บอกจุดสำคัญให้
วันที่ 8 มกราคม 2549 เวลา 8:55 น. ความยาว 55 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

บอกจุดสำคัญให้

ก่อนจังหัน

พระเท่าไรวันนี้ (๒๘ ครับผม) ก็อยู่ในเกณฑ์นี้ นอกนั้นอยู่ข้างในเยอะไม่ฉัน วันหนึ่งๆ พระท่านมาฉันไม่ได้ครบนะ อยู่ข้างในเยอะ ท่านไม่ฉันท่านภาวนา พวกเราอิ่มท้องแล้วภาวนาในหมอน พวกท้องแห้งภาวนาฆ่ากิเลส ไม่ได้มาหมดนะวันหนึ่งๆ ขาดไม่น้อยพระในวัดนี้ ดูเอาซิการฝึกทรมาน คือสู้กิเลสซัดกับกิเลส อดอาหารนี่ก็เพื่อฆ่ากิเลสตัวมันดีดดิ้นอยู่ภายในจิตใจ พออาหารมีมากขึ้นๆ สติก็ไม่ดี ผิดๆ พลาดๆ ปัญญายิ่งแล้ว ถ้าสติตั้งเป็นพื้นฐานไม่ได้แล้วปัญญาก็ไม่มีทางออก ก่อนอื่นต้องสติเป็นพื้นฐานก่อน สติเป็นพื้นฐาน กิเลสมันจะหนาแน่นมายิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกก็พัง สู้สติไม่ได้ ขอให้มีสติให้ดี

สติไม่ดีนี้เพราะอะไรอีก นั่นต้นเหตุมีนะ สำคัญอยู่ที่อาหาร ถ้าเราฉันอิ่มๆ สตินี่ล้มเหลวๆ พอผ่อนลงๆ สติค่อยตั้งขึ้นๆ อด นั่นเห็นไหมล่ะ ต้องดัดกันหลายแง่หลายกระทง พออดแล้วสติตั้งขึ้นๆ ได้เรื่อยๆ ทีนี้คนไม่ได้กินมันก็จะตายใช่ไหม ก็ต้องอดบ้างอิ่มบ้าง อย่างนี้ละสู้กัน ที่พูดมาเหล่านี้เราผ่านมาหมดแล้ว เพราะฉะนั้นการสอนโลกเราจึงแน่ใจทุกอย่างว่าไม่ผิด ไม่ว่าธรรมขั้นใดๆ ถึงนิพพาน ว่างั้นเลย เต็มอยู่ในหัวใจนี้หมดแล้ว

การสอนนี้ด้วยการผ่านมาของเราหมด ผิดถูกประการใดบวกลบคูณหารๆ ผิดก็เป็นครู ถูกก็เป็นครู มาทั้งสองๆ จนกระทั่งได้มาเป็นครูเป็นอาจารย์สอนหมู่เพื่อน จึงสอนด้วยความแม่นยำ เหตุก็ดำเนินมาแล้วถูกต้องแม่นยำ ผลได้เป็นยังไงๆ เหตุไม่ดีผลไม่ดี เหตุผิดผลผิด เป็นอย่างนั้นนะ กิเลสนี้เป็นของง่ายเมื่อไร โลกใครเห็นใครทราบว่ากิเลสคืออะไร ทั้งๆ ที่มันเต็มอยู่ในหัวใจทุกคนๆ กิเลส ธรรมเป็นยังไงก็ไม่รู้อีก เป็นยังไง แบกกิเลสละแบกมาก กิเลสมันสร้างทุกข์ก็แบกทุกข์ละที่นี่ ธรรมไม่มีก็ไม่ได้เสวยธรรม

เราเป็นลูกชาวพุทธให้พากันตื่นเนื้อตื่นตัวนะพี่น้องทั้งหลาย ศาสดาองค์เอกนี้ล้ำเลิศมาในสามแดนโลกธาตุ ไม่มีอันใดเสมอเหมือนพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกค้นพบธรรมที่เลิศเลอออกมา ประทานพระโอวาทแก่บรรดาสัตว์ทั้งหลาย มีพระสงฆ์สาวก เป็นต้น ได้รับการอบรมจากพระพุทธเจ้าแล้วสำเร็จๆ ออกมา องค์นี้สำเร็จโสดา องค์นั้นสำเร็จพระสกิทาคา องค์นั้นสำเร็จพระอนาคา องค์นี้สำเร็จพระอรหันต์ สำเร็จอยู่เรื่อยๆ เพราะการปฏิบัติบำเพ็ญไม่หยุดไม่ถอย ผลจะปรากฏออกมาเรื่อยๆ

สถานที่บำเพ็ญเป็นยังไง ส่วนมากต่อมากมีแต่มหาวิทยาลัยป่า แต่ท่านไม่เรียกมหาวิทยาลัยเหมือนอย่างทุกวันนี้ ท่านเรียกป่าเท่านั้น มหาวิทยาลัยสงฆ์เดี๋ยวนี้มีขึ้นมาแล้วนะ มหาวิทยาลัยสงฆ์นั้นมีแต่กิเลสเต็มอยู่นั่น เอาครูเอาอาจารย์บ้านนอกคอกนาที่ไหนมาสอนพระ พระยอมรับเป็นลูกศิษย์ของฆราวาสเขาโดยทางกิเลสตัณหาทางโลกทางสงสาร พระจะได้นำธรรมไปสอนโลกให้มีความสงบเย็นใจเดี๋ยวนี้ไม่มี เราอยากจะว่าไม่มี หย่อนให้นิดหนึ่งว่าแทบไม่มี เพราะผู้มียังมีอยู่ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายผู้ทรงอรรถทรงธรรมเฉลียวฉลาด ส่วนมากจะอยู่ในป่าในเขา สมัยทุกวันนี้เขาเรียกมหาวิทยาลัย นี่ก็มหาวิทยาลัยป่า พระพุทธเจ้ามหาวิทยาลัยป่า สาวกทั้งหลายมหาวิทยาลัยป่าทั้งนั้น

ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นสถาบันแห่งป่าทั้งหมดเลย เราอยากจะว่าทั้งหมด สำหรับพระเราเป็นอย่างนั้น ท่านสำเร็จมาอย่างนี้มาสอนโลกสงสาร เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นโลกไปสอนพระแล้วนะ พระเข้าไปเต็มอยู่ในโรงร่ำโรงเรียน ไปศึกษาอบรมวิชาของโลกของสงสารเขา น่าสลดสังเวชไหมพระเราหัวโล้นๆ ไปนั่งแฝงอยู่กับประชาชนที่เขามาศึกษาเล่าเรียนทางโลกเป็นความถูกต้องดีงามธรรมดาสำหรับเขา แต่พระเข้าไปแทรกแล้วดูไม่ได้เลยนะ มีเยอะหัวโล้นๆ ในเมืองไทยเราเวลานี้พระเราหน้าด้านที่สุด ไปหาศึกษาวิชาทางโลกทางสงสารกับประชาชนทั้งหลาย แทนที่จะเอาวิชาธรรมที่สอนตนได้แล้วไปสอนคนอื่นเขาอย่างนี้ไม่มี

พระพุทธเจ้า สาวกทั้งหลายเอาธรรมไปสอนโลก ได้รับความสงบร่มเย็นมากมาย แต่เรานี้เป็นยังไงไปศึกษาวิชาทางโลก เอาไฟมาเผาตัวเอง ครั้นได้มาแล้วก็เย่อหยิ่งจองหอง ไปทำปริญญานั้นปริญญานี้ พระขี้หมาอะไรไปทำปริญญาเอก ปริญญาเอกอยู่นี้ ไม่ใช่เอกตาเดียวนะ เอกเลิศไม่มีคู่แข่ง ท่านว่าเอกอันนี้น่ะ พวกเรามันมีแต่เอกตาข้างเดียว ถ้าตาข้างเดียวนี้บอดแล้วหมด บอดเลย พวกนี้มีแต่พวกตาบอด ออกจากเอกตาเดียวก็เป็นตาบอด เข้าใจไหม เอกพระพุทธเจ้าไม่มีใครเสมอเหมือน

ท่านทั้งหลายให้ฟังเสียนะ อย่ายุ่มย่ามๆ สายตาของธรรมดูไม่ได้นะเวลานี้ดูโลก สายตาของธรรมดู แต่โลกก็หยิ่งและเป็นบ้ากัน ยิ่งเสริมบ้าขึ้นทุกวันๆ  ผลิตอันนั้นขึ้นมา ผลิตอันนี้ขึ้นมา มีแต่วิชากิเลสหลอกกันๆ จะผลิตวิชาธรรมขึ้นมาให้ได้ตื่นเต้น ให้ได้รู้สึกตัวแล้วธรรมเหล่านั้นจะเข้ามาสงบใจไม่ค่อยมีและไม่มี ขนาดนั้นละเวลานี้ เราพูดจริงๆ เราก็เกิดมาในท่ามกลางโลก ท่ามกลางกิเลสนี้แหละ แต่ทำไมจึงได้มาพูดนี้ เพราะปฏิบัติตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า พระองค์เองก็อยู่ในท่ามกลางกิเลส เกิดมาจากกิเลสเหมือนกันกับโลกทั่วๆ ไป แล้วเป็นศาสดาเอกของโลกขึ้นมาเพราะการปฏิบัติธรรม นำธรรมมาสอนโลก สาวกทั้งหลายก็ได้นำธรรมมาสอนโลก ทีแรกออกจากพระพุทธเจ้าก่อน นั่นละท่านนำธรรมมาสอนโลก

เดี๋ยวนี้ให้โลกสอนธรรม พระหัวโล้นๆ ไปหมอบกราบกับกิเลสอยู่ตามโรงร่ำโรงเรียน สถานที่ต่างๆ แล้วก็ปริญญาโน้นปริญญานี้ วิทยานิพนธ์นิแพ็นอะไรก็ไม่รู้ นิพนธ์ที่ไหนเลิศกว่าธรรมของพระพุทธเจ้าเอามาแข่งกันน่ะ หลวงตาบัวนั่งฟังอยู่นี้จะฟัง มันจ้าอยู่ในหัวใจจะว่าไง มันจวนจะตายแล้วเปิดให้ท่านทั้งหลายฟัง การปฏิบัติธรรมแทบเป็นแทบตายกว่าจะได้ธรรมนี้มาสอนโลก จึงเห็นโลกสกปรกกับธรรมที่สะอาดสะอ้านสุดยอดนี้มันเข้ากันไม่ได้ ไปที่ไหนต้องเป็นลักษณะหลับตาไป ปิดหูไป ไม่งั้นมันมีตั้งแต่พวกเสี้ยนพวกหนามพวกฟืนพวกไฟตำเอาๆ คือเรื่องของกิเลสมาโดนๆ สายหูสายตา นั้นละธรรมเลิศขนาดนั้น

เวลาให้มันเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วมันจ้าอยู่ตลอดเวลา อยู่ในถ้ำก็จ้าอยู่ในถ้ำ อยู่ใต้ดินก็จ้าอยู่ใต้ดิน ธรรมไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย ท่านเรียกว่าจุดศูนย์กลางแห่งความสว่างเพื่อโลกเพื่อสงสาร คือธรรม ท่านทั้งหลายควรจะพินิจพิจารณา อย่าพากันเร่ๆ ร่อนๆ เที่ยว เช่น วันเสาร์ วันอาทิตย์ นี้เป็นบ้ากันทั้งโลกนั่นละ วิ่งหากันจุ้นจ้านๆ เหมือนหมาเดือน ๙ เดือน ๑๒ รู้ไหมพวกเราหมาเดือน ๙ เดือน ๑๒  คือเพลินไปตามกิเลสวันยังค่ำ หมามันยังมีเดือน ๙ คึกคะนอง เดือน ๑๒ คึกคะนอง มนุษย์นี้ตัวแสบที่สุดไม่มีเวลาที่จะสงบ มีแต่คึกแต่คะนองเรื่อยอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ธรรมไม่เข้าสู่ใจมันต้องคึกละซิ ถ้ามีอรรถมีธรรมเข้าสู่ใจบ้างแล้วจะรู้เนื้อรู้ตัว และระงับดับสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟที่เกิดขึ้นกับตัวนี้ได้โดยลำดับๆ ให้พากันคิด

พระเราก็เหมือนกัน เคยสอนแล้วเรื่องภาวนา สติเป็นพื้นฐานสำคัญ ใครตั้งสติดีถึงจะไม่มีรากฐานก็เอาเถอะน่ะ ธรรมพระพุทธเจ้าไม่มีอะไรเกินสติ เป็นพื้นฐานแห่งการบำเพ็ญจนกระทั่งถึงนิพพาน พื้นฐานของการบำเพ็ญธรรมเพื่อชำระกิเลส ขึ้นอยู่กับสติ ใครจะตั้งรากตั้งฐานตรงไหนต้องมีสติเป็นสำคัญ ตั้งไม่ได้ เอาคำบริกรรมเข้ามามัดหัวใจ หัวใจมันดิ้นมันดีด เอาคำบริกรรม เช่น พุทโธ หรือตามแต่จริตนิสัยชอบ แล้วสติจับเข้าไปตรงนั้นไม่ยอมให้มันเผลอ เอา ลองดูซิมันจะตั้งได้ไหม ตั้งจิตนี้ตั้งได้ไหม

มีแต่กิเลสเตะเอาๆ ล้มระนาวๆ มีแต่นักภาวนาอยู่ทางจงกรมล้มระนาวอยู่ตามทางจงกรม ส่วนลงในหมอนมันล้มแล้ว คอยแต่หอมกระเทียมจะเข้าไปขยำกันเท่านั้น มันเลวไปอย่างนั้นนะพวกพระเราปฏิบัติธรรม พากันปฏิบัติให้ดี มรรคผลนิพพานพระพุทธเจ้าพูดมาหลอกโลกเหรอ ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมหลอกโลกหรือ เป็นของจริงตั้งแต่กิเลสตัณหานั่นเหรอ เอามาเทียบกันซิในหัวใจของเราทุกคน มันมีอยู่ในหัวใจทุกคนๆ เราดูแล้วมันสลดสังเวชนะ เป็นบ้ากัน โถ ยิ่งเสริมกันขึ้นๆ ที่จะเสริมอรรถเสริมธรรมเป็นน้ำดับไฟเข้าสู่ใจนี้ไม่ค่อยมีนะเวลานี้ มันสลดสังเวชจริงๆ เห่อแท้ๆ ครั้นกับกิเลส กิเลสนี้ใหม่เอี่ยมๆ  ถ้าธรรมนี้ครึ แม้อย่างผ้าออกมาจากร้านใหม่ๆ ก็ครึแล้วสู้ของกิเลสไม่ได้

พระตั้งใจให้ดี สติตั้งให้ดี เอา ตั้งสติให้ดีมันจะตั้งได้ไหมฐานของจิตน่ะ เอาคำนี้ไปคิดนะ ตั้งสติ ไม่เสียดายกับความคิดปรุงใดๆ นั้นเป็นความคิดของกิเลส ความคิดพุทโธๆ เป็นต้น มีสติครอบงำนี้ เรียกว่างานของธรรม งานของธรรมนี้จะดับกิเลสคือความคิดปรุงต่างๆ ได้ อย่าเสียดายความคิดเหล่านั้น ตั้งแต่ตื่นนอนมาจนกระทั่งหลับ เป็นยังไงใครหยุดที่ไหนความคิด ไม่มีใครหยุด ติดเครื่องแล้วดับไม่ลงก็คือกิเลสติดเครื่องนั่นละ ไม่มีใครไปดับมันจะลงได้ยังไง มีแต่มันจะขึ้นเหยียบหัวคน

ไปที่ไหนถามกัน สบายดีหรือ สบายตายอะไร ถ้าเป็นผัวกับเมียก็ พ่ออีหนูมันหนีจากบ้านไปแล้วได้ ๓ คืน นู่นน่ะเห็นไหมล่ะ แล้วถามเมียไปไหน มันวิ่งไปกับไอ้หนุ่มที่ไหนก็ไม่รู้ นั่นมันถามกันเป็นยังไงกิเลส มันสงบสบายดีหรือ ถ้าเป็นธรรมแล้วผัวไปเถอะเมียไปเถอะ ไปที่ไหนหาอยู่หากิน ทำมาหาเลี้ยงชีพได้มากน้อย เข้ามาเลี้ยงครอบครัว เฉลี่ยกันไปทั่วบ้านทั่วเมืองของครอบครัวของตัวเองสบายไปหมด เพราะไว้ใจกัน ไปนอกบ้านในบ้าน ผัวเมียไว้ใจกัน ตายใจกัน เพราะมีธรรมเชื่อถือตัวเองด้วยธรรม ธรรมเป็นเครื่องกำกับ ไปไหนสบายๆ

นี้มีแต่กิเลสดึงหน้าดึงหลัง มองดู ผัวกับเมียนอนติดกันอยู่ พอตื่นนอนขึ้นมานี้ผัวไปแบบหนึ่ง ถ้าเมียไม่ดีเมียก็ไปอีกแบบหนึ่ง สุดท้ายเป็นเปรตเป็นผีเอาไฟมาเผากัน นี่ละเรื่องของกิเลสเป็นของดีเหรอ เอาธรรมแทรกเข้าไปซิ ผัวเมียไว้ใจกัน พึ่งเป็นพึ่งตายกัน เป็นอวัยวะเดียวกันคือผัวกับเมีย ได้อะไรมานี้เป็นอันเดียวกันหมด ซื่อสัตย์สุจริต หัวใจผัวเป็นยังไง หัวใจเมียเป็นยังไง มีน้ำหนักขนาดไหน มีน้ำหนักเท่ากัน ต่างคนต่างเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันอยู่กันได้สบาย ซื่อสัตย์สุจริต ฝากเป็นฝากตายต่อกัน นี่ละธรรม ให้ท่านทั้งหลายนำไปปฏิบัติแล้วจะเย็น

จะไปหาลงน้ำลงท่าที่ไหนถึงจะเย็น ลงในธรรมนี้เย็นทั้งนั้น ถ้าไม่มีธรรมแล้วไปลงน้ำมหาสมุทรก็จมไปเลย ไม่ได้เย็นนะ มันจมไปเลย วันนี้เป็นโอกาสอันดีงามที่จะได้สอนบรรดาพี่น้องทั้งหลาย หลวงตานี่ปฏิบัติธรรมมาแทบเป็นแทบตายก่อนที่จะได้มาสอนโลกนี้ แทบสลบไสลอยู่ในป่าในเขากี่ปี ใครได้ไปรู้ไปเห็นเมื่อไร พอโผล่หน้าออกมานี้ก็มาสอนโลก โลกมันก็ไม่ยอมฟังอีกแล้วจะให้ทำไง มันหมดแล้วนะ หมดกำลังวังชา ให้เอาไปคิดบ้างนะ อย่านอนกอดศาสนาพระพุทธเจ้าอยู่เฉยๆ

ธรรมเลิศเลอ ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าธรรม กิเลสเลวที่สุด เป็นข้าศึกของธรรม แล้วไปกอดตั้งแต่กิเลสนั่นซิ ผลักธรรมออกมันถึงรุ่มร้อน อยู่ที่ไหนรุ่มร้อนไปหมด สังคมใดก็ตามถ้ามีแต่กิเลสไม่มีธรรมเข้าแทรก หาความสงบเย็นใจตายใจกันไม่ได้ เรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นรับแช่นจะเป็นอะไร ถ้าไม่ใช่กิเลสตัวยักษ์ตัวผี กินไปได้หมดตัวนี้น่ะ ถ้าธรรมแล้วกินไม่ลง เราเอาตัวเราเป็นตัวยืนเลย เรานำโลกตั้งแต่วันประกาศตนที่จะนำพี่น้องทั้งหลายขึ้นจากหล่มลึกคือความล่มจม จิตของเราบริสุทธิ์เต็มส่วน เอา พูดให้ยันอย่างนี้

นำโลกนำสงสาร สมบัติเงินทองข้าวของมีมากมีน้อย ร้อยเปอร์เซ็นต์เข้าเลยๆ ไม่ว่าอะไร นอกจากนั้นยังเอาธรรมมาสอนโลก เราเปิดหัวใจเราด้วยความสุจริต มีเมตตาธรรมครอบตลอดเวลา เราจึงบริสุทธิ์สุดส่วนในการนำพี่น้องทั้งหลาย ด้วยวัตถุเงินทองข้าวของ ไม่มีที่จะหยิบเข้ามาเป็นของตัว บาทหนึ่งไม่มี ฟังซิ นี่ละธรรมนำโลกเป็นอย่างนี้ ถ้าโลกนำโลกเอาไปถลุงหมด พวกคอร์รัปชั่นมีอยู่ทุกแง่ทุกมุม นี้มีแต่เรื่องกิเลสตัณหาเป็นยักษ์เป็นผี เรื่องธรรมแล้วไม่เป็น เราเป็นผู้นำเอง เชื่อในหัวใจเจ้าของ เพียงคิดขึ้นมาไม่ถูกอะไรมันปัดของมันเอง ไม่ต้องนำออกไปแสดงให้เป็นทุจริตข้างนอกต่อไปเลยละ ถ้าดูไม่ดีแล้วปัดมันออกๆ

เพราะจิตที่สะอาดเต็มที่แล้ว สิ่งแปดเปื้อนเข้ามานิดหนึ่งไม่ได้ มันปัดออกๆ ความคิดที่จะเป็นทุจริตต่อส่วนรวมหรือต่อชาติบ้านเมือง พอคิดแย็บมาปัดปุ๊บเลย จะมีแต่ความดีงาม ความชอบธรรม แล้วสั่งนั้นสั่งนี้ หรือจ่ายนั้นจ่ายนี้ จ่ายด้วยความชอบธรรม นี่ละเราช่วยโลกเราช่วยอย่างนี้ ใครจะหาว่าเราทุจริต มันปากอมขี้ สนใจหัวมันอะไร ปากอมธรรม เราใจอมธรรมอยู่กับเรา เราเป็นผู้ปฏิบัติดูแลอยู่ รู้เจ้าของอยู่นี่ ภูมิใจที่ได้นำพี่น้องทั้งหลาย

ทองคำก็ ๑๑ ตันกับ ๓๗ กิโลครึ่งที่เข้าคลังหลวงเรียบร้อยแล้ว เวลานี้ก็ทองคำประเภทน้ำไหลซึม ออดอ้อนจากพี่น้องทั้งหลายนั้นแหละ เพราะเห็นแก่ลูกหลานชาติไทยของเรา ได้อุตส่าห์พยายามหามาอีก เดี๋ยวนี้ได้ทองคำประเภทน้ำไหลซึมนี้สองร้อยกว่ากิโลแล้วจะไหลเข้าไป ไหลไปไหน ไหลเข้าสู่คลังหลวง นี่ละธรรมพาหา ได้มาเข้าสู่จุดรวมๆ เป็นความถูกต้องดีงามทั้งนั้น ถ้ากิเลสหาแหลกหมดนะ จำเอานะ นี่ละธรรมนำโลก ต่างกัน ธรรมนำโลก กิเลสนำโลก กิเลสนำโลกพาให้จม ธรรมนำโลกพาให้ฟื้นฟู ให้สงบร่มเย็น จำเอานะทุกคนๆ

พระก็ตั้งใจภาวนาดังที่พูดแล้วนะ อย่าเสียดายความคิดที่มันปรุงหน้าปรุงหลัง ปรุงตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ มันปรุงหาอะไร นี่ละกิเลสตัณหาพาปรุงไม่มีวันอิ่มพอ เอาธรรมปรุงเข้าไปซี คำบริกรรมใดตั้งให้ดี มีสติตั้งอยู่กับคำบริกรรมรักษาจิต กิเลสเข้ารุมจิต รักษาจิตเอาไว้ จิตจะตั้งรากตั้งฐานได้ เอา ตั้งซิ คำที่ว่านี่ผิดไหมที่สอนมานี่ นี้ไปภาวนาที่ไหนเร่ๆ ร่อนๆ ไม่ได้หน้าได้หลัง ก็เพราะมันไม่จริงไม่จัง

คำสอนพระพุทธเจ้าทุกบททุกบาทจริงทั้งนั้น ไอ้เราปฏิบัติเหลาะๆ แหละๆ เข้ากันได้ยังไง นี่ละมันน่าสลดสังเวช พระเณรนี้มาน้อยเมื่อไรที่มาอาศัยอยู่วัดป่าบ้านตาด เป็นหมื่นๆ แสนๆ ผ่านเข้าผ่านออกถ่ายทอดกันไป แนะนำสั่งสอนแล้วไปๆ ไปเป็นลิงเป็นค่างบ่างชะนี เป็นยักษ์เป็นผีเป็นเปรตเป็นมารมากต่อมากลูกศิษย์หลวงตาบัว วัดป่าบ้านตาด ที่จะเป็นพระที่น่าเคารพกราบไหว้บูชานี้มองที่ไหนก็ไม่ค่อยเห็นมีว่างั้นเถอะ จะว่าไม่มีไม่ได้นะ ไม่ค่อยเห็นมี เพราะมีน้อยกว่าสิ่งที่เลวทั้งหลาย ของดีมีน้อยก็บอกไม่ค่อยมี เพราะฉะนั้นให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติให้มีขึ้นมาภายในใจนะ เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านี้

หลังจังหัน

เมื่อเช้านี้พูดเรื่องหลักภาวนาที่สอนพระ พระซึ่งเป็นนักภาวนาแต่ไม่ได้หลักได้เกณฑ์ โลเล คือทำไม่มีหลักมีเกณฑ์ ไม่จริงจังกับจุดที่ถูกต้อง โลเลๆ ไม่ได้เรื่อง เราจึงบอกจุดสำคัญให้ ตั้งตามนี้แล้วไม่ผิด อย่างที่พูดเมื่อเช้านี้สติเป็นสำคัญ การประกอบความพากเพียรทุกด้านนี้สติสำคัญมากทีเดียว ถ้าขาดสติเสียอย่างเดียว เฉพาะความเพียรนี้ขาดสติปั๊บความเพียรขาดพร้อมกัน เดินจงกรม นั่งสมาธิ ไม่มีความหมายถ้าสติได้ขาดไป ถ้าสติสืบเนื่องกันอยู่เป็นความเพียรตลอด หลักมีอยู่ที่สติ

เหล่านี้เราก็ได้ทดสอบตัวเราเองแล้วจนได้หลักเกณฑ์ขึ้นมา ขึ้นมาจากกรุงเทพพอหยุดเรียนแล้ว มาจำพรรษาโคราช อำเภอจักราช ลืมเมื่อไร เอาจริงเอาจังมาก มาจำพรรษาจักราช เอาจริงเอาจัง ตั้งหลักตั้งฐานขึ้นได้ทางสมาธิแน่นปึ๋งเลย ทีนี้เป็นสิ่งที่เราไม่เคยรู้เคยเห็นเราก็ไม่รู้จักวิธีรักษา เมื่อเป็นขึ้นมาเช่นนั้นแล้วเราก็ตายใจนึกว่ามันจะไม่เสื่อม ออกจากนั้นก็รีบมาจะมาให้ทันพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดโนนนิเวศน์ มาท่านผ่านไปได้สองสามวัน ท่านไปเราก็มาถึงนี่ รู้สึกว่าเป็นสมาธิแน่นปึ๋งเลยเทียว นั่นมาจากจักราช

จิตมาเริ่มเสื่อมที่บ้านตาด ทำกลดหลังหนึ่งยังไม่เสร็จ จิตรู้สึกว่าเข้าได้บ้างไม่ได้บ้าง อ้าว ไม่เป็นท่าแล้วนี่ รีบออก ยังเสื่อมตลอดเลย จนกระทั่งหมดเนื้อหมดตัว สิ่งที่ขึ้นมาแทนกันเป็นไฟทั้งกองในหัวอก โถ เป็นทุกข์มากนะจิตเสื่อม ไม่ใช่ของเล่น เป็นในตัวเราเอง เสื่อมลงไปแล้วนี้กว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ปีกับห้าเดือน เสื่อมเดือนพฤศจิกา ไปฟื้นขึ้นมาได้เดือนเมษาปีหน้า นี่ละตกนรกทั้งเป็นตั้งแต่จิตเสื่อมไปถึงเมษาปีหน้า เป็นปีกับห้าเดือน โถ ทุกข์มากจริงๆ นะจิตเสื่อม เหมือนตกนรกทั้งเป็นจริงๆ ไม่ผิดกัน

อะไรๆ มันจะไม่พอใจไม่ดีใจไม่สนใจเลย มีแต่ความเสียใจที่จิตเสื่อมไป นี่ละจิตเพียงข้นสมาธิมีความสุขความแปลกประหลาดขนาดไหน ถึงกับที่ว่าเวลามันเสื่อมไปนี้เป็นไฟเผาตัวเอง คืออยากได้จิตนั้นคืนมา แต่มันไม่คืนละซี ไปนั่งอยู่ที่ไหนเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในนี้ เอามาพิจารณา เสื่อมปีกับห้าเดือน นี่ท่านทั้งหลายฟังนะ นักปฏิบัติถ้าลงได้เจริญแล้วพยายามอย่าให้เสื่อม เราที่เสื่อมนี้เพราะเราไม่รู้จักวิธีรักษา ถ้าหากว่ารู้จักวิธีรักษาจะไม่เสื่อมเลย มาถึงพ่อแม่ครูจารย์ปั๊บก็ขึ้นเลย มันมาเสื่อมนั้นปีห้าเดือน พยายามตั้งสติใส่จุดผู้รู้ ๑๔-๑๕ วันค่อยเจริญขึ้นไป พอเจริญขึ้นไปถึงจุดที่มันเคยเสื่อม อยู่ได้สองคืนเสื่อม เสื่อมอย่างไม่ฟังหน้าฟังหลังอะไรเลย เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดๆ

จึงได้มาทดสอบพิจารณาเจ้าของ มันจะเป็นเพราะเราขาดคำบริกรรมหรือยังไงน้า จิตของเราถึงเจริญแล้วเสื่อม ตั้งสติไว้กับที่จิตมันเสื่อมได้นะ ทีนี้จึงมาพลิกใหม่ ที่พูดนี้เพื่อเป็นคติแก่ผู้บำเพ็ญทั้งหลาย คงจะเป็นเพราะเราไม่ได้ใช้คำบริกรรม ตั้งสติไว้กับความรู้เฉยๆ มันเสื่อมได้ ทีนี้จะเอาแบบนี้ จะเอาคำบริกรรม แต่นิสัยเราติดกับพุทโธดั้งเดิม เอาพุทโธติดปั๊บกับคำบริกรรม เมื่อพิจารณาลงตัวแล้ว เอาจริงนะไม่ได้เหลาะๆ แหละๆ พอลงใจแล้วว่า เอ้า มันบกพร่องอยู่ที่ไม่มีคำบริกรรมติดกับจิต สติมันพรากได้ ทีนี้ให้สติอยู่กับคำบริกรรมจะไม่พราก คำบริกรรมให้ติดกับจิต

เสียสละหมดเรื่องความคิดใดๆ ทั้งหมด เราจะเอาคำบริกรรมกับสติติดอยู่กับใจอย่างเดียวเท่านั้น เอ้า จะเป็นยังไงก็ให้รู้กัน จะเอาจุดนี้ละที่นี่ ยังบกพร่องอยู่จุดนี้ สงสัยอยู่จุดนี้ ลงใจกันที่ว่าเอาคำบริกรรมติดกับจิต แล้วสติติดกับคำบริกรรมไม่ให้เผลอ พอลงใจกันแล้ว นิสัยนี้มันเป็นอย่างนั้น มันเหมือนหินหัก ถ้าลงว่าอะไรขาดสะบั้นไปเลย อันนี้ก็ลงใจแล้วทีนี้เอาละนะ เหมือนหนึ่งว่าระฆังดังเป๋ง ตั้งสตินะนั่น เหมือนหนึ่งว่าระฆังดังเป๋ง นักมวยต่อยกัน อันนี้ระฆังดังเป๋ง คำบริกรรมพุทโธกับสติติดปั๊บเลย เรียกว่าต่อยกันแล้วนั่น ไม่ยอมให้เผลอเลย เอ้า มันจะเป็นยังไงให้รู้กัน

ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่มีเผลอเลยฟังซิ ทุกข์แสนสาหัสนะ เราจึงได้เห็นเรื่องของสังขารที่มันปรุงขึ้นมา สังขารคือกิเลสสมุทัย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา มันส่งออกมาทางสังขาร ทีนี้เมื่อมันไม่ได้ปรุงแล้วก็เหมือนอกจะแตก ไม่ยอมให้เผลอ เอ้า เป็นอะไรให้รู้กัน ตั้งทีแรกตั้งแต่ระฆังดังเป๋งไม่ให้เผลอจริงๆ เป็นยังไงเป็นกัน โลกนี่เหมือนไม่มี มีแต่พุทโธกับสติ เป็นคำบริกรรมติดกับจิต วันแรกเหมือนอกจะแตก จึงได้รู้ชัดว่า สังขารมันดันออกมา นี่ตัวพาให้จิตเสื่อม ให้จิตเจริญคือสติจับ ทีนี้พอเผลอสติมันก็ออกอย่างนี้ละ

เวลามันอยากปรุงจริงๆ นี้ โห เหมือนอกจะแตก ไม่ยอมให้คิด ให้คิดแต่พุทโธซึ่งเป็นความคิดของธรรม ไม่ใช่ความคิดของกิเลส ให้ติดอยู่นั้น ไม่เผลอจริงๆ นะ ว่าไม่ให้เผลอไม่เผลอจริงๆ ตั้งแต่ระฆังดังเป๋งเอาละที่นี่ไม่ให้เผลอเลย ทั้งวันไม่เผลอ กลางคืนตลอด หลับตื่นขึ้นมาจับปั๊บเลยเอาเลย เอา มันจะเป็นยังไง วันแรกเหมือนอกจะแตก คือสังขารกิเลสมันผลักดันออกมา แต่สติบังคับเอาไว้ไม่ให้มันออก เอาคำบริกรรมปิดช่องมันออก ไม่ให้มันออกได้เลย วันแรกหนักมากทีเดียว วันที่สองค่อยเบาลง ความเผลอไม่ให้เผลอเลย อย่างนั้นตลอด ไม่ให้เผลอ ถึงวันที่สามค่อยเบาลงๆ

นี่ละสังเกตตัวเองถึงขนาดนั้น จำได้วันที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สามค่อยเบาลงๆ ก็แน่ละ เอาที่นี่จิตจะเสื่อมหรือเจริญไปไหนให้ไป ไม่เสียดายกับมัน เคยเสียดายมาพอแล้วไม่เกิดผลประโยชน์อะไร สร้างแต่ความทุกข์ให้เรา ความเสียดายเป็นความทุกข์ อยากได้จิตประเภทนั้นกลับคืนมาแต่มันไม่ได้ละซิ ทีนี้จะเอากับพุทโธ พุทโธนี้ไม่ปล่อย สติกับพุทโธไม่ยอมปล่อย เอา เจริญก็เจริญไป เสื่อมก็เสื่อมไป เพราะเคยพอแล้ว ยังไงมันก็ไม่ได้ตามใจเราหรอก ทีนี้เราจะเอากับพุทโธ เสื่อมหรือเจริญจะอยู่กับพุทโธ เอา มันจะตกนรกก็ไปกับพุทโธ ถึงขนาดนั้นนะซัดกัน

พอถึงวันที่สามเบาลง วันแรกนี้เหมือนตกนรกทั้งเป็น วันที่สองเบาลง วันที่สามค่อยเบา แน่ใจว่าถูกต้องละที่นี่ นี่จับติดตลอด ทีนี้จิตก็ค่อยสงบ เมื่อจิตมีธรรมอารักขาคือพุทโธ คำบริกรรมกับสติอารักขาจิต กิเลสก็เกิดไม่ได้ๆ ทีนี้ธรรมก็เกิดได้ๆ จากนั้นก็สงบลง พอสงบลงไปเต็มที่แล้วก็เห็นชัดอีกนะ จากสามวันไปแล้วก็เอาละที่นี่ จิตนี้สงบแน่วๆ เข้าไป สว่างไสวขึ้น สบายขึ้น แน่ใจว่าถูกต้องแล้ว จับติดไม่ปล่อย จนกระทั่งเวลามันเต็มที่แล้ว คำบริกรรมพุทโธๆ นี้ดับนะ นี่จิตเข้าสู่ความละเอียด เพราะคำบริกรรมบีบบังคับไม่ให้กิเลสตัวคิดตัวปรุงทางโลกทางสงสารอะไรก็แล้วแต่เถอะ ไม่ให้มันขึ้น ให้ธรรมขึ้นอย่างเดียวแทน

พอถึงขั้นละเอียดๆ เข้าไป จิตนี้ละเอียดเข้าไปๆ พุทโธตามติดตลอดเวลา ทีนี้เข้าไปถึงละเอียดสุด หยุดคิด ปรุงยังไงก็ไม่ออก พุทโธไม่มีเลย มีแต่สติที่ไปงงในตัวเอง ถึงงงขนาดไหนก็ไม่ยอมให้เผลอ ฟังซิน่ะ เอ๊ ทำไมจิตนี้ติดกันมากับพุทโธๆ ละเอียดเข้าไปถึงขนาดนี้ คราวนี้ทำไมพุทโธไม่มี ปรุงก็ไม่ได้ ไม่มีเลย แต่ความรู้ละเอียดแน่ว เอ้าถ้าหากว่าไม่มีพุทโธ เอา อยู่กับความรู้ สติจับกับความรู้ ปรุงไม่ได้ก็ไม่ต้องปรุง ปรุงพุทโธ บริกรรมไม่ได้ก็ไม่ต้องบริกรรม คือจิตมันหยุดงานแล้ว มันสงบแล้วปรุงไม่ขึ้นนะ เวลามันสงบจริงๆ จิตหยุดงานแล้วปรุงไม่ขึ้นทั้งนั้นแหละ มีแต่ความรู้ที่ละเอียดแน่ว เอาสติจับอยู่นั้น มันจะเป็นยังไงคอยดูอีก

ทีนี้มันถึงกาลเวลา เหมือนเด็กตื่นนอน มันยุบยิบๆ จะถอยขึ้นมา พอมันยุบยิบขึ้นมา ปรุงพุทโธได้ก็เอาพุทโธติดเข้าอีก ทีนี้ก็รู้วิธีปฏิบัติ เวลาเข้าขั้นละเอียดแล้วจิตมันหยุดงาน คำบริกรรมไม่มีเลย มีแต่ความละเอียดของจิต ไม่แสดงกิริยาอะไร คำบริกรรมก็เป็นกิริยา หมด เหลือแต่ความรู้ล้วนๆ พอถอยออกมาเอาพุทโธเข้าอีก ทีนี้จิตก็ค่อยแน่นหนาม่นคงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงที่มันเคยเสื่อม ถึงนั้น เอา เสื่อมไป ไม่เสียดาย แต่อันนี้ไม่ยอมปล่อย พุทโธไม่ยอมปล่อย ขึ้นเรื่อยๆ พอถึงขั้นที่มันเคยเจริญขึ้นไปแล้วเสื่อม ไม่เสื่อม ที่นี่ขึ้นเรื่อยๆ จึงมารู้ได้ว่า อ๋อ นี่จิตเราขาดคำบริกรรมจริงๆ สติขาดตรงนั้น เพราะฉะนั้นจิตจึงมีทางเสื่อมได้ ทีนี้จิตไม่เสื่อม จับติดเลย นี่ละวิธีตั้งจิต

เราทำมันทำจริงนะไม่ได้เหลาะๆ แหละๆ จากนั้นก็ฟัดนั่งตลอดรุ่งเลย เอาเสียจนกระทั่งก้นแตกใครเชื่อไหม นี่ละเราทำขนาดก้นแตก นั่งตลอดรุ่งตั้งแต่ค่ำถึงพรุ่งนี้เช้า นั่งขัดสมาธิอย่างเดียว ไม่ให้พลิกแพลงเปลี่ยนแปลง ไม่มีข้อแม้ ข้อยกเว้นข้อใดไม่มี ยกไว้ข้อเดียว คือเวลานั้นอยู่กับครูบาอาจารย์ เว้นแต่เวลามีเหตุการณ์เกิดขึ้นภายในวัดซึ่งเรากำลังตั้งสัจจอธิษฐานนั่งจะไม่ลุกว่างั้นเถอะน่ะ เว้นข้อหนึ่งคือว่าครูบาอาจารย์เกิดอุบัติเหตุ หรือพระเณรในวัดในวาเกิดอุบัติเหตุขึ้นในเวลานั้น เราจะลุกไปช่วยเหตุการณ์นั้น นอกจากนั้นไม่ให้มี

เอากันถึงขั้นเด็ดขาด เอา ปวดหนักออกเลย คือจะไม่ยอมลุก ขี้แตกกับผ้าเลยพูดง่ายๆ เอาให้มันเต็มยัน เอา ปวดเยี่ยวออกเลย ปวดขี้ออกเลย เจ้าของเองไม่ให้มีข้อแม้ มีข้อแม้ข้อเดียวสำหรับครูบาอาจารย์และพระเณรในวัดเท่านั้น ปีนั้นอยู่นามน ฟาดเสียจนตลอดรุ่ง จิตจึงได้จ้าขึ้นมา ตลอดรุ่งคืนแรกเกิดความอัศจรรย์ โถ ก่อนที่จะได้นั่งตลอดรุ่งจริงๆ ทีแรกไม่ได้ตั้งใจว่าจะนั่งตลอดรุ่ง นั่งไปๆ มันเจ็บนั้นปวดนี้ๆ เข้ามา เอ๊ ยังไง ภาวนายังไม่ถึงไหนทำไมความเจ็บปวดมารบกวนท่านั้นท่านี้ มันยังไงกัน มันยิ่งเจ็บปวดขึ้นเรื่อย ทางนี้มันก็คิดกันอยู่ตลอด

สุดท้ายก็ตั้งท่าใส่กันเลย เอา จะเจ็บปวดขนาดไหน วันนี้จะไม่ลุกจนกระทั่งเป็นวันใหม่ขึ้นมา ตั้งสัจจอธิษฐานในเวลานั้นนะ แต่ก่อนยังไม่ได้ตั้ง เวลาทุกข์มันโหมตัวเข้ามาๆ เหมือนว่าจะสู้มันไม่ได้ สู้ไม่ได้ เอ้า สู้ ฟาดนั่งตลอดรุ่งสู้ เอ้า ตายก็ตายในระยะนี้ ซัดกันเลย นั่นละมันถึงได้เห็นความอัศจรรย์ ทีนี้เวลาทุกข์มากจริงๆ นี้ ยกตัวอย่างเช่นเรานั่งอยู่นี้ ตัวเรานี้เหมือนหัวตอ ทุกขเวทนามันโหมตัวของมันเผาตัวของเราหมดทั้งตัวนี้ เหมือนไฟเผาหัวตอ ทีนี้น้ำดับไฟมันอยู่ภายใน คือสติปัญญา

เวลาเจ็บปวดหนักเข้าๆ เท่าไรสติปัญญามันจะหมุนเป็นธรรมจักรเลย อยู่เฉยๆ ทนเฉยๆ ไม่ถูก อดเฉยๆ ทนเฉยๆ ไม่ถูก ต้องทนด้วยสติปัญญา ทุกข์มากเท่าไรยิ่งหมุนเข้าๆ พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ แยกหนังเนื้อเอ็นกระดูกออกไป อะไรเป็นทุกข์ๆ ถามมาตั้งแต่หนังเนื้อกระดูกเป็นทุกข์ๆ ถาม สรุปลงไปแล้วว่า เหล่านี้ว่าเป็นทุกข์ เวลาตายแล้วเหล่านี้ยังมีอยู่ไหม มีอยู่ แล้วเอาไปเผาไฟเขาว่ายังไง เขาไม่ว่ายังไง เดี๋ยวนี้เป็นไปจากใคร นั่นไล่เข้าไปหาจิต

ไล่เข้าไปๆ สติปัญญาหมุนเข้าๆ ทุกข์ทั้งหลายมันก็โหมของมัน ทางนี้ก็โหมทางนี้ซัดกัน พอพิจารณารอบ พิจารณาจริงๆ แล้วหนังก็ไม่ได้เป็นทุกข์ เนื้อเอ็นกระดูกอวัยวะของเรานี้ไม่มีอะไรเป็นทุกข์ เพราะสิ่งเหล่านี้เวลาตายแล้วยังมีอยู่ เอาไปเผาไฟไม่เห็นมันมีความทุกข์ มันเป็นไปจากอะไร เป็นไปจากจิต จิตไปหมายอะไร ไล่เข้าไป สุดท้ายก็ไปจนตรอกที่จิต จิตเป็นผู้ไปหมาย พอรู้เรื่องของจิตแล้วจิตก็หดตัวเข้ามาสู่ความจริง ทุกขเวทนาดับวูบหมดเลย นี่เราไม่ได้คาดได้คิดนะ เป็นด้วยสติปัญญาหมุนกันในปัจจุบัน จิตลงผึงเลยเทียวนะ

โอ๋ย ที่นี่เห็นแดนอัศจรรย์คืนแรกทีเดียว คุ้มค่ากันกับที่ไฟไหม้หัวตอ ดับหมดเลยนะ เหลือแต่ธรรมชาตินั้น ธรรมชาตินั้นเราจะพูดว่าอะไรไม่ถูกนะ ว่าสักแต่ว่ารู้ คำว่ารู้นั้นคือรู้อัศจรรย์ สักแต่ว่าปรากฏเท่านั้น นอกนั้นไม่มีอะไร จนกระทั่งได้จังหวะมันก็ถอนขึ้นมา ถอนขึ้นมาเอาอีก คืนนั้นรวมได้สามหน สว่างพอดี นี่ละที่ได้รากฐานทีแรก จิตนอกจากไม่เสื่อมแล้วมาขึ้นภาวนาตลอดรุ่ง การนั่งตลอดรุ่งไม่ได้นั่งคืนหนึ่งคืนเดียวนะ นั่งคืนนี้แล้วเว้นเสียสองคืนนั่งอีกทีหนึ่ง หรือเว้นสามคืนนั่งอีกทีหนึ่ง ฟาดตลอดรุ่งๆ ได้ทุกคืน ได้แดนอัศจรรย์อันนี้ทุกคืน เพราะรู้วิธีปฏิบัติแล้ว

จากนั้นมาจนกระทั่งก้นแตก นั่งทีแรกออกร้อนเป็นไฟเลยเทียว ไฟลนก้นเผาก้น พอคืนต่อมานี้จากออกร้อนแล้วมันพอง จากพองมันก็แตก จากแตกมันก็เลอะ เลอะก็ไม่ถอย ถ้ากิเลสไม่แตกไม่ถอย ซัดกันจนก้นแตกก้นเลอะหมด นั่ง ๙ คืน ๑๐ คืนแต่ไม่ได้ติดกัน เว้น ๒ คืนบ้าง ๓ คืนบ้าง นั่งตลอดรุ่งๆ สุดท้ายก้นก็แตก ได้อัศจรรย์ทุกคืนไม่มีพลาด

ขึ้นไปเล่าให้พ่อแม่ครูจารย์ฟังนี้ โห เหมือนแชมเปี้ยนนะ มันรู้มันเห็นจริงๆ ไปกราบเรียนท่านนี่ผึงๆ เลย ท่านทราบทันที อ๋อ บ้าตัวนี้มันรู้แล้ว ท่านคงว่าอย่างนั้นละ บ้าตัวนี้มันรู้แล้ว ดูกิริยาท่านก็รู้นี่จะว่าไง ท่านเป็นอาจารย์ พอทางนี้ขึ้นขึงขังตึงตังท่านก็ดู ที่นี่บ้าตัวนี้มันรู้แล้ว คงว่างั้นละ ท่านก็นิ่งนะ พอเล่าสุดขีดแล้วก็หมอบคอยฟังท่าน ท่านก็ขึ้นผางเลยทันที เรียกว่ารับกันอย่างเต็มเหนี่ยว ปลุกใจให้กำลังใจว่าถูกต้องแล้ว ทีนี้ได้หลักแล้ว เอานะ อัตภาพนี้มันไม่ได้ตายถึง ๕ หน มันตายหนเดียวเท่านั้น เอาละทีนี้ได้หลัก เอาเลยนะ

ทางนี้ก็เหมือนหมาถูกยุ พอยุ ใบไม้สดใบไม้แห้งร่วงหล่นลงมานี้เหมือนข้าศึก ต่อสู้กันเลย ทั้งจะเห่าทั้งจะกัด ซัดอีกๆ ทีนี้เราไม่รู้ตัวนะ คืนไหนได้ทุกคืน ไปทีแรกท่านก็ชมเชยอย่างนั้นละ พอต่อมาท่านก็อ่อนลงๆ ต่อมาท่านนิ่งนะ เรายังไม่รู้ตัว พอขึ้นไปคืนสุดท้ายนี้ พอนั่งปั๊บท่านก็ว่า สารถีฝึกม้า ขึ้นเลยนะ ม้าตัวไหนที่มันคึกมันคะนองมากๆ เขาจะฝึกกันอย่างหนัก ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน แต่การฝึกไม่ถอย จนกระทั่งถึงม้าค่อยลดพยศลง การฝึกของเขาก็ค่อยลดลงๆ  จนกระทั่งถึงว่าม้าใช้งานใช้การได้แล้วไม่พยศอย่างนั้น การฝึกอย่างนั้นเขาก็หยุด เขาก็ปฏิบัติต่อม้าตามธรรมดา เพียงเท่านี้ท่านหยุด เราเข้าใจหมดแล้วนะ

คือจิตเรามันผาดโผนมาก การฝึกจิตดวงนี้ก็เหมือนนายสารถี แต่มันฝึกเลยเถิดเรา จะเอาให้ตาย ฝึกม้า ม้ายอมแล้วก็จะฆ่าให้ตายอีกมันไม่ธรรมดา ไม่ได้ฝึกเพื่อเอาการเอางานกับม้า ม้าหายพยศแล้วยังจะฆ่าม้ากินอีก ท่านพูดเท่านั้นท่านหยุด เรายังเสียดาย อยากให้ท่านย้อนกลับมาหาเราอีก สารถีฝึกม้าเขาฝึกอย่างนั้น ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกเจ้าของฝึกยังไงมันถึงไม่รู้จักประมาณ อยากให้ท่านว่าอย่างนี้แต่ท่านไม่ว่า ตั้งแต่นั้นมาเราก็ไม่ได้นั่งตลอดรุ่งอีกนะ นี่ท่านกระตุก ถ้าจะเลยเถิดท่านกระตุก

ครูบาอาจารย์จึงสำคัญมากนะ นี่เราพูดถึงเรื่องการฝึกทรมาน จิตตั้งแต่นั้นมาตรงแน่วๆ เลย จิตที่เจริญแล้วเสื่อมๆ หมดไปเลย นี่การฝึกตัวเองฝึกอย่างนั้น สติสำคัญมากนะเราได้ทำมาแล้ว เพราะฉะนั้นการสอนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาจึงไม่สงสัยว่าจะผิดไป เพราะเป็นทางที่เราเคยผ่านมาแล้วทั้งนั้น พูดอย่างแม่นยำๆ ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ถูกต้องไปเลย เป็นอย่างนั้นละ

นักภาวนาต้องอยู่กับสติ สติเป็นสำคัญ เราเคยทำมาแล้ว จนกระทั่งตั้งรากตั้งฐานได้แล้วถึงขั้นชุลมุนวุ่นวายฟัดกันกับร่างกาย ตัวอสุภะสำคัญมาก ซัดกันอันนี้เรียกว่าเข้าตะลุมบอน ชุลมุน เอากันเต็มเหนี่ยว ภาระแห่งการภาวนาจุดนี้เป็นจุดที่หนักมาก สำคัญมากทีเดียว แต่เราพูดย่อๆ เอาเลย เป็นภาระที่หนักมากที่สุดในเรื่องรูปกาย สุภะอสุภะเกี่ยวกับกามกิเลส ซัดอันนี้จนเต็มเหนี่ยว พอผ่านนี้ไปแล้วเรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ ในขั้นพิจารณาร่างกายเป็นขั้นชุลมุน จะเรียกว่าอัตโนมัติไม่ได้ มันชุลมุน เหมือนว่ามันเลยไป

ทีนี้พอได้จังหวะอันนี้ผ่านไปแล้ว สติปัญญาฝึกซ้อมเรื่องร่างกายสุภะอสุภะ ฝึกซ้อมเรื่องราคะตัณหากับร่างกายอันนี้ ฝึกซ้อมกัน คือมันได้ระดับแล้วมันฝึกซ้อมให้ชำนาญ ให้ชำนาญๆ เรื่อยไป นี่ละที่นี่เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ อยู่ที่ไหนเป็นเลยๆ เรื่อยๆ ฝึกเรื่อยเป็นเรื่อยๆ ยืนเดินนั่งนอนสติปัญญานี้เป็นอัตโนมัติตลอด นี่ละความเพียรทางธรรมะเมื่อมีกำลังแล้ว ธรรมะฆ่ากิเลสก็เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน เหมือนกับกิเลสทำลายสัตว์โลกเป็นอัตโนมัติของมัน อยู่บนหัวใจสัตว์โลกเป็นอัตโนมัติทั้งนั้น   ไม่ต้องบอกกิเลสเป็นกิเลสวันยังค่ำ แสดงกิริยาใดออกมาเป็นกิเลสทั้งหมด กิเลสมีความชำนิชำนาญมากี่กัปกี่กัลป์แล้วบนหัวใจสัตว์ ทีนี้เวลาธรรมะมีกำลังฆ่ากิเลสก็แบบเดียวกัน

เราก็ไม่เคยคิดแต่ก่อนว่าธรรมนี้จะทำงานฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติ แต่เวลามันขึ้นกับหัวใจนี้มันก็รู้เอง พอผ่านขั้นอสุภะอสุภังราคะตัณหานี้ไปแล้ว ทีนี้เป็นธรรมะที่เรียกว่าอัตโนมัติ ความเพียรก็เป็นอัตโนมัติ สติปัญญาเป็นอัตโนมัติหมุนติ้วๆ นี่เรียกว่าไม่ลงละที่นี่ ขึ้นเรื่อยๆ นี่ความเพียร เรื่องธรรมนี้เวลามีกำลังกล้าแล้วฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน จนกระทั่งกิเลสสิ้นซากไปหมด คำว่ามหาสติมหาปัญญาเป็นเครื่องมือสุดยอดนั้นก็ยุติทันที ไม่ได้บังคับกัน จะให้ไปฆ่าอะไรกิเลสตายแล้ว ก็ยังจะถือปืนจ้อยิงอยู่หรือไง กิเลสตายไปแล้วเขาก็ปล่อยมือเท่านั้น กิเลสตายไปแล้วสติปัญญาก็ลดตัวลงเอง อยู่ในหลักธรรมชาติพอดี

การฝึกปัญญาให้มันเห็นกับเจ้าของ ไม่ต้องไปถามใคร พูดได้อย่างฉะฉาน เพราะมันเป็นอยู่กับใจๆ นี้ ฆ่ากิเลสหมดแล้วมันก็หมด ไม่มีกิเลสตัวใดที่จะมาดีดมาดิ้นให้มีความเอะใจว่า เอ๊ะ กิเลสกูก็นึกว่ามึงขาดสะบั้นไปแล้วตั้งแต่วันนั้นแล้ว มึงยังโผล่หน้ามาได้ยังไงไม่มี เรียกว่าเรียบไปเลย พากันจำเอานะ วันนี้มีเด็ดทั้งสอง ก่อนจังหันก็เด็ด มาคราวนี้ก็มาเด็ดอีกอันหนึ่ง ให้พากันพิจารณา เอาละพอ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก