เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
ความรู้ภายใน
ก่อนจังหัน
ภาคอีสานเราทำหมอนสี่เหลี่ยมแข็งเหมือนกับไม้ ไปดูเอาซิ ภาคอีสานทั้งภาคทำหมอนแข็งเหมือนกับไม้ เอาตัวอย่างมายันกัน ดูไม่ได้นะ ทำแบบเดียวกันหมดภาคอีสาน นั่นหมอน หนุนไม่ได้ เหมือนหนุนไม้ทั้งท่อน นี่เอามาเป็นตัวอย่างดูมันดูไม่ได้ ทำอ่อนกว่านั้นไม่ได้เหรอ ทำแบบอื่นอย่างใดไม่ได้เหรอที่อ่อน ใครก็ทำแบบเดียวกันๆ หมดภาคอีสาน เหมือนกับไม้ ไปโยนใส่ใครสลบไปเลยละ เข้าใจไหม หมอนภาคอีสานโยนใส่ใครสลบไปเลยเพราะมันแข็งเหมือนหิน ถ่ายเอาถ่ายรูปถ่ายไปให้ดูกันทั้งภาคอีสานเลย มันจะเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นให้เป็นประโยชน์ดีกว่านี้ไม่ได้เหรอ ทำแบบเดียวกันๆ ไม่ดูหน้าดูหลังอะไรเลย ไม่มีเหตุมีผล ถ่ายให้หมด ไม่เอาคนหัวแตกเพราะถูกหมอนทับถ่ายบ้างว่ะ ทำมีเหตุมีผลบ้างซิทำอะไร
นี่ละธรรมฟังเอาซิ ท่านทั้งหลายฟังเอา ไม่มีสูงมีต่ำ ไม่มีโน้นมีนี้ ผิดตรงไหนว่าตรงนั้นๆ เรียกว่าธรรม ธรรมนี่ตรงไปตรงมาเลย พอพูดอย่างนี้เราก็ไปสัมผัส เราเองนะ คือเราเป็นบ้าเอง อยู่กุฏิ แต่ก่อนทำข้อวัตรปฏิบัติ พระเณรทันเราเมื่อไรเรื่องข้อวัตรปฏิบัติ เหมือนกันหมด วันนั้นไปเผลอเป็นบ้าอะไรไม่รู้นะ ไปทำอะไรอยู่แล้วมาดูนาฬิกา คือตามปรกติบ่าย ๔ โมงปัดกวาด วันนั้นดูเหมือนได้ ๓ โมง ๒๐ นาทีเรามองดู นึกว่าเลยเวลาแล้วปุ๊บปั๊บโดดลงไปปัดกวาด ตั้งแต่กุฏิเจ้าของออกมาโผล่หน้าศาลานี้ ไม่เห็นพระเณรสักองค์เลย
ขึ้นละที่นี่นะ เหอ พระเณรเหล่านี้ไปไหนหมดๆ ไล่เบี้ยเข้า มันตายหมดทั้งวัดเหรอ ใครจะมากุสลาใคร เณรมันคงรำคาญ ก็ทิดหรวดนี่ละมันเป็นเณรอยู่ มันคงรำคาญมันก็เลยเอาไม้กวาดออกไปกวาด เป็นยังไงเณร พระทั้งวัดมันตายกันหมดแล้วเหรอ ไม่เห็นใครมาปัดกวาดศาลาเดี๋ยวนี้ ใครจะกุสลาใครมันตายกันหมดทั้งวัดแล้ว ไล่เบี้ยเณร เณรแกคงรำคาญ ไม่รู้เวลากันเหรอว่างั้นเรา มันพึ่งได้บ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที ไหนว่าอีกน่ะ เวลาพึ่งได้บ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที เหอ ขึ้นแล้วนะ หยุดๆๆ นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละธรรมเข้าใจไหม หยุดๆ มันจะเป็นบ้ากันทั้งวัดมากวาด ให้เป็นบ้าแต่เราคนเดียว ให้พากันหยุดทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าของเรา เดินปุ๊บๆ กลับคืน
เณรคงจะหัวเราะแล้วเล่าให้พระฟัง นั่นเห็นไหมธรรม เป็นอย่างนั้นละ ที่เราแผดเสียงลั่น พอเจ้าของผิดก็แผดใส่เจ้าของ เราจะไปแก้บ้าเรา กลับทันที เณรมันคงจะหัวเราะละท่า นี่ธรรมเข้าใจไหม ใครก็ตาม ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก จะเอนๆ เอียงๆ เข้าข้างนั้นข้างนี้ไม่ได้ไม่ใช่ธรรม ธรรมต้องเสมอ นี่เราพูดเป็นตัวอย่างให้ฟัง ตัวอย่างเราเป็นบ้า ปัดกวาดบ่าย ๓ โมง ๒๐ นาทีแล้วมาขู่พระเณรทั้งวัด มันตายกันหมดทั้งวัดเหรอ นู่นน่ะธรรมดาเมื่อไร พระเณรมันตายกันหมดทั้งวัดเหรอ ใครจะมากุสลาใคร เณรมันรำคาญ ไหนเณร ไม่รู้หรือเวลา มันพึ่งได้บ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที หือ ซ้ำเข้าอีก บอกพึ่งได้บ่าย ๓ โมง ๒๐ นาที หยุดๆ อย่างนั้นละฟังซิ หยุดทันทีเลย บอกให้หยุดทั้งหมดเดี๋ยวมันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าเรา แล้วก็กลับปุ๊บๆ เลย นั่นละเรียกว่าธรรม ตรงเป๋งอย่างนั้นเรียกว่าธรรม
มันขบขันจะตายไป ก็เราเป็นบ้าแล้วไปหาว่าพระตายกันทั้งวัด ใครจะกุสลาใคร พอมันโดนเจ้าของเข้าเลยหงายทันที นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละธรรม ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ อย่าเห็นแก่เขาแก่เราแก่นั้นแก่นี้ยิ่งกว่าธรรม ธรรมเสมอภาคไปเลย ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก อย่างที่พูดเรื่องหมอนนี่เหมือนกัน มันแข็งก็บอกแข็ง มันทำแบบเดียวกันหมดภาคอีสาน หมอนนี่โยนใส่ใครสลบไปเลย มันเหมือนหินไม่ได้เหมือนหมอนเหมือนนุ่นนะ นี่พูดเรื่องเป็นธรรม ต้องเสมอเลยเรียกว่าธรรม ไม่เอียงโน้นเอียงนี้ เอียงนั้นเอียงนี้เป็นกิเลสทั้งมวล ถ้าธรรมแล้วเสมอไปเลยเรียกว่าธรรม
พระให้ปฏิบัติเคร่งครัด เรื่องสติเป็นสำคัญด้านธรรมะ สติเป็นสำคัญเราเคยพูดแล้ว เป็นการยืนยันรับรองเลย ที่แนะนำท่านทั้งหลายมานี้ไม่ผิด สติเป็นพื้นฐานสำคัญมาก ตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงนิพพาน เข้าขั้นนิพพานแล้วเป็นมหาสติมหาปัญญา สติล้มลุกคลุกคลาน แล้วก็ตั้งขึ้นไปได้จนกลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ จากสติปัญญาอัตโนมัติแล้วก็เป็นมหาสติมหาปัญญา กิเลสขาดสะบั้นเลย นี่วิธีการที่ถูกต้อง อย่าไปทำสุ่มสี่สุ่มห้า พระกรรมฐานเรามีน้อยเมื่อไร ไปภาวนาที่ไหนไม่ได้เรื่องได้ราว เพราะทำเหลาะๆ แหละๆ ไม่มีหลักมีเกณฑ์ ถ้ามีหลักมีเกณฑ์จับตรงไหนติดตรงนั้นๆ เรียกว่ามีหลักมีเกณฑ์ เหลาะๆ แหละๆ ไม่ได้นะ
เพียงมองนี่ถ้าหากว่าธรรมดาแล้วหูหนวกตาบอดดูพระดูเณร ถ้าลืมตาดูนี้มันกระเทือนแล้ว ฟังคำพูดคำจามีเหตุมีผลหลักเกณฑ์ประการใดบ้าง ดูการประพฤติตัวเป็นยังไง เกะๆ กะๆ เก้งๆ ก้างๆ นี่ไม่ใช่ธรรม ธรรมแท้มีสติรอบตัวตลอดเวลา ทำข้อวัตรปฏิบัติ อันนี้เราก็เคยได้พูดแล้ว ได้ชมมาตลอดตั้งแต่สร้างวัดป่าบ้านตาด อันนี้ไม่เหลาะแหละ ยกให้เลย ที่มาแสดงต่อสังคมเป็นส่วนรวม เรียกว่าสามัคคีกัน พระเณรในวัดนี้เราได้ชมตลอดเวลา การทำข้อวัตรปฏิบัติปัดกวาดเช็ดถูนั้นนี้เรียบมาตลอด
เฉพาะอย่างยิ่งเราชมพระฝรั่งองค์หนึ่ง ผ้าขาดๆ องค์ไหนไม่รู้ ทำความสะอาดอยู่ในตำหนัก ในกุฏิข้างในนี้หนึ่ง มีพระฝรั่งสองสามองค์ เราสั่งให้ไปทำ อันนี้จัดให้ไปทำโดยเฉพาะๆ ทำดีด้วยกัน ฝรั่งสองสามองค์ทำดี มีองค์หนึ่งเป็นพิเศษ ปัดกวาดอยู่ทางตำหนักนั่น เราเดินไปบอก ถ้าไม่มีคนมามากนักจะเว้นวันก็ได้ตรงนี้เราว่างั้น เว้นวันปัดกวาด ไม่ยากอะไรท่านว่างั้น ท่านบอกไม่ยากอะไร ทำครู่เดียวก็สำเร็จ เอ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ทำไป อย่างนั้นละ นั่นเห็นไหมล่ะ เวลาปัดกวาดเช็ดถูเราไปเที่ยวซอกแซกซิกแซ็กดูหมด คือดูพระดูเณรนั่นเอง อันนี้เป็นเครื่องหมายของพระของเณรเรา เหลาะแหละหรือจริงจัง ดูสิ่งทั้งหลายที่ทำจะรู้เอง
ถ้าเหลาะแหละทำสิ่งทั้งหลายชุ่ยๆ ชี่ๆ ดูไม่ได้นะ เลอะๆ เทอะๆ อันนี้เราชมพระเรา เรื่องข้อวัตรปฏิบัติด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีนี้ ตั้งแต่สร้างวัดป่าบ้านตาดไม่เคยได้มีที่ต้องติตลอดมา หากว่าจะต้องติก็ต้องติอยู่ภายใน มันเซ่อๆ ซ่าๆ อยู่ภายในด้วยสติไม่ค่อยมี นั้นละให้ระวังตรงนั้น อันนี้เราส่องเข้าไปดูก็เห็นนะ เห็นก็เห็นอย่างลึกลับพูดไม่ได้ เรื่องความรู้ภายในจิตใจนี้เป็นของเล่นเมื่อไร ละเอียดสุดยอด มันตามรู้หมดอะไรๆ นะ วันนี้จะเปิดเสียบ้างให้ท่านทั้งหลายทราบ
ไม่มีใครที่จะเก็บความรู้สึกได้ดียิ่งกว่าพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน รู้นี่รู้จริงๆ แต่ทำเหมือนไม่รู้ หากว่าผู้ใดหรือรายใดที่จะพอเป็นประโยชน์ยังไงๆ ก็ไปแนะๆ เฉพาะๆ แล้วผ่านไปเลยๆ ความรู้อันนี้ท่านจะไม่ได้เอามาใช้ทั่วๆ ไป ท่านจะใช้เฉพาะๆ ที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ใดโดยเฉพาะ พอมีโอกาสเมื่อไรท่านจะแนะนิดๆ เป็นความรู้ภายในที่ท่านเก็บไว้เรียบร้อย จะรู้เห็นอะไรก็ตามเหมือนไม่รู้ไม่เห็น เดินผ่านไปผ่านมาพับมันรู้แล้ว ว่าสายทางของคนนี้มายังไงๆ อันนี้สำคัญมาก ท่านทั้งหลายไม่เคยฟังให้ฟังเสีย หลวงตาบัวจะโง่เง่าเต่าตุ่นก็ตาม ขอให้ฟังธรรมข้อนี้ก็แล้วกัน
เรื่องความรู้นี่ละเอียดลออมาก พอมองเห็นปั๊บมันทราบแล้ว ทราบสายทางของผู้นั้นเป็นมายังไงๆ รู้ปั๊บๆ นี่เรียกว่าความรู้ภายใน นี่ละท่านเก็บ ไม่มีใครเก็บความรู้สึกประเภทนี้ได้ยิ่งกว่าท่านผู้รู้ธรรมเห็นธรรมมีพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เป็นต้นที่เก็บความรู้สึก ท่านจะเอาออกใช้เฉพาะรายๆ ที่จำเป็นเท่านั้น ท่านไม่ได้ใช้ดะนะ ธรรมะที่เทศน์สอนทั่วๆ ไปเป็นอย่างหนึ่ง ธรรมะที่เฉพาะๆ เป็นอีกอย่างหนึ่ง เข้าใจไหมล่ะ อันนี้ท่านจะพิจารณาเต็มเหนี่ยวเสียก่อนก่อนที่จะออกใช้ ไม่ใช่ใช้สุ่มสี่สุ่มห้า เพราะฉะนั้นกิริยาของท่านที่แสดงออกจึงต้องมีเหตุมีผล มีความรู้เป็นเครื่องยืนยันตลอดๆ ไปเลย
วันพรุ่งนี้ผมก็จะไปเชียงใหม่ ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติผู้อยู่ในวัดในวา เหมือนศาสดาอยู่บนหัวเราทุกคน ธรรมและวินัยนั้นแลคือศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราผ่านไปแล้วหรือตายไปแล้ว หลักธรรมหลักวินัยให้มีอยู่ในตัว หลักธรรมหลักวินัยคือสติกับปัญญาจะเป็นผู้รักษาศาสนา รักษาธรรม รักษาวินัย เทิดทูนพระพุทธเจ้าได้คือหลักศาสนา อย่างอื่นไม่ได้ สติสำคัญ ได้ สติกับปัญญาให้ตั้งให้ดี อยู่ที่ไหนอย่าให้เคลื่อนคลาดสติ เวลาจ่อเข้าหาความเพียรจริงๆ นี้ยิ่งแม่นยำๆ เราทำงานการอะไรนี้ให้มีสัมปชัญญะรู้ตัวตลอดเวลา นี่ชื่อว่าผู้มีสาระตลอด
ทำอะไรจะสวยงาม แต่สติพลาดๆ อยู่ตลอดอย่างนี้ไม่ดี เพราะทำนี้ทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อสติเพื่อปัญญาแก้กิเลสของตัวเอง ข้อวัตรปฏิบัติภายนอกนี้เป็นความจำเป็นภายนอก แต่เป็นความจำเป็นเข้าภายในโดยเฉพาะๆ อันนี้พรากไม่ได้เลย สติปัญญาเพื่อรักษาตนเอง พากันจดจำให้ดี
ทางประชาชนภายในก็ดี ระวังให้ดีนะภายใน รู้สึกจะมีพิสดารอยู่นะภายใน มันหากมีเรื่องแปลกๆ ต่างๆ นี่เก็บไว้นะเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ เดินเข้าไปภายในไม่ค่อยดูคนเดินเข้าไปนี่ จะดูสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปโดยเฉพาะ แล้วปฏิเสธไม่ได้คือดูสัตว์ ชอบจะดูสัตว์เพราะสงสารมัน เข้าไปๆ เรื่อย ดู มันพิสดารอยู่นะข้างใน ผู้ปฏิบัติธรรมมันหากมีฤทธิ์มีเดชไปคนละทิศละทาง ระวังให้ดี ถ้าจับได้ไล่หนีจากวัดทันที เอาธรรมเอาวินัยตั้งกึ๊กเข้าไปแล้วปฏิบัติตรงกลาง ศูนย์กลางอยู่ตรงนั้น อย่าแบ่งอย่าแยกไปทำพิสดารแก่ตัวเองอย่างนั้นอย่างนี้ ปรารถนาอันนั้นปรารถนาอันนี้ ให้มันอยู่ลึกๆ อย่าแสดงออกมา ถ้าแสดงออกมามันกระทบกระเทือนกัน อันนี้สำคัญมาก จำให้ดี เอาละให้พร
หลังจังหัน
ผู้กำกับ กราบเรียนครับ อดีตเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน ธรรมยุต แห่งวัดสันติธรรม อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พระมหาทองอินทร์ กุสลจิตฺโต เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร ได้มรณภาพเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๔๗ เวลา ๑๕.๐๐ น.รวมสิริอายุ ๗๖ ปี ได้รับพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ หลังจากพระราชทานเพลิงศพได้ ๓ วัน คณะศิษย์ได้นำอัฐิของท่านมาคัดเลือก จึงพบว่ามีแก้วใสๆ คล้ายบุษราคัมปะปนอยู่ภายในอัฐิของท่าน ในครั้งแรกที่เห็นก็ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นพระธาตุ คิดแต่เพียงว่ามีใครแกล้งเอาแก้วอะไรมาใส่ไว้ แต่เมื่อแก้วใสๆ นั้นมีจำนวนมากขึ้นและบางชิ้นก็ยังแปรสภาพไม่หมด มีสภาพเป็นอัฐิครึ่งหนึ่ง เป็นแก้วครึ่งหนึ่ง จึงได้เกิดเฉลียวใจกันขึ้น เมื่อมีผู้พบเห็นจำนวนมากเข้าๆ และหลายหลากสี จึงได้เชื่อมั่นว่าอัฐิธาตุของท่านกลายเป็นพระธาตุ
หลวงตา อย่างพระผางอยู่ที่บ้านดงเย็น บ้านดงเย็นเป็นบ้านหลวงปู่พรหม ท่านไปอยู่เชียงใหม่กับหลวงปู่มั่น โอ๋ย หลายปี นี้ได้เคยคุยธรรมะกันเวลาที่ท่านไปพักอยู่บ้านนามนด้วยกันกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา ได้คุยธรรมะทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เวลาไปเผาศพท่านเราก็ได้บอกบรรดาลูกศิษย์ลูกหา ให้พยายามเอาอัฐิของท่านให้ได้ นี่ละองค์หนึ่งที่อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุ คือเราคุยกันตั้งแต่บ้านนามนแล้ว เราทราบละเอียดลออแล้ว แต่เวลาไปเผาศพท่าน โอ๋ย คณะกรรมการแน่นหนามั่นคง เข้าไปแตะไม่ได้เลย ตั้งแต่เราก็ไม่เข้าว่างั้นเถอะ จะให้ลูกศิษย์ลูกหาองค์ไหนเข้าไปได้วะ นี่ท่านผางนี้ก็เคยมาอยู่วัดป่าบ้านตาด มาอยู่วัดป่าบ้านตาดแล้วท่านกลับไปบ้านท่าน บ้านดงเย็น อันนี้ก็ไม่มีใครทราบแหละเพราะท่านเงียบๆ อยู่นี้ท่านก็เงียบๆ เวลาออกจากนี้ไปไปอยู่บ้านดงเย็น เวลามรณภาพก็มรณภาพตอนกลางคืนเงียบๆ เหมือนกันไม่มีใครทราบ
เวลาเผาศพเรียบร้อยแล้วอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุเต็มไปหมดเลย จึงได้รู้ว่าท่านคือพระเช่นไร นี่ก็องค์หนึ่ง ถ้าลงอัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้วตีตราเลย เรียกว่านั้นคือพระอรหันต์ว่างั้นเลย อัฐินี้สำคัญ แต่ส่วนมากนักปฏิบัติด้วยกันจะทราบกันตั้งแต่ท่านยังไม่ตายนั่นละ คือถ้าเป็นด้านธรรมะ คุยธรรมะธัมโมกันเป็นยังไงๆ ใครมีจิต องค์ใดอยู่ในขั้นใดภูมิใดนักปฏิบัติจะทราบกันดี องค์นี้ท่านก็เงียบๆ อยู่อย่างนั้นละ ออกจากวัดป่าบ้านตาดไปก็ไปอยู่ที่นั่น เวลาท่านตายแล้วอัฐิกลายเป็นพระธาตุ เขาจึงได้เอาออกมาถ่ายภาพไว้ ถ่ายภาพให้คนได้เห็น นี้ก็องค์หนึ่ง
การปฏิบัติธรรม ธรรมท่านบอกแล้วว่าเป็น อกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาใดๆ ที่จะมากีดขวางทำลายการทำดีของผู้นั้นๆ ได้ เป็นผลตลอด การทำชั่วก็เป็น อกาลิโก ทำชั่วไม่ว่าที่ลับที่แจ้งที่ไหนเป็นชั่วทั้งนั้น ทำดีไม่ว่าที่ลับที่แจ้งเป็นดีทั้งนั้น นี่ละเรียกว่าธรรมเสมอภาคเป็นอย่างนั้น องค์หนึ่งชื่อว่าเสถียรเหรอ นี่เขาก็เอาพระธาตุของท่านถ่ายออกมาให้ดูด้วยกัน เสถียรนี้เป็นคนอุดรฯ แล้วพ่อแม่พาย้ายไปอยู่ทางเชียงราย (บวชที่ลำปาง) เอ้อ บวชที่ลำปาง ท่านก็ไปอยู่ที่นั่นแล้วไปวิเวกอยู่ในเขตไทยกับเขตพม่าต่อกัน ดงใหญ่เมืองกาญจน์ว่างั้นนะ อันนี้ท่านสั่งเสียไว้เลย เวลาท่านตายแล้วอัฐิของท่านจะเป็นพระธาตุอย่างนั้นๆ ท่านบอกไว้เลย อันนี้องค์หนึ่งเป็นชัดเจนมากทีเดียว
พระยังหนุ่มๆ เวลาเราถามเหตุถามผลจริงๆ แล้ว ท่านสืบสาวราวเรื่องมาจากใครมายังไง ท่านปฏิบัติยังไงๆ สืบไปๆ เลยรู้เรื่อง หนังสือเรา เทปเราเต็มอยู่ในกับท่าน อยู่กับท่านที่เขตพม่า อ๋อ เอาละหายสงสัย คือเทปของเรากัณฑ์เผ็ดๆ ร้อนๆ อยู่ในนั้นหมดว่า ท่านก็ปฏิบัติตามนั้นจะว่าไง ก็เหมือนเทศน์อยู่นี้ละ ออกจากเทปก็เหมือนเทศน์อย่างนี้เองจะผิดไปไหน องค์นี้ก็อัฐิกลายเป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้ว ท่านผางนี้ก็เป็น เป็นเรื่อยๆ อย่างเจ้าคุณอะไรที่เชียงใหม่นี้ท่านก็เป็นของท่านเงียบๆ เป็นเงียบๆ คือเป็นอยู่ในวงจะว่ามูตรคูถก็ไม่ผิด แล้วจะมาเปิดเผยตัวได้ยังไงเขารุมเอาเข้าใจไหมล่ะ
พวกปฏิบัตินักภาวนาจึงต้องทำหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ในวัดเป็นพระก็เหมือนกัน เป็นพระอยู่ในวงปริยัติ เราจะไปแสดงภาคปฏิบัติขัดมากทีเดียว ต้องเป็นแบบลิงแบบค่างกับเขา แบบลิงแบบค่างคือแบบลิงแบบค่างของพระนะ ไม่ใช่ลิงค่างแบบฆราวาส คือการหยอกเล่นพระนั้นหยอกเล่นแบบพระ แต่มันเหมือนลิงเข้าใจไหม แต่หยอกเล่นเหมือนพระต่างหาก ไม่ได้เป็นแบบฆราวาส หยอกเล่นอยู่ในวงธรรมวินัยจึงไม่ผิด นี่เราเป็นเอง ถ้าปฏิบัติอยู่ในจิตนี้บอกใครไม่ได้เลยนะ ไม่เคยบอก เรียนหนังสืออยู่ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งหยุดหนังสือ ภาคปฏิบัติเราไม่เคยละ มันหากเป็นอยู่ในหัวใจ
อยู่ในวงปริยัติการภาวนาอย่างนั้นอย่างนี้ไม่เคยพูดเลย เฉย แต่เป็นอยู่ภายใน เวลาไปกับหมู่กับเพื่อนก็เป็นลิงเป็นค่างกับเขาเสีย เรื่องธรรมนี้ไม่ออก เราจึงได้พูดให้ฟังถึงเรื่องเราเผลอตัว คือการปฏิบัติภาวนาทำอยู่อย่างนั้นตลอดหากไม่บอกใคร ไม่ให้ใครทราบเลย ในวงปริยัติไม่ทราบทั้งนั้น ไม่บอก ทีนี้วันหนึ่งเดินจงกรมเงียบๆ คนแล้ว นึกว่าเงียบคนหมดแล้ว ลงไปเดินจงกรมเงียบๆ ทีนี้เพื่อนฝูงก็มา ทำอะไร พวกลิงมันเจอกัน ทำอะไร เราเซ่อไป เราก็บอกตรงๆ บอกว่าเดินจงกรม หือๆ ขึ้นเลย อย่างนั้นนะ นี่จะไปสวรรค์นิพพานเดี๋ยวนี้เหรอ เดี๋ยวรอกันเสียก่อนได้ไหมเรียนจบแล้วค่อยไปด้วยกัน ดูซิมันแหย่เอาเห็นไหม เราเผลอ
คราวหลังมาเราเดินจงกรม เวลาเพื่อนฝูงใครไปเจอเข้า ทำอะไร โอ๊ย เปลี่ยนบรรยากาศ ต้องเป็นอย่างนั้นใช่ไหม เรียนหนังสือนานมันเหนื่อยเปลี่ยนบรรยากาศไปอย่างนั้นละ เรื่องก็ผ่านไป พอว่าเดินจงกรมเท่านั้น หือๆ มันขบขันดีนะ หือๆ เราเซ่อเองนี่นะ เราก็พูดตามตรง นี่ละอยู่ในวงปริยัติเป็นอย่างนั้น เดินจงกรมเราก็เดิน ปริยัติเราก็เดิน เพราะอันนี้มันฝังอยู่ในหัวใจลึกๆ พูดให้ใครฟังไม่ได้ เวลาออกกับหมู่กับเพื่อนธรรมอันนี้จะไม่ออกเลย เราไม่เคยพูดเรื่องภาวนาให้ใครฟัง บรรดาพระทั้งหลายที่เป็นปริยัติด้วยกันไม่เคยพูด
คิดดูซิไปเดินจงกรมเผลอตัวไป เขาถามก็บอกว่าเดินจงกรม หือๆ เข้าเลย อย่างนั้นละมันแหย่กันนะพวกลิง แล้วแขนซ้ายแขนขวาจะไปถือผิดถือถูกกับอะไรใช่ไหม มันก็หยอกเล่นธรรมดาพวกเพื่อนกัน จะเอาผิดเอาถูกกันได้ยังไง พอให้รำคาญเข้าใจไหมล่ะ นี่เป็นเป็นแล้ว อยู่ในวงปริยัติเราจะเอากรรมฐานไปพูดนี้มันขัดกัน นอกจากผู้ที่มีความสนใจท่านจะพูดกันได้เฉพาะ แต่มันไม่ค่อยมีนะ ไม่มี
ถ้าทำลงไปเป็นอย่างนั้นละ ถ้าลงอัฐิได้กลายเป็นพระธาตุแล้วตีตราเลย จะทำยังไงก็คือพระอรหันต์โดยแท้ๆ อยู่งั้น สำหรับวงกรรมฐานเรามีอยู่ทั่วไปแต่ท่านไม่แสดง หากรู้ในวงภายในกันเอง.เรียกว่ากรรมฐานเป็นครอบครัวหนึ่ง ในวงกรรมฐานด้วยกันจะเข้าใจกันได้ๆ ใครเป็นยังไงภูมิจิตภูมิธรรมเป็นยังไงเข้าใจกันได้ ออกไปนอกท่านไม่พูดนะ เฉย เหมือนคำพูดในครัวเรือนของเรา ออกไปนอกบ้านเราก็ไม่พูด อันนี้คำพูดนี้เป็นคำพูดในครัวเรือนของกรรมฐานทราบทั่วถึงกัน ใครเป็นยังไงๆ รู้ แต่ออกไปแล้วเงียบท่านไม่พูดนะ เฉย ที่มาพูดต่างจากเพื่อนฝูงทั้งหลายในวงกรรมฐานด้วยกันก็คืออีตาบัวเข้าใจไหม มันออกเสียทั่วประเทศเขตแดน ยังออกทั่วโลกอีกอีตาบัวนี้มันดื้อปากอยู่นะ มีองค์เดียวนี้ละดื้อปากอยู่ นอกนั้นท่านไม่แสดงละ แต่กับเรามันก็จะเป็นนิสัยวาสนาอะไรก็ไม่ทราบ พูดที่ออกหน้าออกตาจริงๆ ก็คือเรา ในวงกรรมฐานสายพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ออกหน้าออกตา ทั่วประเทศเขตแดนคือเราว่างั้นแหละ
เวลาเราพูดถึงเรื่องการออกอย่างนี้ ในวงกรรมฐานทั้งหลายท่านไม่ออกนะท่านเงียบๆ ของท่าน แต่ที่ออกก็คือเราก็บอกว่าออกอย่างนี้ ทีนี้สิ่งที่ออกเป็นยังไง นี่เราก็เปิดเผยในหัวใจของเราแล้ว เราออกด้วยความเปิดเผยในหัวใจของเราเป็นยังไงๆ เวลาออกนี้ไม่ได้ออกด้วยอย่างอื่นอย่างใด ออกด้วยความเมตตาทั้งนั้น สำหรับจิตดวงนี้ไม่มีอะไรกับสมมุติ หมดโดยประการทั้งปวง แต่ธาตุขันธ์มีอยู่ กิริยาอาการของธาตุของขันธ์มันก็แสดงไปอย่างนั้นละ ที่นำมาแสดงด้วยความเมตตาสงสารอะไรๆ อย่างนี้เป็นเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ ธรรมชาตินั้นพูดไม่ได้แล้ว คือนอกสมมุติไปแล้ว นั่น ทีนี้เวลามันเป็นอยู่ในวงสมมุติในธาตุในขันธ์ อันนั้นมันก็เป็นวิมุตติของมัน อันนั้นก็เป็นนอกสมมุติอยู่แล้ว นำอันนอกสมมุติออกมาแสดงไปอย่างนั้นแหละ
กิริยาของธาตุของขันธ์มีผิดมีถูกดีชั่วต่างๆ เป็นไปได้ทั้งนั้นละกิริยาอันนี้ เพราะมันเป็นเหมือนโลก สังคมยอมรับสังคมไม่ยอมรับกิริยาของธาตุของขันธ์ ต้องมีการปฏิบัติให้เหมาะสมกับธาตุขันธ์ ธรรมชาตินั้นแท้ไม่มีอะไร สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ ว่างไปหมดเลย จะมีอะไรไปเกี่ยวข้อง ทำอะไรก็ไม่มี นั่นเป็นธรรมชาติอันหนึ่งที่อยู่ในขันธ์ และนำขันธ์ออกไปใช้ในสมมุติทั้งหลายก็ต้องใช้อีกแบบหนึ่ง จะให้เป็นแบบเดียวกันไม่ได้
นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้านี้ ไม่มีใครจะพูดถูกต้องแม่นยำในสามแดนโลกธาตุนี้ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกแบบทุกฉบับทุกขั้นทุกภูมิของธรรม ไม่มีผิดมีพลาดเลยคือธรรมของพระพุทธเจ้า นอกนั้นเป็นเรื่องของกิเลสตัณหาปลอมกันทั้งนั้น ปลอมทั้งนั้นแหละ ธรรมแท้ไม่ปลอม อย่างพระพุทธเจ้าสาวกทั้งหลายไม่ปลอม จิตถ้าลงได้ถึงขั้นนั้นแล้วหมดความจอมปลอม แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มี บริสุทธิ์สุดส่วน ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติอยู่ผลก็เห็นกันอยู่อย่างนี้ ดีมีอยู่ชั่วมีอยู่ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วไปตลอดอย่างนี้ละ ใครจะยอมรับไม่ยอมรับเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ความจริงยอมรับความจริงตลอด
ความจริงคืออะไร ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นี้คือความจริง ใครจะไปลบล้างไม่ได้อันนี้ แต่ที่ว่า ทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดีไม่มี แต่กิเลสมันเสกสรรได้ คนที่เขาทำชั่วๆ ทำไมเขาเป็นอย่างนั้นๆ นั่น เขามั่งเขามี เขามียศถาบรรดาศักดิ์ ก็ยศถาบรรดาศักดิ์ของจอมปลอมนั้นแหละไม่ใช่ของดี กิเลสพวกจอมปลอมมันก็เข้ากันได้สนิท ใครก็เลยไม่มีแก่ใจที่จะทำดีๆ ถ้าทำดีแบบให้คนเคารพนับถือมันก็เป็นโลกไปเสีย ถ้าทำดีเพื่อความดีสำหรับตัวเองแล้วไม่มีอะไรเข้าไปยุ่งได้ ท่านทำของท่านสบายๆ
ให้พากันตั้งใจปฏิบัตินะ ธรรมพระพุทธเจ้าเปิดเผยตลอดเวลาตามหลักความจริงของตัวเอง แม้กิเลสจะปิดบังธรรมชาตินั้นก็เปิดเผยในตัวเองอยู่ตลอด ให้พากันปฏิบัติ ถ้ารื้อถอนสิ่งที่จอมปลอมออกแล้วมันจะเปิดขึ้นภายในใจ จ้าขึ้นนั่นเลย เอาละนะ ไม่พูดมาก วันพรุ่งนี้ก็จะได้ไปเชียงใหม่ จากนี้ถึงเชียงใหม่ ๖๑๖ กิโล เดินทาง ๘ ชั่วโมง ๙ ชั่วโมงไปพอดีๆ ก็เท่านั้นละหยุดเท่านั้นนะ
(อันนี้เขานิมนต์หลวงตาไปเทศน์เฉยๆ ปัจจัยไทยทานต่างๆ นี้เขาเอามาเป็นเงินทุนที่ได้รับจากการบริจาค นำเงินทุนดังกล่าวไปพัฒนาการศึกษาของพระเณรและเยาวชนผู้ด้อยโอกาสในจังหวัดกาฬสินธุ์ครับ) เขานิมนต์เราไปเทศน์เหรอ (นิมนต์แล้วละครับ) รับแล้วเหรอ (ยังไม่ได้รับครับ) โอ๋ ถ้ายังไม่รับไม่รับ เอ้า ต้องมีเหตุมีผลทุกอย่าง เราจะเป็นคนใช้ยังไงไปเทศน์ให้เขาอย่างนั้นไม่เอา ไม่มีเหตุมีผล จะมาเอาเราเป็นเครื่องมือไปใช้ทั่วบ้านทั่วเมืองไม่เอาบอกตรงๆ พูดตรงๆ อย่างนี้ละ นี่เขาจะมานิมนต์เหรอ นิมนต์ก็บอกไปเลยว่า ไม่เอาเลยทันที อย่ามานิมนต์ถ้ายังไม่นิมนต์ นิมนต์แล้วก็ไม่ไป
เอาไปเป็นเครื่องมือหาอะไร มันรู้ทันทีนะ แย็บออกมามันรู้ทันทีๆ นอกจากไม่พูดเก็บไว้เฉยเหมือนไม่รู้ นี่มันจะมาโดนเราเข้าปัดทันทีเลยไม่เอา ให้บอกมันเป็นบ้ามาจากไหน พระที่ไหนมา ไปเทศน์หาอะไรไปพัฒนาอะไร พัฒนาตัวเองไปหาเงินที่ไหน พระพุทธเจ้าพัฒนาพระองค์เป็นศาสดาเอกหาเงินที่ไหน สาวกทั้งหลายท่านพัฒนาตัวเองหาเงินที่ไหน นี้มันจะไปหาเงินที่ไหนพัฒนา พัฒนากิเลสนั่นแหละมันพอกพูน ไม่ไปส่งเสริมกิเลสคือไม่ไปเทศน์เข้าใจไหมล่ะ มีเท่านั้น มันมีทุกเรื่องนะให้เรายุ่งด้วยๆ แล้วเอาเป็นเครื่องมืออีกด้วย อย่างนี้ละเอะอะจะเป็นเครื่องมือ หาเงินพัฒนาคน พัฒนาอะไร พระพุทธเจ้าพัฒนาไม่เห็นหาเงินวะ นี่ก็ไปแทบเป็นแทบตายจนถึงขั้นสลบไสลมาสอนโลกอย่างนี้ไม่เห็นหาเงินวะ
ไปที่ใดๆ หากมีไอ้เรื่องของโลก มันจำเป็นเวลาไปพักข้างบ้านเขาจะเดินทางต่อไป ไปพักข้างบ้าน เขามีงานในวัด เอ้า นิมนต์ไปเทศน์อย่างนี้จำเป็นก็ไปเทศน์ให้เสีย เทศน์เขาถวายอะไรๆ มากน้อยโละหมดเราไม่เคยแตะแม้สตางค์หนึ่ง นั่นไป เราไม่ไปหาเงินนะ เป็นอย่างนั้น นี่จะให้ไปเป็นเครื่องมือหาเงินให้ใคร ไม่เป็นบอกตรงๆ เลย บอกว่าไม่เป็น เห็นหน้าไหนก็บอกไม่เป็น หันทางนี้ก็ไม่เป็น หันไปทางไหนก็บอกไม่เป็นเข้าใจไหม มันต้องเด็ดซิ เขาไม่รู้เรื่องมันอะไรๆ เขาจะว่า หันหน้ามาไม่เป็น นี่หันหน้านี้ไม่เป็น เลยไม่ทราบไม่เป็นอะไร เอาละให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|