เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
ธรรมแท้ๆ เป็นคุณล้วนๆ
ก่อนจังหัน
พระที่มาอยู่ที่นี่ให้เร่งภาวนานะ ที่อยู่แล้วก็ดี ที่มาใหม่ก็ดี ให้เร่งภาวนาอย่างเดียว งานของพระคือการชำระกิเลสด้วยจิตตภาวนา มีสติเป็นพื้นฐานตลอดเวลา นี่คืองานของพระ อย่าไปหายุ่งงานของโลก แย่งงานของโลกเขามาใส่วัดใส่วา กลายเป็นส้วมเป็นถานไปหมดในวัดวาเวลานี้ มีงานศาสนาที่แท้จริงเพื่อชำระกิเลสที่ไหนในวัดหนึ่งๆ วัดหลวงตาบัวนี้สำคัญมาก ไหลเข้ามาเรื่อยๆ สั่งสมแต่มูตรแต่คูถเข้าเต็มวัดเต็มวา วัดเลยกลายเป็นส้วมเป็นถานไปหมดแล้ว ให้ตั้งใจปฏิบัติ
ศาสนาจะไม่มีแล้วนะ พูดให้มันชัดเจนตามอรรถตามธรรมตามหลักความจริง มันจะมีแต่รูปของศาสนา ศาสนะอย่างน้อยกลายเป็นเรียกว่าศาสนวัตถุ มีแต่วัตถุเต็มวัดเต็มวา จิตตภาวนาในศาสนธรรมแท้ๆ ไม่มีแล้วเดี๋ยวนี้ เราอยากจะว่าไม่มี ดีไม่ดีเห็นพระที่อยู่ในป่าว่าเป็นพระวิกลจริตอีก มันเก่งขนาดไหน พระแท้ๆ เป็นคนพูด นักเทศน์เสียด้วยนะเขาร่ำลือ เขาลืมตัวหลงตัวเองว่าเป็นนักเทศน์เอก แต่มันเอกตาข้างเดียว ถ้าข้างหนึ่งบอดแล้วก็เป็นเอกตาบอด เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นนะ มันหาญพูดได้ว่าพระที่อยู่ในป่าในเขาเป็นพระวิกลจริต ฟังซิมันพูด นี่นักเทศน์เอกนะพูด น่าสลดสังเวชขนาดไหน มันเรียนวิชามาเท่าไร ทำไมจึงมาเหยียบหัวพระพุทธเจ้าได้ลงคอ
ศาสดาองค์เอกบำเพ็ญอยู่ในป่า สาวกทั้งหลายบำเพ็ญอยู่ในป่า พุทธศาสนาเป็นสถาบันแห่งป่าทั้งนั้น แล้วมันอยู่นรกหลุมไหนถึงได้มาพูดว่าพระที่อยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริต พระองค์นี้น่ะ เป็นยังไงมันแสบมากไหม เป็นนักเทศน์เอกเสียด้วย ลืมตัวว่าเป็นนักเทศน์เอก ถ้าให้ยกยอก็ว่าเอกตาข้างเดียว ถ้าหากว่าอันนี้บอดไปอีกแล้วก็เรียกว่านักเทศน์ตาบอด มันไม่ได้ดูหลักธรรมของพระพุทธเจ้า มันเทศน์ด้วยความโอ้ความอวด ความเย่อหยิ่งจองหอง เห็นเขายกยอว่าตัวเป็นนักเทศน์เลยลืมตัวใหญ่ เหยียบหัวพระพุทธเจ้า เหยียบหัวสาวกทั้งหลายลงมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ พระที่อยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริต แล้วมันวิกลอะไรมันอยู่ในบ้าน มันเอาอะไรมาวิเศษวิโสเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป มันอยู่ในบ้านมีแต่กระดูกหมูกระดูกวัว ชาวบ้านเขามีกันทั้งโลกนั่นแหละเรื่องเหล่านี้ มันเอามาอวดทำไม ไม่อายเจ้าของบ้างหรือนักเทศน์ตัวนี้น่ะ พูดให้มันชัดๆ อย่างนี้ละ
มันสะเทือนใจมากทีเดียวนะ ลงว่าพระอยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริตแล้วฟังไม่ได้เลยทีเดียว เป็นเทวทัตโดยตรง แต่เทวทัตยังเห็นโทษตัวเองบ้างสุดท้าย แต่นี้มันจะไปเหมากันอยู่ในนรก เห็นโทษเห็นคุณก็เห็นในนรก มันพูดออกมาได้นะ ไม่ใช่เล่นๆ เป็นนักเทศน์เอกด้วย เรียนมาสักเท่าไรๆ คัมภีร์ท่านว่ายังไง รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้ว ให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ นั่นเห็นไหมล่ะ ในป่าในเขา ตามถ้ำ เงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง ซึ่งเป็นสถานที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญเพียรเพื่อชำระกิเลส และจงอุตส่าห์พยายามอยู่และปฏิบัติบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด
นี่ได้รับทุกองค์พระน่ะ มีองค์ไหนไม่ได้รับ นอกจากอุปัชฌาย์ปลอมเท่านั้นจะไม่สอนพระโอวาทสำคัญข้อนี้ นี่ประทานไว้ทุกองค์ ไม่มีผู้ใดที่จะผ่านนี้ไปได้เลยพระโอวาทนี่ อนุศาสน์ๆ เครื่องพร่ำสอน องค์ไหนบวชเข้ามาต้องสอนอันนี้ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นี้มันยังไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้าว่า พระอยู่ในป่าเป็นวิกลจริต ฟังซิน่ะ ประเทศไทยเราฟังได้ไหม เอา ไปดูคัมภีร์ คัมภีร์นี้มีมาจากไหน พระที่อยู่ในป่าเป็นวิกลจริตมีในคัมภีร์ไหน มันเอาจากคัมภีร์ไหนมาพูด
รุกฺขมูลเสนาสนํ นี้เป็นพระพุทธเจ้ารับสั่งเอง เอามายันกันซิน่ะ มันกล้าหาญมาพูดได้ หน้าด้านจริงๆ พระองค์นี้หน้าด้านที่สุดเลย เหยียบหัวพระพุทธเจ้าได้ เหยียบสาวกทั้งหลายได้ พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ มันเหยียบแหลกหมด มันเอาความวิเศษวิโสมาจากไหน นอกจากส้วมจากถานจากฟืนจากไฟเผาอยู่ในหัวอกมันเท่านั้น มันมาประกาศสอนโลกอะไร นักธรรมกถึกเอกอย่างนี้หรือจะทำศาสนาให้เจริญ มันเหยียบพระพุทธเจ้าไปต่อหน้าต่อตาประชาชน พวกเราก็พวกเดียวกันนี่
ย่นเข้ามาซี เห็นว่าการเดินจงกรมนี้เป็นวิกลจริตแล้วนะ พระวัดป่าบ้านตาดนี่ ไปนั่งสมาธิเป็นวิกลจริต อยู่ในป่าเหล่านี้เป็นวิกลจริต ถ้างั้นก็เข้าไปตลาดเมืองอุดรซิ ให้เขาเอากระดูกหมูกระดูกวัวแขวนคอมัน ออกมาอวดพระพุทธเจ้าที่สอนให้อยู่ในป่า ให้มันเห็นดูซิน่ะ มันเป็นยังไง การปฏิบัติธรรม เหยียบย่ำทำลายศาสนาลงไปทุกวันๆ เรียกว่าพุทธศาสนิกชนได้ยังไง มันมีแต่เปรตแต่ผีเต็มวัดเต็มวาเต็มบ้านเต็มเมือง เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปอย่างหน้าด้านๆ พูดแล้วเราสลดสังเวชนะ
คัมภีร์มีนี่นะ อันนั้นมันมีคัมภีร์มาจากไหน เอามาพูดแบบหน้าด้าน พูดด้วยความโกรธความแค้น ด้วยความก่อกรรมก่อเวร เรื่องจะเป็นอย่างนั้น มันไม่พอใจแล้วมันก็ว่าไปอย่างนั้นโดยหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่มีอย่างนี้ ในธรรมพระพุทธเจ้าไม่มี อันนี้พวกเราก็เหมือนกันหากฎหาเกณฑ์ไม่ได้นะ ท่านสอนให้มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นี่ท่านสอนพละ ๕ กำลังใหญ่ ๕ อินทรีย์ ๕ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธามีความเชื่อความเลื่อมใสในพุทธศาสนา สติตั้งพื้นฐานให้ดีในการปฏิบัติตัวเอง ชำระตัวเอง ความเพียรเพียรให้เต็มเหนี่ยวอย่าไปถอย แล้วสมาธิ ปัญญา ธรรม ๕ ประการนี้เป็นธรรมชั้นเอกทีเดียว ให้เอาเข้ามาในหัวใจ ถ้ามีธรรมเหล่านี้ติดอยู่ในหัวใจแล้ว เท่ากับเราตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา
พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน อยู่ที่เมืองอินเดียเหรอ อินเดียที่ไหน โลกเขาตายกันเต็มเมืองอินเดีย พระพุทธเจ้าเมื่อสุดวิสัยแล้วพระองค์ก็สิ้นพระชนม์ที่นั่น เมืองอินเดีย ศาสนาไปเจริญอยู่ที่นั่น พระพุทธเจ้าอยู่ที่นั่นเหรอ พระพุทธเจ้าอยู่กับธรรมกับวินัยต่างหากนี่นะ สอนไว้แล้ว ดูก่อน อานนท์ พระธรรมและพระวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราล่วงไปแล้ว นี่เป็นพระพุทธพจน์ ฟังให้ดีนะ เราจะไปมองเห็นตั้งแต่เมืองอินเดียโน่นเหรอ ศาสดาองค์เอกติดอยู่กับตัวของเราสลัดออกแล้วหรือ ธรรมและวินัยนั่นน่ะคือศาสดา ใครมีธรรมมีวินัยแล้วก็ผู้นั้นละผู้ตามเสด็จพระพุทธเจ้า เฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ธัมมานุธัมมปฏิปันโน ใครปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นชื่อว่าบูชาตถาคต นั่นฟังซิน่ะ แล้วอะไรมาบูชาตถาคต นอกจากนี้แล้วเรามองไม่เห็นนะ
ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ อย่าเก้งๆ ก้างๆ ทำอะไรให้จริงให้จัง สติติดแนบกับตัวเอง เกี่ยวข้องกับงานใดสติมีอยู่แล้วไม่ค่อยผิดพลาด ถ้าเผลอสตินิดหนึ่งเท่านั้นแสดงให้เห็นแล้วความผิดพลาด ขาดบาทขาดตาเต็งไปแล้วพระองค์นั้น การทำข้อวัตรปฏิบัติผมชมมาตลอด สำหรับวัดป่าบ้านตาดไม่เคยบกพร่อง ทำข้อวัตรปฏิบัติคือส่วนรวม เช่น ปัดกวาดเช็ดถูอันเป็นส่วนรวม เรียกว่าพร้อมเพรียงกันมาตลอด อันนี้เราชม ดีเราก็ชม อย่างอื่นก็ขอให้พร้อมเพรียงกัน
จิตตภาวนาให้ดี ต่างองค์ต่างเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา อย่าสนใจกับสิ่งใด โลกนี้มีแต่โลกเป็นส้วมเป็นถานทั้งนั้น ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง โลกอยู่กับอันนี้นะ ให้เราอยู่กับอรรถกับธรรม อยู่กับศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นี้เรียกว่าธรรม จะเป็นเครื่องฉุดลากให้หลุดพ้นจากทุกข์ไม่สงสัย ถ้าลงธรรมอันนี้เข้าในหัวใจองค์ใดก็ดี การปฏิบัติขอให้มีความเข้มงวดกวดขันตัวเองตลอด จะเท่ากับเฝ้าพระพุทธเจ้าตลอดเวลา จำให้ดี พูดเพียงเท่านี้เสียก่อน ให้พร
เทศน์ขบขัน ปุ๊บปั๊บๆ เหมือนจะฉีกเลยนะ เพราะเทศน์ตามหลักเกณฑ์ พูดป่าๆ เถื่อนๆ แหมเราสลดสังเวชจริงๆ พูดกระแทกแดกดัน พูดเยาะเย้ย พูดถากพูดถาง ว่าพระอยู่ในป่าพระวิกลจริต คือไม่พอใจพระป่า เข้าใจไหม พูดด้วยความเคียดแค้น ทีนี้มันไม่เป็นธรรมละซี พอออกมามันกระเทือนโลก กับ รุกฺขมูลเสนาสนํ เห็นไหมล่ะ ไล่พระเข้าป่าเข้าเขาจนกระทั่งทุกวันนี้ อุปัชฌาย์ใดไม่มีโอวาทอันนี้ปลอม ตัดออกไม่ให้เป็นอุปัชฌาย์นู่นน่ะของเล่นเมื่อไร รุกฺขมูลเสนาสนํ เป็นพระโอวาทที่เด็ดขาดที่สุดตลอดมา ยังบอกว่าพระอยู่ในป่าเป็นวิกลจริต ตัวมันเป็นบ้าแล้วมันไม่ได้ว่า คนมีสติจะไม่พูดอย่างนี้ เราอยากพูดซ้ำอีกทีหนึ่ง แหมมันสะเทือนนะ สะเทือนพระพุทธเจ้า สะเทือนพุทธศาสนาเราหมดเลย
หลังจังหัน
จิตใจนี้ไม่มีเพศมีวัย ที่รับได้คือบาปคือบุญ รับได้ด้วยกัน ฟังซิเวลาพระพุทธเจ้าประทานพระโอวาทสอนนี้ เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมสำเร็จมรรคผลนิพพานเป็นหมื่นๆ แสนๆ ฟังซิ อย่างนั้นละ แต่มนุษย์เท่านี้ก็บรรลุเช่นเดียวกัน จิตดวงนี้สำคัญนะ ท่านแสดงไว้ในตำรา พูดมีหลักมีเกณฑ์ซิ มาพูดหลอกโลกได้ยังไง ที่ว่าพระอยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริต เลวที่สุดเลยนะ สะเทือนตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา สะเทือนพุทธศาสนาอย่างมากทีเดียว นี่ไม่มีแบบมีฉบับ กิเลสออกแสดงเป็นอย่างนี้ ธรรมที่แสดง พระพุทธเจ้าแสดง บรรดาสัตว์ทั้งหลายพวกเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม ของเล่นเมื่อไร น้อยเมื่อไร สำเร็จมรรคผลนิพพานเป็นแสนๆ ทั้งมนุษย์บวกกันเข้าเป็นแสนๆ นี่ละจิตดวงนี้ สำคัญมากนะ
ใครจะอยู่ที่ไหนประเทศใดเมืองใดก็ตาม ก็เกิดตามบุญตามกรรมของตัวเอง เราตกแต่งเอาไม่ได้ อย่างที่ท่านสอนว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตํ กรรมย่อมจำแนกแจกสัตว์ให้ประณีตเลวทรามต่างกัน เกิดในที่ต่างๆ ด้วยอำนาจแห่งกรรมที่จะพาให้เกิดที่ไหน เราตกแต่งเอาไม่ได้ อำนาจแห่งกรรมตกแต่ง เหล่านี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ไม่ใช่พระองค์เดียวของเรานี่ คำสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์สอนแบบเดียวกันหมด ไม่มีผิดกัน นี่ละธรรมตรงแน่วเป็นแบบเดียวกันหมด
กิเลสก็เป็นแถวกิเลส เรื่องหลอกลวงต้มตุ๋นร้อยสันพันคม เป็นกิเลสทั้งนั้นแบบเดียวกันหมด นี่ละที่ว่าเป็นข้าศึกต่อธรรม ธรรมนี่ตรงไปตรงมา ให้มันเห็นในหัวใจซิ บางอย่างมันพูดไม่ได้นะในหัวใจนี่ เวลามันเจอเข้าไปแล้วมันพูดไม่ได้ แต่จะปฏิเสธได้ยังไงสิ่งที่รู้ที่เห็นชัด อันใดที่ควรพูดได้ก็นำออกมาพูดๆ อันไหนที่พูดไม่ได้ก็ปล่อยไว้เสียๆ คือพูดออกมาก็ไม่เป็นประโยชน์
ใจดวงนี้เวลาได้รู้ได้เห็นมันของเล่นเมื่อไร แล้วไม่ยอมเอาใครมาเป็นพยานด้วยนะใจที่ได้รู้แล้ว ไม่เอาใครมาเป็นพยานเลย แน่วเลยเชียว ตรงแน่วๆ ใจเป็นอย่างนั้นละ อันนี้เราก็เคยพูดอยู่เสมอว่า แต่ก่อนการเทศนาว่าการของเราเหมือนกันกับพระทั้งหลายที่ท่านเทศน์จากปริยัติด้วยกัน ไม่มีใครเทศน์ผิดแปลกกัน เพราะอ่านตามปริยัติ จำได้ตามปริยัติ นำมาเทศน์ก็เทศน์ตามปริยัติ จึงเป็นแบบเดียวกัน คืออาศัยปริยัติเอามาพูดๆ หากว่ามีผู้มาทัก ทำไมจึงเทศน์อย่างนั้นล่ะ ก็ตำราว่าอย่างนั้น แน่ะหลบไปนั่นเสีย หลบไปหาตำราเสีย ผ่านไป
แต่ธรรมภาคปฏิบัติไม่เป็นอย่างนั้นเวลารู้ อย่างเทศนาว่าการแต่ก่อนเราก็เทศน์เหมือนกันกับพระท่านเทศน์ทั่วประเทศไทยนั่นแหละ เราก็ไม่ได้คิดว่าคำพูดคำเทศนาว่าการจะเปลี่ยนแปลงไป ทีนี้มันไม่ได้เป็นคนเก่า พูดง่ายๆ อย่างนี้ละ อย่างที่เทศน์เขาเรียกว่าขวานผ่าซาก คือภาษาตรงไปตรงมาตามหลักความจริงที่รู้ที่เห็นภายในใจ พอรู้เห็นอย่างนี้ๆ เราจะหลีกเลี่ยงไปพูดอย่างอื่นผิดหลักธรรมชาตินี้ ต้องพูดตามหลักธรรมชาตินี้ ทีนี้ก็ตรงไปตรงมา โลกที่สำนวนอ่อนหวานไพเราะเพราะพริ้งเขาก็หาว่าพูดขวานผ่าซาก หรือดุด่าว่ากล่าวอะไร ว่าไปอย่างนั้น นั่นละกิเลสมันไม่พอใจในธรรม ความเปลี่ยนแปลงในคำพูดคิดนะ เราพูดจริงๆ ตัวของเราเองก็ไม่เคยพูดอย่างนี้แต่ก่อน
เวลามันเป็นขึ้นมารู้ขึ้นมาอย่างนี้ คือรู้ขึ้นมาตรงแน่วเลย เราจะแยกไปพูดอย่างหลบๆ เลี่ยงๆ ไปไม่ได้นะ ต้องพูดอย่างนี้ๆ ทีนี้มันก็ตรงไปเลย ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก อะไรๆ ว่าตรงตามธรรม ไม่อย่างนั้นขัดต่อธรรม ใช้ไม่ได้ ถ้าขัดต่อธรรมใช้ไม่ได้ ใครเอาไปใช้ก็เป็นฟืนเป็นไฟ ภาษานี้มันก็เปลี่ยนไปตามภาษาของใจ ตามเรื่องของใจที่รู้ที่เห็นหนักเบามากน้อย อย่างเทศน์สอนประชาชนก็ตรงไปอีกแบบหนึ่ง ทีนี้เวลามาเทศน์สอนพระล้วนๆ ซึ่งเป็นผู้มุ่งต่อมรรคผลนิพพานอย่างเต็มสัดเต็มส่วนนี้พุ่งเลย อันนี้ยิ่งพุ่งเลยเทียว เป๋งๆ ไปเลยเชียว นั่นละธรรม ธรรมแท้เป็นอย่างนั้น ตรงแน่วเลย
สำนวนโวหารที่เทศน์สอนคนทั่วๆ ไปเรียกว่าแกงหม้อใหญ่ เป็นอย่างหนึ่ง เวลาเทศน์สอนพระโดยเฉพาะกับพระปฏิบัติที่มุ่งต่อมรรคผลนิพพานล้วนๆ นี้จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง ภาษาเทศน์ภาษาธรรมจะไม่เหมือนกัน คือธรรมจะออกรับกัน ผู้ฟังก็ฟังเต็มภูมิของผู้ฟัง ผู้เทศน์ก็เทศน์เต็มหัวใจของผู้เทศน์ มันก็พุ่งๆ เลย อย่างเราเทศน์อยู่บนศาลาแต่ก่อน นี่เทศน์สอนพระล้วนๆ นั่นละภาษาธรรมที่เทศน์สอนพระล้วนๆ แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วๆ พุ่งๆ เลย มันเป็นในนี้เอง จะไปหาใครมาเป็นสักขีพยาน อันนี้เป็นพยานเต็มตัวร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วจะไปหาอะไรมาเพิ่มเติมอีก ธรรมตรงแน่วเลย
ภาษาต่างๆ ที่แสดงออกต่อโลก เอาธรรมออกไปแสดงต่อโลก มันก็ต้องเป็นภาษาที่ตรงแน่วๆ อยู่โดยดีเป็นอื่นไปไม่ได้ ภาษาของเราเราก็รู้ตัวของเราอยู่ แต่ก่อนก็อาศัยตำรับตำราว่าไปตามตำรับตำราไปอย่างนั้น ทีนี้เวลานั้นตำราในละซิที่นี่ เวลาได้รู้ขึ้นมาเห็นขึ้นมานี้มันจริงแน่วๆ เลย มันไม่ได้สงสัย ก็พูดไปตามหลักความจริงที่ไม่สงสัย นี้มันก็ตรงแน่ว เลยกลายเป็นขวานผ่าซากสำหรับภาษาของกิเลสไปเสีย เป็นอย่างนั้นนะ
เรื่องใจกับธรรมนี้ให้ได้รู้ดูซิน่ะ ที่เอามาเทศน์เหล่านี้เพียงแต่ภาษามนุษย์หรือภาษาเราที่จะรับกันได้เท่านั้น ที่รับไม่ได้มาพูดหาอะไร นั่นละมากต่อมาก เรื่องเล็กน้อยเมื่อไร ท่านจึงว่าครอบโลกธาตุนู่น จิตนี้เวลากิเลสได้เปิดตัวไปหมดแล้ว มีแต่ธรรมชาติธรรมล้วนๆ แล้วนี้จ้าไปเลยจะให้ว่าไง แต่นี้เวลามาพูดให้มนุษย์ฟังนี้ พอว่าจ้าไปเลยนี้เขาก็จะว่าหลวงตาเป็นบ้า แต่เราก็ยอมเป็น เป็นไปตามธรรมไม่เป็นไปตามเขาว่าบ้าเข้าใจไหม ก็เป็นอย่างนั้นละ อันนี้ท่านทั้งหลายฟัง เอ้า มีใครพูดอย่างนี้เอ้าว่าซิน่ะ พูดให้มันชัดๆ ก็เราพูดอย่างนี้จริงๆ
แต่ก่อนเราพูดอย่างนั้น บัดนี้มาพูดอย่างนี้ เพราะความรู้มันเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงจากโลกทั้งหลายล้วนๆ นั้นเข้ามาเป็นสู่ธรรมๆ เลยกลายเป็นธรรมล้วนๆ ออกไป ทีนี้มื่อเป็นธรรมล้วนๆ แล้วแยกออกไปเป็นธรรมทั้งนั้นที่นี่ มันก็พุ่งละซิ เราจะพูดเป็นรูปเป็นร่างนะ ธรรมเป็นรูปร่างอันหนึ่ง โลกเป็นรูปร่างอันหนึ่ง ถ้าจะมาสู่โลกต้องแยกเอาภาพของธรรมนั้นออกมาเป็นภาพของโลก มาใช้ต่อโลกไปอีกแบบหนึ่ง ถ้าเป็นธรรมล้วนๆ แล้วโลกไม่รู้เรื่อง ต้องแยกออกมาสู่โลกเหมือนว่าเป็นภาพอันหนึ่ง เป็นภาพกับโลกไปอย่างนั้น
ถ้ามีผู้ปฏิบัติธรรมจะเป็นอย่างนี้ หาโลกเป็นโลก หาธรรมเห็นธรรม หาโลกเห็นโลกเจอโลก โลกเป็นยังไงๆ ที่นี่ หาธรรมเจอธรรม ธรรมเป็นยังไง ผลที่แสดงออกมาเป็นยังไงมันต่างกันยังไงบ้าง ดังที่เราพูดอยู่ทุกวันนี้ พูดให้มันเต็มหัวใจเรา เราไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งใดในสามแดนโลกธาตุนี้ เพราะมันเลยหมดแล้ว เอามาสู่โลกธาตุเอามาสู่สมมุติแยกออกมาอย่างนี้ ใครจะตำหนิติเตียนว่ายังไงก็เป็นเรื่องของเขา เรื่องของธรรมแล้วเป็นธรรมล้วนๆ จะไม่เอนไม่เอียง ถ้าเทียบกับภูเขาก็เหมือนภูเขาทั้งลูกเลย ไม่มีเอนมีเอียง
นั่นละธรรมแท้เป็นอย่างนั้น เวลาแยกออกมาสู่โลกก็เป็นอีกแง่หนึ่ง ไปแง่นั้นแง่นี้ไปตามแต่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้เกี่ยวข้องผู้รับฟังเท่านั้น แต่ที่จะให้เป็นโทษแก่ผู้รับฟังด้วยเจตนาเรียกว่าไม่มี ไม่มีเลย ไปเกี่ยวข้องกับผู้ใดก็ตามจะมีส่วนธรรมล้วนๆ เข้าไปเลย แต่ผู้ที่มาเกี่ยวข้องจะตีความหมายไปหนักเบามากน้อยมันเป็นเรื่องของเขา เรื่องของธรรมแท้ๆ แล้วจะไม่เป็นโทษแก่ผู้ใดเป็นคุณล้วนๆ เลย ที่จะไปให้โทษคนนั้นคนนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับธรรม
จึงว่าอยากให้ปฏิบัตินะเป็นยังไงธรรมพระพุทธเจ้านี่นะ ให้แต่กิเลสเหยียบ ยกแต่กิเลสโชว์แต่กิเลส โลกเรานี้โลกโชว์กิเลสเข้าใจไหม ที่จะเอาธรรมขึ้นโชว์มันไม่มีนั่นซิ พอพูดเรื่องธรรมขึ้นมาหัวเราะเยาะเย้ย นั่นละเห็นไหมกิเลสมันมีอำนาจมากมันเหยียบธรรม พอธรรมโผล่ขึ้นมาบ้าง แล้วหัวเราะเยาะเย้ยกัน สำหรับหลวงตาบัวนี้เยาะเย้ยก็อยากให้มันยกโคตรมาเลยว่างั้นเลย สามแดนโลกธาตุให้ยกโคตรมาเลย พูดให้มันชัดเจนอย่างนี้ในหัวใจดวงนี้ ก็มันครอบไปหมดแล้ว เหยียบหัวมันไปหมดแล้ว จะมาวิตกวิจารณ์กับมันอะไร ดีชั่วที่เป็นสมมุติในโลก ดีก็ดี ชั่วก็ดีสมมุติทั้งนั้น นั้นเหนือหมดแล้วทุกอย่าง จึงว่าอยากให้ปฏิบัติซิ มันจะเกิดขึ้นละถ้าปฏิบัติตามแนวทางพระพุทธเจ้าไม่เป็นอื่น ไม่รู้มากก็รู้น้อยรู้เป็นลำดับลำดาภายในใจ ยิ่งเปิดกว้างเท่าไรยิ่งจ้าออกไปๆ จิตดวงนี้ กิเลสละปิดไว้ ไม่ใช่อะไรปิดไว้ คือติดเขาติดเราละ ถ้าติดเราแล้วก็ติดเขา ถ้าไม่ติดเราไม่ติดอะไร อยู่ที่เรานะ
พอพูดอย่างนี้เราก็เคยเล่าให้ฟังที่ว่าไปเทศน์อยู่บ้านหนองแวง จนกลืนขนมนางเล็ดได้ครึ่งแผ่นเท่านั้น มันแค้นมันกลืนไม่ลง คือติดเราเข้าใจไหม ทั้งอายทั้งอะไร จะเทศน์อะไรอย่างนี้มันก็ติดเราๆ ตลอดเวลา จะเอาอะไรเทศน์ให้เขาฟังๆ อกจะแตกไม่ลืมนะ บวชในชีวิตนี้ที่บ้านหนองแวง ไม่ลืมจนกระทั่งบัดนี้ จนกระทั่งได้มาตั้งข้อตลกขึ้นมา เดินผ่าน แต่ก่อนบ้านหนองแวงไม่มี มันมีเป็นลานข้าวเขาอยู่นั้น เขานิมนต์ไปทำบุญที่นั่น ให้เทศน์นั่นละ หนังสือพกเทศน์กัณฑ์หนึ่งมันจบไปแล้ว ที่เขามาอีกมันไม่มีซิที่นี่จะเอาอะไรมันจะตาย แล้วเราก็เป็นหัวหน้า ใครจะมาทำแทนได้ก็มีแต่เรา นี่ละที่ว่าออกมาแล้วเลยตั้งเป็นข้อตลก
เดี๋ยวนี้เขามาตั้งเป็นหนองแวง พอรถวิ่งผ่านหนองแวง สูอย่ามาผ่านหน้ากูนะ กูโมโหตั้งแต่โน้นจนกระทั่งป่านนี้ กูโกรธยังไม่ถอยนะ ใครอย่ามาผ่านหน้ากูนะกูฆ่าหมด มันเคียดมันแค้นตั้งเป็นข้อตลกขึ้นมา ความจริงหนองแวงไม่มีแต่ก่อน เขาไปตั้งบ้านแถวนั้น ก็เลยบอกสูอย่ามาผ่านนะ ทั้งเป็ดทั้งไก่ผู้คนเด็กเล็กเด็กน้อยผู้ใดอย่ามาผ่านนะ กูโมโหไม่ถอย เอามาตั้งข้อตลกขึ้นอย่างนั้นละ นี่ละอันหนึ่งมันติดเรา ตีบตันอั้นตู้ไปไม่ได้กิเลสบีบไว้ ความอายก็เป็นกิเลส จะทำยังไงมีแต่กิเลสบีบบี้สีไฟ
เอ้าทีนี้ออกจากนั้นแล้วเวลามันเปิดจ้าออกแล้วอันนั้นหายหมดเลย นั่น อย่างทุกวันนี้พูดจริงๆ มันไม่มี อย่างนั้นไม่มี มันจ้าไปหมดเลย จะพูดอะไร เอ้าสมควรที่จะตอบรับกันหนักเบามากน้อยมันจะมีเหตุมีผลของมันออกพร้อมกัน ถ้าควรตอบมากตอบน้อยจะตอบตามนั้น ไม่ควรตอบดึงออกก็ไม่ออก เป็นเองในธรรม ที่จะว่าให้กล้าให้กลัวไม่มี ในจิตดวงนี้ไม่มี คือเลยหมดแล้วความกล้าความกลัวเป็นสมมุติทั้งมวล ธรรมชาตินั้นไม่มี เป็นธรรมล้วนๆ นี่พูดถอดออกมาจากหัวใจให้ฟัง เวลาปฏิบัติมันเป็นอย่างนี้ นี่ละที่ว่าธรรมที่เกิดขึ้นภายในใจจากการปฏิบัติ เอ้าปฏิบัติไปซิน่ะ พระพุทธเจ้าจะโกหกโลกจริงๆ เหรอ
เดี๋ยวนี้มีแต่กิเลสโกหกคนโกหกสัตว์โลก แล้วเหยียบหัวพระพุทธเจ้าเหยียบหัวธรรมไปเท่านั้นเองเดี๋ยวนี้ มันไม่มีธรรม เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธก็ตาม กิริยาแสดงออกเป็นเรื่องกิเลสทั้งนั้นทีเดียว ไม่ได้เป็นเรื่องของธรรม เพราะฉะนั้นมันจึงขวางกันซิ มองไปไหนถ้าจะพูดตามเรื่องขวางขวางตลอดเวลาจนหาทางก้าวเดินไม่ได้ แต่ก็แบบหูหนวกตาบอดเหยียบแหลกไปเลย เฉยเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราว ถ้าตามนั้นแล้วก้าวไม่ออก มีแต่กิเลส ก้าวไปไหนโดนกิเลสๆ ถ้าจะไปถือสีถือสา แต่ธรรมไม่ได้ถือเหยียบไปเลย นั่น เข้าใจ วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้ละ เอาละพอ
วันนี้อากาศเหมือนมีเมฆ มีเมฆแต่มันทำไมหนาว โห ฝนหน้านี้ไม่ได้เหมือนหน้าฝนธรรมดานะ เราเคยพอแล้ว ฝนตกหน้านี้แหมหนาวมากจริงๆ ตัวสั่นอยู่ในมุ้ง เราไม่ลืมพักอยู่ในป่า ฝนก็กระหน่ำลง โถ กลางคืนนะ เราเอามุ้งลงๆ มีจะว่าแคร่ก็ยังไม่ใช่แคร่นัก พอพ้นน้ำนิดหน่อย ขึ้นนั่งอยู่นั้น ฝนตกกลางคืน มันตกหนักจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา เหมือนหน้าฝนจริงๆ มันตกนะ แหมหนาว เอาของอะไรๆ เข้าใส่ในบาตรๆ ฝาปิดไว้ให้ดี แล้วเอามุ้งกางลง พอฝนตกน้ำสาดมันก็มาถูกมุ้งมันไหลลงข้างนอก เจ้าของอยู่ข้างใน มันตกไม่ใช่ธรรมดาตัวสั่นอยู่ข้างใน
พอฝนเบาๆ สักหน่อย ไอ้เสือก็มากัดควายอยู่ข้างๆ มุ้งนี้อีกละ ควายร้องอ้ากๆ ขึ้น เอ้ามันมายังไงกันนี่ เสือมากัดควายข้างๆ ขนาดรถยนต์นี่ละมั้ง เราอยู่นี้ มันร้องอ้อกๆ ขึ้น กลางคืนจะออกไปช่วยมันก็ช่วยไม่ได้ ฝนก็ตกที่นี่ ถ้าเป็นธรรมดาฝนไม่ตกนั้น จะโดดลงไปร้องละเรา ช่วยควาย สักเดี๋ยวควายก็เงียบไป ตื่นเช้าเจ้าของเขาก็มา เราก็พูด เมื่อคืนนี้ฝนตกอยู่มันมาร้องอยู่นี้ ออกไปช่วยมันไม่ได้เราก็บอก คือเจ้าของเขามากลางคืน คือเสือนั้นกัดแม่มัน ลูกมันวิ่งเข้าบ้าน พอเขาเห็นควายวิ่งเข้าบ้านเห็นลูกวิ่งเข้าบ้านมันเป็นยังไงนี่ เขาเลยวิ่งออกมา กว่าที่จะมารู้เรื่องนะ มันอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอูน เขาก็เลยมาก่อไฟให้มันกลางคืนนะ เพราะลูกควายมันวิ่งไปในบ้าน เขาเห็นผิดสังเกต
เขาไม่ได้ยินละตอนนั้นฝนตก เขาเห็นลูกควายมันวิ่งเข้าไปนู่นละ เขารีบวิ่งออกมา ออกมาพอดีเห็นแม่มันนอนอยู่นั้น ทีนี้เสือตัวนี้มันก็อยู่ตรงฟากฝั่งทางเรานี้ นี่ควาย ที่ได้กัดควายนี้มันตกลงไป คืบคลานไปยังไงไปอยู่ฝั่งทางนั้น แต่มันเป็นหน้าแล้งน้ำไม่ค่อยมี ไปอยู่ฝั่งนั้น เขาก็มาก่อไฟให้ ไอ้เสือตัวนั้นมันเดินไปเดินมาทั้งคืน ก็ฝนตกกลางคืน อันนี้เป็นทางเสือเลยนะ คือมันวิ่งกลับไปกลับมา ถ้าจะลงก็กลัว เขาก่อไฟไว้แล้ว กลัวเจ้าของเขาอยู่ที่นั่นมันไม่กล้าลงมาหาควายอีก คือควายอยู่ที่นั่นเขาก่อไฟให้ควายเขา มันร้องอ้อกๆ อยู่กลางคืน เราก็ไปช่วยมันไม่ได้ หนาวก็หนาวพูดถึงเรื่องหนาวนะ แหมพิลึกจริงๆ ถ้าหากว่าฝนไม่ตกเราจะออกไปช่วยนะ ออกไปร้องลั่นที่นั่น เสือมันก็กลัวถ้ามีเสียงคนแล้ว แต่นี่เราออกไปไม่ได้ แต่เจ้าของเขาก็มาแล้วเขาก็มาก่อไฟให้มัน มันก็ไม่กล้าลงไปอีก ไม่ไปซ้ำอีก เพียงกัดเท่านั้นละไม่ได้กิน
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|