เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
กิเลสไม่มีในใจโล่งไปหมดมีแต่ธรรม
ก่อนจังหัน
พระให้เร่งภาวนานะ ไม่มีหน้าที่อะไรนะพระเรา ตั้งหน้าตั้งตาภาวนา อย่ายุ่งกับสิ่งใด โลกนี้โลกวุ่นวาย โลกเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่ได้มีความชุ่มเย็นแหละ เอาธรรมจับถึงรู้ ถ้ามีแต่กิเลสจับกันก็พันกันไปลงนรกอเวจีทั้งเป็น อย่าไปหานรกอเวจีภายนอก ยังไม่ตายจะไปหาอะไร หาในคนนี่ มันมีอยู่ในคน ความทุกข์ความทรมานจิตใจนี้ดิ้น โห เอาตัวมันดิ้นๆ ให้ได้นะ อยู่ในใจนั่นแหละ กิเลสกับธรรมอยู่ด้วยกัน เวลากิเลสมันรุนแรง แหม มันดิ้นๆ
เราไม่ลืม ตั้งสติพับล้มผล็อยๆ ตั้งหน้าตั้งปั๊บล้มทันทีต่อหน้าต่อตา จนน้ำตาร่วง ถึงใจ อันนี้เราพูดจริงๆ พูดแล้วสดๆ ร้อนๆ มีรสมีชาติตลอดเวลา ที่ไปสู้มันบนภูเขา ตั้งหน้าตั้งตาที่จะไปประกอบความเพียรบนภูเขา ไป ตั้งสติปั๊บล้มผล็อยๆ อ้าว มันอะไรกันอย่างนี้ มาทำความเพียรอะไรอย่างนี้ คือคำว่าล้มหมายถึงว่า กระแสของกิเลสมันตีทีเดียว พอตั้งพับล้มๆ ตั้งเพื่อล้มไม่ได้ตั้งเพื่ออยู่ ที่จะชำระกิเลสนะ โถ น้ำตาร่วง นี่ละสดๆ ร้อนๆ เราไม่ลืม
จนถึงขนาดว่า หือ มึงเอากูขนาดนี้เทียวหรือ นู่นน่ะเป็นในใจนะ มึงเอากูขนาดนี้เทียวหรือ เอา ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย เคียดแค้นให้กิเลส นี่เป็นธรรมนะเคียดแค้นให้กิเลสที่เป็นภัยกับตัวเอง เคียดแค้นให้ผู้อื่นสัตว์อื่นหรือใครต่อใครก็ตามเป็นกิเลสทั้งนั้น แต่เคียดแค้นให้กิเลสที่เป็นตัวภัยของตัวเอง ความเคียดแค้นนี้เป็นธรรม ได้เป็นประจักษ์ใจเราแล้ว เราเคียดจริงๆ เคียดให้กิเลส ตั้งสติไม่อยู่ๆ จนกระทั่งงงเลย เอ๊ นี่มันมาทำความเพียรอะไร มีแต่กิเลสตีเอาๆ ถึงขนาดว่า มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ เอา ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย
กลับไปหาโรงงานใหญ่พ่อแม่ครูจารย์มั่น อบรมแล้วกลับมาอีก ฟัดอีกหงายหมาอีก อู๋ย หงายหมานี่ไม่รู้กี่หงาย ต่อไปก็หงายแมวตบหัวมันได้ แมวมันล้มมันตบได้นะแมว หมาล้มมีแต่แง้ๆๆ นี่เป็นธรรม เคียดให้กิเลสเป็นธรรม เคียดกิเลสภายในตัวเราเองเป็นธรรม เคียดให้ผู้อื่นเป็นกิเลสทั้งนั้น เป็นฟืนเป็นไฟ แต่เคียดให้กิเลสภายในหัวใจของเรานี้เป็นธรรม เราได้ยึดมาเป็นหลักเกณฑ์สดๆ ร้อนๆ ไม่ได้ลืมเลยนะ อะไรถ้าเข้าถึงใจแล้วไม่ลืม นี่ฝังลึกมาก ที่ได้น้ำตาร่วงอยู่บนภูเขา สู้กิเลสไม่ได้ ตั้งพับล้มผล็อยๆ ล้มต่อหน้าต่อตา ถึงขนาดว่า โห มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ เคียดแค้นจริงๆ
