ความทุกข์ของพระกรรมฐาน
วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2544 เวลา 8:00 น. ความยาว 68.28 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๔

ความทุกข์ของพระกรรมฐาน

         มันหนาวยังไง มันหนาวอากาศฝนจะตกหรือมันหนาวอะไร ดูเหมือนฝนจะตกนะ เย็นแบบฝนจะตก ฝนตกหน้านี้หนาวมาก ไม่ได้เหมือนหน้าฝนธรรมดา หน้าฝนธรรมดาฝนตกนี้ก็หนาวธรรมดา แต่ตกหน้านี้ อู๊ย หนาวจริง ๆ จนตัวสั่นไปได้เลย หน้าเดือนอ้ายเดือนยี่ที่มันต่อปีใหม่ปีเก่า รู้สึกว่ามันหนาวจริง ๆ เรานี้อยากจะพูดว่าโดนทุกปี คือหน้านี้ออกเที่ยวแล้ว ออกเที่ยวอยู่ตามป่า แต่ยังไม่ได้ขึ้นถ้ำ ขึ้นถ้ำจะเป็นเดือนมีนา เมษา ที่เป็นหน้าร้อน เข้าไปอยู่ในถ้ำเย็นดี มีนา เมษา เป็นหน้าร้อน เราไปอยู่ตามถ้ำเย็นสบาย ๆ หน้านี้ยังไม่ได้ขึ้นทางภูเขาเข้าถ้ำอะไร ถึงขึ้นภูเขาก็อยู่หลังเขาเสียไม่ได้อยู่ในถ้ำ นี่ละฝนฟาดลงมานี้ โถ พิลึกพิลั่นจริง ๆ ตัวสั่นเลย ยังหนุ่มอยู่นะ ซัดลงมานี้บางทีกลางคืนดึกสงัด มันเอาแบบปิดประตูตีหมาเทียวนะ ขี้ทะลัก ไม่มีทางออก

ฝนฟาดลงมาตอนกลางคืนตีหนึ่งตีสอง โอ๊ย มุ้งกับกลดนี้ไหลเลย คนอยู่ในมุ้ง เอาของใส่เข้าในบาตร ปิดฝาบาตรเท่านั้นแหละ ปล่อยให้มันตก กลดไหลออกมา มุ้งไหลออกมา มุ้งเรียกว่าเป็นฝากั้น เอามุ้งเป็นฝากั้น ตกลงมาก็ไหลเรื่อย ๆ หน้านี้ละ เราจึงได้จำได้มันหนาวจริง ๆ ฝนหน้านี้ มันไม่ใช่หนาวหน้าหนาว หนาวฝนหน้านี้ โถ จนขนาดตัวสั่นได้นะ มันโดนแทบทุกปีหน้านี้ เพราะระยะนี้เป็นระยะที่เข้าป่าเข้าเขาแล้ว ถ้าตกกลางวันก็ค่อยยังชั่ว ตกกลางวันเรามองหาอะไร ๆ มันก็เห็น หาทางไปทางมาได้ ถ้าตกกลางคืนนี่ โห ต้องอยู่ในมุ้งออกไม่ได้เลย แล้วแต่จะตกเมื่อไรนี่ฝน

บางทีเสือมากัดควายอยู่ข้างมุ้งก็มี กลางคืนน่ะ ห่างกันจะประมาณสัก คืออันนี้มันก็ดง เราอยู่นี้ก็ป่า ทีนี้ควายมันก็อยู่ริมน้ำอูน แต่อูนนี่หมายถึงอูนในภูเขานะ ไม่ใช่น้ำอูนที่ออกมาพรรณา น้ำอูนที่อยู่ภูเขา ควายก็หากินตามประสาของมัน หน้าแล้งเขาไม่ได้ผูกมัดพวกสัตว์ เขาปล่อยตามทุ่งตามนาไป เพราะไม่มีใครขโมยใคร เขาไม่ค่อยสนใจ ต่างคนต่างปล่อยก็ยั้วเยี้ยอยู่ตามป่าตามทุ่งนา ทีนี้เสือมากลางคืนละซี เสือมันอยู่ในภูเขามันหากินสัตว์บ้าน มันกินง่ายกว่าสัตว์ป่า สัตว์ป่ามันระวัง ไม่ได้กินมันง่าย ๆ แต่สัตว์บ้านเซ่อซ่า เพราะมันอาศัยอำนาจมนุษย์ เอานิสัยมนุษย์ไปใช้ เสือจึงกัดกินได้ง่าย มันไม่ระวัง คือสัตว์บ้านไม่ระวังอะไรนะ สัตว์ป่า โอ๋ คล่องตัวตลอดเวลา ผิดกันนะ

เวลาฝนตก ฟังเสียงควายร้องโอ๊ก ๆ อยู่นี่ อะไรกันอีกที่นี่น่า ออกก็ออกไม่ได้นี่จะว่าไง ฝนก็ตก จนกระทั่งเช้าแล้วไปดูควายมันถูกเสือโคร่งใหญ่กัด มันตกลงไปฝั่งอูนทางโน้น มันก็ตะเกียกตะกายข้ามไปทางนู้น บ้านคนอยู่ทางฝั่งทางนู้น ทีนี้เจ้าของเขาเห็นลูกมันนั่นแหละวิ่งเข้าในบ้าน คือเสือกัดแม่มัน ลูกกลัวเลยวิ่งเข้าในบ้าน เจ้าของเขาทราบเขาก็ตามออกมา ตามออกมาก็มาเจอควายตัวนี้ มันอยู่ฝั่งทางนั้น เขาก็มาก่อกองฟืนทางนี้ พอฝนตกหยุด ฝนหน้านี้ตกธรรมดาไม่นานนักมันก็หยุด เขาก็มาก่อฟืนก่อไฟที่นั่น ฟากอูนทางนั้น

ควายมันตกจากฝั่งอูนที่เราอยู่ ตกไปทางน้ำก็ตะเกียกตะกายข้ามไปฝั่งอูนทางนู้น เป็นฝั่งทางบ้านของมัน ทีนี้เสือก็ไม่กล้าตามเข้าไป ประกอบกับเจ้าของเขามาก่อไฟให้มันอยู่นั้น พอก่อไฟให้สัตว์แล้วเสือมันก็กลัว กลัวคนจะดักยิงอยู่นั้น ความหมายว่างั้น มันก็เลยไม่กล้า แต่มันก็กลับไปกลับมาอยู่ฝั่งนี้ ฝั่งที่เราอยู่นี่แหละ มันไม่กล้าลงข้ามไปทางนั้น กลับไปกลับมาจนสว่างมันถึงหนี ไปมีแต่รอยเสือแหลกหมด คือ มันไม่กล้าข้ามไปนั้น น้ำก็ไม่มากแต่มันกลัวคนต่างหาก เพราะเจ้าของเขาออกมามาเจอควายเขาแล้ว เขาก็มาก่อไฟให้ควายเขา ก่อไฟอยู่ข้าง ๆ ควายแล้วเขาก็กลับไปบ้าน เสือมันเลยกลัวไม่กล้าลงไปกัดควายซ้ำอีกนะ

ตื่นเช้าไปดูนี้ โอ๊ย รอยเสือ มันเป็นรอยคนไปเลยนะ เป็นทางคนเลย มันกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้นแหละริมฝั่ง ฝนตกแล้วมันก็เหยียบรอยฝนตกนั้นมันก็แหลกไปหมดเลย เราก็อยู่ข้างนี้ เสือก็อยู่นี้ ฝั่งคนก็อยู่นี้ มันอยู่ใกล้ ๆ กับเรา แต่ฝนตก มันไม่กล้ามาทางนี้นะ มันคงจะทราบว่าเราอยู่ที่นี่ด้วย แต่กลางคืนมันก็ไม่กลัว พูดถึงฝนตกออกไม่ได้ โถ เปียกหมดจริง ๆ ฝนตกใส่มุ้งไหลลง ๆ อันนี้เราพูดเพียงเอกเทศ มันโดนอยู่เรื่อย ๆ แทบจะไม่เว้นแต่ละปี เพราะฝนตกหน้านี้ก็พอดีเราอยู่ในป่า ๆ

ถ้าเป็นเดือนมีนา เมษา ไปแล้วส่วนมากมักจะขึ้นถ้ำ หรือไม่งั้นก็มีอะไรมุง เอาหญ้ามากี่ตับมามุงหรือเอาอะไรมามุงก็แล้วแต่พออยู่ได้ ถ้าหน้านี้ไม่สนใจเครื่องมุงเครื่องบังอะไรละ เพราะไม่ใช่หน้าฝน แต่เวลามันฟาดลงมานั่นซี พิลึก หนาวจริง ๆ จนจำได้ชัดว่าหนาวจนตัวสั่นเลย ฝนตกหน้านี้นะ ฝนตกอยู่นอกมุ้งเราอยู่ข้างในหนาวจนตัวสั่น เราไม่ได้ออกไปถูกฝนนะ ยิ่งไปถูกฝนด้วยแล้วก็ยิ่งหนาวใหญ่ กลดไม่มีความหมายเลยแหละ เวลาฝนตกมาก ๆ ลมซัดลงมานี้ดีไม่ดีกลดหลุดมือ ตอนเช้าหลงกัน ดูเหมือนธรรมลีองค์หนึ่งนะที่ออกไปจากที่ไหน

ธรรมลีวิ่งตามไปไหนนี่เหมือนปลิงนะ เกาะติดเลย ไปไหนธรรมลีนี่ พอดีเราไปจากหนองผือหรือไง ฝนตกตอนเช้าพอสว่างได้เวลาฝนตก ต่างคนต่างบิณฑบาตคนละหมู่บ้าน มีอยู่สองสามบ้านแถวนั้น ตอนอยู่อำเภอภูวง หลงกันเลย ฝนตกขนาดนั้น ตกหนักจริง ๆ ไม่ใช่ธรรมดา น้ำนี้เจิ่งไปหมดเลยตอนเช้า พอดีเวลาออกบิณฑบาต เราก็ไม่ทราบจะทำยังไง ฝนก็ตกกำลังจะออกบิณฑบาต ก็เลยเอาของบริขารเล็กน้อยเอาฟางมาวางกลบเสร็จแล้วก็ออกบิณฑบาตตากฝน องค์หนึ่งไปบ้านหนึ่ง องค์หนึ่งไปบ้านหนึ่ง หลงทิศกัน วันนั้นออกไปธรรมลีวิ่งตามเกาะติด คราวนั้นดูเหมือนจะมีถึงสามสี่องค์มั้ง ถ้าธรรมดาไปกับเราไม่ได้นะ เราจะไปแต่องค์เดียว ๆ ตอนนั้นออกจากหนองผือพระเกาะติดล่ะซี รู้นี่

หลงทิศ วันนั้นเราไม่รู้จะทำยังไง เขาก็เลยนิมนต์ให้ฉันในบ้านเขาเลย พระบิณฑบาตกลับมาจนกระทั่งเกือบ ๑๐ โมงแล้ว คนก็วิ่งมาบอก พระกำลังรอท่านอาจารย์อยู่ที่ถ้ำโน่น ไม่ทราบท่านอาจารย์บิณฑบาตไปทางไหน หลงทิศหลงทาง ต่างคนต่างหลง ฝนตกมากต่อมากนะ โห มากจริง ๆ เปียกหมด น้ำนี้เป็นเหมือนกับหน้าฝนเวลามันตกมาก ๆ ขนาดนั้นละ เพราะฉะนั้นเขาถึงไม่กล้าให้เรามาที่พัก เพราะไปที่พักก็จะไปนั่งแช่น้ำอยู่นั้นมันเรื่องอะไร อยู่บนบ้านนี้ดีกว่า เขาก็เลยนิมนต์ให้ขึ้น แล้วหมู่เพื่อนจะทำยังไง เขาว่าจะไปบอกพระทางโน้นว่าท่านฉันอยู่นี้ ให้พากันฉันทางโน้นเสีย ไปไม่นาน เห็นคนวิ่งตามมาอีกมาหาเรา เราฉันแล้วบนบ้าน เรากลับไปพวกนั้นกำลังจะเริ่มฉันกัน ดูเหมือนสองสามองค์ เราก็สงสารนะ ต่างคนต่างหลงทิศ แล้วฉันก็ฉันแช่น้ำจริง ๆ ด้วยอย่างเขาว่า ออกไปทำไม ออกไปก็ไปนั่งฉันแช่น้ำ มาเห็นพระท่านเอาอะไรรองไว้นิดหน่อย เปียกหมดนั่นแหละ เรื่องเปียกไม่ต้องบอก เพราะเปียกมาแต่ในบ้านแล้ว อยู่ที่ไหนก็เปียก เปียกกับเปียกมันก็อยู่ด้วยกันได้ เราก็ไม่ลืมอันนี้

อู๊ยหนาวจริง เป็นอยู่เรื่อยอย่างนี้ เราไม่พูดถึงเรื่องอย่างนี้เพราะมันมากต่อมากเรื่องอย่างนี้น่ะ ความทุกข์ของพระกรรมฐาน แต่สำคัญที่ว่าจิตที่มุ่งต่อธรรมเท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นอุปสรรคนะ ไม่เคยเข็ดเคยหลาบไม่เคยกลัว ไม่สนใจ นี่ละธรรมเป็นของสำคัญอย่างนั้น พี่น้องทั้งหลายจำเอานะ ถ้าจิตหนักแน่นในธรรมแล้วจะไม่สนใจกับอะไร เรื่องความทุกข์ความยากลำบากอะไรมันไม่สนใจเลย ถึงจะเป็นอย่างนั้นจิตกับธรรมก็อยู่ด้วยกัน พิจารณาอยู่อย่างนั้นท่านไม่ได้ปล่อย ไม่ใช่เซ่อ ๆ ซ่า ๆ ฝนตกบ้างลมพัดบ้างร้องใส่กันแว้ว้า ๆ เหมือนบ้าอย่างนั้นท่านไม่มีอย่างนั้น เจอแทบทุกปี หน้านี้ละหน้ามันเอาดีนะ ไม่มีที่มุงที่บัง เอากลดไปกางแล้วก็ลงเลยฝนฟาดลงมามันก็หมดเลย

แล้วแต่มันจะตกฝนน่ะ ถ้าเป็นกลางวันเสียจริง ๆ ก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่เวลาบิณฑบาตและไม่ใช่เวลากลางคืนซึ่งเป็นเวลาจนตรอก มันเอาตอนจนตรอกนั่นซี ถ้าเป็นกลางวันจริง ๆ ก็ไม่มีอะไรแหละ บิณฑบาตเราไม่ได้ไป ยิ่งเราอยู่คนเดียวด้วยแล้วส่วนมากเราไม่ค่อยบิณฑบาตแหละ ตกมาก็ตกไปเราก็หยุดของเราไปเสีย บิณฑบาตก็ไม่บิณฑ์ ฉันก็ไม่ฉันเสียก็ไม่มีอะไร นี่ละความทุกข์ความลำบากของพระกรรมฐานท่านเป็นอย่างนั้น แต่ว่าท่านไม่ได้ถือเป็นอารมณ์ เรื่องอย่างนี้รู้สึกว่าจะมีความรู้สึกอย่างเดียวกัน ไม่ค่อยสนใจ ทุกข์ยากลำบากอะไรท่านก็ไปของท่าน ไอ้เราก็ไปแบบเรา

เราพูดถึงเรื่องฝน หน้านี้หนาวที่สุด หนาวกว่าหน้าฝนเสียอีก ฝนตกธรรมดาไม่เห็นหนาวอะไรนัก ตากฝนไปธรรมดาก็ไม่เห็นหนาวอะไรนัก แต่หน้านี้ โถ พิลึกจริง ๆ มันเข้าภายในหัวตับจนตัวสั่น มันหนาวจริง ๆ เที่ยวภูเขา เพราะฉะนั้นเราถึงไปทางภูพานนี้บ่อย ภูพานไปถึงกาฬสินธุ์นี้เป็นทำเลที่เราเที่ยวทั้งหมด เที่ยวเสียจนโชกโชน รู้ละเอียดลออหมดภูเขาลูกไหน ๆ เพราะไม่ได้ไปปีหนึ่งปีเดียว ปีนี้ขึ้นทางนี้ลงทางนี้ ปีนั้นขึ้นทางนั้นลงทางนั้น ขึ้นไปลงมาอยู่ในภูเขานี้ต่อไป ๆ จนกระทั่งถึงหนองสูงคำชะอี ภูเขาตั้งแต่วัดท่านวัน เราเที่ยวตลอดเลยนะภูเขาลูกนี้ ตั้งแต่วัดท่านวัน ภูเหล็ก เราเที่ยวตั้งแต่นี้ไปตลอดเลย ปีนี้ขึ้นทางนี้ลงทางนี้ ปีนั้นขึ้นทางนั้นลงทางนั้น หลายปีต่อหลายปีมันก็ทะลุถึงคำชะอี เพราะอยู่สกลฯ ๘ ปีเที่ยวภูเขาลูกนี้ ไปอยู่ทางห้วยทราย ๔ ปีก็เที่ยวทางโน้น มันต่อกัน ทางภูสิงห์ ภูวัว ภูลังกานี้ ๒ ปี เรียกว่าไปป่า ป่ารกชัฏป่าหนาป่าแน่นป่าเสือกินคน

เราได้ไปเจอ ๒ แห่งที่เสือกินคน เขาจะมานอนเฝ้าเรา โห เสือกินคนนี้ฉลาดมากนะ ธรรมดาเราไม่ได้เห็นเสือ ๆ เพราะเสือมันหลีกคนมันไม่ให้พบคน เราจึงไม่ค่อยเจอเสือ เสือกินคนแล้วมันไม่ได้ไปอยู่ในป่าลึก ๆ นั่น มันแอบอยู่ตามไร่ตามสวนป่าละเมาะอย่างนั้นนะ ใครเผลอปั๊บเอาเลย พอกินนี้ปั๊บ นู่นไปอยู่ฟากทวีปนู้นนะ มันซ่อนเงื่อนมัน หลบภัย พอกินนี้ปั๊บหนีไปโน้น กินนู้นปั๊บไปนู้นแล้ว พอจาง ๆ กลับมาอีกแล้ว เสือได้กินคนแล้วไม่กินสัตว์ เห็นชัดจริง ๆ นะ เข้าไปกัดสัตว์ในบ้านเขา กัดสัตว์นั่นกัดหลอกคน กัดหมูบ้างกัดวัวบ้างพอร้องคนก็ลงมา ลงมาก็คาบคนปั๊บวิ่งไปเลย มันไม่ได้เอาสัตว์นะมันกัดหลอกคน ถึงว่ามันฉลาดมากเสือ

กัดที่ไหน ทีนี้คนเขาก็รู้ พอเห็นรายหนึ่งแล้ว ทีหลังมากัดเขาก็ไม่ลง คือมันกัดสัตว์นี้มันคอยจะเอาคน พอคนลงไปคาบวิ่งเลย คาบคน โอ๊ย เหมือนแมวคาบหนูนะ ไม่ได้หนักนะคาบคน คาบวิ่งไปเลย มันแบกไปเลย วิ่งไปเลยคาบคน มันไม่ได้ลากได้เข็นนะ คาบคนนี่เหมือนเอาขึ้นบนหลังมันวิ่งไปเลย ไปเห็นแล้วทำเลที่เสือกินคน แต่เขาก็ฆ่าเท่านั้นแหละ เสือกินคนไม่นานแหละก็ถูกเขาฆ่า ใครจะไปฉลาดยิ่งกว่าคน ฆ่าตาย ทางกาฬสินธุ์แห่งหนึ่ง ทางดงศรีชมภูนี้แห่งหนึ่ง นี่ก็ถูกฆ่าทั้งนั้น แต่กินไปหลายศพนะ ทางดงศรีชมภูดูว่า ๘ ศพ มันกินห่าง ๆ กัน ทางนี้กี่ศพไม่รู้ เสือกินคนนี้ฉลาดมาก ที่เราไปเที่ยวนี้เจอ ๒ แห่งที่เสือกินคน นอกนั้นไม่มี ไปอยู่ในป่าในเขาที่ไหนก็ไม่เคยได้ยินว่าเสือกินคน

เขาอยู่ในป่าในเขาเขาก็อยู่กับเสือนั่นแหละ เสือกับคนเหมือนว่าเป็นอันเดียวกัน เขาไม่ได้กลัวเสือ เสือก็ไม่ได้กลัวคนนักนะ แต่ไม่กินคน มันหลบ ๆ หลีก ๆ อยู่กับคนนั่นแหละ แต่ที่ไหนได้กินคนแล้ว โอ๋ย เก่งมาก เป็นอย่างนั้นละเสือ ฉลาดมาก เราไปเขาจะมานอนเฝ้า ไล่เขาหนี โอ๋ ไม่ได้ ๆ ตายก็ตายไปเถอะว่างั้นเลย กลัวเสือแล้วให้คนมานอนเฝ้า ขายขี้กรรมฐานเหลือเกิน อย่าออกเที่ยวเลยมันจะขายขี้เขา ไล่หนีเลยเรา ไม่ให้มาอยู่ เรากินสัตว์มาเท่าไร พุงเรานี้มีแต่สัตว์เต็มท้อง เสือจะกินเราคนเดียวเท่านี้ กินก็ให้มันกินไปซี ตัดสินปุ๊บเลย ก็ไม่เคยมากิน พูดถึงเรื่องเสือกินคน มันรวดเร็วนะ

สูบบุหรี่เราก็ระลึกถึงพระกอง เกิดปีเดียวกันกับเราชื่อกอง เป็นเพื่อนกันอยู่บ้านโนนทัน หนองตูม นิสัยท่านชอบตลก เรายังไม่ลืมนะ ตั้งแต่เป็นฆราวาสก็เป็นเพื่อนกัน เวลาไปบวช ท่านบวชก่อนเราพรรษาหนึ่ง อายุเท่ากัน คือท่านบวชเป็นเณร พออายุถึงพระท่านก็บวชเลย เราถึงพระแล้วยังไม่บวช เกือบ ๒๑ ปี คือ ๒๐ ปี ๙ เดือนเราถึงบวช เพราะฉะนั้นท่านถึงบวชก่อนเราพรรษานึง ทีนี้เวลาบวชแล้วไปคุยกันที่กุฏิท่าน ท่านเป็นนิสัยชอบพูดตลก เหมือนจะหัวเราะหากไม่หัวเราะ มันทำให้คนอื่นหัวเราะจะตาย เราไปก็ไม่เคยคิดเคยอ่านก็เคยสูบบุหรี่อยู่บ้างแล้ว เห็นหมู่สูบก็สูบเหมือนกัน พอเห็นหมู่สูบเราก็จับปั๊บมาจุดสูบ

พระองค์นั้นนั่งอยู่ด้วยกันก็ว่า ไอ้พระบวชใหม่บวชมามันไม่มีธรรมมีวินัยว่างั้นนะ บวชมาไม่มีธรรมไม่มีวินัย บุหรี่นี้ได้พินทุอธิษฐานแล้วยัง คือพินทุอธิษฐานนี่ธรรมดาจะพินทุอธิษฐานผ้าที่ได้มาใหม่ ขีดเป็นอะไร ๆ เป็นพินทุตามพระวินัย พินทุแล้วอธิษฐานถึงจะใช้ได้ ถูกต้องตามพระวินัย ทีนี้ท่านเห็นเราสูบบุหรี่ พูดเฉยนะ เราก็เชื่อล่ะซี คนหนึ่งพูดหน้าตาขึงขังเหมือนเราผิดจริง ๆ นี่นะไม่ใช่ธรรมดา พูดหน้าขึงขัง พระใหม่นี่ไม่ทราบยังไงบวชมาไม่มีธรรมไม่มีวินัย เราก็งง เอ๊ ไม่มีธรรมวินัยยังไง นี่บุหรี่นี่ได้พินทุอธิษฐานแล้วยังก็ไม่รู้ สูบสุ่มสี่สุ่มห้า ว่าแล้วเฉยนะ ใครก็ไม่เคยคิดว่าบุหรี่จะต้องพินทุอธิษฐานเหมือนผ้า เราก็สูบไป เห็นหมู่เพื่อนสูบก็ไม่เห็นองค์ไหนพินทุอธิษฐาน แล้วมาว่าให้เรา คือเราเป็นเพื่อนกัน

ทำท่าขึงขัง พระใหม่บวชมาไม่มีธรรมมีวินัยยังไงกัน โอ๊ย หน้าเคร่งขรึมนะ นี่ละเวลาจะตลกนะ เราก็เชื่อแล้ว อ้าว ต้องพินทุอธิษฐานหรือ อู๊ย นี่ยังไม่รู้หรือบวชมาขนาดนี้แล้ว ยังไม่รู้พระวินัยอีกหรือบวชมาขนาดนี้แล้ว เราก็ยิ่งร้อนใหญ่เลยนึกว่าเราผิดวินัย แล้วบุหรี่นี่มันพินทุอธิษฐานว่ายังไงเราก็ว่าอย่างนั้น ไม่รู้นี่นาเพิ่งจะมาทราบเดี๋ยวนี้ โอ๊ย บวชมาขนาดนี้ยังไม่รู้พินทุอธิษฐาน ตาย ๆ นี่เป็นอาบัติมาเท่าไรแล้ว ยังขู่เราอีกด้วยนะ ไม่มียิ้ม ๆ นะ ยังขู่อีก นี่บวชมานานเท่าไร มันเป็นอาบัติมาเท่าไรแล้วพระใหม่นี้น่ะ แล้วมันพินทุอธิษฐานว่ายังไง บทเวลาจะพูด อู๊ยเราอยากฟาดหน้าผากเอานะมันโมโห ร้อนจนเป็นฟืนเป็นไฟเพราะเข้าใจว่าผิด คนหนึ่งยังพูดหน้าตาเฉยขู่สบาย ๆ

บทเวลาบอกคำอธิษฐานนี่ที่มันขบขันนะ พอขู่เราเต็มเหนี่ยวแล้ว คำพินทุอธิษฐานเท่านี้ก็ไม่ได้ มันจะไปยากอะไรว่างั้นนะ ไม่ยากแล้วมันว่ายังไง อิมัง ควันถมดัง อธิษฐามิ ควันถมดังคือควันถมจมูกเข้าใจไหม แล้วหน้าตาเฉยด้วยนะ นิ่ง มันน่าโมโห คนหนึ่งจะตายร้อนเป็นไฟ บทเวลาจะบอก มันจะยากอะไรเท่านี้ก็ไม่ได้ ยังขู่เราอีก ของสั้น ๆ เท่านี้ก็ไม่ได้ มันจะยากอะไร ไม่ยากมันว่ายังไงล่ะ อิมัง ควันถมดัง อธิษฐามิ โอ๊ย เราโมโห เลยไม่ลืมจนกระทั่งบัดนี้ แล้วเฉยเลย มันแปลกอยู่นะนิสัยคน คนหนึ่งจะตายเป็นไฟ ยังเฉยยังขู่ตลอดอยู่ บทจะบอก อิมัง ควันถมดัง อธิษฐามิ มันโมโหอยากฟาด เราเลยไม่ลืม ควันถมดังคือควันไฟมันกลบจมูกเข้าใจไหม พอสูบแล้วมันออกจมูกใช่ไหมล่ะ อิมัง ควันถมดัง อธิษฐามิ ปัดโธ่ มันน่าโมโห เดี๋ยวนี้แกตายแล้วละ

พูดตลกดี อย่างนี้ละนิสัยของคน เวลาขู่เรานี้เราเป็นไฟไปจริง ๆ นะ นึกว่าผิดจริง ๆ ยังพูดขู่สบายอยู่ ไม่มีท่ามีทางอะไรเลยว่าเป็นลักษณะหยอกเล่น ไล่เข้า ๆ เลยถามเรื่องคำอธิษฐาน โอ๊ย คำอธิษฐานก็ยังไม่ได้ ยังขู่อีกตลอด แล้วมันว่ายังไงล่ะ มันไม่ยืดยาวอะไรเลยยังไม่ได้อีกเหรอ ไล่เราอีกนะ บทเวลาจะบอก อิมัง ควันถมดัง อธิษฐามิ โห มันโมโหเราก็ดี ตายแล้วละ บวชแล้วเป็นกรรมฐาน ตายเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้ไปเยี่ยม ไม่ได้ไปเผาศพแหละ ตายไปคงไม่ต่ำกว่าสี่ห้าปีมั้ง

พูดถึงเรื่องกรรมฐาน ท่านลำบากอย่างนั้นนะ ลำบากของกรรมฐานลำบากสบายนะ ไม่ได้ลำบากยุ่งเหยิงวุ่นวายเป็นกองทุกข์ ความลำบากถึงทุกข์ก็ทุกข์ภายในร่างกาย ทางจิตใจท่านมุ่งต่อธรรมตลอด ๆ เลย ก็เลยไม่รู้ว่าความทุกข์เป็นยังไง น่าเข็ดน่าหลาบท่านไม่เห็นมี ถึงฤดูปีนี้ท่านออกของท่านสบายอย่างที่เคยออก เที่ยวกรรมฐาน เวลาท่านมาคุยกันนี้ โธ่ อัศจรรย์ พระกรรมฐานคุยกันเป็นชั่วโมง ๆ ท่านก็คุยของท่านได้ เวลาคุยกันแล้วมีแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องความรู้ความเห็นแปลก ๆ ต่าง ๆ นั่นเห็นไหมล่ะ วิถีจิตกับสิ่งที่เป็นนามธรรมได้รู้กันเห็นกัน สัมผัสสัมพันธ์กัน พวกเปรตพวกผี เทวบุตรเทวดา ท่านถือเป็นธรรมดา

เหมือนตาเราต่างคนต่างเห็นอะไรก็ถือเป็นธรรมดาใช่ไหม ถ้าคนตาบอดมันผิดธรรมดานะ พวกบ้ามันพูดเรื่องอะไรกูไม่เห็น เข้าใจไหม คนตาบอด แต่คนตาดีเขาพูดกันได้ทั้งแผ่นดิน แต่คนตาบอดรายหนึ่งมาเท่านั้นมันจะขวางเขาทันที ไอ้พวกบ้ามันคุยกันอะไร กูไม่เห็นด้วยนี่ จะเห็นอะไรก็มันตาบอด เป็นอย่างนั้นนะ เวลาท่านคุยกัน อันนี้ท่านคุยปลีกย่อยนะเรื่องภายนอก ภายในนั่นสำคัญ ท่านคุยกันเรื่องการภาวนาจิตสงบ มีความแยบคายยังไงต่อยังไง ท่านพูดของท่านไป แถวแนวในทางปฏิบัติด้วยกัน ก็เข้าใจไปเป็นลำดับลำดาเหมือนเราคุยกันนี่แหละ

พูดถึงเรื่องวิถีของจิต ความรู้ความเห็นของจิตที่มันรู้ยังไงเห็นยังไง ๆ พวกนักภาวนาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายแตกฉานทางนั้นรู้ อย่างนั้นนะ ความรู้นี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน แตกฉานต่างกัน เวลาท่านคุยกันถึงได้เพลิน พอพูดถึงเรื่องคุยกันเพลินนี้ก็มาโดนเราเข้าซี มาสร้างวัดทีแรกศาลาเล็ก ๆ อยู่นั้น พระมาอยู่กับเราดูเหมือนประมาณ ๑๒-๑๓ องค์มาสร้างวัดทีแรกที่นี่ พระประมาณสัก ๑๒-๑๓ องค์เท่านั้น เพราะฉะนั้นศาลาหลังเล็ก ๆ จึงนั่งได้สบาย ข้างล่างก็เป็นที่นั่งของพวกญาติโยมเขา ตอนนั้นท่านสิงห์ทองไปเที่ยวทางอำเภอมุกดาหาร จากกันไปดูเหมือนได้พรรษากว่ามั้ง ออกจากนี้ไปเที่ยว ท่านกลับมา มาคุยกันสองต่อสอง ไปเที่ยวทางมุกดาหาร ไปทางไหน ๆ ก็มาเล่าให้ฟัง

คุยกันไปคุยกันมา ฟาดตั้งแต่สองทุ่ม สองคนเท่านั้นนะ อย่างนั้นละมันเพลินของมันเอง ตั้งแต่สองทุ่มจนกระทั่งตีสี่ ดูนาฬิกา โอ๊ย นี่มันจะสว่างแล้ว ไปเลิก นี่มันจะสว่างแล้วตีสี่แล้ว แล้วเดือนมิถุนา ตี ๕ มันก็สว่างแล้ว นี่ตีสี่แล้ว ไป ก็เลยลุกปุ๊บปั๊บไป พอไปแล้วเราไม่ได้คิดละว่าจะนอน คือไปจากนี้แล้วจะไปเดินจงกรมเลย เพราะจะสว่างแล้วยังเหลืออีกเพียงชั่วโมงเดียว เราก็จะไปเดินจงกรม ทีนี้พอไปถึงแล้วก็เอาย่ามไปวางไว้ที่ที่นอนแล้วยืดเส้นสักนิดหนึ่ง เพราะนั่งตั้งแต่สองทุ่มจนกระทั่งตีสี่ เหน็ดเหนื่อยมาก เลยเอาย่ามไปวางไว้ที่นอนแล้วก็ยืดเส้น ดัดเส้นท่านั้นท่านี้ เพราะเราเคยฝึกหัดอนามัยร่างกายเราตลอดนะ ยืดเส้น ดัดเส้นทุกอย่าง ดัดท่านั้นท่านี้ พอดัดท่าสุดท้ายก็นอนหงายยืดเส้น ยืด ๆ ไปเลยหลับเลย หลับจริง ๆ นะไม่ทราบหลับยังไงมันเร็วขนาดไม่ให้รู้ตัวเลย พอยืดเส้นถึงท่านอนหงายยืดเส้น ยืด ๆ หลับไปเลย แล้วหลับจริง ๆ ไม่ใช่ธรรมดา

ท่านสิงห์ทองท่านก็ไม่นอนเพราะไม่ใช่เวลานอนแล้ว พอเช้าท่านก็ไปบิณฑบาตกลับมา กลับมาแล้วเรายังไม่ตื่น ยังยืดเส้นอยู่นั้นนะ ท่านสิงห์ทองไปก็ไปสะกิดนิ้วเท้า ปุ๊บปั๊บลุกขึ้นมา หือ ผมขโมยหลับนี่นาเราก็ว่างั้น ดัดเส้นมันไปใหญ่ นี่หมู่เพื่อนไปบิณฑบาตแล้วยัง บิณฑบาตยังไงบิณฑบาตกลับมาแล้ว นู่นน่ะหลับจนกระทั่งหมู่เพื่อนบิณฑบาตกลับมาไม่รู้ตัวเลยนะ อยู่ที่วัดนี้มีอันนี้เป็นครั้งหนึ่งเราไม่ลืมนะ ที่ไหนที่มันดัดเราเราก็จำไว้ ตั้งแต่บวชมานี้มีสามหนเราไม่ลืมนะ คือมันดัดเราว่างั้นเถอะ นอกจากนั้นไม่เคยมี เสียท่ามันตรงไหนก็ต้องบอก ตรงนี้เสียท่าให้มัน จนหมู่เพื่อนบิณฑบาตทั้งวัดกลับมาแล้วไปปลุกเรามาฉันจังหัน คึกคักลุกขึ้น หือ หมู่เพื่อนไปบิณฑบาตแล้วเหรอ บิณฑบาตอะไร บิณฑบาตมาแล้ว โอ๋ ตาย ๆ

นี่ละที่ว่าคุยกันเรื่องธรรมะ มันเพลินของมันเอง ตั้งแต่ตีสองถึงตีสี่ ถึงขนาดที่ว่าดัดเส้นไปเลยเทียว นี่เรื่องมันดัดเรา คราวหนึ่งก็อยู่เชียงใหม่ อันนั้นจวนจะสอบเร่งดูหนังสือ นอนงีบเดียว ตีสองลุกขึ้นแล้วดูหนังสือ เหนื่อยมากที่นี่ ตีห้า อันนี้ก็ยืดเส้นเหมือนกันนะ ยืดเส้นทีไรดัดทุกทีเราไม่ลืมนะ ที่เราเสียท่ามีแต่เสียท่าตอนยืดเส้นนี่ละ ดัดเส้นตอนนอนยืดเส้น เสร็จแล้วลุกก็จะไป มันไม่เป็นอย่างนั้นซี ยืดไปเลย อยู่จันท์ก็เหมือนกัน นั่นก็นั่งตั้งแต่ตีสาม นั่งภาวนาจนกระทั่งเริ่มสว่างแล้ว นกร้องจิ๊กแจ๊ก ๆ สว่างแล้วยืดเส้นเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะไหว้พระแล้วก็จะไปศาลา ยืดแล้วหลับไปเลย แต่นี้ไม่นานนักก็ตื่นขึ้นมา ท่านเพ็งไปรออยู่ประตูแล้ว หมู่เพื่อนไปบิณฑบาตหมดแล้ว ยังเหลือแต่สายของเราสายเดียวซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ก็พอดีทัน

นี่ครั้งหนึ่งที่อยู่จันทบุรี อยู่เชียงใหม่ครั้งหนึ่ง แล้วก็มาอยู่ที่นี่ครั้งหนึ่งเราไม่ลืมนะ มีแต่ยืดเส้นทั้งนั้นแหละสามหนนี่นะ สถานีทดลองก็ยืดเส้น ก่อนจะลุกจากที่ยืดเส้นเสียก่อนเลยไปใหญ่ อยู่นู่นก็ยืดเส้นเสียก่อนที่เชียงใหม่ ไปใหญ่อีกเหมือนกัน อันนั้นหมู่เพื่อนบิณฑบาตกลับมา จะมาปลุกฉันจังหันเหมือนกันนะ ที่วัดเจดีย์หลวง นี่เราก็ไม่ลืม ไม่ได้ปลุกฉันจังหันตั้งแต่สถานีทดลอง ที่นี่ก็ปลุกฉันจังหัน มันก็ถูกกับโยมแม่พูดแหละ ที่โยมแม่วิตกวิจารณ์ เวลานอนแล้วเหมือนตายนะลูก เข้ากันได้เลยเข้าใจไหม เข้ากันได้ที่โยมแม่ท่านสั่งเสียเราตอนเราจะไปบวช

มานั่งปั๊บลงนี้เลยแม่น่ะ เราเตรียมของแล้วนะกำลังจะลุกจากนั้นแล้วก็จะออกไปวัดโยธาฯ เข้านาคบวช ทีนี้พอเตรียมของอะไรมาวางไว้แล้วเตรียมจะไป แม่ก็มานั่งปั๊บเราไม่ลืมนะ นี่แม่จะบอกนะ เราก็ฟัง ก็ไม่เคยชมลูกแหละ วันนั้นชมเพื่อจะทุ่มลงเราก็รู้ นี่แม่จะบอกนะ อย่างอื่นอย่างใดแม่ไม่มีทางต้องติ แต่เรื่องการนอนนี้เหมือนตายเลย ไม่เคยมีที่จะลุกออกไปลำพังตนเอง พอบอกให้แม่ปลุก เช่น เราจะไปไหนตอนเช้าแต่เช้านี้สั่งแม่ให้ปลุก เท่านั้นก็เรียกว่าทอดธุระเรา แต่แม่ไม่รู้เรื่องของเราซี พอบอกแม่ว่าพรุ่งนี้ปลุกแต่เช้าหน่อยนะจะไปธุระวันนี้ พอแม่รับทราบเท่านั้นเราก็นอน เรียกว่าทอดธุระ ปล่อยเลย ถึงเวลาแม่ก็มาปลุกเอง มันก็ทอดธุระ

ทีนี้แม่ก็จับเอานั้นล่ะซีว่านอนเหมือนตาย ส่วนพี่ชายเขาบอกแม่ก็จริง ถึงเวลาเขาจะไปนี้แม่ยังไม่ปลุกเขาไปก่อนก็มี แต่เราไม่เคยมีต้องเหมือนตายทุกที นี่เวลาออกไปบวชแล้ว หมู่เพื่อนไปบิณฑบาตหมดกลับมาแล้ว ไปปลุกคุณบัวมาฉันจังหัน คุณบัวยังนอนไม่ตื่นนี้ อย่าให้แม่ได้ยินนะลูก แม่นี่เอาหัวมุดดินลงเลย แม่เป็นห่วงการนอนเท่านั้นละ ทางนี้ก็ฝังกึ๊กเลยนะ เฉยเลย พอออกจากนี้ไปแล้วก็เอาตัวเองเลย ทีนี้แม่จะไม่ได้มาปลุกนะ เราต้องเป็นตัวของเราตลอดไปเลย จากนั้นก็ดีดผึง ทีนี้การหลับนอนไม่ต้องบอก จะนอนเวลาไหนตื่นเวลาไหนดีดผึง ๆ ไม่เคยมี ก็มีสามหมัดนี่ละ หมัดเชียงใหม่ หมัดสถานีทดลอง หมัดวัดป่าบ้านตาด เราแพ้มันตรงไหนเราก็บอก

พูดถึงเรื่องการนอน การฝึกตัวเองต้องเป็นอย่างนั้นนะ ต้องฝึกจริง ๆ นี้เราฝึกทุกอย่างต้องจริงทุกอย่างเลยเรา ไม่มีเคลื่อนคลาดนะ เช่น การหลับนอนนี้จะเอาเวลาไหนตื่นเวลาไหน กำหนดปั๊บไว้เลย พอถึงเวลานั้นมันจะดีดของมันผึง ๆ ไม่มีเคลื่อนคลาดเลยตลอดมา เช่น การนอนนี้นอนจนกระทั่งเป็นแบบแม่เนื้อตื่นนายพรานนะ คือมันสะดุ้งเลยเทียว พอรู้สึกตัวนี้มันจะสะดุ้งเลยเทียว ไม่ได้ตื่นนอนธรรมดานะ ตั้งแต่วันก้าวเข้าไปเป็นนาคบวชเป็นพระที่แม่สั่งเสียแล้ว เรื่องการนอนนะลูก เหมือนตายเลยนะ ตั้งแต่นั้นพอไปถึงก็สอนตัวเองแบบบังคับเลย แล้วก็เป็นอย่างนั้นตลอด จนกระทั่งถึง ๑๘ พรรษาฟังซิ

ตั้งแต่วันก้าวเข้าไปบวชนาคจนถึง ๑๘ ปี การหลับการนอนนี้จะเป็นนิสัยเลย พอรู้สึกนี้มันจะดีดของมันเอง เมื่อเป็นนิสัยแล้วเราไม่ต้องตั้งใจลุก พอรู้สึกนี้มันจะดีดของมันผึง ๆ เลย ทีแรกเราก็ฝึกของเราดีดผึง ๆ นะ ทีนี้พอมันชินแล้วพอรู้สึกนี้มันจะดีดของมันเองผึง ๆ ถึง ๑๘ พรรษาถึงได้แก้ไขใหม่ โห แก้ไขก็ไม่ได้ง่าย ๆ นะมันเป็นนิสัยแล้ว พอรู้สึกมันดีดก่อนแล้ว ๆ จนกระทั่งฝึกได้ ทีนี้ฝึกได้มันก็เลยเถิดเสีย เวลาตื่นนอนนี้อยากลุกก็ลุก ไม่อยากลุกก็นอนอีกต่อไปเฉยเลย เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นนะ มันเลยเถิดเสียทุกอย่าง เดี๋ยวนี้เราไม่มีกฎเกณฑ์นะการหลับการนอน มันเลยเสียทุกอย่าง

เวลาฝึกมันฝึกอย่างนั้นจริง ๆ อยู่ที่ไหนให้อยู่ในกรอบ ๆ เลย ไม่ให้ตำหนิตัวเองได้  ตำหนิตรงไหนนั้นละความเดือดร้อนอยู่ตรงนั้น แพ้วันยังค่ำ ถ้าสมมุติว่าเราได้ถูกตำหนิตัวเองตรงไหน นั้นละรู้สึกว่ามันไม่สบาย ต้องพยายามแก้แค้นกันจนได้ แก้จนได้แล้วถึงจะลงใจได้ จะยอมแพ้ไปเลยนี้ไม่ได้สำหรับเรา นี่เป็นนิสัยฝึกมาอย่างนั้น จนกระทั่งมาบวชก็เป็นนิสัยอย่างนั้นมาตลอดเลย นิสัยของเก่าที่เอามาใช้ อันไหนที่เห็นไม่เป็นประโยชน์ตัดออกหมดเลยเทียว เอานิสัยพระล้วน ๆ ไปใช้ นิสัยพระไม่ใช่นิสัยที่ลืมเนื้อลืมตัว มีสติสตังตั้งหน้าตั้งตาขยันหมั่นเพียรอดทนทุกอย่าง รวมเข้ามาในพระหมด เพราะฉะนั้นถึงเก็บอันนี้ไว้เข้าบรรจุในหัวใจของเรา อะไรที่เป็นส่วนของฆราวาส อันนั้นไม่ใช่เรื่องของพระ ตัดออกทันทีไม่ให้มีเงื่อนต่อกันเลย จึงเอานิสัยพระไปใช้ล้วน ๆ เลย นี่การปฏิบัติ

การฝึกตัวให้เป็นคนดีต้องมีข้อบังคับตัวเอง ปล่อยเลยตามเลยไม่ได้นะ เราไม่เคยเห็นได้ดิบได้ดีเพราะการปล่อยเลยตามเลย เราไม่เคยได้นะ ต้องได้แบบนี้ละ ได้แบบดัดสันดาน ๆ เด็ดเท่าไร ๆ ยิ่งได้ของแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาเป็นที่ระลึกกันทุกครั้ง ๆ เพราะฉะนั้นการฝึกการหัดดัดแปลงตัวเองจึงเป็นของดีตลอดมา ไม่เคยมีความจืดจางเลย เห็นว่าเป็นของมีคุณค่าตลอดมา เราฝึกหัดดัดแปลงเข้มข้นเท่าไร ผลยิ่งปรากฏในทางที่ดีขึ้นมาเรื่อย ๆ มันก็เป็นคติเครื่องเตือนใจจนฝังเป็นนิสัยไปอีกทีหนึ่ง ต้องมีฝึกซิ ไม่ฝึกไม่ได้นะการปฏิบัติตัวเอง

เวลาฝึกต้องฝึก เวลาเด็ดต้องเด็ด เวลาอ่อนมันคอยอ่อนอยู่แล้วแหละ พอเราจะอ่อนนี้มันเลยอ่อน อ่อนเปียกไปเลยนะ ต้องแข็งไว้ตลอดเวลา นี่เคยมาอย่างนั้น ทุกอย่างจึงเรียกว่าเคย ทำอย่างไรเป็นอย่างนั้นเลย อย่างยอมแพ้ตัวเองนี่ไม่ให้แพ้ ถ้าสมมุติว่าแพ้ตรงนี้ พยายามแก้ แก้จนชนะได้แล้วถึงจะตายใจได้ ถ้ายังแพ้อยู่นั้นเหมือนว่าให้ตายเสียดีกว่า อย่าให้เหลือเป็นมนุษย์ไม่มีค่าอะไรเลย ต้องเอาตรงนั้นนะ มีค่าด้วยการชนะ ๆ ตลอดไป แล้วคนเราก็อยู่ภาคภูมิใจนะ ถ้าแบบแพ้ตลอดไป อู๊ย ใช้ไม่ได้ ไม่ดีเลย ไม่เป็นท่า

การที่พูดสอนพี่น้องทั้งหลายนี้เราก็ถอดออกมาจาก ตั้งแต่เป็นฆราวาสก็เป็นเหมือนคนทั่ว ๆ ไป แต่เวลาเป็นพระให้เป็นพระสมบูรณ์แบบ นี่สำคัญอันนี้ เข้ามาสู่ความเป็นพระแล้ว ไม่ให้เรื่องของฆราวาสที่เป็นเรื่องนิสัยไม่มีขอบเขตนั้น ไม่ให้เข้ามายุ่งเลย ตัดออก ๆ ให้มีแต่เรื่องของพระ อยู่แบบธรรมแบบวินัย แบบสำรวมระวังตลอดเวลาจนเคยชินเป็นนิสัย ทีนี้เมื่อเป็นนิสัยแล้วมันก็ชินใจ ไม่ว่าตั้งหน้าจะระมัดระวังมันรู้เอง ๆ หลบหลีกปลีกตัวเองทีเดียว เวลาชินแล้วก็เป็นนิสัย

การรักษาธรรมวินัยนี้นะ ทีแรกเราก็ระมัดระวังรักษาเต็มเหนี่ยวนั่นละ ไม่ระวังมันผิดจริง ๆ เพราะเราเคยรุ่มร่ามมาแล้วตั้งแต่เป็นฆราวาส ไม่มีกฎมีเกณฑ์ เวลามาบวชเป็นพระเข้าสู่กรอบแห่งความดีงามแล้ว ต้องบังคับให้อยู่ในกรอบนี้ตลอด ทีนี้ต่อไปนานไป ๆ มันก็ค่อยชิน ๆ มันก็อยู่ในกรอบเพราะมันเป็นนิสัยไปเลย ไปที่ไหนก็ไปแบบพระ จะว่าตั้งใจสำรวมระวังก็ไม่เห็นมี แต่อะไรที่จะขัดกับธรรมกับวินัยจะรู้ทันที พลิกปั๊บ ๆ ทันทีนี่เรียกว่ามันชินเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าได้ฝึกให้เป็นนิสัยแล้วดีด้วยกันทั้งนั้น

จึงต้องให้พยายามฝึก เราอย่าปล่อยนะ การปล่อยเนื้อปล่อยตัวมันปล่อยมามากต่อมาก ผลของมันมีแต่เดือดร้อนวุ่นวายแก่ตัวเองนะ การระมัดระวังเข้มงวดกวดขันมีหลักมีเกณฑ์นี้ ถึงจะลำบากลำบนในการเข้มงวดกวดขันตัวเองก็ตาม แต่ผลเป็นที่อบอุ่น ๆ ไปเรื่อย ๆ นะดี ให้พากันจะเอานะ นี้เคยฝึกไว้แล้วจึงได้มาสั่งสอน ใคร ๆ ก็ตามฝึกมาแล้วเรียบร้อย นอนนี้ก็ต้องได้ฝึกใหม่

ตั้งแต่ก้าวเข้าสู่วัดเป็นนาคถึง ๑๘ ปีเรื่องการหลับการนอนอันนี้เป็นแบบฉบับไปเลยไม่มีเคลื่อนคลาด ถึงพรรษา ๑๘ เราคิดเสียใหม่นะ ที่เราจะมาเปลี่ยนแปลง คือเวลามันตื่นแบบนั้นเราก็เห็นว่าถูกต้องแล้ว เพราะเป็นแนวรบ เข้าสู่ความเป็นนักรบจะนอนใจไม่ได้ ต้องมีท่านักรบเสมอ เราปฏิบัติตัวเราเท่ากับนักรบนะ ทีนี้ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว อะไร ๆ ก็รู้สึกว่าเป็นที่พอใจ จะรบจะรากับอะไร ๆ เราก็เข้าใจเราเรียบร้อยแล้ว ทีนี้จะผ่อนผันสั้นยาวเรื่องธาตุเรื่องขันธ์การหลับการนอนการอยู่การกิน การกินนี่ก็เรียกว่าบีบบังคับตลอด ไม่ให้มันกินอิ่มหรือไม่ให้กิน นี้เป็นการบีบบังคับตัวเองเพื่อความเป็นคนดี ครั้นเวลามันได้สัดได้ส่วนของมันตามความรู้สึกเจ้าของแล้ว การอยู่การกินก็จะปล่อยให้เป็นสภาพธรรมดา คือฉันไปเรื่อย ๆ ทีนี้ไม่อด อาหารก็ไม่อดละที่นี่ เราจะฉันไปเรื่อย ๆ เราก็ฉันไปเรื่อย ๆ ของเราอย่างนั้น

ทีนี้การนอน พอรู้สึกตัวแล้วให้รู้ทิศรู้ทาง ทิศใต้ทิศเหนือ ด้านนั้นด้านนี้ ชัดเจนแล้วค่อยลุกขึ้นมาอย่างสวยงามว่างั้นความหมายนะ ไม่ให้ลุกขึ้นแบบดีดผึง ๆ คือลุกแบบนั้นแบบนักรบเข้าใจไหม ระยะนี้จะพูดว่าเราออกจากสนามรบหรือลงเวทีมาแล้วเป็นคนธรรมดา จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ผิด พรรษา ๑๘ นี้จึงฝึกตัวใหม่ ให้นอนธรรมดา ๆ เรียบ ๆ ถึงอย่างนั้น โห เป็นปีกว่านะ ไม่ใช่เล่น มันดีดของมันเอง ๆ มันเป็นนิสัย จึงไม่เข้ามาสู่สภาพตามที่เราต้องการฝึก ให้ลุกธรรมดาตื่นธรรมดา ทีนี้จากนั้นแล้วมันไม่ธรรมดา มันก็เลยเถิดอยู่เหมือนกันนะ พอจากนั้นแล้วทีนี้พอตื่นขึ้นมาฝึกหัดได้สัดได้ส่วนแล้ว ตื่นขึ้นมาแล้วอยากลุกก็ได้ไม่อยากลุกก็ได้ นอนเฉย เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นนะ แบบนอนเฉย เป็นอย่างงั้นนะ มันเลยเถิดอย่างว่าแหละ

ทุกวันนี้เราไม่มีกฎมีเกณฑ์นะการหลับการนอน ไม่มีเราก็บอกเราไม่มี เราไม่มีกฎเกณฑ์ข้อใดมาตั้งเรานะเดี๋ยวนี้ เราปล่อยตามสภาพของมัน คือปล่อยตามสภาพของธาตุของขันธ์ เวลานี้ธาตุขันธ์มันอ่อนของมันแล้ว เราก็ปล่อยตามสภาพ ปฏิบัติตามธาตุตามขันธ์ เราไม่ได้ปฏิบัติตามอรรถตามธรรมเหมือนแต่ก่อน แต่ไม่ผิดเรื่องธรรมมันก็ไม่ผิด เป็นแต่เพียงว่าเราไม่เข้มข้นทางด้านธรรมะ จะต้องอย่างนั้นจะต้องอย่างนี้ใช่ไหมล่ะ ทีนี้มันก็เลยกลายเป็นอ่อนเปียกไปตามธาตุขันธ์ เช่น กลางค่ำกลางคืนอย่างนี้ เวลานอนมันนอนไม่หลับ มันขัดมันปวดตรงนั้นตรงนี้ นี่ธาตุขันธ์บังคับแล้ว แล้วทำไง แก้ไขกัน แก้ไขก็ลงเดินจงกรมบ้าง เดินจงกรมแล้วธาตุขันธ์มันก็ค่อยอ่อน เส้นอะไรอ่อน เดินไปเดินมาสะดวกสบาย ไปหลับนอนก็หลับได้ง่าย ถ้ามันขัดมันปวดนี้นอนไม่หลับนะ เราจึงต้องมีเปลี่ยน เปลี่ยนเดินจงกรมบ้างอะไรบ้าง

การเดินจงกรมของเราทุกวันนี้จึงเอาแน่ไม่ได้นะ ไม่มีความแน่นอนสำหรับธาตุขันธ์อันนี้ บางที ๖ ทุ่มลงไปเดินก็มี มันบอกแล้วมันบังคับแล้ว มันขัดมันปวด บางทีตี ๑ ก็มี ตี ๒ ก็มีตี ๓ ตี ๔ แล้วแต่ธาตุขันธ์มันจะบ่งบอก เราก็ไปเปลี่ยนตามธาตุขันธ์ เวลานี้เอาธาตุขันธ์เป็นประมาณนะ ไม่ได้เอาจิตใจเป็นประมาณ ธรรมเป็นประมาณนะ ต้องเอาธาตุขันธ์เพราะเราใช้ธาตุขันธ์เป็นประโยชน์แก่โลก เราต้องบำรุงมันไว้อย่างนั้น ที่เราปฏิบัติต่อธาตุขันธ์ก็เพื่อประโยชน์แก่โลก เพราะจะนำธาตุขันธ์นี้ไปใช้ เป็นอย่างนั้นนะ เวลานี้จึงไม่มีอะไรเป็นตัวของตัว เราพูดถึงเรื่องธาตุขันธ์นี้มันเป็นใหญ่กว่าเรา เป็นใหญ่ตลอดมา

แต่ยังไงก็ตามเราจะอ่อนไปแบบไหน ๆ ก็ตาม เราไม่เคยมีความเดือดร้อนในตัวของเราว่าได้บกพร่องไปหรือได้อ่อนเปียกแพ้ไป ๆ อย่างนี้เราไม่มี อ่อนก็อ่อนลงไปตามที่เราตั้งใจอนุโลมเอง ตั้งใจลดหย่อนผ่อนผันเอง เวลาเราจะหยุดเมื่อไรเราก็หยุดได้ใช่ไหมล่ะเพราะเราเป็นผู้ปล่อยเองหยุดไว้เองรั้งไว้เอง เป็นอย่างนั้นนะ ไม่ได้ทำสุ่มสี่สุ่มห้า อยู่กับหมู่กับเพื่อนจึงบอกเคยพูดให้ฟัง แบบหูหนวกตาบอดอยู่ไปอย่างนั้นนะ ไปที่ไหน ๆ นี้ต้องเป็นแบบหูหนวกตาบอดไป ถ้าจะให้เป็นตามเรื่องของหูตาหรือจิตสติปัญญามันทำงานของมันแล้วมันจะดูไม่ได้ ไม่ใช่ยกตัวข่มท่านนะ พอมองพับทางนี้มันเห็นแล้วความผิดพลาด ไม่มากก็น้อยมันจะบอก คือเรื่องของกิเลสมันแสดงตัวออกมาให้ธรรมจับมันได้ ๆ ตลอดใช่ไหมล่ะ นั่นละที่ว่ามันรู้มันเห็นอยู่ตลอด เคลื่อนมาตรงไหน ๆ มันรู้ บกพร่องตรงไหนมันจะบอกในตัวของมัน บอกในตัว

ทีนี้เราจะไปเตือนทุกสัดทุกส่วนไม่ได้เข้าใจไหมล่ะ ก็แบบหูหนวกตาบอดไป ถ้ามันควรที่จะเตือนก็เตือนเสียบ้าง ควรจะดุก็ดุเสียบ้าง ถ้าพูดภาษาโลกมันทนไม่ไหวก็ว้ากเสียบ้างเข้าใจไหม ถ้าพอทนได้ก็หลับตาไปหูหนวกตาบอดไปอย่างนั้น นี่มันก็ส่อให้เห็นเรื่องความคิดความอ่าน ความตั้งอกตั้งใจ ความจริงจังหรือไม่จริงจัง ของผู้มาเกี่ยวข้องเรา เราเคยปฏิบัติตัวของเรายังไงเราก็รู้ของเรา ทีนี้สิ่งที่มาเกี่ยวข้องเป็นภัยหรือเป็นคุณมันก็รู้ ๆ โดยลำดับลำดา ถึงว่าทนเอานะอยู่กับหมู่กับเพื่อนนี่ แบบหูหนวกตาบอดไป ไปที่ไหนก็แบบหูหนวกตาบอดไปก็อย่างนั้นแหละ จะให้เป็นไปตามนั้นไม่ได้ อยู่กับใครไม่ได้นะ ต้องอยู่คนเดียวของเรา นี่เรียกว่าสบาย ไม่มีอะไรมายุ่งนะ ถ้าอยู่กับหมู่กับเพื่อนสิ่งที่ขัดขวางมันก็ออกจากกิริยาของหมู่ของเพื่อนจนได้

แม้ที่สุดทำงานอะไร ๆ นี้รอบคอบหรือไม่รอบคอบมันก็บอกอยู่ในผลงาน งานแสดงออกมายังไง ๆ นี่ผลงานเป็นอย่างนี้ ออกมาจากความฉลาดหรือความโง่ ความเอาไหนหรือไม่เอาไหน ความจริงจังหรือความเหลาะแหละ มันจะบอกในผลงาน ๆ เอาผลงานนี้กางขึ้นเลยมันกระเทือนถึงเจ้าของผู้ทำ ๆ ว่าผิดถูกชั่วดีประการใดบ้างทันทีเลย นี่มันเป็นอย่างนั้นนะ ธรรมละเอียดขนาดนั้นนะไม่ใช่ธรรมดา ถ้าถึงขั้นละเอียดแล้วพูดไม่ถูกเลย นี่เอามาพูดเพียงขั้นที่ควรจะพูดกันได้รับกันได้ในโอวาทของพระพุทธเจ้า ที่เลยจากนั้นแล้วก็ให้ปล่อยไปตามนิสัยบุญกรรมของใครของเราไป แต่จะสอนเพื่ออันนั้น จึงต้องพยายามปลุกปั้นกันขึ้นตรงนี้แหละ สอนตรงนี้ ต่อไปจะค่อยฉลาดไปเอง ๆ

อย่างที่พูดนี่ไม่ได้คุยนะ ไอ้เรื่องความมืดบอดนี้มันก็เหมือนกันหมดก็ยังบอกแล้ว เขาเหมือนเรา-เราเหมือนเขาไม่มีอะไรผิดแปลกกันความรู้สึก กิเลสได้ครอบหัวอยู่แล้วต้องเป็นลักษณะเดียวกัน แต่การฝึกเรื่อย ๆ ฝึกเรื่อย ๆ ฝึกไป ๆ ความมืดบอดก็ค่อยจางไป ธรรมคือความสว่างกระจ่างแจ้ง ความเห็นโทษเห็นคุณขึ้นจากธรรม ขึ้นจากสติปัญญา มันจะค่อยแสดงตัวมันออกไป สว่างไปเท่าไรมันก็ยิ่งรู้ออกไป ๆ รู้ออกไปเรื่อย ๆ มันเป็นในหัวใจดวงนั้นแหละ ดวงที่เราฝึกอยู่นั้น คือเพื่อความรู้มันก็ต้องรู้ไปไม่มากก็น้อยเพิ่มกันเข้า ต่อไปมันก็จ้าออก ๆ กว้างออก ๆ เป็นในหัวใจดวงนี้นะ ใจนี้จึงเรียกว่าฝึกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่างั้นเลยนะ

ใจฝึกไม่ได้พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาไม่ได้ พระสงฆ์สาวกเป็นสรณะของเราไม่ได้ เราฝึกเราไม่ได้เราก็เป็นคนไม่ได้ เมื่อเป็นคนไม่ได้จะเป็นอะไร หมามันเป็นทั่วบ้านทั่วเมืองมันเป็นได้ง่ายเข้าใจไหม นั่นอยากว่างั้นนะ มันเป็นหมาได้ง่ายนะ จะเป็นคนนี้เป็นได้ยาก เราต้องฝึกของเราซิ พยายาม ฝึกเพื่อความดีฝึกไปไหนฝึกเถอะทุกข์ยากลำบากดีทั้งนั้น ๆ ไม่มีเสียผลนะ ถ้าปล่อยตามเรื่องของกิเลสนี้จมไปเรื่อย ๆ จนเป็นนิสัย ทำดีไม่ได้เลย ให้จำเอานะ ต้องต่างคนต่างฝึกเจ้าของซิไม่ฝึกไม่ได้นะ ธรรมเป็นเครื่องฝึกคนให้ดีแท้ ๆ นี่ทำไมมาฝึกเราทั้งคนจะไม่ดี โอวาทเป็นของดิบของดีเลิศเลอ สอนคนให้เลิศเลอมาขนาดไหน สอนเราทำไมจะเป็นคนเลวไปได้ ถ้าเราปฏิบัติตามต้องดีจนได้ตามแบบลูกศิษย์มีครูนั่นแหละ ให้จำกันให้ดีนะ

วันนี้เทศน์สอนในแบบนี้ให้พากันจำเอานะ การฝึกฝนอบรมสำคัญมาก ไม่งั้นมันเหลวไหลนะ โลเล ต้องฝึก เมื่อมันเคยชินแล้วมันก็ธรรมดาเราไปทุกอย่าง จะอ่อนมันก็อ่อนได้ง่าย เวลาอยู่ในกรอบของความฝึกอบรมเราแล้ว เราจะอ่อนผ่อนผันสั้นยาวก็ไปได้ง่าย จะดีดผึงกลับไปได้ง่าย เพราะเราคนเดียวเข้าใจไหมเป็นผู้ฝึกเรา จะให้พอเหมาะพอดีกับทางไหน ไม่ว่าทางอนุโลมผ่อนผันหรือทางอ่อนหรือทางแข็งเราทำได้ด้วยกันทั้งนั้น อ่อนก็อ่อนเพื่อความเหมาะสมกับเหตุการณ์บ้านเมืองหรือสถานที่บุคคล เคร่งครัดก็เคร่งครัดตามสถานที่บุคคลและตัวของเราเอง มันเป็นขั้น ๆ ไปอย่างนั้นแล้วก็ดีไปเรื่อย ๆ คนเรา

ไม่ฝึกไม่ได้นะต้องฝึก เห็นไหมหมามันรังแกกันไม้เรียวหวดแล้ว นั่นฝึกหมาเข้าใจไหม เรื่องฝึกหมาเราก็ยังได้ว่าให้พระอยู่เมื่อ ๒ วันมานี้ ไอ้หมีมันไปรังแกเขา มันท่าใหญ่หมาตัวนี้ท่าใหญ่ ก็ได้บอกหมู่เพื่อนตั้งแต่มันหัวเท่ากำปั้น ระวังให้ดีนะหมาตัวนี้ หมาตัวนี้มันจะท่าใหญ่นะ มันจะคอยรังแกเขาเรื่อย ๆ มันท่าใหญ่วางอำนาจนะ มันตัวเล็ก ๆ นะเกิดมาน่ะดูแล้วบอกพระไว้เลย แล้วก็เป็นอย่างนั้นตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ผิดไหมล่ะ มันไปหารังแก เรื่องกัดมันไม่กัดแหละคือมันกลัวไม้เรียว ถ้าไม่มีไม้เรียวมันจะกัดได้นะ มันไปทำท่าแฮ่ตัวนั้นแฮ่ตัวนี้ ไม้เรียวหวดปั๊วะ หมอบระวัง บางทีแฮ่เขาวิ่งหนีเลยกลัวไม้เรียวข้างหลัง นี่ต้องฝึกอย่างนั้นนะ ไม่ฝึกไม่ได้นิสัยมันเป็นอย่างนั้นเราถึงได้สอนอยู่เรื่อย

แล้วก็พูดถึงเรื่องมันไปรังควานเขาอยู่นั่น มันรังแกเขา แฮ่ ๆ ใส่เขา เอาไม้เรียวไปหวดใส่ พอหวดแล้วมันก็หมอบไม่ต่อสู้นะ เรามองดูอยู่นี่ พอถูกไม้เรียวมันก็หมอบ ทางนี้ก็กระหน่ำเรื่อย ไอ้ผู้ตีหมานี้ฝึกหมามันสู้หมาไม่ได้ คือหมาฉลาดกว่า มันรู้จักเจ้าของ เจ้าของตีมันหมอบ แต่เจ้าของไม่รู้จักหมา เลยกลายเป็นหมาแทนมันไปเลย ไอ้หมาตัวนั้นมันมาเป็นคน เราเลยบอกไป นั่นน่ะเขายอมแล้วนะ ให้หยุดนะเขายอมแล้ว คือเขาหมอบเรียกว่าเขายอม เมื่อเขายอมแล้วเราต้องหยุดเฆี่ยนตีมันถึงถูก นี่เขายอมแล้วยังกระหน่ำ เราก็ขนาบพระซิ เขายอมแล้วนั่นน่ะ มองเห็นอยู่นี่ ทำไมจึงตีขนาบ ๆ เราอยากเอาไม้ฟาดหลังพระอีกทีนึง เขายอมแล้วความหมายว่างั้นนะ ถ้ามีคนฉลาดยิ่งกว่าเราอีกจะมาฟาดหลังเรา เอ้า ๆ ฟาดลงไปเลยเราจะหมอบให้คนนี้อีกเหมือนกัน ถ้าเหตุผลเหนือเรา ถ้าเหตุผลไม่เหนือเรา เราจะกัดเก่งกว่าหมาอีกเข้าใจไหม มันต้องอย่างนั้นซี

นี้ทำอะไรไม่ได้คิดได้อ่าน ตีหมา หมายอมแล้วยังตีอยู่ ทีนี้ขนาบเลยเขายอมแล้วนั่นน่ะ ชี้มือไปนู้นต้นเสา เขาหมอบ ตีเท่าไรเขาก็ยิ่งหมอบ ไอ้หมีเขายอมเจ้าของเขา เจ้าของยังไม่รู้เรื่อง ทางนี้ต้องไปขนาบพระอีกทีนึง นั่นเห็นไหม ตีหมาก็โง่ว่าไง สอนหมามันก็โง่แล้วจะให้หมาฉลาดมาจากไหน เราไม่ได้สอนไอ้หมีไว้นะ หมีพระองค์นี้มึงจำเอาไว้นะมึงจำหน้าไว้นะถ้ามาตีมึงทีหลังมึงไล่หวดเอาเลยจะว่างี้ เพราะตีมึง มึงยอมแล้วมันยังไม่รู้จักยอม พระองค์นี้ให้มึงไล่ขนาบตกฟากกำแพงเลยนะ เรายังไม่ได้สอนไอ้หมีเรา เป็นอย่างนั้นนะ วันนี้ก็พูดเพียงเท่านั้น วันนี้มีกัณฑ์เทศน์บ้างไหมมีบ้างไหมหรือลามปามไปเลยไม่ทราบไปแบบไหน ๆ นะวันนี้ฟาดลงถึงไอ้หมีเลย มายุติกับไอ้หมีนะ เอาละพอแล้ว

คุณหมออรทัยฝากถวายเจ้าค่ะ ๒๐ ดอลล์

หมออรทัยไปอยู่ไหนเดี๋ยวนี้

ยังอยู่ยังไม่ประสบความสำเร็จเจ้าค่ะ

สมัครผู้แทนยังไม่ได้เหรอ

คงจะกลับมาเป็นคุณหมอใหม่เจ้าค่ะ

เป็นหมอกับหมามันใกล้กันนะ ถ้าพลิกไม่ดีเดี๋ยวจะเป็นไอ้หมีนะ เข้าใจไหม สมัครผู้แทนยังไม่ได้พวกความหวังใหม่นะ ความหวังใหม่คราวนี้มันก้าวไปทางไทยรักไทยเสียมากต่อมากเมืองไทยเรา อย่างนี้ก็ไม่ขึ้นอยู่กับใครละเข้าใจไหม เราบอกเราเป็นผู้นำให้ฟังเสียงหัวหน้า ตัวนี้ตัวสำคัญ แล้วก็เป็นผลสำเร็จเรื่อยมาอย่างนี้ ค่อยราบรื่นไปละ เราจะคอยแนะคอยดูคอยสอดคอยส่องตลอดเวลาเราไม่ได้ปล่อยมือน ะ เพราะชาติเป็นของเราทุกคน แล้วเราเป็นหัวหน้าเป็นผู้นำ เราจะต้องใช้ความพินิจพิจารณาเพื่อชาติบ้านเมืองของเราเต็มกำลัง ด้วยเหตุนี้ระหว่างชาติบ้านเมืองกับศาสนาจึงแยกกันไม่ออก จะต้องประสับประสานกันอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ละ

เมื่อวานนี้ไปปากชม ไม่ตั้งใจไปให้อะไรนะ เอาแต่ของไปเต็มรถแล้วก็เทลงไปเลยไม่ถามอะไรเลยเพราะเราจะไม่ให้ เหตุไรจึงไม่ให้เพราะเราไม่มีของจะให้เข้าใจไหมเราหมดขนาดนั้นนะ เมื่อวานนี้ท่านเจ้าคุณธรรมบัณฑิตก็มาขอเงินติดหนี้เขา เขาฟ้องว่างั้นคือหนี้ดูเหมือน ๑๗ ล้าน สร้างอะไรเจ้าคุณองค์ก่อนที่เสียไปนั้นน่ะ สร้างยังไม่เสร็จยังติดหนี้เขา ๑๗ ล้าน เลยมาขอเงินจากเรา บอกว่าเขาฟ้อง เขาฟ้องยังไงว่าซิน่ะ ทางไหนฟ้อง ทางบริษัทเขาฟ้องมา คำว่าฟ้องนี้เป็นเรื่องของทางกฎหมายบ้านเมือง เขาก็อาศัยกฎหมายบ้านเมืองมาพูดจึงเรียกว่าฟ้อง ความจริงเขามาเตือนเรา เราติดหนี้เขาถึง ๑๗ ล้านไม่ได้มีเงินอะไรให้เขาเลยไม่สมควรอย่างยิ่ง เราก็ว่าอย่างงี้แหละ ที่ถูกแล้วเขามาเตือนเรา เพราะฉะนั้นเรามีเท่าไรก็ให้เขา นี่เขาจะมาขอเพียง ๔ ล้านก่อน เวลานี้เงินได้ ๑ ล้าน ๕ แสนแล้ว

เมื่อวานเราเลยให้ไปอีก ๑ ล้าน แต่ยังไม่ได้ให้นะ ลั่นคำเฉย ๆ กับถามว่าเมื่อไรจะต้องการเงิน ถึงวันที่ ๑๘ เดือนหน้าจะให้เมื่อไรก็ได้ เออเข้าใจแล้ว เราก็เป็นอันว่าให้ ๑ ล้านกับที่วัดโพธิ์มีอยู่แล้ว ๑ ล้าน ๕ แสนก็เป็นเงิน ๒ ล้าน ๕ แสนยังอีก ๑ ล้าน ๕ แสนจะครบจำนวนที่เขาขอในพักนี้ก่อนว่างั้น เมื่อวานนี้เราจึงได้ลั่นคำให้ไป ๑ ล้าน  อย่างนั้นละเราให้อยู่เรื่อย ๆ ตอนเย็นเมื่อวานนี้ ส่วนทางปากชมไม่ได้ให้เลย ให้แล้วก็กลับมาเลย เรื่องราวเป็นอย่างนั้นวานนี้ เอาละให้พร

 

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet

www.luangta.com หรือ www.geocities.com/bantadd

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก