ไม่ทันท่าน ท่านก็ไป ถูกเขามานิมนต์ด้วยแล้วก็รับไปด้วยที่สกลนคร ได้สองวันเราก็ไปถึง ไม่ทันท่าน จึงเลยไปพักอยู่ที่หนองคายก่อน แต่จะไปหากยังไม่กำหนดวัน อยู่นี่ก็พอดีมีพระองค์หนึ่งท่านมาจากบ้านนามน ท่านมาพักที่วัดทุ่งสว่าง หนองคายด้วยกัน เราถามท่าน ท่านก็เล่าเรื่องให้ฟัง ว่ามาจากบ้านนามน มาจากท่านอาจารย์มั่น ทางนี้ก็เหอๆ ขึ้นทันที ก็สนใจอยู่แล้ว
แล้วก็ถาม เป็นอย่างไร ว่าอีกทีน่ะ มาจากท่านอาจารย์มั่นเหรอ ถามให้ชัดเจนเลย บอกมาจากท่านอาจารย์มั่น เวลาท่านมาท่านยังอยู่นั้นเหรอ ยังอยู่นั้นแหละ จากนั้นก็จ้อเข้าไปเลย ไหนทราบว่าท่านอาจารย์มั่นนี้ดุเก่งอย่างนั้นใช่ไหม โอ๋ย ไม่ต้องบอกว่าดุเก่ง ควรขับท่านขับเลย ว่าอย่างนั้นนะ ควรขับท่านขับเลย อย่าว่าแต่เพียงดุ แทนที่จะเป็นผลลบจะกลัวท่าน ไม่นะ มันกึ๊กถึงจิตเลย องค์นี้แหละจะเป็นอาจารย์ของเรา ท่านอาจารย์มั่นนี่ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ตั้งแต่เราเป็นเด็ก ชื่อเสียงกระเทือนทั่วเมืองอุดร ท่านจำพรรษาอยู่ที่บ้านผือ แล้วท่านจะดุสุ่มสี่สุ่มห้านี้เป็นไปไม่ได้ เพราะท่านชื่อเสียงกระเทือนทั่วประเทศไทย เฉพาะอย่างยิ่งเมืองอุดร อำเภอบ้านผือนี้มานาน
ท่านจะดุ จะขับไล่ไสส่งใครเฉยๆ นี้เป็นไปไม่ได้ เราจะต้องไปหาอาจารย์องค์นี้ เอาเราเป็นพยานเลย จะไม่เอาใครเป็นพยาน ท่านดุ ท่านดุเพราะเหตุผลกลไกอะไร หรือท่านขับไล่ก็ให้ถูกเราว่าถูกขับไล่เพราะเหตุผลกลไกอะไร ท่านดุแบบไหน ก็ให้เราเป็นคนได้ยินได้ฟังเองว่าท่านดุแบบไหน ตัดสินใจเลยทันที สามวันเท่านั้นนะ ไปพักอยู่ที่นั่น ที่หนองคายเป็นเวลานานพอสมควร แต่พอได้ทราบข่าวสามวันเท่านั้นละ ว่าท่านดุท่านเคร่งครัดมากทีเดียว ควรดุท่านดุ ท่านไม่ไว้หน้าใคร ควรขับไล่ท่านขับไล่เลยพระ
แทนที่จะเป็นผลลบ ไม่ได้เป็นนะ กลับเข้าถึงใจๆ เออ องค์นี้ละจะเป็นอาจารย์ของเรา ท่านดุคำไหนเราจะไปฟังด้วยหูของเราเอง ท่านขับไล่ก็ เอา ขับไล่แบบไหน ถ้าหากว่าท่านจะขับไล่เราก็ให้เราเป็นคนถูกขับไล่ ท่านขับไล่เพราะเหตุผลกลไกอะไร นี่ละเป็นอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ชื่อเสียงโด่งดังขนาดนี้ท่านจะดุด่าว่ากล่าว หรือขับไล่ไสส่งไปไหนโดยหาเหตุผลไม่ได้นี้เป็นไปไม่ได้ ตรงจุดนั้นนะ เป็นผลบวกทันที อยู่ได้สามวันลาไปเลย
พอไปถึงอุดร เราจะไปสกลนคร ตอนนั้นค่ารถจากอุดรไปสกลนคร เขาเก็บค่ารถสิบสลึง สองบาทสองสลึงเป็นสิบสลึง แล้วเรามีเงินบาทเดียว จะทำอย่างไร นี่อาตมามีเงินบาทเดียว อาตมาจะขอขึ้นรถไปด้วยได้ไหม ให้อาตมาลงที่ไหนอาตมาก็ลง อาตมามีเงินบาทเดียว ขอขึ้นไปชั่วระยะเพียงกำหนดของเงินนี้เท่านั้น อาตมาก็พอใจ พอว่าอย่างนั้น คนขับรถเขาก็ถึงใจเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงถึงใจเรา โอ๋ ท่านว่าขนาดนั้นแล้วเอาเถอะ รถคันนี้จะไปถึงนครพนม ท่านจะไปถึงไหนถึงกัน ถึงนครพนมได้รถคันนี้ เงินบาทเดียวก็ตามเถอะ นิมนต์ขึ้นเลย บาทเดียวก็บาทเดียวแหละ ท่านจะไปนครพนมก็ไปได้ ถึงนครพนมเลย ว่าอย่างนั้นเราก็ขึ้นรถ
พอไปถึงสกลนครแล้วรถจอดแล้วลาเขาลง อ้าว ท่านไม่ไปนครพนมหรือ รถนี่จะไปนครพนม โอ๊ย ไม่ไปละ ขอบบุญขอบคุณนะ เรามีเงินบาทเดียวให้ลงที่ไหนเราก็ลง ถ้าท่านว่าอย่างนั้นแล้วไปถึงไหนถึงกัน นครพนมก็ไป เงินบาทเดียวเท่านี้แหละ ไม่สำคัญอะไรกับเงิน เราก็ไม่ลืม นี่มีเงินบาทเดียวขอขึ้นรถไปกับเขา เขาให้ลงที่ไหนก็ลงเพราะเรามีเงินบาทเดียว นี่เราก็ไม่ลืม พอถึงนั้นไปพักวัดสุทธาวาส แต่ก่อนมันเป็นป่าเป็นดงจริงๆ นะ ที่ตลาดลาดเลในวัดสุทธาวาสเต็มไปหมดนั้นไม่มีบ้านคนเลย เป็นดงล้วนๆ
เพราะฉะนั้นจึงว่าวัดป่าสุทธาวาส เรียกว่าดงบาก ห่างจากสกลนครไปสองกิโล ไปบิณฑบาตที่สกลนคร ในแถวนั้นไม่มีหมู่บ้านคนแม้แต่หลังคาเรือนเดียว เป็นดงล้วนๆ ปีเราไปปี ๒๔๘๔ เดี๋ยวนี้ก็อยู่กลางบ้านแล้ววัดสุทธาวาส จากนั้นเราก็ไปหาท่านเลย ไปก็ซุ่มซ่ามๆ อย่างว่านั่นแหละ ก็เราไม่เคยเดินทางไป เรื่องรถเรื่องราอย่าไปถามหามัน แม้แต่ทางถนนทางรถก็ไม่มี เป็นทางล้อทางเกวียนไป นี่ละที่เล่าให้ฟัง ไปกลางคืนมืดๆ ไปถามชาวบ้านเขา เขาบอกทางให้ไปทางนี้ เขาตามไปส่ง ทางนี้ตรงแน่วไปถึง เวลานี้ท่านย้ายมาจากนามน มาสร้างวัดใหม่อยู่บ้านโคก เราก็ไปตรงนั้นละ ท่านอยู่บ้านโคกเวลานี้
เดินซุ่มซ่ามๆ ไป จึงได้ไปเห็นศาลาท่าน ท่านเดินจงกรมอยู่ข้างๆ เราไม่เห็นนะ ท่านพักอยู่ที่ศาลา ศาลาหลังนี้ท่านกั้นห้องอยู่ ท่านสบายมากนะ ท่านอาจารย์มั่นสบายมากที่สุด นั่นเป็นหลักธรรมชาติจริงๆ เป็นธรรมล้วนๆ เลย เราไปยืนดูศาลา ไปคำนึงคำนวณ เอ๊ ศาลาหลังนี้ถ้าหากว่าเป็นศาลา ครูบาอาจารย์ขนาดนี้ก็รู้สึกจะเล็กไปหน่อย ถ้าเป็นกุฏิกรรมฐานก็จะใหญ่ไปสักหน่อย มานี่ปั๊บ ใครมานี่ ท่านเดินจงกรมท่านยืนอยู่มืดๆ เราก็ซุ่มซ่ามๆ ไปคนเดียวมืดๆ
ใครมานี่ ทางนี้ก็บอกว่ากระผม บอกกลางๆ ว่ากระผม ท่านก็แผดออกมาเลย ไอ้ผมๆ นี้ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีตรงที่มันไม่ล้าน ฟังซิน่ะค้านที่ไหน อันผมๆ นี้ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน เราก็ปุ๊บแก้ไขใหม่ กระผมชื่อพระมหาบัว เอ้อก็ว่าอย่างนั้นซี เสียงดังเลยนะ ไม่ใช่ธรรมดา พระเดินจงกรมเงียบๆ ตื่นเต้นวิ่งออกมา ก็ว่าอย่างนั้นซีมันถึงจะรู้เรื่องรู้ราว อันนี้ผมๆ ท่านแหย่แล้วนะที่นี่นะ อันผมๆ แม้แต่เด็กมันก็มีผม เอาอีกแหละ อู๊ย ทำไมท่านพูดถูกเอานักหนา คนหัวล้านมันก็มีผม หาที่ค้านไม่ได้ ทำไมถึงพูดถูกต้องเอานักหนา
พอพลิกคำใหม่ว่ากระผมชื่อพระมหาบัว เอ้อ ก็ว่าอย่างนั้นซิ อันนี้ผมๆ ท่านแหย่เอานะ ตั้งแต่เด็กมันก็มีผม ยิ่งลงใหญ่เลยนะเรา แหม ทำไมท่านพูดถูกต้องเอานักหนา นั่นแหละขึ้นไปหาท่าน ท่านถึงใส่เปรี้ยงๆ เลย เอาเป็นอย่างไรก็ให้เห็น ท่านจะดุขนาดไหนเราจะฟังเอง ด้วยเหตุด้วยผลทุกอย่าง ขับไล่ไสส่งให้ถูกเราเอง เราถูกขับไล่เพราะเหตุผลกลไกอะไร อยู่กับท่าน ท่านก็ไม่ได้ดุ ดุเรา ท่านก็พูดตามอัธยาศัยของท่าน แต่กลัวนะกลัวมากทีเดียว แต่เหตุผลเหนือ มันจะกลัวขนาดไหนไม่ยอมไปไหน เพราะมันลงใจแล้วตั้งแต่ได้ยินทีแรกว่าท่านดุท่านด่าเก่ง
นี่ละอาจารย์ของเรา มันจับไว้แล้ว พอไปอยู่กับท่านก็อย่างว่าแหละ นิสัยท่านเป็นอย่างนั้น ท่านพูดอย่างตรงไปตรงมาเลย เรื่องกลัวน่ะกลัวมาก แต่จะไปไหนไม่ได้ เราบอกว่านี่อาจารย์ของเรา หากว่าท่านยังมีชีวิตอยู่นี้เราจะอยู่กับท่านตลอดไป แต่การไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ถือเป็นธรรมดา แต่ถือว่าสถานที่อยู่ของท่านเหมือนว่าเป็นบ้านอยู่ของเราด้วย เราจะต้องกลับมา ก็อยู่ของท่านไปอย่างนี้ละ อยู่ไปฟังไป ท่านดุไปคอยฟังไป ปรับใจเข้าไปเรื่อย ภาวนาเข้าไปเรื่อย ปรับใจเข้าไปเรื่อย
ความดุของท่านดุเผ็ดร้อนเท่าไรยิ่งมีแต่อรรถแต่ธรรม หาความเป็นโลกเป็นสงสารกิเลสตัณหาไม่มีเลย มีแต่ความดุด้วยความเป็นธรรมๆๆ ฟังไปๆ ปรับตัวไปเรื่อยๆ ที่นี่สรุปความลงแล้วความดุนั้นเป็นธรรมทั้งนั้น ได้ยินเสียงท่านเวิ้กว้าก นั่นละธรรมจะออกแล้ว เหมือนกับฟ้ากระหึ่มบนเมฆ นี่ฝนจะตกแล้วนะ หาอะไรมารองเป็นลักษณะนั้น พอท่านกระหึ่มขึ้นมาดุขึ้นมา นี่ละธรรมะจะออก ยอดธรรมจะออกจริงๆ เลย ดุเท่าไรธรรมยิ่งไหลออก มันอยู่ไปปรับไปๆ หาคำที่ว่าท่านดุมีที่ตรงไหน สุดท้ายไม่มี
ดุเท่าไรเด็ดเท่าไรธรรมะประเภทนั้นยิ่งถึงใจๆ จนลงใจ หาที่ต้องติไม่ได้เลย คำดุดุขนาดไหนเป็นอรรถเป็นธรรมล้วนๆ เลย จึงลงใจทุกอย่าง คือท่านไม่ได้ดุ เพราะเราไปหาเหตุหาผลจริงๆ ว่าดุอะไร ท่านตำหนิตรงไหนถูกหมด ควรจะเด็ดจะเดี่ยวขนาดไหนถูกต้องหมดเลย ผู้ที่ถูกตำหนิเป็นผู้ผิดๆ ท่านไม่ได้ผิด ครั้นอยู่ไปนานไปๆ เวลาประชุมฟังเทศน์นี้พระเณรเตรียมพร้อม เหมือนกับเด็กหิวนม จะได้ดื่มนมกับแม่นั่นเอง ท่านจะประชุมเทศน์เหมือนกับได้ดื่มนม กระหยิ่มยิ้มย่อง
ทีนี้เวลาท่านเทศน์ธรรมดา เมื่อฟังไปๆ ท่านเทศน์ธรรมดาๆ นี้ธรรมะนี้ถึงนิพพานความบริสุทธิ์หลุดพ้น แต่ถ้ามีผู้ใดมีขัดข้องขึ้นหรือท่านเอะขึ้นมาในเวลานั้นธรรมะจะท่านจะพุ่งเลยนะ พุ่งเลยเต็มเม็ดเต็มหน่วย จนเข้าใจได้ว่าถ้าวันไหนมีเหตุการณ์อะไรแล้วเราจะได้ฟังธรรมะอย่างถึงใจ ถ้าธรรมดาท่านเทศน์ถึงนิพพานก็ตาม แต่รู้สึกจะขาดอะไรๆ อยู่ เช่นอย่างเรารับประทานเหมือนจะขาดน้ำปลาอยู่ ถ้าท่านดุเปรี้ยงขึ้นมา หรือไม่ใช่อย่างนี้ เอาละ พุ่งๆ ทีนี้หาคำดุไม่มีเลย ยอมรับร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มี เด็ดเท่าไรดุเท่าไรมีแต่เรื่องธรรมออกล้วนๆ
ถ้าฟังธรรมดาไม่อยากฟัง ไอ้เราก็นิสัยอย่างนี้ด้วยอยู่กับท่านนานๆ เข้า ฟังธรรมะประเภทธรรมดานี้ก็ดีแต่ยังไม่สนิทใจนัก ถ้าได้รับฟังแบบเอะอะนั่นละถึงใจ ก่อนฟังจึงต้องมีแง่ละที่นี่ เรานั่นละตัวดื้อๆ มาอยู่กับท่านนานเข้าไปๆ หากมีเงื่อนอะไรอันหนึ่งให้ท่านเอะใจหรือดุเรา นั่นละได้ฟังธรรมะถึงใจๆ ตอนนั้น สรุปจนกระทั่งท่านมรณภาพหาคำว่าดุไม่มี ดุแบบโลกไม่มี มีแต่เรื่องธรรมล้วนๆ เด็ดเท่าไรยิ่งเป็นธรรมถึงใจๆ
แล้วก็มาพิจารณาถึงบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย มันก็คงจะเรียนวิชาแบบนั้นมาลบลวดลายอาจารย์มันละท่าพวกนี้ แต่ก่อนดุนี้กลัวนะ เดี๋ยวนี้มันไม่ได้กลัว ดุเท่าไรมันยิ่งคลานเข้ามาๆ บอกให้ไปเรียนวิชาหมานะไปเรียนวิชาหมา หมามันยังไม่แรง ให้เรียนให้เด็ดกว่านั้น ฟาดให้มันเหยียบกันลั่นมาล้มระนาวข้ามกันมา วิชานี้น่ะ มันก็ต้องได้ใช้วิชานี้อีกสอนลูกศิษย์ลูกหา ดุหรือไม่ดุมันไม่ได้สนใจ มันเป็นอย่างนั้น
นี่พูดถึงเรื่องธรรม ถ้าเป็นผู้มุ่งธรรมล้วนๆ แล้วไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นหาที่ต้องติไม่ได้เลย ไม่มี เด็ดเท่าไรธรรมะยิ่งเด็ดออกมา นั่นละรสแห่งธรรมที่ออกมาเด็ดๆ ถึงใจๆ เลย เราตั้งใจจะแก้กิเลสอยู่แล้วมันยิ่งพุ่งๆ เลย หลักธรรมชาติท่านก็สิ้นกิเลสแล้ว จะเอาอะไรมาดุ คำว่าดุเป็นกิเลส เมื่อสิ้นแล้วจะเอาอะไรมาเป็นกิเลสดุคน มันก็มีแต่ธรรมล้วนๆ ใจที่บริสุทธิ์แล้วจะทำอะไรให้โมโหก็ไม่มี คำว่าโมโหเป็นกิเลสก็สิ้นไปจากใจ เอาอะไรมาโมโห ก็มีแต่ฤทธิ์ของธรรมอำนาจของธรรมพุ่งออกมาแทนกิเลสเท่านั้นเอง เด็ดเดี่ยวเฉียบขาดเท่าไรยิ่งมีแต่ธรรมล้วนๆ ออกมา ฟังแล้วมันถึงใจๆ นะ
นี่เราก็พูดเราไม่ได้วัดรอย ใจดวงนั้นที่ท่านสอนด้วยความบริสุทธิ์ใจ จนกระทั่งท่านนิพพานจากไป ก็คือท่านเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งนั้นแหละ ไม่สงสัย หายสงสัยแล้ว ก็เดินตามรอยกันไป ตามรอยกันไป อันนี้มันก็เป็น ธรรมะก็เป็นเข้าสู่ใจๆ ฟาดเสียจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นไปจากใจหมดแล้ว จะเอาอะไรมาโกรธ ก็ความโกรธเป็นกิเลสมันสิ้นไปแล้ว เอาอะไรมาดุ ความดุความโกรธเหล่านี้เป็นกิเลสสิ้นไปแล้วจากหัวใจนี้ อะไรจะออกแทนมันก็มีแต่ธรรม ดุเด็ดขนาดไหนมีแต่ธรรมออก กิเลสหมดไปแล้วมันก็เป็นแบบเดียวกัน
เราพูดชัดๆ เราสอนใครก็ตาม เราไม่มีคำว่ากิเลสมาแฝงเลย จะดุด่าว่ากล่าวหนักเบามากน้อยเพียงไรจะเป็นธรรมล้วนๆ มันก็เลยมาเข้ากันได้กับเรื่องนี้แหละ เพราะฉะนั้นพวกนี้มันถึงได้มาลบลายเรา ลบลายก็ลบลายนะนี่ แม้ตั้งแต่เสือมันตายแล้วลายมันยังมีนะ ระวังให้ดีพวกนี้ อย่ามาลบลาย เสือมันตายแล้วลายมันยังมีอยู่ อันนี้คนนี้ไม่ตายอย่ามาลบลายนะ เดี๋ยวหลงทิศไปนะจะว่าไปบอก เข้าใจหรือเปล่าพวกนี้น่ะ ฟังเสียงตูมตามๆ มันแย่งกันมา มันอะไรกัน ถึงต้องให้ไปเพิ่มวิชามาอีก เอาให้เหยียบกันล้มระนาวมา ข้ามหัวกันมามันจะถึงพริกถึงขิง เข้าใจไหม วิชายังไม่ถึงขั้นนั้น สอนให้ไปถึงขั้นนั้นต่อไป ให้ถึงขั้นเหยียบกันระเนระนาดวิ่งไปล้มลุกคลุกคลานมาแล้วขี้แตกเยี่ยวราดตามถนนมาจะถึงใจ เข้าใจไหมล่ะพวกนี้ มันอะไรกัน ฟังเสียง พอได้ยินเสียงว่ามาแล้ว เสียงมันลั่นมาเลย มันวิ่งแข่งกันมา
นี่เรียกว่าธรรมกับใจ กิเลสนี้เป็นเจ้าอำนาจอยู่ในใจ ออกไปอะไรกิเลสจะออกหน้าๆ เพราะมันมีอำนาจเหนือธรรม เวลาธรรมยังไม่มีในใจจะมีแต่กิเลสออก อยู่เฉยๆจะสุขุมคัมภีรภาพขนาดไหน ส่วนกิเลสมันจะหมุนอยู่ภายในมัน เรียกว่ามันสุมอยู่ภายใน พอได้โอกาสมันออกมันก็เป็นกิเลสล้วนๆ ไปเลย ว่าดุดุจริงๆ โกรธจริงๆ เพราะอำนาจของกิเลส เพราะกิเลสมันออก ทีนี้เวลาชำระไปจนกระทั่งกิเลสสิ้นไปจากใจแล้ว ตัวไหนที่จะมาให้โกรธในใจไม่มี ถึงจะเป็นขนาดไหนก็ไม่มี เพราะเหตุใด เพราะมันหมดแล้วจะเอาอะไรมามี
ทีนี้อะไรที่มีที่แทนกันก็มีแต่ธรรมออก เพราะธรรมมีอำนาจเต็มที่แล้ว มีแต่ธรรม จะดุจะเด็ดเฉียบขาดขนาดไหนเป็นเรื่องของธรรมล้วนๆ ออกมาๆ เพราะกิเลสไม่มีจะออกแล้ว ครูบาอาจารย์ท่านผู้บริสุทธิ์ถึงจะแผดขนาดไหนก็มีแต่เสียงอรรถเสียงธรรม รสของอรรถของธรรมเท่านั้น รสของกิเลสไม่มี เพราะสิ้นไปแล้วจากจิตใจท่าน นี่ละธรรมเราบำเพ็ญลงไป บำเพ็ญลงไป เวลากิเลสหนาแน่นอยู่ที่ไหนมีแต่ความทุกข์ความทรมาน จะอยู่แบบสุขุมคัมภีรภาพก็มีแต่กิริยาภายนอกเฉยๆ ส่วนภายในเป็นฟืนเป็นไฟเผาหัวอกอยู่นั้นแหละ
ทีนี้พอเอาอันนี้ออก เอาอันนี้ออก ค่อยจางไปๆ ธรรมค่อยสง่าผ่าเผยขึ้นมาภายในใจ ความชุ่มเย็นของใจก็มี อยู่ที่ไหนก็มี ซุกหัวนอนที่ไหนก็ได้สบายไปเลยเมื่อธรรมมีในใจ แต่ถ้ากิเลสมีในใจไม่ได้นะ มันเหมือนกับหมาขี้เรื้อน หมาเป็นแผลที่หลังมันคอมัน หมาเป็นแผลเป็นอย่างไร ถูกหนอนเจาะหนอนไชอยู่บนหลัง ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่สบาย ไปอยู่บนบกก็หนอนเจาะหนอนไชอยู่ในนั้น ไปอยู่ในน้ำก็ไม่สบาย อยู่บนบกก็ไม่สบาย นอนอยู่ก็ไม่สบาย นั่งก็ไม่สบาย ไปที่ไหนหนอนเจาะหนอนไชให้เจ็บปวดแสบร้อนหรือรำคาญอยู่ตลอดเวลาเลย
ทีนี้พอเอาหนอนนี้ออกหมดแล้ว หมาตัวนั้นก็หายจากแผลที่หนอนเจาะหนอนไช นอนอยู่ที่ไหนสบายหมด หนอนนี้หมายถึงกิเลสมันเจาะมันไชอยู่ในหัวใจเรา เราเหมือนกับหมาตัวหนึ่ง ใจเหมือนกับใจหมาตัวหนึ่ง กิเลสเจาะไชอยู่ในนั้น อยู่ที่ไหนก็หาความสะดวกสบายไม่ได้ อันนี้มีในพระไตรปิฎก อยู่ที่ไหนไม่สบาย ลงน้ำไม่สบาย ไปบนบกไปนอนที่ลับที่แจ้งที่ไหนก็ไม่สบาย แต่พอรักษาแผลที่หนอนเจาะหนอนไชนั้น หนอนออกหมดแล้วทีนี้หาย อยู่ที่ไหนสบายหมด พอกิเลสประเภทต่างๆ ที่มันเจาะมันไชอยู่ในหัวใจของเราค่อยหมดไปๆ จนหมดโดยสิ้นเชิง อยู่ไหนสบายหมดเลย
นั่นละหมาตัวนั้นละ ใจดวงนั้นแหละที่เป็นแผล เอาแผลออกหมด คือกิเลสนั่นละเป็นแผลเจาะไชอยู่ในนั้น ออกหมดแล้วอยู่ไหนสบายหมดเลย นี่ละท่านถึงเรียกว่าผู้หายจากโรคคือกิเลสทั้งหลายแล้วอยู่ไหนท่านสบายหมด ไม่มีคำว่าที่นั่นไม่สะดวก อันนี้ไม่สะดวก ไม่ว่าที่อยู่ที่หลับที่นอนที่ไหนสบายหมด เพราะใจสบายแล้ว เรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย แล้วก็เข้ากันได้ด้วย ร่างกายนี่ไม่ใช่วิเศษวิโสอะไร ก็ธาตุสี่ดินน้ำลมไฟ บรรจุไว้ซึ่งของสกปรกเต็มเนื้อเต็มตัว แล้วจะไปหาปลูกสร้างอะไร หาสิ่งใดมาประดับประดาให้มันสดสวยงดงามขึ้นอีกในศพคนเป็นนั้น
มันก็เป็นศพคนเป็นอยู่นั้นเต็มตัว ยกขึ้นไปอยู่หอปราสาทราชมณเฑียรก็คือเอาศพคนเป็นขึ้นไปไว้ จะสวยงามที่ตรงไหน เป็นที่ส่งเสริมให้ศพคนเป็นนี้ดีขึ้นได้ที่ตรงไหน มันไม่ดี เพราะมันเป็นสภาพนี้ จะตกแต่งให้สวยงามขนาดไหน สวยงามแต่สิ่งภายนอก ตัวของเราผู้จะไปบรรจุหรือจะไปอยู่ที่นั่นก็หาความสวยงามไม่ได้ ก็คือศพคนเป็นนั้นเอง นี่ละท่านผู้ที่รู้เท่าทันทุกอย่าง บรรดากิเลสทั้งหลายที่พาให้ตกแต่งอันนั้นไม่ดีอันนี้ไม่ดี นี่คือกิเลสนะ อันนั้นไม่สวยอันนี้ไม่งาม ตกแต่งให้สวยให้งาม ไม่ได้ดูตัวของเราผู้เป็นตัวการนี้มันงามหรือไม่งาม ถ้าดูตัวนี้มันเป็นสภาพเช่นนี้แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็สร้างขึ้นพออยู่พอไปพอหลับพอนอน จะกินอะไรก็กินไป เพราะสภาพนี้ไม่ได้เลิศเลอกว่าสิ่งเหล่านั้น
ทีนี้ต่างอันต่างเสมอกันแล้ว เหมือนกันแล้วมันก็อยู่ได้สบาย ท่านนอนได้สบาย ร่มไม้ก็ได้ ที่ไหนก็ได้ การอยู่การกินท่านกินได้สบาย เพราะสภาพมันเป็นเหมือนกัน เข้ากันได้กับธาตุขันธ์ซึ่งเป็นศพคนเป็นนี้ ท่านจึงสบายๆ ท่านไม่ไปหาสร้างนู้นสร้างนี้หรูหราฟู่ฟ่าเป็นบ้าทั้งเป็นอยู่อย่างนี้เหมือนพวกเรา สร้างอะไรขึ้นมาก็ศพคนเป็นนี้ละขึ้นไปอยู่แล้วมันสวยงามที่ไหน นี่ละกิเลสหลอกคนให้ตกให้แต่งให้สดสวยงดงามทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรมาประดับประดา ก็เพราะสิ่งเหล่านี้มันสกปรก จึงต้องได้หาสิ่งมาลบล้าง มากลบมันไว้ มาปิดมันไว้ไม่ให้มันแสดงความอุจาดบาดตาจนเกินไป
ทีนี้เราทำมันเลยเถิดไปซีว่าให้สวยให้งาม ไอ้เราก็เป็นตัวอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา เป็นตัวศพอยู่แล้ว มันจะเป็นเทวดามาจากไหน มันก็แบบเดียวกัน ทีนี้โลกไม่รู้ จึงตกแต่งกันเป็นบ้าไปหมดเลย บ้านหลังหนึ่งๆ ตกแต่งขนาดไหน ให้สวยให้งาม ทั้งตกแต่งในนั้นทั้งตกแต่งภายนอก ตกแต่งทุกแห่งทุกหน บรรดาที่ศพทั้งเป็นนี้จะไปเกี่ยวข้องกับอะไรต้องตกแต่งนั้นให้เรียบร้อย ให้พอดูได้ๆ สวยงามๆ แต่อันนี้มันเป็นอย่างนั้นแหละ นี่มันต่างกันอย่างนั้นนะ
เพราะฉะนั้นท่านผู้ที่มีธรรมในใจ ท่านจึงไม่ยุ่งกับสิ่งภายนอกมากยิ่งกว่าที่จะปรับปรุงภายในใจ ชำระสิ่งสกปรกภายในจิตใจ คือกิเลสนี้ออกโดยลำดับลำดา แล้วใจก็ค่อยสบายๆ ไม่กังวลกับความเป็นอยู่ปูวาย อยู่ที่ไหนท่านอยู่ได้ กินอะไรท่านกินได้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นไปหมด อยู่ได้หมด อยู่ไหนอยู่ได้ อาหารประเภทใดกินได้ทั้งนั้นๆ เพราะเป็นสิ่งที่ควรแก่กันอยู่แล้วที่จะอยู่จะกินจะหลับจะนอนกับสิ่งเหล่านี้ ไม่มีอะไรปีนเกลียวกัน พอดี
นั่นละท่านวางสภาพลงสู่อันเดียวกัน ร่างกายนี้กับสิ่งภายนอกก็เป็นสภาพอันเดียวกัน อยู่ด้วยกันได้ทั้งนั้น อยู่ไหนอยู่ได้ นั่น จิตใจที่ถึงขั้นพอตัวแล้วเป็นอย่างไร วางสภาพไว้ตามหลักความเป็นจริงอยู่ได้หมด อะไรๆ สบายหมดๆ ท่านจึงไม่ยุ่ง เหมือนหมาเกาหมัดดังพวกเรา พวกเรามันเหมือนหมาเกาหมัด ไปที่ไหนเกา อันนั้นไม่ดีอันนี้ไม่ดี หาตกแต่งตั้งแต่สิ่งภายนอก จิตใจที่เป็นฟืนเป็นไฟเป็นส้วมเป็นถานนั้นแทนที่จะชำระล้างหรือดับมัน ไม่ยอมดับ ให้มันหลอกไป หาแก้ไขที่นั้นไม่ดีที่นี้ไม่ดี หัวใจที่มันเลวที่สุดไม่ดูเลย
โลกจึงหาที่ยึดที่เกาะไม่ได้ โลกอันนี้กว้างขนาดไหนสามแดนโลกธาตุ เป็นแบบเดียวกันหมด แต่ไม่มีใครที่จะมาชำระล้างมัน เพราะไม่มีธรรม ก็มีแต่กิเลสพาก้าวพาเดินมันก็เดินไปแบบนี้ละ อะไรก็ไม่พอ อะไรก็ไม่พอ ตายทิ้งเปล่าๆ ก็ไม่พอ นั่น ลงธรรมเข้าไปปั๊บนี้พอๆ อยู่ไหนอยู่ได้สบายไปหมด แล้วก็ไม่ยุ่งกวนในสิ่งที่ไม่จำเป็น พากันจำเอานะ
อย่างที่หลวงปู่มั่นท่านไปอยู่ที่ไหนอ่านได้หมดทันทีเลย ไปอยู่ที่ไหนท่านไปกั้นห้องศาลาอยู่เท่านั้น จะมาปลูกกุฏิมาปลูกหาอะไร อันนี้มันก็ดีอยู่แล้ว เท่านั้นพอ เท่านั้นพอตลอด เพราะท่านวางตัวกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ธาตุขันธ์กับสิ่งเหล่านี้พอเหมาะกันแล้ว จะไปหาวิเศษวิโสจากไหนมาอีกให้มันอยู่น่ะ ให้มันไปอยู่ไหนมันก็แบบเก่า ท่านก็ให้อยู่ตามสภาพที่เหมาะสมกัน ภายนอกกับภายในก็เป็นธาตุเป็นสมมุติด้วยกันให้อยู่ด้วยกันไปเท่านั้น จิตใจสง่างามแล้วอยู่ไหนสบายหมด
จิตใจที่สง่างามไปอยู่ที่ไหนไม่มีความเศร้าหมองนะ จ้าอยู่ตลอดเวลา เอาเข้ากองมูตรกองคูถก็ไปจ้าอยู่ในกองมูตรกองคูถ จิตใจที่สง่างามเลิศเลอแล้วอย่าเข้าใจว่าจะมัวหมองไปตามมูตรตามคูถนะ ไม่มี จ้าอยู่นั้น เอาเข้าในกองมูตรกองคูถอยู่ใต้ดินก็สง่างาม เอาขึ้นบนบกบนฟ้าอากาศสง่างามไปหมด จิตที่สง่างามเต็มตัวแล้วเป็นอย่างนั้น แม้ที่สุดจับซุกเข้าไปในกองมูตรกองคูถก็สง่างามอยู่ในกองมูตรกองคูถ นั่น เป็นอย่างนั้น ต่างกันอย่างนี้นะจิต จึงขอให้พากันเหลียวแลดูจิตใจบ้างซิ
โลกอันนี้โลกไขว่คว้า ไม่มีหลักมีเกณฑ์ทั่วแดนโลกธาตุ ดูแล้วน่าสลดสังเวชนะ มันสลดสังเวชจริงๆ คือไม่มีที่เกาะ คว้านั้นคว้านี้ อะไรก็ว่าดี อะไรก็ว่าดี คว้าแล้วพังทั้งนั้น สิ่งที่ได้ก็มีแต่ความหมดหวังๆ อย่างนั้นละโลก เรื่องหาอะไรหา ได้มาสักเท่าไรก็ได้มา ถ้าไม่ใช่ทางแล้วหาเท่าไรก็ตายทิ้งเปล่าๆ ต้องหาธรรม ศาสนาพุทธของเราเป็นศาสนาที่เลิศเลอควรแก่จิตใจของเราที่เป็นนักรู้แล้ว ให้นำมาประดับจิตใจของเราจะได้สง่างามขึ้นมา สง่างามขึ้นมา แล้วจะได้เห็นจิตใจของตัวว่าเป็นของสำคัญ เป็นของเลิศของเลอ ดีเป็นลำดับลำดาไป
ไม่เหมือนคนที่ไม่เสาะแสวงหาอรรถหาธรรมเลย หาแต่ด้านวัตถุ ตายทิ้งเปล่าๆ ไม่มีใครสมหวัง ผิดหวังกันทั้งนั้นแหละ ถ้าลงเสาะแสวงหาอรรถหาธรรม ความดีงาม ให้จิตใจได้อยู่ได้อาศัยกับอรรถกับธรรมแล้วสบายไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งสบายสุดยอด ไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพันเลย นั่นท่านผู้บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นท่านอยู่ที่ไหนท่านอยู่ได้สบายๆ ก็หัวใจพอแล้วอยู่ได้ทั้งนั้นแหละ ให้พากันจดจำเอานะ ให้ฝึกจิตใจเป็นของสำคัญ
โลกนี้ไม่มีที่ปล่อยที่วางละ นอกจากปล่อยวางลงกับอรรถกับธรรมเท่านั้น นี้จะเป็นที่ร่มเย็นเป็นสุข พอซุกหัวนอนได้เป็นอย่างน้อย มากกว่านั้นก็สง่างามเป็นลำดับ แล้วจะเห็นใจของเรานี้ว่าเป็นของสำคัญทีเดียว ถ้ามีธรรมแทรกเข้าไปปั๊บใจจะสำคัญขึ้นมาทันที ถ้ามีแต่กิเลสพันอยู่ตลอดเวลาแล้วจะไม่มีอะไรดีในโลก หาอะไรมาประดับประดาตกแต่งกิเลสตัวที่ไม่ดีมันก็จะตำหนินั้นว่าไม่ดีๆ วิ่งไปตามมัน ตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร หาที่ยึดที่เกาะไม่ได้ โลกนี้เป็นโลกไขว่คว้ามากที่สุดเลย เอาธรรมจับมันเห็นหมดนี่จะว่าไง ถึงกาลเวลาพูดพูด ก็มันเห็นอยู่จริงๆ จะให้ว่าอย่างไร แล้วมันจะเชื่อใครง่ายๆ ล่ะ ถ้าลงได้ประจักษ์กับหัวใจดวงนี้แล้วไม่ต้องไปหาใครมาเป็นพยาน มันจ้าอยู่นั้น ใครจะมาลบล้างแบบไหนๆ ก็เห็นกลมายาของกิเลสที่มาลบล้างธรรมไปเสียทั้งนั้นๆ แล้วจะไปหลงกลของกิเลสได้อย่างไร ท่านจึงไม่หลง
ให้พากันอดทนนะ ให้สั่งสมความดีงาม การทำบุญให้ทานเมื่อมีอยู่แล้วอย่าตระหนี่ถี่เหนียว นี้คือทางเดินเพื่อความพ้นทุกข์ อนาคตของเราไปข้างหน้า ความเป็นผู้มีศีลมีธรรมมีการทำบุญให้ทานนี้จะไม่อดอยากขาดแคลน เหลือเฟือไปตลอดๆ จนกระทั่งส่งเราถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพาน การบุญการกุศลที่เราให้ทานไปนี้จะเป็นเครื่องสนับสนุนเรา เป็นอาหารเครื่องเสวยต่อไปจนกระทั่งถึงนิพพาน ไม่พ้นจากการทำบุญให้ทานนะ อันนี้เป็นสำคัญ ส่งเราตามสายทางๆ ไปตลอดให้สงบร่มเย็นสมบูรณ์พูนผลไปตลอด จากนั้นก็ส่งให้ถึงพระนิพพาน ก้าวเข้าสุดท้ายก็คือจิตตภาวนาเป็นทำนบใหญ่ที่จะรวมแห่งธรรมทั้งหลายเข้าสู่ใจนั้นแล้วดีดผึงเลย
ให้ประดับประดาตกแต่งแก้ไขจิตใจนี้บ้าง ซึ่งเวลานี้กำลังขุ่นมัวมากทีเดียวจนมืดตื้อ ผู้ที่มืดตื้อที่สุดมันมีมากต่อมากเวลานี้ในโลกเรา เป็นผู้ใหญ่โตที่กิเลสเสกสรรปั้นยอว่าให้เป็นเจ้าเป็นนาย เป็นผู้มีอำนาจบาตรหลวงเท่าไรๆ ยิ่งส่งเสริมกิเลสให้มันพองตัวขึ้นไป แล้วสุดท้ายเจ้าของก็พัง จะให้กิเลสพาขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมไม่มีทาง แต่พาให้จมนั้นไม่ผิด ให้พากันจำ เอาละเทศน์เพียงเท่านี้พอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|