นั่นละตัวเคียดแค้นเป็นมุมานะจะต่อสู้มัน เอาให้ได้ พูดกับมันพูดในใจนะ เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย ก็เอาจริงๆ ไม่ถอยจริงๆ อันนั้นเป็นมุมานะดันใส่กันเลย ทีนี้พอมันได้ที่แล้วก็ขนาบใหญ่เลย ให้สมกับที่มันเอาเราล้มผล็อยๆ ทีนี้กิเลสโผล่ขึ้นมาล้มผล็อยเหมือนกัน ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ ฟังเอานะนักปฏิบัติทั้งหลาย ถอดออกมาจากหัวใจเรา ขึ้นเวทีกับกิเลส ที่ว่าน้ำตาร่วงๆ เพราะตั้งสติไม่อยู่ๆ นี้ก็ถึงใจ ฝังลึก ทีนี้พอตั้งสติได้แล้ว ธรรมมีกำลังมากๆ ถึงขั้นกิเลสโผล่มาไม่ได้เลย พอโผล่มาขาดสะบั้นๆ
จากสติปัญญาอัตโนมัติกลมกลืนกันเข้าไปมหาสติมหาปัญญา เอ้าทีนี้โผล่มากิเลส ให้โผล่มา ขาดสะบั้นๆ ต่อจากนั้นก็พังเลย นี่ละความเคียดให้กิเลสเป็นผลมาอย่างนี้ เคียดให้คนอื่นไม่ได้นะ เป็นฟืนเป็นไฟ ก่อกรรมก่อเวรกัน ถ้าเคียดให้กิเลสที่เป็นภัยแก่ตัวเองนี้เห็นประจักษ์ เราเองที่พูดอย่างนี้ ผ่านเวทีหัวใจเราแล้วกับกิเลสฟัดกัน ตั้งสติล้มผล็อยๆ สู้มันไม่ได้ ฝังลึก พอธรรมมีกำลัง สติปัญญามีกำลังแล้ว ทีนี้กิเลสโผล่ไม่ได้ ล้มผล็อยๆ แบบเดียวกันเลย สุดท้ายก็พัง กิเลสพังจากหัวใจ จากนั้นไม่มีข้าศึกในหัวใจ ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้และตลอดไป เรียกว่านิพพานเที่ยง ไม่มีกิเลสตัวใดจะแสดงขึ้นมา
มีกิเลสเท่านั้นตัวยุ่งเหยิงวุ่นวายในวัฏจักร กิเลสเป็นเจ้าอำนาจครองวัฏจักร ธรรมเป็นเจ้าอำนาจครองวิวัฏฏจักร เอาให้ดีนะผู้ปฏิบัติธรรม อย่ามองดูอะไรยิ่งกว่ามองดูหัวใจตัวเอง คนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี องค์นั้นไม่ดี องค์นี้ไม่ดี เลวทั้งนั้น ตัวเลว ตัวว่าเขาไม่ดีคือตัวเลว ไปหาดูเขา ทำไมไม่ดูตัวเองตัวเลวๆ นั้นน่ะ สอนอย่างนั้นซิสอนตัวเอง สติปัญญาต้องทัน ไม่ทันไม่ได้นะ ยิ่งเป็นนิสัยมองเห็นใครมองแต่ความชั่วความดีของเขา ไปที่ไหนมองแต่เขาๆ คนนั้นเป็นนักยกโทษ เข้าสมาคมไม่ได้ใครๆ เขารังเกียจ
ให้ดูตัวเอง ถ้าต่างคนต่างดูตัวเองแล้วต่างคนจะต่างชุ่มเย็น ไม่มีรังเกียจกัน เข้ากันได้สนิท นี่คือดูโดยธรรม เขาก็เป็นธรรม เราก็เป็นธรรม ดูข้าศึกอยู่หัวใจเรา มันก็เห็นตรงนั้นแก้ตรงนั้นๆ ถ้าไปดูคนอื่นเพิ่มข้าศึกในหัวใจตนเอง เขาไม่ทราบว่าดีไม่ดี ตัวเองไปตำหนิเขาว่าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ตัวเองนี้เป็นตัวไม่ดี ให้คิดทุกคน หัวใจมีอยู่กับทุกคน ไม่ว่าฆราวาส ไม่ว่านักบวช เอาไปสอนตนซิ อย่าไปหาดูตั้งแต่ภายนอก ไม่ดูภายในตัวมันเป็นฟืนเป็นไฟแสดงออก ตื่นเงามันไปๆ ไม่ได้หน้าได้หลังนะ
เรื่องความเพียรได้พูดถนัดชัดเจนแล้วว่า สติเป็นสำคัญ เอา ตั้งให้ดีลองดูซิสติ ถ้าลงสติได้จับจ่อแล้วกิเลสเกิดไม่ได้ มันจะเต็มหัวใจก็เกิดไม่ได้ มันออกมาช่องเดียวช่องสำคัญคือช่องสังขาร มันปรุงพับกิเลสออกแล้ว สติจับไว้ ปิดปากช่องไม่ให้มันขึ้น ไม่ขึ้น ขอสติให้ดี ถ้าสติเราผิดเราพลาดเพราะอะไรอีก ดูสติอีกนะ ถ้าสติผิดพลาดเพราะอะไร มันเกี่ยวกับเรื่องอาหารปัจจัย สติผิดพลาด ถ้าเราฉันอิ่มๆ แล้วนี้สติพลาดๆ ล้มเหลวๆ เอ้า ย้อนเข้ามาดูซิอาหารเป็นยังไง ผ่อนลงๆ ตั้งสติดูสติดูอาหารของเราเป็นยังไง ผ่อนไปผ่อนมาหยุดก็มี ผ่อนก็มี เพื่อจะตั้งสติ สติเป็นสำคัญจึงต้องดูสติเสียก่อน ถ้าสติดีแล้วเอาละที่นี่ความเพียรก้าวเดินเรื่อยๆ ใครมีสติดีความเพียรดีตลอดเวลา ให้ท่านทั้งหลายจำเอา
นี่ได้ผ่านมาหมดแล้วที่มาสอนท่านทั้งหลาย แม่นยำ ไม่ผิด เราได้ทดสอบเราพอแล้วจึงได้นำมาสอนหมู่เพื่อน เรียกว่าสอนไม่ผิด เอาเลยเอาตามนั้น เอาละให้พร
หลังจังหัน
(อำเภอชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ ถวายสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน เครือข่ายสถานีวิทยุเสียงธรรมบ้านตาดแด่องค์หลวงตา ได้ดำเนินการออกอากาศตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๙ เวลาตี ๕ ถึง ๒๔.๐๐ น.เป็นประจำทุกวัน) สถานีวิทยุนี้ดูตั้งออกไปเรื่อยๆ นะ เดี๋ยวนี้มีทุกภาคแล้วเครือข่ายของบ้านตาด ออกไปเรียกว่าทั่วประเทศไทยแล้วเดี๋ยวนี้ทุกภาค ภาคใต้เป็นภาคยาวได้ถึง ๕ สถานีก็นับว่าพอเป็นไป นอกนั้นมีทั่วถึงกันตลอด อย่างภาคอีสานก็ทั่วไปหมดแล้ว เฉพาะร้อยเอ็ดนี้กว้างขวางมาก ของเสี่ยสมหมาย เพราะแกเป็นเศรษฐีใหญ่ ตั้งสถานีที่บริเวณโรงสีแกเลย โรงสีแกเนื้อที่เป็นร้อยๆ ไร่นะ ตั้งสถานีที่นั่นสูงเต็มขีดนั่นละว่างั้นเถอะ รับได้ถึง ยโสธร บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ กว้างขวางมาก คนฟังตลอดเลยฟังว่า แกก็เปิด ๒๔ ชั่วโมง
จะเห็นได้เวลาเครื่องขัดข้องครู่เดียวเท่านั้น โทรศัพท์ลั่นมาแล้ว เป็นยังไงๆ เรื่อย นี่แสดงว่าคนฟังอยู่ตลอดเลย แกก็มีอานิสงส์มาก เพราะแกเหมาหมดไม่เกี่ยวข้องกับใคร ไม่รบกวนใคร แกรับหมดแล้วยังจะปลูกสร้างอะไรขึ้นอีกสำหรับวิทยุให้บริเวณกว้างขวางออกไป แกก็นิมนต์เราไปดู นี่ก็เริ่มต้นมาตั้งแต่ออกช่วยชาติทีแรก พิจารณาซิหัวใจใครต่างกันไหมล่ะ ไม่ใช่ยอเรานะ พอว่าจะช่วยชาติ เอาเราจะช่วยเราจะนำ คือเราคิดไปหมด วัตถุนี้เป็นเพียงเล็กน้อย แต่ประชาชนทั้งหลายจะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่โตมาก ช่วยชาติก็เกี่ยวกับเรื่องวัตถุเงินทองข้าวของต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจตกต่ำถึงเมืองไทยจะล่มจม แต่หัวใจของคนไทยจะพาคนไทยทั้งชาติล่มจมไปนั้น โลกไม่ได้คิด
เราพอออกคราวนี้ก็ เอ้อ ดีแล้วละ คราวนี้คราวธรรมจะได้เข้าสู่จิตใจของประชาชนพร้อมไปกับการที่ว่าช่วยชาติทางด้านวัตถุ ด้านวัตถุนี้โลกจะทราบทั่วถึงกันทันที แต่เรื่องธรรมจะไม่มีใครคิด เราอยากจะพูดอย่างนี้ เราคิดเต็มหัวใจคนเดียว ว่าคราวนี้คราวธรรมจะได้ออกช่วยโลก เข้าสู่จิตใจของประชาชน เป็นการฟื้นอันใหญ่หลวงคือฟื้นจิตใจ วัตถุไม่สำคัญ ขอให้จิตใจฟื้นได้เถอะจะขึ้นทันที ถ้าจิตใจยังต่ำอะไรจะมีสูงขนาดไหนก็ไม่มีความหมาย เดี๋ยวนี้ก็ออกแล้วเห็นไหมล่ะธรรมะ
การช่วยชาติทางด้านวัตถุก็เรียกว่าประกาศยุติลงแล้วตั้งแต่วันที่ ๒๒ เมษา นี่ประกาศหยุด เวลาประกาศนำก็ประกาศวันที่ ๒๒ เมษา เหมือนกัน เป็นเวลา ๖ ปี นี่เราคิดคนเดียว ว่าคราวนี้คราวธรรมะจะได้กระจายออกสู่หัวใจประชาชน จะเป็นการฟื้นฟูอันใหญ่หลวงจากจิตใจที่เป็นเจ้าของของชาติ ว่างั้นเถอะ ของแต่ละคนๆ รวมแล้วเป็นของชาติ จิตใจนี้ต่ำทรามมากทีเดียว เราไปเห็นแต่วัตถุจะพาคนล่มจม หัวใจเป็นคนลากลงไปมันไม่ดู จิตใจฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมลืมเนื้อลืมตัว การจับจ่ายใช้สอย การอยู่การกินทุกอย่าง เป็นความฟุ้งเฟ้อเปิดโล่งออก เพื่อให้สมบัติทั้งหลายไหลออกจากวัตถุที่ฟุ้งเฟ้อนี่ จนจะไม่มีอะไรเหลือติดเนื้อติดตัว คือหัวใจเป็นคนลากเข็นลงไปจมทะเลแห่งความล่มจม โลกไม่คิด
เราก็ได้คิดว่า เอ้อ คราวนี้ละคราวธรรมะจะได้ออกสู่หัวใจประชาชนชาวพุทธเรา ก็ออกจริงๆ เวลานี้ก็กระจายไปหมดแล้วเห็นไหมล่ะ นี่คิดไว้แล้วผิดไหม ไม่ได้คุยนะ อะไรที่ออกทุกอย่าง พิจารณาเรียบร้อยแล้วออกๆ จะออกช่องแคบช่องกว้างไม่ผิด ไม่มีคำว่าผิด เพราะธรรมชาตินี้ถูกต้องสมบูรณ์แบบแล้ว พิจารณาออกจากนี้ ช่องแคบช่องกว้างถูก จะออกแค่ไหนๆ จะเป็นในตัวของมันเสร็จเลย แล้วก็เดินตามนั้นไม่ผิดๆ
เดี๋ยวนี้ก็ออกทางด้านธรรมะ ฟังว่าวิทยุนี้ออกเดี๋ยวนี้ทั่วประเทศไทยแล้ว ธรรมะเข้าสู่จิตใจของประชาชนไม่ใช่น้อยๆ นะ นี่เป็นประโยชน์อันใหญ่หลวง การฟื้นฟูจิตใจนี้เป็นประโยชน์อันใหญ่หลวง และวัตถุสิ่งของอะไรๆ จะรู้จักประมาณเองจากหัวใจที่รับอรรถรับธรรมซึ่งเป็นความพอดีตลอดมา ธรรมนี้ความพอดี อะไรจะหนักไปเบาไปธรรมจะพินิจพิจารณาแก้ไขดัดแปลง จึงว่าธรรมคราวนี้ออกสู่โลกเรานี้กว้างขวาง ออกทางอินเตอร์เน็ตเมืองนอกเมืองนาก็ออก ทั่วไปหมดเวลานี้
พอคิดอย่างนี้แล้วก็อดคิดไม่ได้ คืออันนั้นมันก็ถึงใจ ชีวิตของพระเรานี้เป็นคราวที่ถึงใจที่สุดเลย เขานิมนต์ไปฉันบ้านหนองแวง จนกระทั่งทุกวันนี้ตั้งข้อขบขันขึ้นมา หนองแวงแต่ก่อนยังไม่เป็นบ้าน นาเขาอยู่ที่นั่น เขามานิมนต์ เราอยู่วัดโยธาฯ พรรษาเดียวเสียด้วยนะ พึ่งบวชได้พรรษาเดียว ทีนี้พระถูกเขานิมนต์ไปที่นั่นที่นี่ ตกลงเราบวชได้พรรษาเดียวก็ให้เป็นหัวหน้าหมู่เพื่อนไป ทีนี้เมื่อเราเป็นหัวหน้าอะไรต้องอยู่กับหัวหน้าซิ พอไปนั้นสวดมนต์อะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เทศน์ละที่นี่ เราก็ได้หนังสือเหมือนหนังสือพกเล่มหนึ่งไป กัณฑ์เทศน์กัณฑ์หนึ่งพอรอดตัวว่างั้น
พอเทศน์จบลงแล้วไม่นานเขายกขบวนกันมากี่บ้านละมารวมกันนี้ เรายังเคียดแค้นให้อีตาคนนั้นอยู่ แกตายหรือยัง ถ้ายังไม่ตายเราอยากจะให้คนไปตามฆ่ามันคนๆ นี้น่ะ ทำไมถึงว่างั้น พอเขารุมมา หือ เป็นยังไงท่านเทศน์จบแล้วหรือๆ เขารุมมาถาม ไอ้อีตาบ้าคนนี้ละว่า โอ๋ย จบแล้วก็จะไปยากอะไร ท่านฉันเพลก่อนแล้วท่านเทศน์ให้ฟังก็ได้ยากอะไร ก็มันไม่ได้เทศน์มันจะยากอะไรเราเป็นผู้เทศน์นี่ คิดอยากขบขันยังว่าอยากตามฆ่ามันอยู่ ทุกวันนี้ยังอยากตามฆ่า ถ้ามันยังไม่ตายให้ไปตามฆ่าให้หน่อยคนนี้ นี่ละถึงใจ โอ๋ย คับหัวอก ไม่ทราบจะเอาอะไรไปเทศน์ให้เขาฟัง ก็บวชมาพรรษาแรกเรียนเจ็ดตำนานสิบสองตำนานจบ เรียนปาฏิโมกข์จบ สวดปาฏิโมกข์ได้ในพรรษา ไม่ได้อะไรได้เท่านี้
พอออกพรรษาแล้วเขาก็นิมนต์ไปเทศน์ แล้วจะเอาอะไรไปเทศน์ ก็เรายังไม่คิดถึงเรื่องเทศน์เรื่องเทศนาว่าการอะไรเลย แล้วก็ไปถูกเทศน์อย่างว่านั่นละ เขามาให้ฉันเพล บวชได้พรรษาเดียว ขนมนางเล็ดครึ่งแผ่นฉันไม่หมด กลืนไม่ลง มันคับมันแค้นอยู่นั้น จะเอาอะไรเทศน์ให้เขาฟังๆ นี่ละในชีวิตของพระมีครั้งนี้ เราจึงไม่ลืม หัวอกมันจะแตก ไปก็บืนเทศน์จริงๆ เทศน์มันไม่มีหนังสือเทศน์ละซิ เทศน์ปฏิภาณ โอ๋ยบวชได้พรรษาเดียวเราขบขัน แต่มันก็เทศน์ไปได้นะ เวลามันจะตายมันเทศน์ได้นะ แต่ไอ้เหงื่อนี้ เดือนพฤศจิกากำลังหนาวนะ เหงื่อแตกหมดเลยเราก็ไม่ลืม มันร้อนหรือมันหนาวก็ไม่รู้ละ เหงื่อแตกเลยเทศน์
พอจบลงมาแล้วเพื่อนฝูงเขามาแหย่ จะแหย่เป็นความจริงหรือแหย่เป็นอะไรก็ไม่ทราบ หรือแหย่หยอกเล่นก็ไม่ทราบก็พวกเพื่อนเดียวกัน โอ้ เทศน์ดีอยู่นะ อยากตายหรือ เราโมโห กำลังโมโหนี้อย่ามาพาลนะตายนะ โอ้ ก็เทศน์ดีจริงๆ ยังอยากตายหรือ เราก็เดินผึงเลย มาก็เข้าค้นหนังสือท่านเจ้าคุณอุบาลี หาเลือกเอากัณฑ์เทศน์กัณฑ์ไหนดีๆ เอามาท่อง โอ๋ย คล่องเหมือนท่องปาฏิโมกข์ เอาละที่นี่ไปไหนกูไม่ตายละกูเทศน์กัณฑ์นี้ละ เอาชีวิตกูไว้ได้อันนี้ ท่องเสียจนคล่องตัว ไปไหนไปเถอะกูจะเทศน์กัณฑ์นี้ ท่องเสร็จแล้วเลยไม่ได้เทศน์นะ ลืมหมดเทศน์กัณฑ์นั้น ลืมทั้งภาษิตลืมอะไรไปหมดเลย
นี่ถึงใจมากนะเราไม่ลืม ที่อีตาที่ว่านั่น ท่านฉันเพลท่านเทศน์ให้ฟังยากอะไรว่างั้น โถ ก็มันไม่ได้เทศน์ไอ้เราผู้จะเทศน์มันจะตาย นี่ละชีวิตของพระ การเทศน์ครั้งนี้ละที่ว่าฝังลึกนะ นี้ไม่เหมือนใครนะอะไรถ้าได้ฝังแล้วฝังจริงๆ อันนี้อันหนึ่งฝังลึกมากทีเดียว จากนั้นมาก็ไปค้นเอาหนังสือเจ้าคุณอุบาลี กัณฑ์ไหนที่ชอบใจแล้วเอากัณฑ์นั้นมาท่องเลย เอ้าไปไหนเถอะที่นี่ เราไม่ตายละคราวนี้ เลยไม่ได้เทศน์นะ ออกจากนั้นก็ออกเที่ยวเลย พรรษาสองออกเลย พรรษาแรกติดอันนี้ จากนั้นมาก็ท่องเทศน์ท่องอะไร พอพรรษาสองก็เลยออกจากวัดโยธาฯ ก็ไปเตลิดจนกระทั่งทุกวันนี้ เทศน์กัณฑ์นั้นเลยลืมหมด
มันถึงใจที่ขนมนางเล็ดครึ่งแผ่นกลืนไม่ลง อู๋ย มันคับหัวอก นั่นละชีวิตของพระเรามีคราวนั้นละเราก็ไม่ลืม จากนั้นมาก็เรื่อยๆ ทีนี้มันก็เรียนไปๆ มีความจำเป็นเทศน์ที่ไหนมันก็พอบืนได้ เพราะเรียนหนังสือไปเรื่อยๆ พรรษาแรกพรรษาเดียวมันเรียนอะไร ตั้งแต่เรียนสวดมนต์กับปาฏิโมกข์เท่านั้นก็พอแล้วนี่นะ จากนั้นมาก็ไม่ขัดข้อง มีหนเดียวเท่านี้ นี่เรียกว่าชีวิตของพระ ทุกข์แสนสาหัสคือคราวนั้น เพราะฉะนั้นเวลาผ่านไปผ่านมานี้ เขามาตั้งบ้านหนองแวงที่แถวทุ่งนานั้นละ เขามาตั้งบ้านที่นั่น พอขับรถผ่านไปนั้นตั้งข้อตลกขึ้น มันหากเป็นนิสัยของมัน สูอย่ามาผ่านนะ หมาเหล่านี้กูยังเคียดแค้นกูฆ่าได้กระทั่งหมานะ เด็กผู้ใหญ่อย่ามาผ่าน กูกำลังโมโห โมโหตั้งแต่โน้นยังไม่ถอย หมู หมา เป็ด ไก่ ตามบ้านหนองแวงนี้ สูอย่ามาผ่านหน้ากูนะ กูเอาตายทั้งนั้น ตั้งเป็นข้อตลกขึ้น เป็นอย่างนั้นละ คือมันเจ็บมากที่ถูกเทศน์นั่น
จากนั้นมาก็เรื่อยๆ ไม่มีอะไร ก็เรียนไปเรื่อย เทศน์ทางปริยัติก็เทศน์ไปเรื่อย จนกระทั่งถึงขั้นเป็นมหาแล้วออกไปก็ถูกเทศน์ เวลาจำเป็นเข้าในป่าในเขามีนะ จำเป็นเขานิมนต์เทศน์ก็ได้เทศน์อยู่เป็นบางครั้งบางคราว ก็เทศน์ไปได้ทั้งนั้นเทศน์ทางด้านปริยัติ ทีนี้พอปฏิบัติธรรมะ เอ้า พูดให้มันชัดเจนเลย พอปฏิบัติทางด้านธรรมะจิตเริ่มเป็นสมาธิขึ้นมาเท่านั้น โวหารมีแล้วนะนั่น เต็มภูมิสมาธิเทศน์ได้สบายเต็มภูมิสมาธิ นี่เรียกว่าธรรมเกิด ธรรมมีแล้วภายในใจ เรื่องปริยัติก็ค่อยจางไปๆ
ธรรมภายในใจเกิดขึ้นมากเท่าไรเรื่องปริยัติค่อยจางไปๆ สุดท้ายหมุนเข้ามาหาภาคปฏิบัติทั้งหมด จนกระทั่งปัจจุบันนี้ไม่คิดไปไหนเลย พุ่งออกจากนี้เลย นี่เรียกว่าธรรมเกิดธรรมมี มีในหัวใจ ใจทั้งดวงเป็นธรรมทั้งแท่งเลย เอา ออกช่องไหนออกๆ ไม่ได้คุยนะ ถึงกาลเวลามันเป็นเป็นได้อย่างนี้แหละ กับที่ว่าฉันขนมนางเล็ดครึ่งแผ่นไม่หมดนั่น กับมาทุกวันนี้ ใจดวงเดียวนั้นแหละ เวลาฝึกฝนอบรมเข้า อะไรที่มาทำให้ตีบตันอั้นตู้คือกิเลสทั้งนั้นๆ มันกีดกัน อย่างอกจะแตกก็กิเลสพาให้เป็น ทีนี้ตีกิเลสออกๆ ธรรมเกิดขึ้นมาๆ เปิดโล่งออกไปเรื่อยที่นี่
ธรรมเกิดมากน้อยเทศน์ได้ทั้งนั้นละที่นี่เทศน์ได้เรื่อยๆ จนกระทั่งเปิดโล่งหมดเลย ไม่ทราบว่าเทศน์ที่ไหนวันหนึ่งกี่กัณฑ์ บางวันถึง ๙ กัณฑ์ก็มีฟังซิ นั่นเราก็ยังจำได้ในชีวิตของเรา ในหนังสือเขียนเอาไว้ว่า วันนี้เทศน์ถึง ๙ กัณฑ์ เราเลยเอาอันนั้นละมายึด เทศน์ถึง ๙ กัณฑ์ก็มีเห็นไหม มันก็เทศน์ได้ กับที่ว่าตีบตันอั้นตู้จะเป็นจะตายนั่น มาเทศน์วันนี้ถึง ๙ กัณฑ์ เป็นอย่างนั้นละ อย่างทุกวันนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ทราบว่ามีมากมีน้อย ไปที่ไหนเทศน์ไปเรื่อยวันละ ๙ กัณฑ์ก็ยังมี อันนี้เวลามันเปิดจริงๆ ธรรมเปิดที่ใจ กิเลสไม่มีภายในใจมันโล่งไปหมดมีแต่ธรรม ว่างไปหมดเลยจะว่าไง
เอ้า เทศน์อย่าว่าแต่มนุษย์มนา เทวดาอินทร์พรหมเทศน์ได้ทั้งนั้น ภาษาเกี่ยวกับเรื่องเทวดาเป็นภาษาเช่นใด ใจเป็นภาษาเดียว อันนี้พูดไม่ได้ แต่เข้าใจ พวกเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม อย่างพระพุทธเจ้าโปรดเทวดาอินทร์พรหม ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านโปรด จับได้ทันทีเงื่อน แต่ไม่เอามาพูดเรื่องเหล่านี้ เรื่องเทวดา เกิดมามันไม่เชื่อจนกระทั่งว่ามีเทวดาพวกตาบอดนี่ แล้วจะมาพูดเรื่องเทวดาให้มันฟังเดี๋ยวมันจะไล่ตีเราแหลกเข้าใจไหม เราก็ยังเสียดายชีวิตไม่พูดเรื่องเทวดา พวกนี้จะไล่ตีเอา เห็นไหมล่ะสมบูรณ์แบบธรรมะพระพุทธเจ้า สิ่งที่มีเทศน์ตามสิ่งที่มี สิ่งที่มาเกี่ยวข้อง ธรรมพระพุทธเจ้ากว้างขวางมากมายก่ายกอง ไอ้พวกหูหนวกตาบอดจะรับฟังมาเพื่อปฏิบัติเจ้าของมันก็ไม่ยอมเชื่อจะว่าไง ทั้งๆ ที่ท่านเทศน์ครอบโลกธาตุเทศน์ธรรมะ
นี่เราพูดถึงเรื่องจิต กิเลสนะมันปิดใจ ที่ว่าเทศน์มันตีบตันอั้นตู้จะไปไม่ได้ มันติดเจ้าของเอง เจ้าของติดเจ้าของติดคนอื่น เมื่อเจ้าของเปิดเจ้าของมากน้อยก็เปิดออกไปออกมา เปิดหมด แล้วก็เปิดหมดเลย ติดอะไร นั่น ไม่ติดเราเสียอย่างเดียวไม่ติดเขา ทั่วแดนโลกธาตุไม่ติด ติดเราเสียคนเดียวเท่านั้นติดหมด ดูหัวใจนี้ติดตัวเอง กิเลสอยู่กับตัวเอง พอเปิดอันนี้ออกแล้วมันโล่งไปหมดเลย
สุญฺญโต โลกํ อเวกขสฺสุ โมฆราช สทา สโต นี่ท่านแสดงสอนพระโมฆราช ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติ ฟังซิว่าสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่าว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิความเห็นว่าตนว่าตัวว่าเขาว่าเราเสีย จะพึงข้ามพ้นจากพญามัจจุราชไปได้ พญามัจจุราชจะมองไม่เห็นผู้พิจารณาอยู่ด้วยความเห็นโลกเป็นของว่างเปล่าอย่างนี้ นั่นท่านสอนพระโมฆราช ธรรมนี้เป็นธรรมกลางๆ หัวใจรับได้ทุกดวง ถ้าสามารถที่จะรับได้รับได้หมดทุกดวงในธรรมอันนี้ เมื่อถึงขั้นที่ควรรับได้ ทีนี้ท่านเทศน์สอนโมฆราชผางเข้ามานี้แล้ว พูดให้มันชัดๆ อย่างนี้เลย โมฆราชนั่นท่านสอนนั้น
ธรรมเป็นของกลางๆ หัวใจรับได้ทั้งนั้น ใครรับแล้วก็เข้าหัวใจคนนั้นๆ มันว่างได้เหมือนกัน อย่าว่าแต่พระโมฆราช พระอรหันต์ว่างทั้งนั้น นั่นเห็นไหมล่ะเวลามันตีกระจายออกไป ท่านยกเอกเทศมาเพียงพระโมฆราชองค์เดียว องค์ใดผ่านเข้าไปปึ๋งเท่านั้นเป็นโมฆราชไปด้วยกันหมด สุญฺญโต โลกํ โลกว่างเปล่า ว่างเปล่าตลอดเวลา ภูเขาทั้งลูกว่างไปหมด หัวใจมีอำนาจมากที่สุดคือความว่างของหัวใจ อะไรจะหนานานมั่นคงขนาดไหนหัวใจทะลุไปหมด ว่างไปหมดโดยหลักธรรมชาติ นั่นเรียกว่า สุญฺญโต โลกํ โลกว่างเปล่าเพราะหัวใจว่างหมดแล้ว โลกที่ไหนจะมาติดใจได้ อำนาจแห่งความว่างเปล่าครอบไปหมดเลย
นี่ละอำนาจของธรรม ให้เป็นในใจซิ ดังที่ว่าสอนพระโมฆราชโลกเป็นของว่างเปล่า จิตใจของผู้ใดที่ควรแก่ธรรมประเภทนี้จะเข้าถึงแล้วจะว่างเหมือนกันไปหมด บรรดาพระอรหันต์ว่างทั้งนั้นเลย นั่นเห็นไหม อย่าว่าแต่พระโมฆราชซึ่งเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งเลย ใครเป็นพระอรหันต์ว่างด้วยกันหมดนั้นแหละ นอกจากนั้นบุญญาภิสมภารนิสัยวาสนากว้างแคบลึกตื้นหยาบละเอียด จะกระจายออกไปจากความบริสุทธิ์นั้นละ เพราะฉะนั้นพระสาวกทั้งหลายจึงได้รับเอตทัคคะต่างกัน องค์นี้เลิศทางนั้นองค์นั้นเลิศทางนั้น หมายถึงกิ่งก้านสาขาดอกใบนะ
ต้นลำเหมือนกัน ธรรมแท่งเดียวกัน เป็นธรรมชาติที่ไม่มีความยิ่งหย่อนต่างกัน เสมอกันหมด นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวกองค์สุดท้ายเหมือนกันหมดในหลักธรรมชาติแห่งความบริสุทธิ์ แต่กิ่งก้านสาขาดอกใบที่จะแผ่กระจายออกไป ตามนิสัยวาสนาของตนที่ได้ทำความปรารถนาไว้มาตั้งแต่ดั้งเดิมนั้น เวลาผลอันใหญ่เกิดขึ้นแล้ว กิ่งก้านสาขาดอกใบก็แตกกระจาย จึงเป็นผู้เชี่ยวชาญทางนั้นเชี่ยวชาญทางนี้ เลิศเลอทางนั้นเลิศเลอทางนี้ต่างกัน นี่ละคือกิ่งก้านสาขาของพระอรหันต์แต่ละองค์ๆ ที่มีนิสัยวาสนาต่างกัน ส่วนความบริสุทธิ์เหมือนกันหมด ให้พากันจำเอา
บางองค์ท่านก็รู้ของท่าน แต่กิ่งก้านสาขาท่านไม่แตกกระจายก็มี ส่วนธรรมชาติที่บริสุทธิ์เหมือนกันหมดตำหนิกันไม่ได้เลย นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวกองค์สุดท้าย แต่นิสัยวาสนาที่จะกว้างแคบ กิ่งก้านสาขาดอกใบที่จะแผ่กระจายออกไปขนาดไหนนั้นต่างกัน อย่างพระสารีบุตรนี้ก็ได้ยกย่องในทางปัญญา พระสารีบุตรเลิศปัญญาไม่มีใครเสมอ เว้นพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น นอกนั้นพระสารีบุตรเป็นหนึ่งหมดเลยในบรรดาสาวก องค์นี้เลิศทางนั้นองค์นี้เลิศทางนี้มีอย่างนั้นละ นี่นิสัยวาสนา คือกิ่งก้านสาขาดอกใบของท่านเป็นเครื่องประดับองค์ท่านนั่นละ
ไม่ใช่ว่าสำเร็จแล้วจะเป็นเหมือนกันหมด ไม่เหมือน เหมือนต้นไม้ต้นเดียวชนิดเดียวกันนั่นละ ต้นนี้กิ่งก้านสาขาดอกใบเป็นอย่างนี้ ต้นนี้กิ่งก้านสาขาดอกใบเป็นอย่างนี้ ไม่เหมือนกันทั้งๆ ที่เป็นต้นไม้ชนิดเดียวกันก็ตาม มันต่างกัน ทั้งๆ ที่ความบริสุทธิ์เหมือนกันก็ตาม แต่กิ่งก้านสาขานิสัยวาสนาที่ทำความปรารถนามากว้างแคบลึกตื้นหนาบางต่างกัน จะออกกระจายไป พากันเข้าใจเสียนะ ถ้ายังไม่เข้าใจให้เข้าใจเสีย นั่งไปนั่งมาปวดขาแล้ว กิ่งก้านอันนี้ปวดขา มันไม่ทำประโยชน์อะไรให้เราเลยไอ้กิ่งก้าน คอยแต่ทรมานเรากิ่งก้านนี้ เห็นไหมเหยียดออกไปแล้ว เหยียดกิ่งก้านออกไป เข้าใจ ใครยังไม่เข้าใจ ทีนี้ให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |