เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
กิเลสแผลงฤทธิ์ ธรรมคันฟัน
ก่อนจังหัน
เอานะพระ ภาวนาเอาให้ดีนะ ให้หนักในทางภาวนาสำหรับพระเรา ไม่มีงานอื่นใด บวชเข้ามาเพื่อมรรคผลนิพพาน ไม่ใช่บวชเข้ามาพอเป็นพิธี มาหายศหาลาภเป็นบ้าไป พระเป็นบ้าหายศหาลาภ ยศลาภอะไรจะเลิศเลอยิ่งกว่าธรรมยศ ศีลยศ ธรรมยศ วิมุตติ เลิศแล้ว พระพุทธเจ้าท่านหาอย่างนั้น พวกเรานี่หาแต่มูตรแต่คูถ ยศลาภที่ไหนตั้งชื่อตั้งนามให้แล้วเป็นบ้าไปเลย เอ๊ พระเป็นบ้าเป็นอย่างนี้ ทำไมเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าฉลาดเลิศเลอไม่มีใครเกิน ทำไมลูกศิษย์ตถาคตจึงโง่ชะมัด ไปหาแต่ส้วมแต่ถาน ไอ้ลาภไอ้ยศหามาสะแตกอะไร มันก็มีแต่ชื่อเฉยๆ ชั้นนั้นชั้นนี้ เจ้าของเป็นไฟอยู่และเป็นมูตรเป็นคูถในหัวใจมีประโยชน์อะไร
คิดบ้างซิพระไม่คิดใครจะคิด ศาสดาองค์เอกจอมคิดจอมปราชญ์ สาวกทั้งหลายท่านเป็นจอมคิดจอมปราชญ์เป็นลำดับลำดากันมา พวกเราทำไมจึงเป็นจอมโง่ หาแต่ส้วมแต่ถาน หาแต่ลาภแต่ยศ หามาสะแตกอะไร เราอยากพูดให้มันเต็มยัน มันขวางหัวใจมาตลอดๆ ไอ้พระไปหาลาภหายศ หาสรรเสริญเยินยอยิ่งกว่าที่จะหาอรรถหาธรรมในใจตามพระประสงค์ของพระพุทธเจ้า น่าทุเรศนะ หาธรรมในใจซิ อะไรจะเลิศเลอยิ่งกว่าธรรม มีธรรมในใจแล้วอยู่ไหนสบายหมด เลิศตลอดเวลา พูดให้มันชัดๆ หาธรรม อย่างนั้นซิ ถ้าลงได้เต็มหัวใจแล้วอยู่ที่ไหนก็อยู่เถอะว่างั้นเลย เลิศตลอดๆ อยู่ใต้ดินก็เลิศ อันนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับดินกับน้ำกับลมกับไฟ ขึ้นอยู่กับธรรมอันเลิศอย่างเดียวเท่านั้น
ให้พากันตั้งใจภาวนานะ สติเป็นสำคัญ นี่ผมพูดเสมอ ตั้งสติให้ดี ใครประกอบความเพียรสติไม่ขาด ผู้นั้นจะมีรากมีฐานโดยลำดับลำดา ฟาดถึงมรรคผลนิพพานไม่ต้องสงสัย สติเป็นสำคัญมากทีเดียว นักประกอบความเพียรมักจะขาดสติ ไม่ถือสติเป็นสำคัญ จำให้ดีนะสติเป็นสำคัญมาก ความพากเพียรตั้งแต่ต้นถึงมหาสติมหาปัญญา ออกจากสติล้มลุกคลุกคลาน จากนั้นก็เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ จากสติปัญญาอัตโนมัติแล้วก็เป็นมหาสติมหาปัญญา ออกจากภาคปฏิบัติ ให้มันเห็นชัดๆ ในหัวใจเป็นไร
มีแต่อ่านตำราเป็นหนอนแทะกระดาษมันเกิดประโยชน์อะไร พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เป็นหนอนแทะกระดาษ เป็นนกขุนทอง แก้วเจ้าขาๆ หนอนแทะกระดาษเกิดประโยชน์อะไร เรียนเอาความจำมาเป็นมรรคเป็นผลไม่มีประโยชน์ กิเลสไม่ถลอกปอกเปิกสักตัวเดียว เรียนมาเพื่อประพฤติปฏิบัติกำจัดกิเลสออกจากใจนั้นถูกต้อง
ท่านว่าปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ คืออะไร ปริยัติคือการศึกษาเล่าเรียน เช่นพระพุทธเจ้าท่านประทานพระโอวาทให้ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่เป็นปริยัติเรียนแล้วจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้า ทีนี้ก็เอาเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ มาเป็นภาคปฏิบัติ พินิจพิจารณาคลี่คลายอีก ผลเกิดขึ้นก็มีความสงบร่มเย็นเป็นลำดับลำดา นี้เรียกว่าปฏิเวธ คือผลที่เกิดขึ้นจากงาน นี่ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้าไม่มีอันนี้แล้วศาสนาก็ว่างเปล่า พวกเราเป็นหนอนแทะกระดาษอยู่เฉยๆ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร
เวลานี้ศาสนากำลังถูกเหยียบย่ำทำลายจากกิเลส ใครก็ยอแต่กิเลสๆ กิเลสยอไปเท่าไรสามโลกธาตุดูซิ ใครยอกิเลสแล้วมีความสุขความเจริญเอามาอวดหน่อยน่ะ มันเป็นยังไง อยู่ที่ไหนก็ยอกิเลสๆ แล้วร้อนกันทุกหย่อมหญ้า นี้ละโทษแห่งการยอกิเลส ยอธรรมดูซิน่ะ ปฏิบัติธรรม รักษาให้ดี เรื่องความดีงาม เอา รักษาให้ดี จะพาคนจมลงนรกเหรอ เดี๋ยวนี้พวกเรามันตกนรกทั้งเป็นนะ เพราะไม่ปฏิบัติตามทางของพระพุทธเจ้า มันตกนรกทั้งเป็น กิเลสตัวเป็นฟืนเป็นไฟมันเผาอยู่ในหัวใจนั่นน่ะ เอาชื่อเอานามเอายศถาบรรดาศักดิ์อะไรเข้ามากลบจะให้มันหายทุกข์ มันไม่หาย กลบก็กลบไปอย่างนั้นแหละ ไฟกิเลสมันไม่ได้ขึ้นกับใคร
พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ เคยซ้ำแล้วซ้ำเล่าเรื่องสตินี่นะ ใครตั้งสติดี เอา แน่นอนเลยคนนั้น ยืนตัวให้เลยว่าอย่างไรผ่านได้ๆ ทีแรกตั้งรากตั้งฐานได้ สติมีกิเลสไม่เกิด จำให้ดีคำนี้ กิเลสเกิดจากสังขาร สังขารเป็นเครื่องมือของสมุทัย สมุทัยคืออะไร อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ส่งออกมา นั่นละเอาไฟมาเผาหัวใจเรา ถ้าอันนี้ได้ออกพุดออกไปแล้วเอาไฟมาพร้อม สติตั้งอยู่ปากช่องที่มันจะออก ปิดไว้ให้ดี คำบริกรรมมีเอาลงไปตามฐานของจิต
ผู้มีความสงบ สติอยู่กับความสงบ ผู้ที่ยังไม่ได้ความสงบ เอาคำบริกรรมเป็นเครื่องกำกับ แล้วสติจับอยู่ตรงนั้น เอาดูซิน่ะมันจะผิดไปไหนธรรมพระพุทธเจ้า ที่พูดมานี้ได้ทำมาแล้วนะ ไม่ได้มาสุ่มสี่สุ่มห้าสอนท่านทั้งหลาย สอนอย่างแม่นยำ เพราะเราได้ปฏิบัติมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย หายสงสัยในธรรมพระพุทธเจ้าหมดทุกประเภทเลย แล้วกราบพระพุทธเจ้าราบเลย ที่เราสอนอยู่เวลานี้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่าผมเป็นบ้าหรือ ถ้าว่าผมเป็นบ้า ท่านทั้งหลายก็เป็นบ้าหมดเลย ปีนเกลียวพระพุทธเจ้า เหยียบหัวพระพุทธเจ้า ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า นี่พวกบ้า เข้าใจไหมล่ะ
ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้า เอาซิน่ะ ท่านสอนว่ายังไง สติเป็นยังไง ปัญญาเป็นยังไง อยู่กับพวกเรานี่นะ ท่านสอนลงที่หัวใจ เอาให้จริงให้จังสักหน่อยนะ มันไม่มีใครจริงใครจังนะ ถือศาสนาถือเพียง เอ๊ย พูดไม่ถูกนะ เวลาถาม ถือศาสนาพุทธ อยู่ในท้องแม่มันก็พุทธ ออกมาแย่งปากแม่พูด ถือศาสนาพุทธ แต่ตัวมันทั้งแม่ทั้งลูกเป็นลิงทั้งนั้น พวกเรานี่พุทธ พระทั้งหลายนี่พุทธ พวกพุทธลิงพวกนี้น่ะ พูดแล้วมันน่าโมโห โมโหก็โมโหเถอะโมโหแบบนี้ มันโมโหจริงๆ นะมองดูมันขวางหูขวางตา แบบหูหนวกตาบอดไปอย่างนั้น ให้กิเลสเหยียบโน้นเหยียบนี้ ไปที่ไหนมีแต่กิเลสออกหน้าออกตา
ที่อื่นเราก็ไม่ว่า ไอ้วัดนี่น่ะ พระนี่น่า ที่น่าจะอบรมศีลธรรมให้เกิดมีในจิตใจของตนไม่สนใจ วิ่งไปหาส้วมหาถาน หาลาภหายศ หาความสรรเสริญเยินยอ ซึ่งเป็นเรื่องโลกๆ เรื่องกิเลสล้วนๆ หาธรรมซิน่ะ สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ตั้งลงไปในจิตเจ้าของ ศีลรักษาให้ดี สติให้ตั้งมั่นทุกสิ่งทุกอย่าง นี่ละสมบัติอันเลิศเลออันล้นค่าของพระ นี่คือสมบัติของพระ นอกจากนั้นเป็นสมบัติของโลกเขา จะมีกองเงินกองทองเท่าภูเขาก็เป็นสมบัติของโลก ส่วนสมบัติของพระคือ ศีลสมบัติ สมาธิสมบัติ ปัญญาสมบัติ วิมุตติสมบัติ นี้เป็นสมบัติของพระ ออกมาจากพระศาสดาท่านประทานให้ คือสมบัติอันเลิศเลอ จำให้ดีนะ เอาละพอ
หลังจังหัน
ตานี้สำคัญมาก อวัยวะส่วนใดจะวิกลวิการไปบ้างนี้ก็ไม่เป็นไร เมื่อตาดียังมีความหมายมองอะไร พอตื่นปั๊บมันจะมองตลอด..ตา มีความหมาย ถ้าตาบอดเสียอย่างเดียวไปนั่งอยู่บนกองเงินกองทองก็ไม่มีความหมาย เราจึงเอาจุดนี้แหละ ตานี้ให้ความหมายมากมนุษย์เรา เรื่องตานี่สำคัญ หูหนวกไม่เป็นไรขอให้ตาได้มองเห็นเป็นความหมายในสายตาๆ พอตาบอดปั๊บเท่านั้นหมดความหมาย นั่งอยู่บนกองเงินกองทองก็ไม่มีความหมาย เพราะฉะนั้นเราจึงได้พยายามในจุดนี้ จากนี้แล้วกำลังเริ่มตั้งบุรีรัมย์ ก็คิดว่าได้หลายจังหวัดแถวนั้น ศรีนครินทร์ก็ตีเข้าไปทางนู้นอีกใช่ไหมล่ะ ทางอุดรก็ไปหนองคาย สกลนคร นครพนม เลย หนองบัวลำภู...ตา จากนั้นก็ตั้งบุรีรัมย์ พอได้บุรีรัมย์แล้วก็จะตั้งภาคไหนอีก จะพิจารณาหาความสำคัญเสียก่อน แล้วก็จะค่อยพยายาม
การเงินการทองจะรอให้มีมันไม่มีแหละ มีเท่าไรลากออกไปเลย ถูไปเลยไถไปเลย ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ต่อไปมันก็ได้เอง เรามันไม่เคยมีเงินเป็นกอบเป็นกำแหละ มีไม่ได้นะเรา มีมาปั๊บออกแล้วๆ มันอยากออกตั้งแต่ยังไม่มีจะว่าไง มาเท่าไรมันก็หมดไปๆ
วันนี้คงไม่เทศน์อะไรมาก เมื่อเช้านี้ก็เทศน์แล้ว เทศน์ธรรมะเมื่อเช้าเป็นธรรมะมีแปลกประหลาดอยู่บ้าง มีแต่กิเลสแผลงฤทธิ์ๆ ธรรมก็คันฟันละซิ กัดเอาเสียบ้าง ธรรมคันฟันกัดเอาเสียบ้าง (หลวงตาเจ้าคะ ขออนุญาตนิดหนึ่ง แบบเวลากลางคืนเราฟังเทศน์หลวงตาด้วยภาวนาไปด้วย แล้วมันเงียบหายไปเลยนี้แต่เราไม่มีปัญญานี้จะทำยังไงดีคะ) คือจิตเข้านี้แล้วเสียงมันก็หาย พอจิตมันเข้านี้แล้ว เรียกว่าช่วยตัวเองได้แล้วเสียงก็หายไปๆ เพราะอันนั้นกล่อมจิตให้สงบลง พอจิตลงแน่วแล้วทีนี้เสียงก็อยู่สูงๆ เว้วๆ สูงๆ เหมือนอย่างคำบริกรรม เวลาจิตเข้าพับคำบริกรรมจะขาดไป นี่จิตช่วยตัวเองได้แล้วเข้าพัก พอถอยออกมาคำบริกรรมก็ติดกันไปหนุนกันไปเรื่อยๆ
(แล้วปัญญาเราจะออกยังไงคะหลวงตา พอฟังหลวงตาเทศน์แล้วเราบอก เอ๊ะปัญญานี้จะออกยังไงนะออกไม่ค่อยถูกค่ะ) คำว่าปัญญานี่ท่านแสดงไว้อย่างแบบฉบับ ปัญญานี้ออกด้วยความพินิจพิจารณา ผู้ปฏิบัติตามแนวทางที่ถูกต้องก็คือว่า เมื่อจิตมีความสงบพอสมควรจิตไม่วุ่นวาย เรียกว่าจิตอิ่มอารมณ์ นั่นละพาจิตที่สงบออกพิจารณาทางด้านปัญญา ออกพิจารณานี้มันก็รู้ไปเห็นไปๆ รู้ไป โธ่ เรื่องปัญญาพิสดารมากนะ ลงปัญญาได้ออกนี้มันกระจายกว้างขวางมากประมาณไม่ได้เลยนะปัญญา จะกว้างขวางขนาดไหนก็ตามในปัญญาของผู้ยังมีกิเลสจะแก้กิเลสตัวเอง มันจะหมุนเข้ามานี่นะ ปัญญาออกเท่าไรจะหมุนเข้ามาแก้ตัวเองๆ เรื่อยๆ ออกจากจิตที่มีความสงบ
เมื่อจิตอิ่มอารมณ์ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายแล้ว เราก็พิจารณาทางด้านปัญญาแยกธาตุแยกขันธ์สกลกายเขาเราอะไร แยกดูให้เห็นตามความเป็นจริง ทีนี้มันจะเหมือนไฟได้เชื้อ มันเห็นอันนี้แล้วมันจะติดอันนั้นพันอันนี้ติดนี้เข้าใจนั้นเข้าใจนี้เรื่อยๆ จากนั้นก็กว้างออกๆ กว้างออกเท่าไรมันก็ยิ่งเห็นกิเลสที่ละเอียดเข้าไปโดยลำดับๆ ภายในหัวใจตัวเอง กว้างออกเท่าไรปัญญามันเข้ามาชำระกิเลสภายในจิต เรื่องปัญญา โฮ้ พิสดารมากนะ ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นถูกต้อง สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส ศีลเป็นเครื่องหนุนสมาธิ คนมีศีลแล้วจิตใจย่อมไม่เดือดร้อนทำสมาธิสงบได้เร็ว
สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา สมาธิเป็นเครื่องหนุนปัญญาให้เดินได้อย่างคล่องตัว ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ ปัญญาเป็นเครื่องซักฟอกจิตให้หลุดพ้นจากกิเลสโดยชอบ ปญฺญาปริภาวิตํ จึงว่า ศีล สมาธิ ปัญญา พอถึงปัญญาแล้วก็วิมุตติ ปัญญาต่างหากแก้กิเลส สมาธิตีกิเลสให้สงบตัวเข้ามาจิตอิ่มตัว ทีนี้ออกพิจารณาทางด้านปัญญาคลี่คลายๆ นี่ละถอนกิเลสถอนด้วยปัญญา สมาธิตีกิเลสตะล่อมเข้ามา จิตใจมีความสงบอิ่มอารมณ์แล้วก็พิจารณาทางด้านปัญญามันก็ออกๆ
ธรรมของพระพุทธเจ้านี้ก็เคยพูดแล้ว เทียบกันกับสระน้ำที่สะอาดสุดยอดเลย แต่ถูกจอกแหนปกคลุมไว้มองหาน้ำไม่เห็น จิตใจทั้งดวงเป็นอย่างนั้นละ ใจแท้เป็นอย่างนั้น แต่กิเลสมันปกคลุมหุ้มห่ออยู่ข้างนอก ปกคลุมแล้วมันยังหลอกสัตว์อีกด้วย มันไม่เหมือนจอกเหมือนแหนนะ มันหลอกด้วย จอกแหนกิเลสนี้มันหลอกด้วย ให้เป็นบ้าไม่เลิก คือบ้าเรื้อรังบ้าภพบ้าชาติเพราะกิเลสนี้แหละ พอเปิดออกๆ ด้วยปัญญา ด้วยความเพียรเข้าไปเปิด เปิดออกเข้าไปมันก็ค่อยชัดเข้าเห็นเห็นน้ำเข้าไปๆ เรื่อยๆ เปิดออกหมดจ้าเลย ทีนี้อยู่ที่ไหนมีแต่ธรรม ภายในใจมีแต่ธรรมล้วนๆ นั่นละที่นี่เลิศเลอ คำว่าเลิศเลอนี้ไม่มีที่ต้องติแล้ว คือมันเลิศเลอสุดโลกสุดสงสารสุดสมมุติโดยประการทั้งปวง ความเลิศเลอของจิตที่บริสุทธิ์นี้เป็นอย่างนั้น เลิศไม่เหมือนโลกทั้งหลายเลิศ เลิศธรรมเป็นอย่างนั้น
เราจึงได้เน้นหนักทางด้านภาวนา สอนพระเราให้เปิดจิตออกไปดูซิน่ะมันเป็นยังไง เปิดออกๆ มันจะกว้างออกๆ ไม่มีเราพูดจริงๆ เท่าที่ผ่านมาเรื่องศาสนาต่างๆ เราไม่ได้ตำหนิติเตียนศาสนาใด เราพูดตามหลักความเป็นจริง ไม่มีศาสนาใดที่จะจี้เข้าไปถึงจุดสำคัญแห่งวัฏจักร คือวัฏจิต ด้วยการภาวนาดูจิต ศาสนาพุทธเท่านั้น มีเท่านั้น จึงเรียกว่าศาสดาองค์เอก เอกแท้ๆ เอกไม่มีสองมาเป็นคู่แข่ง คำว่าเอกมันหลายเอกเข้าใจไหม เอกตาข้างเดียวก็มี ถ้าตาข้างนี้บอดแล้วก็เรียกตาบอด ถ้ามีตาอยู่ข้างหนึ่งดีอยู่แล้วเขาเรียกว่าเอกตาข้างเดียว เอกอันหนึ่งไม่มีใครคู่แข่ง นั่นมันหลายชั้นนะ พวกเรามันมีแต่พวกเอกตาข้างเดียว ถ้ามันบอดแล้วหมดเลย เอกของพระพุทธเจ้าเอกไม่มีใครเสมอ มีหนึ่งเท่านั้น
พอถึงจุดนี้แล้วมันหมดเลยนะ ทุกอย่างมันเลยไปหมดเสียทุกอย่าง จิตถ้าถึงขั้นบริสุทธิ์เต็มเหนี่ยวแล้วเลยไปเสียทุกอย่าง เรียกว่าเลยสมมุติ ถ้าจะพูดก็พูดไม่มีอารมณ์ จะพูดหนักพูดเบาพูดอะไรๆ ใช้กิริยาตามสมมุติให้สมมุติรับทราบๆ จะเป็นผลเป็นประโยชน์จากการใช้นี้ออกไปสู่สมมุติเท่านั้นเอง ธรรมชาตินั้นไม่มีอะไร หมด ท่านว่านิพพานเที่ยง ท่านจะไปหาที่ไหนท่านดูจิตของท่าน นิพพานเที่ยงก็คือจิตดวงนี้เองเที่ยงแล้ว เรียกว่าเป็นธรรมธาตุ จิตดวงนี้เป็นธรรมธาตุแล้ว ถ้าอยู่ในร่างอันนี้ก็เรียกว่าร่างท่านเป็นพระอรหันต์ คือจิตดวงนั้นละเป็นธรรมธาตุอยู่ท่ามกลางของสมมุติคือกองธาตุกองขันธ์นี้ จิตครองตัวอยู่นี้ อันนั้นเป็นธรรมธาตุ
ร่างกายนี้มันก็เปลี่ยนแปลงของมันไปธรรมดาเหมือนโลกทั่วๆ ไป กิริยาเราจะใช้ยังไงก็ได้ใช้อันนี้นะ แต่ธรรมชาตินั้นคงเส้นคงวาตลอดเลย ไม่มาเกี่ยวกับกิริยาอาการของร่างกายนี้ จะทำอะไรให้เกี่ยวก็ไม่มี เพราะกิริยาอะไรมันเป็นสมมุติทั้งหมด นั้นไม่ใช่สมมุติเป็นวิมุตติเพียงอันเดียวเท่านั้น ไม่มีอะไรเข้าผ่านได้เลย ท่านจึงว่านิพพานๆ คือดับสนิท อย่างพระพุทธเจ้านิพพาน คือดับสมมุติในขันธ์ของท่านนี้ดับไปพร้อม แต่ก่อนดับแต่สมมุติโดยประการทั้งปวง แต่ขันธ์นี้ยังมีรับผิดชอบอยู่ ทีนี้พอขันธ์สลายปั๊บนี้เรียกว่านิพพานไปเลย ดับหมด รับผิดชอบในขันธ์ก็ไม่มี หมด ท่านเรียกว่านิพพานๆ
เหล่านี้ธรรมพระพุทธเจ้าแสดงไว้แล้วว่า สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติจะเห็นผลงานของตนเป็นลำดับลำดาไป ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า อย่างที่พูดบ้าๆ บอๆ อะไรที่ว่าเป็นพระอรหันต์ต้องพระพุทธเจ้ารับรอง ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วต้องพระพุทธเจ้ารับรอง ก็ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศไว้แล้ว พระพุทธเจ้าก็ประกาศไว้ตรงนั้น รับรองในที่นั่นแล้ว ให้มันรู้เข้าซิ นี่มันไม่เคยปฏิบัติไม่เคยสนใจ มาพูดบ้าโม้น้ำลายเฉยๆ เป็นพระอรหันต์ต้องให้พระพุทธเจ้ารับรองมีที่ไหนไม่เคย แต่ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศไว้เรียบร้อยแล้วนั่นคือองค์ศาสดา ประกาศผางออกไปรับรองตัวเองผึงเลย ธรรมก็เหมือนโลก ใครหาธรรมเจอธรรม หาโลกเจอโลก หาบาปเจอบาป หาบุญเจอบุญมีอยู่ด้วยกัน ไม่มีอะไรบกพร่องในโลกนี้ เราเสาะตรงไหนแสวงหาตรงไหนก็ได้ตรงนั้น ถ้าไม่หาก็ไม่ได้ เอาละวันพูดเพียงเท่านี้พอสมควร
วันนี้ได้ทองคำหรือเปล่า (๔ บาท ๖๘ สตางค์ครับ) นั่นเห็นไหมไม่เสียลวดลาย วันหนึ่งได้ได้อยู่อย่างนั้นละ วันเท่านั้นบาทเท่านี้บาทมันก็มากขึ้นๆ เดี๋ยวนี้มันได้ ๒๒๘ กิโลแล้วมัง ทองประเภทน้ำไหลซึมได้ ๒๒๘ กิโลแล้ว นั่นเห็นไหมล่ะของเล่นเมื่อไร ถ้าไม่พูดไม่ได้เลย ก็เราเป็นห่วงคลังหลวงของพี่น้องลูกหลานไทยเรา เมื่อพอตะเกียกตะกายได้เราก็พาตะเกียกตะกายให้เป็นหลักของชาติไทยเรา ทองคำเป็นสำคัญมาก โลกยอมรับเรื่องทองคำ ประเทศไหนมีทองคำมากประเทศนั้นแข็ง พลเมืองน้อยก็แข็ง ถ้าไม่มีทองคำพลเมืองมากขนาดไหนก็ไม่มีความหมาย มันสำคัญอยู่ที่ทองคำเป็นหัวใจของชาติ เราจึงพยายาม
ที่พวกพี่น้องชาวไทยเราทั้งประเทศ ได้อุตส่าห์พยายามหาทองคำคราวช่วยชาติคราวนี้ก็ได้ตั้ง ๑๑ ตัน รวมทั้งอันนี้ด้วยแล้วก็มันจะเข้าร่วม ๓๐๐ กิโลมัง ๑๑ ตันกับ ๓๐๐ กิโลน่าจะไม่ต่ำกว่านั้นแหละ ก็ได้อย่างนี้แหละค่อยขึ้นไปเรื่อย เราพยายามขนเข้าๆ กวาดเข้ามาๆ หนุนส่วนกลางของเรา เพราะฉะนั้นพอได้ยินว่าเอาเงินนั้นไปถลุงๆ เราจึงโมโหละซิ คนหนึ่งหาแทบล้มแทบตาย หาเข้ามาสู่หัวใจของชาติเรา คนหนึ่งมาลากเอาจนจะไม่มีตับมีปอด นี่ซิมันโมโห นี่ธรรมนำโลก กับโลกนำโลกต่างกันยังไงบ้างดูเอาซิ ธรรมนำโลกยกเราเป็นผู้นำนี้เลย บาทหนึ่งเราไม่เคยแตะคิดดูซิ ขนเข้าทั้งนั้นเลย พอออกก็เป็นประโยชน์ทั้งหมด ออกไปไหนก็เป็นประโยชน์ อันนั้นได้มาเท่าไรขนเอาไปถลุงกันหมดๆ พูดแล้วมันโมโหนะ คนหนึ่งหาเข้าขนเข้าคนหนึ่งขนออก นี่ละธรรมขนเข้า โลกกิเลสตัณหากินไม่พอขนออก มันต่างกันนะ โลกนำโลก ธรรมนำโลกต่างกัน เอาละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz