เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๙
บ้าไม่เลิกคือโลกวัฏวน
ก่อนจังหัน
เมื่อวานนี้ที่เอาของให้เวียงจันทน์นี้เขาก็ถ่ายเหมือนกันเหรอ (ถ่ายค่ะ) นั่น แล้วทั่วประเทศไทยนะ ดีไม่ดีทั่วโลก ความเสียสละใครมีได้ง่ายๆ เมื่อไรเสียสละ มีแต่กวาดเอาๆ ต้อนเอากวาดเอาเต็มโลก นี่คือกิเลส ถ้าธรรมแล้วเสียสละ ดูละเอียดทั่วถึงหมด อย่างเราจัดอาหารตอนเช้านี่เห็นไหม ถ้าธรรมดาเรามายุ่งอะไร ใครจะจัดก็จัดไปซี เราใส่บาตรเรา เต็มบาตรเราแล้วพอ ปิดบาตรปุ๊บเลย ไม่สนใจ นี้ไม่ได้ ต้องดูทุกแง่ทุกมุม ให้ความสม่ำเสมอคือธรรม มีมากมีน้อยขอให้สม่ำเสมอเป็นธรรม ที่มากมีแต่มาก ที่น้อยมีน้อย ที่ไม่มีไม่ดูกันใช้ไม่ได้เลย นี่ละธรรมละเอียดขนาดไหนดูเอาซิ ถ้าโลกแล้วมีแต่กว้านเอาๆๆ ธรรมไม่กว้านนะ ต้องดูให้เสมอภาคๆ นั่นละที่นี่ชุ่มเย็น
กิเลสนี่มีแต่กอบแต่โกยแต่กลืนอะไรอย่างนี้ เราพูดจริงๆ มันสลดสังเวชนะดูโลก เราเกิดในท่ามกลางโลก เกิดมานานเท่าไรเราก็ไม่รู้ พึ่งมารู้เอาชาตินี้ชาติที่ปฏิบัติ เวลานี้มันออกแล้วมันรู้หมด จะให้ว่าไง แต่จำเป็นอะไรจะต้องเอามาพูดทุกแง่ทุกมุม จะพูดเฉพาะที่ควรจะพูดพอจะเป็นคติหรือตัวอย่างอันดีแก่ผู้ฟังเท่านั้น นอกจากนั้นที่มันสุดวิสัยแล้วรู้ก็รู้อยู่อย่างนั้น ใครจะไปรู้ยิ่งกว่าศาสดาองค์เอกและสาวกท่าน รู้โลกรู้ตลอดทั่วถึงพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นการสอนโลกจึงไม่ผิด พระพุทธเจ้าสอนไม่มีผิด จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ
เอาไปซิธรรม ท่านทั้งหลายให้นำธรรมไปแจงหัวใจตัวเอง ธรรมนี้จะเข้าไปแจงหัวใจตนเองซึ่งเป็นมหาเหตุอยู่นั้น กิเลสมันทำงาน มหาโจรมหาภัยอยู่ที่จิตหมด เพราะกิเลสอยู่ที่นั่น ธรรมโผล่หน้าขึ้นไม่ได้นะ มีแต่กิเลสมันครอบๆ แสดงออกมาก็มีแต่ฟืนแต่ไฟ มีแต่มูตรแต่คูถต่อกัน แล้วจะหาความสงบร่มเย็นที่ไหน นี่ละกิเลสนำโลกนำอย่างนี้ มีความหมายที่ไหน ไม่มีนะความหมายในหัวใจดวงหนึ่งๆ ไขว่คว้าเหมือนกันหมดทั่วโลก ธรรมจับเข้าไปปุ๊บเห็นหมด จะว่าไง
ท่านผู้มีธรรมท่านเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ยิ่งท่านผู้บริสุทธิ์แล้วจ้าครอบหมดเลย จะให้ว่าไง ท่านก็สนุกดูถ้าว่าสนุกนะ แล้วใครจะไปสนุกดูสัตว์โลกถูกไฟเผาอยู่นี้ จะไปสนุกดูได้อย่างไร ก็มีแต่ความสลดสังเวช แต่ก็ไม่พ้นที่ว่ากรรมของสัตว์ ที่ได้ถูกแผดถูกเผาเพราะกรรมตัวเอง ทำขึ้นมาๆ ก็มาหาตัวเองๆ แล้วมันไม่มองดูกรรมที่เจ้าของทำ มีแต่จะให้ได้อย่างใจๆ แต่เวลาได้อย่างใจทำชั่วก็ได้อย่างใจเข้าสู่ใจซี
พระให้ตั้งใจปฏิบัติให้ดีนะ อย่าอ่อนข้อนะพระ ผมอยู่กับหมู่กับเพื่อนพูดจริงๆ ไม่ได้พูดโอ้พูดอวด พูดดูถูกเหยียดหยามหมู่เพื่อน แบบหลับหูหลับตาดูบ้างฟังบ้างนะ เก้งๆ ก้างๆ ดูลักษณะเผลอหรือไม่เผลอ ลักษณะมีสติหรือไม่มีสติ ตั้งท่าตั้งทางฆ่ากิเลส กระจายออกไปข้างนอกมันจะมีลวดลายของมัน ไอ้นี่ลวดลายเซ่อๆ ก็ออกจากลวดลายเซ่อๆ ซิ การปฏิบัติ กิเลสไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แหลมคมมากๆ
ท่านจึงยกมาแสดงถึงเครื่องมือปราบกิเลส สติเป็นพื้นฐานสำคัญในการก่อตั้งความพากเพียรตั้งแต่ต้น จากนั้นก็สติปัญญา คือสติกับปัญญา จากนั้นก็สติปัญญาอัตโนมัติ นี่ก้าวแล้วนะ ออกจากสติปัญญาอัตโนมัติ มหาสติมหาปัญญา นี่ละเครื่องฆ่ากิเลส คนเซ่อซ่าๆ ฆ่ากิเลสได้ยังไง มีแต่กิเลสฆ่าคนเซ่อนั่นแหละ กิเลสกินเลี้ยงกันวันยังค่ำ กินเลี้ยงพระเซ่อๆ ซ่าๆ เรานี่ จนเบื่อแหละ เบื่อกินพระเซ่อๆ กิเลสเลี้ยงโต๊ะกันตลอดเวลา พวกพระเซ่อๆ เรานี่ไม่มีความเฉลียวฉลาดที่จะฟัดปากกิเลส มึงกินกูอะไรนักหนา กินมากี่กัปกี่กัลป์แล้วมึงยังไม่อิ่มพออีกเหรอ ตีปากกิเลสบ้างซิ ตีปากกิเลสคือสติปัญญา เข้าใจไหม ฟัดเข้าไปหาจุดสำคัญๆ
โห ธรรมเลิศขนาดไหน เลิศขนาดเราอยากพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่านะเรื่องความเลิศของธรรม จะเอาอะไรมายืนยัน ใจทีเดียวเป็นเครื่องยืนยัน ใจเป็นผู้ปฏิบัติธรรม จะรู้ธรรมเห็นธรรม ใจขวนขวายกิเลสจะมีแต่กองทุกข์ฟืนไฟเต็มอยู่หัวใจด้วยกันทั้งนั้นแหละ พระที่มาอยู่นี้ก็รับไว้ๆ มากเรื่องมาก ต้องได้ตีเอาไว้ตบเอาไว้ ไม่อย่างนั้นมันเหลือเฟือแล้วก็เฟ้อ พระเฟ้ออยากเห็นที่ไหนล่ะพระเฟ้อ มีมากเข้าเฟ้อ พระเฟ้อนี่เลวยิ่งกว่าสิ่งทั้งหลายเฟ้อนะ ยังหยิ่งเจ้าของอยู่เหรอ ได้ผ้าเหลืองพระพุทธเจ้ามาครอบหัวโล้น ไปที่ไหนก็หยิ่ง อาตมาๆ ไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวนี้พระพวกเรามีแต่พระประเภทอาตมา-โยม อาตมาหยิ่งด้วยยศด้วยศักดิ์ ยศศักดิ์เป็นยังไง ท่านที่ตั้งยศให้ก็มีมาแต่ครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าตรัสรู้และสั่งสอนสัตว์โลก พระอรหันต์ที่ควรจะยกยอให้เป็นตัวอย่างแก่โลก ไม่ได้เป็นตัวอย่างอันดีแก่ท่านผู้เป็นพระอรหันต์แล้วนะ ท่านพอทุกอย่าง อะไรท่านพอหมด เหตุใดพระพุทธเจ้าจึงทรงตั้งเอตทัคคะ เรียกว่าสมณศักดิ์ ศักดิ์ศรีของพระนั้นแหละ องค์นี้เลิศทางนั้น องค์นั้นเลิศทางนั้น องค์นี้เลิศทางปัญญา องค์นี้เลิศทางฤทธาศักดานุภาพ องค์นั้นเลิศทางนั้น ๘๐ องค์ ที่พระพุทธเจ้าตั้งเอตทัคคะ เลิศคนละทางๆ
อันนั้นแหละที่เอามาทุกวันนี้ แทนที่จะเป็นตัวอย่างอันดีงามมันกลับตัวเลวร้ายเข้าไปทำลายขนบประเพณีอันดีงามของพระพุทธเจ้าไปเสียมากต่อมาก บวชเข้ามาตั้งหน้าตั้งตาหาแต่ยศแต่ศักดิ์ ศีลธรรมในหัวใจไม่มองดูเลย เพศนี่เป็นเพศศีลเพศธรรมนะ อยู่ที่ไหนเพศมีสติเพศมีปัญญา เพศสำรวมระวัง เพศอดเพศทน เพศสุขุมคือเพศของพระ ไม่อย่างนั้นเป็นสรณะของโลกไม่ได้ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ จะเอาคนเซ่อๆ มาเป็น สรณํ คจฺฉามิ ได้ยังไง ต้องเอาคนดีเลิศเลอ พุทฺธํ เลิศเลอ ธมฺมํ เลิศเลอ สงฺฆํ เลิศเลอ นั่นแหละมาเป็นสรณะที่พึ่งที่เกาะของโลก
พระเราให้เป็นที่พึ่งของตัวให้ได้นะ ให้ดูที่พึ่งของตัวเสียก่อน สติตั้งให้ดี สติตั้งดีแล้วอะไรไม่ค่อยผิดพลาด ทำการทำงานอะไรสติติดแนบอยู่กับตัวจะไม่ค่อยเผลอ ผิดก็ไม่มาก ถ้าแบบนิสัยๆ นี่เหลวได้ทั้งนั้น ทางญาติโยมก็ให้พากันตั้งอกตั้งใจ ปฏิบัติเลอะเทอะมากนะเดี๋ยวนี้ เราพูดถึงว่าโลกอันนี้มีเลอะเทอะแต่พระอย่างเดียว โลกทั้งหลายยิ่งเลอะเทอะมากกว่าพระไปอีก นั่นมากขนาดไหน พากันคิดบ้างซิ ความสุขความทุกข์ ความเดือดร้อนวุ่นวายกระทบกระเทือนถึงกันอยู่มนุษย์เรา ถ้าต่างคนต่างประพฤติปฏิบัติดีต่อกันแล้วของดีไม่เฟ้อ
ส่วนมากมีแต่ของเลวๆ นั่นละมันเฟ้อๆ อย่าทำตัวให้เป็นคนเฟ้อ วันหนึ่งๆ ให้ดูตัวเองอย่าให้เฟ้อ ความประพฤติเหลวแหลกแหวกแนวนี้คนเฟ้อ นั่งอยู่ก็เฟ้อ นอนอยู่ก็เฟ้อ ทำอะไรไปก็เฟ้อหมด ถ้าทำตัวให้เป็นคนเฟ้อ ด้วยความเลวแล้ว ถ้าตัวดีแล้วอิริยาบถทั้งสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่เฟ้อ พากันจำเอาให้ดี เอาละให้พร
หลังจังหัน
พระสีวลีนี้ ครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าประทานสมณศักดิ์หรือว่าเอตทัคคะให้พระสีวลีเป็นผู้ที่เลิศทางอติเรกลาภมาก ไปที่ไหนเหลือเฟือล้นหลามไปเลยพวกจตุปัจจัยไทยทาน ทั้งเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม มนุษย์มนา ถวายจตุปัจจัยไทยทานท่าน ชาติสุดท้ายท่านมาเป็นพระสีวลี ทีนี้ผลตามสนอง นอกจากตามสนองให้หลุดพ้นไปแล้วยังตามสนองในเวลามีธาตุมีขันธ์ ไปที่ไหนปัจจัยไทยทานนี้เกลื่อนไปเลย เวลาดูประวัติย้อนหลังของท่าน โห ของง่ายเมื่อไร เป็นนักเสียสละจนร่ำลือ นั่นเห็นไหมล่ะ ท่านเป็นนักเสียสละ นักทำบุญให้ทาน จนร่ำลือเรื่อยมา ในวาระสุดท้ายท่านเป็นพระอรหันต์ เป็นชาติสุดท้ายแล้ว ทีนี้จตุปัจจัยไทยทานจึงมาสนองส่งเสียท่านในวาระสุดท้าย
พอพูดอย่างนี้ก็ระลึกถึงพระธรรมไตรโลกาจารย์ วัดทุ่งศรีเมือง กับเราสนิทสนมกันมาก ท่านไม่มีคำว่าถือเนื้อถือตัว เข้านอกออกในได้หมด กับพระเจ้าพระสงฆ์พระเณรลูกๆ หลานๆ เข้าได้หมด ท่านไม่มีอะไรเลยเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ เป็นอันเดียวกันกับพระลูกพระหลานไปหมด นิสัยท่านชอบพูดเล่น พอเจอเราทีไรเอากันละ ท่านนิสัยชอบเล่น พอดีมีงานเผาศพท่านอาจารย์ภุมมี ที่วัดโนนนิเวศน์ อุดร ท่านกำลังฉันอยู่ เรากำลังไปถึงจะไปฉันที่นั่น ท่านเริ่มลงมือฉันแล้ว พอไป มันเป็นอะไรมาตั้งแต่ก่อนก็ไม่ทราบ ท่านพูดก่อนนี้อีกด้วย พอเห็นเราโผล่เข้าไป เอ้อ พระสีวลีมาแล้วๆ ร้องลั่นขึ้นเลย เราก็โมโหแต่พูดไม่ออก ท่านว่าพระสีวลีมาแล้วๆ งานเผาศพท่านอาจารย์ภุมมี น่าจะไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปีแล้วมังที่วัดโนนนิเวศน์ คงเป็นพระสีวลีมาตั้งแต่โน้นละมัง นี่มาพูดทีหลังมันโมโห
พูดนี้มันส่อถึงจิตใจของสัตว์โลกนะ เรื่องกว้างเรื่องแคบ เรื่องมีมากมีน้อย อย่างพระสีวลีก็มาตามสายทางของท่านที่บำเพ็ญมา เพราะท่านเป็นนักเสียสละ ตั้งแต่เป็นฆราวาสญาติโยมไปที่ไหนต้องเป็นหัวหน้าเขาตลอด แม้ที่สุดในงานต่างๆ เขาต้องมาเชิญท่านไปเป็นหัวหน้างาน เพราะท่านเป็นนักเสียสละ นักทำบุญให้ทาน เรียกว่าลือนามมาตลอด ที่นี่สายทางของท่านเป็นมาอย่างนี้ เวลาสุดท้ายได้ถูกยกเป็นเอตทัคคะ เลิศในทางมีอติเรกลาภมาก ก็อย่างนั้น เป็นมาตามสายบุญสายกรรม เจ้าของเคยทำมายังไงๆ เป็นรอยติดตัวเอง เป็นเงาติดตามตัวๆ มาเรื่อยๆ
ผู้ที่จนที่สุดก็เคยเล่าให้ฟังแล้ว ไปโผเผอะไรมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ไปเป็นพระ เป็นพระแล้วไปบิณฑบาตที่ไหนได้อาหารมาฉันไม่อิ่มเลย ไม่มีวันไหนที่จะฉันอิ่ม ไปบิณฑบาตพระครูบาอาจารย์หรือเป็นเจ้าอาวาสเป็นต้น ท่านก็พยายามทำ ช่วยแจกแจงช่วยส่งเสริม ไปบิณฑบาตให้ท่านออกเดินหน้า เขาก็ไม่เห็นเสีย ยิ่งอยู่สุดท้ายอาหารหมดก่อนแล้ว เป็นอย่างนั้นตลอด ฟังซิน่ะ นี่โทษแห่งความตระหนี่ เห็นชัดๆ ในตำรา จนเสียงร่ำลือไปถึงพระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ ว่าพระองค์นี้ตั้งแต่บวชมาจนกระทั่งถึงวันตาย ฉันจังหันไม่มีอิ่มเลย ทั้งๆ ที่อาหารใครก็จัดให้ๆ เวลาฉันไปมันหาก...นั่นละอำนาจของกรรม มันค่อยหมดไปๆ ยังไม่อิ่มหมดแล้ว
อำนาจแห่งกรรมใครจะไปคาด คาดกรรมคาดไม่ได้นะ นตฺถิ กมฺมสมํ พลํ ไม่มีอานุภาพใดจะเหนืออานุภาพแห่งกรรมดีกรรมชั่วไปได้ นั่นท่านก็บอกไว้แล้ว ใครจะอวดขนาดไหนก็อวด ผู้อวดก็อยู่ใต้อำนาจของกรรมเหมือนกัน ทีนี้พระองค์นั้นไปบิณฑบาตที่ไหน เวลามาฉันนี่ซิสำคัญฉันไม่เคยอิ่ม หมดแล้วๆ พระทั้งหลายตลอดครูบาอาจารย์ท่านทดลองทุกอย่าง ช่วยเหลือทุกอย่างก็ไม่สำเร็จ เพราะกรรมอยู่กับคนๆ นั้น คนอื่นมาแก้ก็แก้อย่างนั้นละ จนเรื่องราวสะเทือนไปถึงพระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ มาเลยเชียว เตรียมอาหารทุกอย่างมาเลย
ถามท่าน ได้ทราบว่าท่านฉันจังหันไม่เคยอิ่มตั้งแต่วันบวชมา เป็นความจริงประการใดบ้าง ยอมรับเลยว่าเป็นความจริง เป็นเพราะเหตุไร ท่านถาม ไม่มีใครใส่บาตรให้เหรอ มี การสงเคราะห์สงหามี แต่เวลาเข้ามาในบาตรแล้ว ฉันลงไปๆ ยังไม่ถึงไหนข้าวหมดแล้วๆ ไม่เคยอิ่มเพราะเหตุนี้เอง เหมือนกับว่าอาศัยอำนาจพระสารีบุตรเป็นวาระสุดท้ายให้โลกได้เห็น วันนี้ท่านจัดอาหารใส่บาตรให้เลย พระสารีบุตรเป็นผู้จัดอาหารใส่บาตร เสร็จแล้ว เอา ฉัน ท่านก็นั่งเฝ้าอยู่นั้น แต่พระสารีบุตรต้องจับขอบปากบาตรเอาไว้ให้ท่านฉัน เอา ฉันให้อิ่มวันนี้
พระสารีบุตรท่านจับขอบปากบาตรไว้ ถ้าปล่อยมือนี้มันจะหมด..อาหาร ท่านก็ฉันเสียเต็มเหนี่ยว ถ้าเป็นหลวงตาบัวนี้จะเอาย่ามสะพายทางนี้ๆ ฉันด้วยใส่ย่ามด้วย ก็ไม่เคยฉันอิ่ม วันนี้ฉันอิ่มก็ต้องให้เต็มย่ามด้วย เลยอิ่มวันนั้นและตายในคืนวันนั้น แปลก จะฉันมากไปหรือไงไม่รู้ ไม่เคยอิ่ม พออิ่มวันนั้นเลยตายคืนวันนั้น นี่ละที่ว่า นตฺถิ กมฺมสมํ พลํ ไม่มีอานุภาพใดที่จะเหนืออานุภาพแห่งกรรมดีชั่วไปได้ นั่น ท่านแสดงไว้แล้ว เพราะฉะนั้นใครอย่าอวดนะ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเองเรื่องกรรม พระองค์ทรงเสวยกรรมมาไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้าแหละการเสวยกรรม ท่านจึงนำเรื่องกรรมมาสอนโลกแล้วจะผิดไปไหน
ใครอย่าประมาทกรรมไม่ได้นะ ให้กิเลสมันปิดหูปิดตาไม่เชื่อบุญเชื่อกรรม อยากทำอะไรก็ทำๆ มันก็มีแต่กรรมชั่ว ครั้นสุดท้ายก็จมเพราะกรรมของตัวเอง อำนาจแห่งกรรมสำคัญ เอาดูเวลาเราภาวนา เราอย่าไปดูที่อื่นให้รู้ระหว่างกรรมดีกรรมชั่ว กิเลสกับธรรมฟัดกัน ธรรมเด็ดเท่าไรกิเลสค่อยอ่อนตัวลง พอธรรมอ่อนเท่าไรกิเลสเหยียบหัวทันที มันไม่หาบันไดละกิเลสเหยียบหัวเลย กิเลสไม่ต้องหาบันไดปีนบันไดขึ้นไปเหยียบหัวพระหัวคน โดดขึ้นใส่หัวนี้เหยียบหัวเลย อ่อนไม่ได้ นี่ได้เห็นชัดๆ ประจักษ์ในหัวใจ ถึงขั้นสติปัญญาเกรียงไกร เราจะพูดให้ฟังทั้งสองเลย เพราะออกจากเวทีคือหัวใจดวงนี้
เวลาออกปฏิบัติจิตใจมันมืดหนาจริงๆ เจ้าของก็ตะเกียกตะกายจะเป็นจะตาย ทนเอาๆ ถึงขนาดตั้งสตินี้ตั้งไม่อยู่ พอตั้งพับล้มพร้อมกันเลย ตั้งเพื่อล้ม ไม่ได้ตั้งเพื่ออยู่ โถ ขนาดนี้เชียวเหรอ ไปอยู่บนภูเขาจะไปฟัดกับกิเลส นี้สดๆ ร้อนๆ มาพูดอยู่เรื่อยๆ จึงไม่มีคำว่าจืดจาง มันออกจากหัวใจ หัวใจตัวเองที่ล้มเหลวสู้กิเลสไม่ได้ ตั้งสติพับล้มผล็อยๆ ตั้งเท่าไรมันก็ล้มตลอดเวลา เคียดแค้น น้ำตาร่วง เราไม่ลืมนะ น้ำตาร่วงคือสู้กิเลสไม่ได้ ยอมรับว่าไม่เป็นท่า สติตั้งไม่ได้เลย กิเลสตีทีเดียวล้มๆ ตลอด
จึงได้เอามาเป็นคติ ฟัดจนน้ำตาร่วงจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา ออกอุทานในหัวใจเลย แต่ไม่ได้ออกปากพูด โถมึงทำกูขนาดนี้เชียวเหรอ ว่าอย่างนั้น น้ำตาพังสู้มันไม่ได้ อยู่บนภูเขาลืมเมื่อไร โถ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ ทีนี้เอาละบทตัดสินกันนะ เอาละอย่างไรมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย เคียดแค้นเต็มหัวใจ ความเคียดแค้นนี้เป็นมรรคนะ ความเคียดแค้นให้บุคคลผู้ใดสัตว์ตัวใดก็ตามเป็นกิเลส เป็นบาปเป็นกรรม แต่ความเคียดแค้นให้กิเลสที่เป็นข้าศึกต่อเรานี้กลายเป็นมรรค เป็นอรรถเป็นธรรม นี่ละมันฝังลึกนะ น้ำตาร่วงฝังลึกมาก
ไปโรงงานใหญ่ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไปอบรมกับท่าน แล้วกลับไปอีกล้มทั้งหงายอีก เรียกหงายหมา หงายไม่เป็นท่า กลับมาอีกเอาอีก ไม่ถอย เพราะความเคียดแค้นนี้ฝังลึกมาก บอกว่ามึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เป็นอยู่ในใจนะ เอาละมึงต้องพึงวันหนึ่งให้กูถอยกูไม่ถอย นี่ละมันฝังลึกความเคียดแค้นอันนี้ นี่ละเป็นมรรค มุมานะ หลายครั้งต่อหลายหนมันก็ได้ซิ หลายครั้งหลายหนมันก็ได้แหละ ตั้งล้มผล็อยๆ ต่อไปตั้งได้ๆ หลายวิธีการที่ฟัดกับกิเลส จนกระทั่งตั้งได้ๆ ก็ฟัดใหญ่เลย
เอาที่นี่ไปถึงขั้นที่มันเกรียงไกร มันฟิตของมันเต็มเหนี่ยวๆ แล้ว เป็นสติปัญญาอัตโนมัติเลยที่นี่ สติปัญญานี้อยู่ที่ไหนหมุนตัวเป็นธรรมจักรเลย ฆ่ากิเลสตลอด นี่ถึงขั้นมันเกรียงไกร เวลานั้นเป็นเวลากิเลสฟัดเราหงายหมาๆ คราวนี้เราฟาดกิเลสไม่ทราบหงายหมาหงายอย่างไรก็ไม่รู้แหละ สติปัญญานี้เวลาได้ออกแล้วนี่เห็นประจักษ์กับเจ้าของมันพูดได้เต็มปากนะ อะไรก็ตามถ้าได้เป็นกับเจ้าของแล้วไม่สงสัย ไม่ต้องไปถามใครเลย ถึงสติปัญญาขั้นอัตโนมัติแล้วนี้ฆ่ากิเลสไม่มีถอยเลย เป็นอัตโนมัติเหมือนกับกิเลสฆ่าทำลายสัตว์โลกโดยอัตโนมัติของมัน หัวใจทุกดวงกิเลสทำงานโดยอัตโนมัติทั้งนั้น
เวลามันเป็นอันนี้แล้วมันถึงย้อนไปรู้หมด โอ๋ กิเลสทำลายหัวใจสัตว์โลกก็เป็นอัตโนมัติอย่างนี้เอง อย่างที่สติปัญญาเป็นอัตโนมัติฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง มันหมุนติ้วเลยไม่มีเวลาหยุด ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ เผลอเมื่อไรไม่ต้องถาม ลงสติเป็นอัตโนมัติแล้วไม่มีคำว่าเผลอ หมุนติ้วๆ เอาเสียบางทีจนมันขึ้นเหมือนกันนะจิตก็ดี ฟัดลงไปเหมือนว่ากิเลสหมอบราบหมดไม่มีอะไรเหลือเลย เห็นแต่จ้าอยู่ในใจ
เหอ กิเลสไปที่ไหนหมด หมดแล้วเหรอนี่ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ ว่าเฉยๆ นะ ยังไม่ได้สำคัญว่าเป็นอรหันต์นะนั่น แต่ว่ากิเลสหมอบ เวลากิเลสหมอบด้วยสติปัญญาอัตโนมัติ ซัดลงไป ๆ จนกระทั่งกิเลสหมอบเงียบเลย ไม่มีอะไรเหลือ เหอ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ ว่าเฉยๆ ไม่ได้สำคัญตน สักเดี๋ยวก็โผล่ขึ้นมาอีก ซัดอีกๆ เป็นอัตโนมัติ จากอัตโนมัติเป็นมหาสติมหาปัญญา ทีนี้ซึมเลย
ขั้นสติปัญญาอัตโนมัติเหมือนกับเรายำอะไรเป็นบทเป็นบาท ปั๊กๆๆๆ ไป พอถึงขั้นเป็นมหาสติมหาปัญญาแล้วซึมไปเลย ไม่ได้เหมือนกัน ท่านจึงให้นามว่าสติปัญญาอัตโนมัติ มหาสติมหาปัญญา เลยอัตโนมัตินี้ไปแล้วเป็นมหาสติมหาปัญญาซึมเลยตลอด ทีนี้กิเลสไม่มีบ้านอยู่เรือนอยู่แหละ ตั้งแต่เริ่มสติปัญญาอัตโนมัตินี้ไป กิเลสจะวิ่งหมอบหลบซ่อน ที่จะเกิดขึ้นมาเกิดไม่ได้ เกิดขึ้นมาอะไรก็ขาดสะบั้นๆ ไปเลย จนถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้วซึมเลยเทียว กิเลสมันจะซึมมาทางไหนทางนี้ซึมรับกันปุ๊บๆๆ เห็นอยู่ในหัวใจ
จนกระทั่งถึงขั้นมันแล้วกิเลสม้วนเสื่อ พรึบลงหมดไม่มีอะไรเหลือ นี่อวิชชาตกบัลลังก์จากหัวใจที่มันขึ้นอยู่บนหัวใจ มันถือเป็นบัลลังก์ของมัน ว่าที่การงานในวัฏจักร ต่อสัตว์ทั้งหลายเป็นประจำได้พังลง พังลงก็ดีดผึงเลยทันที เหมือนว่าฟ้าดินถล่ม รุนแรงขนาดนั้นนะ กายนี้ไหวไปเลยเชียว ระหว่างกิเลสกับธรรมขาดสะบั้นจากกันในหัวใจของเรา ร่างกายนี้ไหว สะดุ้งเลยทีเดียว มันรุนแรงขนาดนั้น จึงเหมือนว่าฟ้าดินถล่ม ความจริงฟ้าดินเขาก็อยู่ของเขา แต่มันอยู่ที่ระหว่างกายกับจิตมันไหวกันอย่างรุนแรง
ทีนี้อรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่เลยไม่ถามถึงเลย ไม่ถามถึง ทีแรกก็ว่ากิเลสหมดไปแล้ว เหอ มันหมดแล้วเหรอกิเลสไปไหนหมด มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ ว่าตอนนั้นตอนฟัดกับกิเลส แต่เวลามันขาดสะบั้นจริงๆ เลยไม่ถามถึงอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่เลย ไม่ถามเลย นั่นละมันลงได้เป็นในหัวใจ นี่ละที่ธรรมเวลามีกำลังมากแล้วนี้ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน เหมือนกับกิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์เป็นอัตโนมัติของมันตลอด ไม่ว่าทางไหนจะเคลื่อนไหวกิเลสทำงานทั้งนั้นๆ เป็นอัตโนมัติ แต่ก่อนเราก็ไม่เคยคิด แต่เวลาอันนี้มันหมุนตัวเป็นเกลียว ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัตินี้ จึงได้ย้อนไปรู้ อ๋อ กิเลสทำลายสัตว์โลกก็เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน นั่นมันเข้ารับกันแล้ว
พออันนั้นพังไปแล้วมีกิเลสตัวใดที่จะมาแสดงอีก พูดให้มันชัดเจน หมดโดยสิ้นเชิง พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ นั่นละบทตัดสินกัน ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่มีงานที่จะแก้กิเลสอีกต่อไปเลยจนกระทั่งวันปรินิพพาน หมดโดยสิ้นเชิง จึงเรียกว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว พรหมจรรย์คือการประพฤติปฏิบัติธรรม ฆ่ากิเลสได้สิ้นสุดลงไปแล้ว งานที่ควรทำได้ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว งานอื่นที่จะทำให้ยิ่งกว่านี้ไม่มี นั่น หมดโดยสิ้นเชิง
นั่นละงานของโลกไม่มีที่สิ้นสุด ตายกอดกันไปกับงาน แต่ธรรมนี้เมื่อถึงขั้นสิ้นสุด สิ้นสุด หมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเข้ามาสอดแทรกเข้าอีกแล้ว จิตพระพุทธเจ้า จิตพระอรหันต์ไม่มีกิเลสตัวใดจะไปสอดแทรก หมดโดยสิ้นเชิง มันก็ประจักษ์อยู่ในใจ ทีนี้การเกิดการตายก็เป็นธรรมดา เป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง แล้วจะไปตื่นเต้นกับมันอะไรเรื่องเป็นก็ดี เรื่องตายก็ดี มันมีน้ำหนักเท่ากัน เรียนจบหมดแล้ว แล้วจะไปตื่นหามันอะไร มีแต่มันพังลงไป ธรรมชาตินี้เป็นอย่างไรมันก็รู้อยู่นี่ ที่นอกจากกฎ อนิจฺจํ อันนี้ไม่ใช่กฎ อนิจฺจํ ผ่านไปหมดแล้ว มันก็รู้อยู่งั้น แล้วจะไปถามหาที่เกิดที่ตายที่ไหน พระอรหันต์ท่านไม่ถาม ถึงวาระที่ไหนที่จะควรปล่อยวางท่านก็ปล่อย เข้าร่มไม้ร่มเดียวก็ได้ อยู่ที่ไหนเข้าไปปั๊บพุ่งไปเลย เรื่องขันธ์เรื่องนี้ท่านเรียนจบแล้ว ท่านจะไปตื่นเต้นกับมันอะไร
นั่นละมันรู้อย่างนั้นซิธรรมพระพุทธเจ้าสอนโลก มีตั้งแต่เรียนกันเป็นหนอนแทะกระดาษทั่วโลกดินแดนในชาวพุทธเรา ไม่มีใครนำมาสนใจปฏิบัติ ให้ได้เห็นเรื่องราวดังพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้จากการรู้การเห็นของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีเลยที่จะมาปฏิบัติอย่างนั้น แล้วจะเห็นมรรคเห็นผลอะไร เรียนก็เรียนไปอย่างนั้นเรียนจดเรียนจำ ความจดความจำไม่ใช่สมบัตินะ ไม่ใช่เป็นสมบัติของตัวเอง การปฏิบัติผลเกิดขึ้นจากการปฏิบัติต่างหาก นั้นเป็นสมบัติของตน รู้มากรู้น้อย ท่านจึงว่าปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติคือการศึกษาเล่าเรียนนับแต่ เกสา โลมา นี่ปริยัติแล้วนั่น จากนั้นนำอันนี้ไปคลี่คลายพิจารณา
เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ จะควรเป็นคำบริกรรมในสมถธรรมก็เอา ให้จิตสงบด้วยอาการเหล่านี้กรรมฐานนี้ เมื่อสติปัญญาเรามีแล้วอันนี้เลยกลายเป็นหินลับปัญญาไปที่นี่ คลี่คลายออกๆ หมด จนกระทั่งหมดโดยสิ้นเชิงแล้ว กรรมฐานเหล่านี้ก็ลดหมดไม่มีเหลือเลย เพราะนี้เป็นทางเดินทั้งหมด เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตลอดอาการ ๓๒ เป็นทางก้าวเดินของจิต จิตยังไม่สงบอาศัยอันนี้ให้สงบ บริกรรมอันนี้แล้วสงบอยู่กับนี้ พอก้าวถึงปัญญาคลี่คลายสิ่งเหล่านี้ให้แตกกระจายออกหมด ปล่อยวางโดยหลักธรรมชาติตามความเป็นจริง หมดโดยสิ้นเชิง ผ่านหมดแล้วที่นี่กรรมฐาน กรรมฐาน ๕ กรรมฐานใดก็ดีผ่านหมด เมื่อผ่านไปหมดแล้วถึงแดนนิพพานแล้วไม่มีกรรมฐาน เราบอกตรงๆ เลย
ให้เห็นในหัวใจซี ก้าวไปผ่านไปๆ พ้นไปแล้วจะมากอดบันไดอยู่ทำไม เราขึ้นบันไดเพื่อถึงบ้าน เมื่อถึงบ้านแล้วใครจะมากอดบันได อันนี้เป็นทางเดินเหมือนบันได พอถึงบ้านแล้วบันไดนี้ก็หมดปัญหาไปเลย ไม่มีใครพูดอย่างนี้แหละ พระอรหันต์ไม่มีกรรมฐาน จะมีอะไรในหัวใจของท่าน ท่านไม่มี เหล่านี้เป็นสมมุติทั้งมวล นั่น มันก็หมดโดยสิ้นเชิง นี่ละการปฏิบัติธรรม ถ้าใครปฏิบัติรู้ นี้มันไม่ปฏิบัติ มีแต่กิเลสเหยียบธรรม เหยียบหัวใจ ธรรมอยู่ที่หัวใจ กิเลสเหยียบย่ำทำลาย ไปที่ไหนเห่อเป็นบ้ากันทั้งโลกทั้งสงสาร มองดูแล้วสลดสังเวชนะ ไม่มีใครที่จะรู้เนื้อรู้ตัว ได้สติสตังพิจารณาให้เป็นอรรถเป็นธรรมบ้าง มีแต่กิเลสเหยียบเอา ได้เท่าไรยิ่งเป็นบ้าด้วยการได้ ไม่ว่าได้ลาภได้ยศ สรรเสริญเยินยอ เป็นบ้ากันทั้งนั้นโลกนี้โลกบ้า บ้าไม่เลิกคือโลกวัฏวน พากันจำเอานะ เอาละเทศน์เท่านั้นละวันนี้
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |