เทศน์อบรมฆราวาส
ณ บริษัท เรนโบว์ อโรคยา
เรือนธรรมวารี ต.หัวไทร อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา
เมื่อเย็นวันที่ ๒๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
แนวทางแห่งธรรมเป็นแนวทางที่ให้รู้เห็นสิ่งที่มี
คุณวิชาดารวมญาติๆ เป็นองค์การสำคัญที่ตั้งฐานนี้ขึ้นมา เพื่อการบำเพ็ญคุณงามความดี สถานที่ใดมีธรรมะ มีที่อบรม สถานที่นั่นเป็นสถานที่ให้ความสงบร่มเย็นได้ แต่สถานที่ใดไม่มีแล้วโลกนี้กว้างแสนกว้างมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้อยู่ในหัวอก แล้วทำร่างกายให้ดีดให้ดิ้นตลอดเวลาทั่วหน้ากันหมด ถ้ามีธรรมแล้วมีที่ยับยั้ง ถ้ารถแล้วมีเบรกห้าล้อ แล้วมีคันเร่งหมุนไปตามสัมมาอาชีวะ ความถูกต้องดีงามในการประกอบหน้าที่การงานของตนๆ ด้วยธรรมเป็นผู้นำ
นี่ละถ้าธรรมนำแล้วราบรื่นดีงาม ไปทางโลกก็ไม่กระทบกระเทือนซึ่งกันและกัน โดยเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวและกระทบกระเทือนผู้อื่น ถ้าเรื่องธรรมแล้วมองดูใจเขาใจเราไปพร้อมๆ กัน เพราะโลกอันนี้อยู่ได้ด้วยหัวใจ ต้องมองดูใจ มนุษย์เราเป็นสัตว์ที่ฉลาด มีใจฉลาดต้องส่งออกด้วยความฉลาดแห่งธรรม เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน เก็บความรู้สึกไว้ดี ไม่ปากเปราะ ไปที่ไหนก็ร่มเย็น
วันนี้ท่านทั้งหลายก็มาจากที่ต่างๆ สำหรับบำเพ็ญธรรม ฟังเสียงอรรถเสียง เสียงอรรถเสียงธรรมนี้นานๆจะได้ฟังทีหนึ่งๆ แต่เสียงระบำรำโป๊นั้นมีอยู่ทั่วๆไป แม้แต่เด็กมันก็ร้องได้ร้องเพลง ระบำรำโป๊อะไรลูกทุ่งลูกกรุงมันว่าได้ทั้งนั้น แต่พอให้ว่าเรื่องอรรถเรื่องธรรมนี่ฟังเสียงกรนดังครอกๆมาพร้อมๆ กัน นี่มันจึงไม่ทันกันระหว่างกิเลสกับธรรม
เรามาเห็นสถานที่นี่ก็รู้สึกว่าราบรื่นทุกสิ่งทุกอย่าง เหมาะสมกับสถานที่บำเพ็ญอรรถธรรม ให้ความสงบร่มเย็นเข้าสู่ใจ ถ้ามีธรรมเข้าสู่ใจแล้วจะมีความสงบร่มเย็นอยู่ภายในตัวของเรานั้นแหละ ฐานะสูงต่ำยศถาบรรดาศักดิ์ไม่สำคัญ สำคัญที่มีธรรมในใจ หรือไม่มี ถ้ามีธรรมในใจมากน้อยฐานะใดก็มีความสงบร่มเย็นไปตามๆกัน ถ้าไม่มีธรรมเสียอย่างเดียว ไม่ว่าฐานะใดจะเป็นฟืนเป็นไฟเดือดร้อนตลอดเวลาเช่นเดียวกันและทั่วโลกดินแดนด้วย หาความสงบสุขไม่ได้
นี้เราเกิดมาในท่ามกลางพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาของศาสดาองค์เอก เป็นผู้บริสุทธิ์พุทโธเต็มที่แล้ว นำธรรมที่เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วมาสั่งสอนสัตว์โลก เราทั้งหลายก็อยู่ในข่ายแห่งพุทธบริษัทที่จะได้รับอรรถรับธรรมแล้วนำไปประพฤติปฏิบัติ ดัดกาย วาจา ใจ ความประพฤติหน้าที่การงานของตนให้ดียิ่งขึ้นๆ ไม่ใช่ทำให้เสื่อมลงทั้งภายนอกทั้งตัวเองก็เสื่อมลง ใช้ไม่ได้ คำว่าเสื่อมภายนอกก็คือการกระทำความผิดจากเรานี่ละ ภายนอกก็เสียหาย ภายในก็เป็นฟืนเป็นไฟ หาความสงบร่มเย็นไม่ได้ ท่านจึงสอนธรรมไว้เพื่อโลกทั้งหลาย พระพุทธเจ้าสอนโลกสอนทั้งสามโลก กามโรค รูปโรค อรูปโรค ท่านทรงสอนไว้หมด เราก็อยู่ในแหล่งแห่งความเป็นลูกศิษย์ตถาคต ได้มีการอบรมศีลธรรมเข้าสู่ใจบ้างเหมาะสมแล้ว
เรื่องใหญ่โตที่สุดอยู่กับใจ ขอให้ท่านทั้งหลายระลึกไว้อย่าได้ลืม อะไรจะใหญ่โตขนาดไหน โลกนี้กว้างแสนกว้างขนาดไหนไม่ได้ใหญ่โตยิ่งกว่าใจ ใจเป็นจุดรับรองความสุขและความทุกข์ ความสงบร่มเย็นและความวุ่นวายทั้งหลายออกจากใจเป็นผู้บ่งการ ใจจึงควรได้รับความสงบร่มเย็นในบางครั้งบางเวลา เช่นท่านสอนให้นั่งภาวนา สอนให้นั่งภาวนาก็คือสอนให้ดูใจของตน ซึ่งมันคึกมันคะนอง เป็นฟืนเป็นไฟอยู่ทั้งหญิงทั้งชายไม่เลือกเพศเลือกวัย เป็นมาตลอด
ท่านสอนให้ภาวนาก็คือให้หยั่งสติเข้าไป ดูความเคลื่อนไหว จะออกจากใจทั้งนั้นละ ใจนี้มันเปิดเครื่องตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ไม่มีเวลาดับเครื่องได้เลย ต้องอาศัยความหลับมนุษย์เรา ที่ไม่มีธรรมในใจเลย แต่ผู้ที่มีธรรมในใจ ให้ระงับดับมันด้วยจิตตภาวนา จิตส่องเข้าไปดูความวุ่นวายของตัวซึ่งมันพุ่ง พุ่งขึ้นมา ตั้งแต่ตื่นนอน ความคิดความปรุงนั่นแหละพาให้ยุ่งเหยิงวุ่นวาย คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ คิดไม่หยุดไม่ถอย และสร้างตั้งแต่ความทุกข์ความทรมานเข้าสู่ใจของตนเอง โดยไม่มีน้ำดับไฟ คือทำความสงบจิตใจของตนด้วยจิตตภาวนาบ้างเลย
ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงวันตายหาบหามตั้งแต่กองทุกข์กันทั้งนั้นแหละ ถ้าผู้มีจิตตภาวนาบำเพ็ญจิตให้มีความสงบร่มเย็นเป็นบางกาลบางเวล่ำเวลา ผู้นั้นจะพอยับยั้งตั้งตัวได้บ้าง เช่น ประกอบหน้าที่การงานอย่างอื่นใดที่เป็นความจำเป็น ถึงวาระที่ควรจะระงับดับเครื่องความวุ่นวายภายในใจเราก็ดับด้วยจิตตภาวนา การอบรมจิตตภาวนานี้ท่านบอกไว้หลายวิธี เบื้องต้นไม่พ้นที่จะใช้คำบริกรรมติดกับใจ คำบริกรรมนั้นเราจะเอาธรรมบทใดตามจริตนิสัยชอบของเราก็เอามาได้
เช่นพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ หรืออานาปานสติ หรือมรณัสสติก็ได้ ตามแต่อารมณ์อัธยาศัยเราชอบในธรรมบทใด ให้นำธรรมบทนั้นเข้ามาบริกรรมภายในใจ แล้วมีสติบังคับบัญชาคำบริกรรมนั้น อย่าให้เผลอไผลไปไหน ให้อยู่กับจิต จิตที่มันกำลังว้าวุ่นขุ่นมัวนั้นจะสงบลงด้วยคำบริกรรมของธรรม โดยมีสติเป็นเครื่องกำกับรักษา ตามธรรมดาจิตเราไม่มีการรักษา มีแต่ถูกทำลายอยู่เรื่อยๆ ด้วยกิเลสตัณหามันถีบมันยันมันเตะทุกแบบทุกฉบับ
เพราะฉะนั้นโลกจึงได้รับความเดือดร้อนอยู่ที่หัวใจ ไม่ได้เดือดร้อนที่ต้นไม้ภูเขาฟ้าแดดดินลมที่ไหนละ แม่น้ำมหาสมุทรกว้างแสนกว้างไม่มีความเดือดร้อน มันเดือดร้อนอยู่ที่ใจของมนุษย์เรา ทีนี้เมื่อเวลาอบรมให้จิตมีความสงบแล้วทีนี้ความชุ่มเย็นก็มารวมอยู่ที่จิตใจ ใจจึงเป็นเรื่องใหญ่โตมากทั้งด้านความผิดและด้านความถูก จึงต้องได้มีการอบรมกัน ท่านสอนให้ภาวนา เช่นคำบริกรรม เรานึกคำบริกรรม เช่นพุทโธๆ เป็นต้น อยู่กับใจ แล้วมีสติเป็นเครื่องกำกับรักษา ไม่ให้เผลอไปไหน เวลานี้ให้มีแต่จิตทำงานเพื่อธรรม จิตทำงานโดยธรรมโดยถ่ายเดียว คือคำบริกรรมกับสติตั้งหน้าตั้งตารักษาอยู่นั้น
ความคิดความปรุงที่เป็นมามากน้อยให้ปัดออกให้หมด เพราะความคิดเหล่านี้คิดมาตั้งแต่วันตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร ความคิดทางด้านอรรถด้านธรรม เช่นคำบริกรรมเข้ามากำกับใจโดยมีสติรักษานี้ เป็นความคิดที่สร้างอรรถสร้างธรรม สร้างความสงบร่มเย็นขึ้นแก่ตัวของเราเอง ให้พากันภาวนาอย่างนี้ ถ้าท่านทั้งหลายอยากเห็นความอัศจรรย์ ในโลกนี้จะไปหาความอัศจรรย์ที่ไหนไม่มี ตายทิ้งเปล่าๆ หาความเลวร้ายทั้งหลาย ความทุกข์ทั้งหลายก็ไม่มีเช่นเดียวกัน มันมามีอยู่ที่หัวใจสัตว์โลกนี่แหละ
เฉพาะอย่างยิ่งหัวใจชาวพุทธเรา ให้ดูหัวใจตนเอง ระงับความคิดทั้งหลายหมด ให้มีแต่วามคิดที่สร้างธรรมมาสู่ใจของตนเอง เช่นคำบริกรรมพุทโธๆเป็นต้น มีสติกำกับรักษาอยู่นี้ ทำประหนึ่งว่าเหมือนโลกไม่มี มีแต่ความคิดว่าพุทโธๆ แล้วมีสติกำกับรักษาอยู่นั้น จิตเมื่อได้รับการบำรุงรักษาอยู่จะค่อยหยั่งเข้าสู่ความสงบ สงบเรื่อยๆ ขอให้สติกับคำบริกรรมติดกับจิตเถิด ความสงบไม่ต้องถามละ ทำงานอันนี้ให้เน้นหนัก เรื่องความสุขความสงบเย็นใจเป็นผลของการบังคับบัญชางานของเราด้วยดีนี้ทั้งนั้น เราบังคับให้ดี
เมื่อบริกรรมให้ติดกันไม่ให้คิดไปเรื่องใดเลย แล้วจิตจะค่อยสงบลงๆ แล้วเย็นไปหมด ต่อจากนั้นก็แสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาภายในใจของเรา โลกกว้างแสนกว้างไม่ได้แสดง แสดงขึ้นที่ใจของนักภาวนา ความแปลกประหลาดอัศจรรย์จะเกิดขึ้นที่ใจของเรา อย่าไปหาความสุขที่ไหนมาก เป็นความผิดพลาดเสียมากต่อมาก ให้หาความสุขจากการอบรมจิตใจให้มีความสงบ อย่าคิดฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมตลอดเวลา หาสาระไม่ได้
ให้คิดอยู่กับพุทโธ เอาๆ ดูซิพุทโธเป็นอย่างไร เราจะกำหนดไว้สักกี่นาที แล้วแต่เราจะกำหนด ไม่กำหนดก็ฟัดกันไปเรื่อยๆเลย อย่างที่กิเลสมันทำลายหัวใจสัตว์โลก มันไม่ได้กำหนดเวล่ำเวลาหน้าที่อะไร มันก็ทำลายได้ตลอด โลกก็วุ่นวายไปตามมันได้ตลอดเช่นเดียวกัน ทีนี้เวลาเราฝึกหัดจิตใจของเราให้สู่ความสงบด้วยคำบริกรรมของเรา เราก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน มีสติกำกับรักษา แล้วจิตใจจะค่อยสงบเย็นลงๆ ในใจ นี่ละใจมีธรรมรักษา กิเลสไม่ใช่รักษา กิเลสมาก่อกวน มาบีบบี้สีไฟต่างหาก ส่วนธรรมเป็นเครื่องรักษาพยุงใจให้มีความสงบร่มเย็นเป็นลำดับลำดาไป นี่เรียกว่าภาวนา
มีสติอยู่กับคำบริกรรม สติเป็นสำคัญมากนะ ถ้าเผลอสติไปนิดก็ขาดความเพียรไปแล้ว เพราะฉะนั้นสติจึงต้องกำกับงานของตน แล้วจะแสดงผลเป็นความสงบร่มเย็นขึ้นมา เย็นขึ้นมา เย็นขึ้นมา จากนั้นทำไม่หยุดไม่ถอยทำอยู่ทุกวี่ทุกวันใจก็ได้รับการบำรุงรักษาอยู่ตลอดมานี้ ย่อมมีความเจริญขึ้นเรื่อยๆ เจริญขึ้นด้วยความสุขความสงบเย็นใจ เจริญขึ้นไปจนกระทั่งเป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นในหัวใจเจ้าของนี้เอง แต่ก่อนที่เราไม่เคยภาวนาไม่ทราบว่าความแปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่ที่ไหน ไม่มี แต่ไขว่คว้ากันทั้งโลกนั่นแหละ
ไขว่คว้าหาความสุขความเจริญความสมหวัง มันไม่เจอ เพราะกิเลสพาไขว่คว้ามันก็มีแต่ฟืนแต่ไฟ สุดแล้วก็มานอนมือเกยหน้าผากด้วยความผิดหวังเท่านั้นเอง ไม่เกิดประโยชน์อะไร เราเอาพุทโธ เราเอามือเกยหน้าผากด้วยความผิดหวังดูซิ ไม่มีในธรรมพระพุทธเจ้า ถ้าลงทำถึงขนาดนั้นแล้วเราจะอยู่ด้วยความปีติยินดี สงบเย็นภายในตัว ปลื้มปีติภายในใจตลอดเวลา นี่การฝึกฝนอบรมจิตทางด้านจิตตภาวนาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
ทุกข์ทั้งมวลในสามแดนโลกธาตุนี้จะมาดับลงที่จิต ด้วยอำนาจของจิตตภาวนานี้แล อะไรจะมาดับทุกข์ในหัวใจสัตว์โลกนี้ไม่มี มีแต่ธรรมเท่านั้น ธรรมก็เป็นธรรมอันเลิศเลอจากศาสดาองค์เอกด้วย เรานำมาประกอบ กิเลสก็เป็นกิเลสหน้าเก่านั้นแหละที่มันบีบบี้สีไฟเราอยู่นี้ ธรรมก็ได้ธรรมมาจากไหน ธรรมนี้เป็นธรรมมีมาดั้งเดิม เอส ธมฺโม สนนฺตโน เป็นธรรมพื้นฐานที่จะระงับดับกิเลสได้โดยลำดับตลอดมา จนกระทั่งดับได้โดยสิ้นเชิง ก็เพราะธรรมนี้เท่านั้น ธรรมจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก
ท่านทั้งหลายอยากเห็นความสุขความสงบเย็นใจให้พากันตั้งหน้าภาวนานะ เวลาว่างจากงานของโลกให้หมุนเข้าสู่งานด้านธรรมะ รักษาใจของตนให้มีความสงบร่มเย็นด้วยจิตตภาวนา แล้วใจจะปรากฏความสงบร่มเย็นขึ้นมาโดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงความอัศจรรย์ จะไม่เกิดในสถานที่ใด จะเกิดขึ้นจากใจของนักภาวนานี้โดยถ่ายเดียวเท่านั้น แล้วความทุกข์ก็เกิดจากกิเลสที่อยู่ภายในใจของเรา มันมีอำนาจมากพาให้คิดให้ปรุงให้ยุ่งเหยิงวุ่นวายตลอด ไม่มีเวล่ำเวลา ถ้ากิเลสพาไปแล้วไม่มีเวลา หมุนติ้วๆ เป็นฟืนเป็นไฟไปตลอด
ธรรมจึงต้องหักห้ามเข้ามาด้วยจิตตภาวนา ให้มีความสงบเย็นใจ ความสงบเย็นใจนี้มีหลายขั้นหลายภูมิ เหมือนกับเด็กพอเกิดมาทีแรกเราก็เห็นแล้ว ตกคลอดออกมาทีแรกเป็นอย่างไร เมื่อเด็กได้รับการบำรุงรักษาตลอดเวลาค่อยเติบโตขึ้นมา ก็เป็นผู้ใหญ่เหมือนเราๆท่านๆนี้แหละ เป็นมาจากการบำรุงรักษาตั้งแต่เป็นเด็ก อันนี้จิตใจเวลานี้มันกำลังเป็นเด็กอยู่ สะเปะสะปะ ไม่รู้ผิดรู้ถูกรู้ดีรู้ชั่ว เหมือนกับเด็กสะเปะสะปะตามภาษาของเด็กนั้นแหละ
ใจของเราที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวก็สะเปะสะปะตามใจที่ไม่มีสติสตัง ไม่มีธรรมคุ้มครองรักษา มีแต่กิเลสถูไถไปมาบีบบี้สีไฟอยู่ตลอด แล้วก็สะเปะสะปะๆ หาความยุติไม่ได้ เพราะงั้นจึงต้องเอาคำบริกรรมภาวนาเข้ามายุติ ให้เห็นเหตุเห็นผลจากใจ ใจนี้เป็นมหาเหตุ กิเลสก็เป็นตัวใหญ่โตครอบโลกธาตุได้ในหัวใจของคนและสัตว์ตัวหนึ่งๆ และธรรมก็ครอบโลกธาตุได้เช่นเดียวกัน เมื่อนำธรรมเข้ามากำกับรักษาใจด้วยความมีสติ สตังอยู่แล้ว ใจจะได้รับความสงบร่มเย็นมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยลำดับๆ
สิ่งที่เราไม่เคยรู้เคยเห็นจากการอบรมภาวนาไม่หยุดไม่ถอย รู้ไม่หยุดไม่ถอยก็กว้างออกไป กว้างออกไป ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าบาปมีก็ดี บุญมีก็ดี นรกมีก็ดี สวรรค์-พรหมโลกมีก็ดี เปรตผีประเภทต่างๆมีก็ดี จะไม่พ้นจากความรู้ของนักจิตตภาวนานี้ไปได้เลย มันจะค่อยกระจายออกไป กระจายออกไป เพราะแนวทางแห่งธรรมเป็นแนวทางที่จะให้รู้ให้เห็นสิ่งที่มีอยู่ทั้งนั้น สิ่งที่ไม่มีพระพุทธเจ้าไม่สอนให้เสาะแสวงหา ท่านสอนให้เสาะแสวงหาสิ่งที่มี นี่ละให้ดูตัวมหาเหตุคือใจของเรา
เมื่อจิตค่อยมีความสงบลง ความรู้แปลกๆต่างๆภายในหัวใจของเรานี้จะออกแสดง ออกแสดงไปเรื่อยๆ ตามจริตนิสัยกว้างแคบลึกตื้นหยาบละเอียดแห่งสภาวธรรมทั้งหลาย มันมีอย่างไรเป็นอย่างไรมันจะค่อยรู้ไปตามนั้นเรื่อยๆ ไป รู้ตรงไหนสะดุดใจ รู้ตรงไหนสะดุดใจ เพราะแต่ก่อนเราไม่เคยภาวนา ไม่เคยรู้เคยเห็นสิ่งเหล่านี้ แต่เวลานี้เรามาภาวนา นอกจากจิตมีความสงบร่มเย็น จิตแปลกประหลาดอัศจรรย์ภายในตัวแล้ว ยังแสดงแสงสว่างออกไปภายนอก นอกจากใจนี้เจอจนได้
ทีนี้จนมายอมรับตัวเองว่าบาปมีหรือไม่มี กระเทือนขึ้นกับใจปั๊บรู้ทันที มีแล้วนี่บาปมีอยู่ที่นี่ คิดเรื่องบาปเป็นบาป คิดเรื่องบุญเป็นบุญ บาปมีบุญมีอยู่ที่นี่ ด้วยจิตตภานานะรู้ชัด ยอมรับกัน บาปมีบุญมี ยอมรับที่ใจของนักภาวนานี้ก่อน จากนั้นนรก-สวรรค์มีหรือไม่มี ทีนี้มันก็ส่งออกไปกระจายออกไป กระจายออกไป ไปที่ไหนมีอยู่แล้ว เพราะสิ่งเหล่านี้มีมาดั้งเดิมตั้งกัปตั้งกัลป์ พระพุทธเจ้าทั้งหลายมาแสดงธรรมสอนโลก ก็นำสิ่งที่ทรงรู้ทรงเห็นเหล่านี้แลมาแสดง ท่านไม่ได้มาอุตริอะไรแบบกำดำกำขาวมาสอนโลก ไม่มีสำหรับธรรมพระพุทธเจ้า เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วทั้งนั้น ออกมาจากศาสดาองค์เอก คือไม่มีสิ่งใดจะเสมอเหมือน
นี่ธรรมที่แสดงออกมาให้เราปฏิบัติตาม มันจะตามรู้ตามเห็นตามทางของศาสดาที่สอนไว้นั้นแล ด้วยอำนาจวาสนาของเรา ลึกตื้นหยาบละเอียดมันจะรู้ไปตามนิสัยวาสนาของตนจากการภาวนานี้แล ทีนี้จะปฏิเสธได้อย่างไร บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก เมื่อใจเป็นผู้สัมผัสสัมพันธ์เอง รู้เห็นเอง ประจักษ์ตัวเองแล้วจะไปสงสัยที่ไหน พระพุทธเจ้าทรงทราบทรงรู้สิ่งเหล่านี้ด้วยความประจักษ์พระทัยแล้ว จึงนำมาสอนโลกด้วยของมีอยู่ทั้งหลายเหล่านี้
เราปฏิบัติเมื่อควรที่จะรู้จะเห็นสิ่งเหล่านี้มันปิดไม่อยู่นะ ปิดไม่ได้แหละ ขอให้ภาวนา เบื้องต้นขอให้จิตมีความสงบร่มเย็น อย่าไปสนใจสิ่งภายนอก เช่นพวกเปรตพวกผีสัตว์นรกอเวจีมาก อันนั้นเป็นผลที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากอำนาจวาสนาของเราที่อบรมจิตใจของเรามีหลักเกณฑ์เรียบร้อยแล้ว มันจะรู้จะเห็นไปตามนิสัยวาสนาของตนนั้นแหละ จะรู้หรือไม่รู้ก็ตามอย่าถือเป็นกังวล สิ่งที่เราจดจ่อต่อเนื่องกันเป็นลำดับคือทำใจให้สงบด้วยจิตตภาวนา นี้เป็นรากฐานสำคัญมากทีเดียว
เมื่อทำจิตของเราให้มีความสงบมากเข้าไป ฐานของเราแน่นหนามั่นคง กิ่งก้านสาขาดอกใบที่เกิดขึ้นจากความสงบแน่นหนามั่นคงนี้จะกระจายออกไป ให้รู้นั้นเห็นสิ่งนี้ มันค่อยรู้ไปเห็นไปของมัน เบื้องต้นให้ใช้จิตตภาวนานี้เป็นสำคัญ ความสงบเป็นพื้นฐานสำคัญเบื้องต้น จากนั้นความสงบนี้จะกระจายออกไปเป็นความแน่นหนามั่นคงภายในตัวเอง ประหนึ่งว่าเป็นภูเขาทั้งลูกภายในใจของเรา ไม่หวั่นไหวกับอะไรง่ายๆ เพียงขั้นนี้ก็พออยู่พอกินแล้ว ท่านเรียกว่าสมาธิ
จิตที่เป็นสมาธิเป็นจิตที่แน่นหนามั่นคง ไม่วอกแวกคลอนแคลนกับสิ่งยั่วยวนทั้งหลายอย่างง่ายดาย นี่เป็นจิตขั้นหนึ่ง แล้วนำจิตขั้นนี้กระจายออกไปพิจารณา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะอสุภัง ภายในร่างกายของเราของเขาให้แตกกระจัดกระจายออกไป ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนตลอดมานั่นแหละ ให้พากันจำเอานะ เวลาออกทางด้านปัญญาพิจารณาทางสกลกาย นี่สอนเพื่อเบิกทางให้ถึงซึ่งพระนิพพานสดๆร้อนๆในตัวของเรานะ
ทีนี้มันจะแตกกระจายออกไป แขนงของความรู้นี้จะออกรู้สิ่งต่างๆนานาไป ภายในก็พิจารณาร่างกายเป็นฐานสำคัญ สำหรับผู้ที่จะให้หลุดพ้นจากทุกข์ต้องถือกาย คตาสติเป็นสำคัญมาก พิจารณาเรื่องสกลกายทั้งเขาทั้งเรา มุ่งมั่นจะเอาให้หลุดพ้นจากทุกข์ จะไม่หนีจากสกลกาย นี่คือภูเขาภูเราอยู่ตรงนี้ มันยึดมันถือในสิ่งนี้ เราพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ พวกหนัง พวกเนื้อ พวกเอ็น พวกกระดูก ตับ ไต ไส้ พุง ภายนอกภายใน นี้เอามาดู มันเป็นอย่างไร มันติดมันพันหาอะไร พิจารณา ดูอะไรก็มีแต่ธรรมชาติอย่างนั้นที่น่าปล่อยวางน่าเบื่อหน่าย ไม่น่าที่จะยึดถือเอาไว้ นี่ละปัญญาเข้าตรงไหนมันปล่อยวางๆ เรื่อยๆ ไป
เรื่องการพิจารณา ผู้ที่พิจารณาสกลกายมากเท่าไรผู้นี้จะมีกำลังใจมากทีเดียว ทางด้านปัญญา สอนผู้ที่จะตั้งหน้าตั้งตาให้หลุดพ้นในปัจจุบันนี้จึงย้ำลงที่กายคตาสติ กายคตาสตินี้การพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์-สกลกายทุกสัดทุกส่วนออกดูให้เห็นตามความเป็นจริงของมัน แล้วดูตรงไหนเมื่อเห็นตามเป็นจริงแล้วมันก็ปล่อยวางๆ ดูจนกระทั่งมีความชำนิชำนาญ พิจารณาจนมีความชำนิชำนาญ เมื่อมันมีชำนิชำนาญจริงๆแล้วมองไปที่ไหนเราพิจารณาอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้น
ดูร่างกายของตัวเองเป็นกองกระดูก ดูร่างกายของตัวเองเป็นเนื้อเป็นหนังแดงโล่ไปหมด มันมองข้างนอกมันก็แบบเดียวกัน กระจายออกไป กระจายออกไป จนกระทั่งมันพอแล้วทีนี้มันปล่อย เรื่องสกลกายนี้ปล่อย เพราะชำนาญแล้วเกี่ยวกับการพิจารณาอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตาของร่างกาย จิตใจอิ่มพอปล่อย ถึงขั้นที่ปล่อย ปล่อย ร่างกายที่เคยพิจารณานี้ปล่อย จากนั้นฝึกซ้อมที่ล่างๆ ของอสุภะอสุภังที่มันละเอียดลงไป ย้ำเข้าไปจนกระทั่งจิตใจว่างไปหมด นั่น
นี่คือผู้พิจารณาที่จะให้หลุดพ้นจากทุกข์ ต้องย้ำทางสกลกายให้มากทีเดียว เมื่อพิจารณามากเท่าไรจิตใจก็ย่อมดูดดื่ม ยิ่งดูดดื่มเรื่อยไปๆ เอาจนกระทั่งถึงปล่อยวางได้โดยสิ้นเชิงสำหรับร่างกาย ไม่พิจารณา อิ่มแล้วก็ทราบว่าอิ่มแล้ว ทีนี้มันก็พิจารณาเรื่องของนามธรรม เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นส่วนละเอียดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าถึงจิตๆ นี่เรื่องของปัญญา สำหรับท่านผู้พิจารณาเพื่อความพ้นทุกข์ ให้เห็นความหลุดพ้นของใจอย่างเด็ดขาดในปัจจุบันที่เรามีชีวิตอยู่นี้ให้พิจารณาอย่างนี้
พระพุทธเจ้าไม่สาย ไม่ครึไม่ล้าสมัย เป็นปัจจุบันธรรมอยู่ตลอดเวลา ธรรมก็ไม่มีอดีต-อนาคต เป็นปัจจุบันธรรม แก้กิเลสได้โดยลำดับเช่นเดียวกันกับครั้งพุทธกาล เมื่อเราพิจารณาตามนี้แล้วเป็นวิธีการแก้กิเลส มันจะผูกมันตนด้วยการพิจารณาอย่างนี้ได้อย่างไร มันก็ต้องแก้ต้องถอดต้องถอนเป็นลำดับลำดา แต่ขั้นพิจารณาเรื่องร่างกายนี้หนักมากอยู่นะ สอนให้ท่านนักปฏิบัติทั้งหลายได้เข้าใจ อันนี้ละแหล่งหมุนของโลกธาตุ เกิดแก่เจ็บตายอยู่แหล่งร่างกาย
พิจารณาอันนี้แตกกระจัดกระจายลงไปแล้ว พออันนี้หมดโดยสิ้นเชิงแล้วความเป็นห่วงในวัฏวนที่จะมาเกิดแก่เจ็บตายอันนี้มันแทบจะไม่มี เบามากๆ หมุนเข้าไปในนามธรรม หมุนเข้าถึงจิต จิตใจว่างเปล่าไปหมดจากวัตถุต่างๆทั่วแดนโลกธาตุ มันว่างไปหมด ว่างไปหมด พิจารณาเข้าไปจิตใจสง่างามเท่าไร มีความสว่างกระจ่างแจ้งขนาดไหน แล้วความว่างมันก็ตีกระจายออกไปเช่นเดียวกัน สุดท้ายใจนี้ว่างไปหมด นั่น เมื่อพ้นจากการพิจารณารูปนี้แล้วใจก็ว่างไปหมด
จากนั้นก็พิจารณาตามนามธรรม ความคิดความปรุงที่เกิดมาจากจิต สัญญาอารมณ์เกิดมาจากจิต เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ ทั้งดีทั้งชั่วเกิดดับทั้งนั้น พิจารณาย้อนไปย้อนมา นี่เราสรุปความให้ท่านนักปฏิบัติทั้งหลายเข้าใจวิธีปฏิบัติ นี่สดๆร้อนๆ ไม่ผิด พิจารณาเข้าไปมันก็ไปหารากใหญ่คืออวิชชานั่นแหละ ย้อนหน้าย้อนหลังมันหมดการพิจารณา อะไรกว้างแคบมันหมด มันอิ่มพอหมดแล้วมันถอนตัวเข้ามาเองนะ ไม่เอา มันสัมผัสสัมพันธ์อยู่ตรงไหนก็คือนามธรรม ที่เกิดดับพร้อมอยู่ภายในจิตใจ เกิดแล้วดับ คิดดีก็ดับ คิดชั่วก็ดับ คิดอะไรๆ มีแต่เกิดดับๆ มันก็มีเท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรที่เลิศเลอยิ่งกว่านี้
นี่ละจิต ตามเข้าไป ตามเข้าไปก็ไปหาจิตตอวิชชานั่นแหละจะไปไหน เพราะอวิชชานี่ตัวสำคัญ ฆ่าบริษัทบริวารอันใหญ่หลวงมันได้แล้ว คือได้แก่อสุภะอสุภัง สกลกายที่พาให้เกิดให้ตายตลอดมานี้ ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ผู้นี้เรียกว่าตั้งฐานใหม่แล้ว จะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว แม้กิเลสยังไม่สิ้นก็ตาม จะไม่กลับมาเกิด เช่นพระอนาคามี ท่านสิ้นสิ่งเหล่านี้ไปหมดแล้ว แต่กิเลสยังมีอยู่ในใจ ท่านก็ยิ่งบึกบึนหนักเข้าทุกวันๆ นี่เป็นนามธรรม สุดท้ายก็พุ่งทะลุถึงอวิชชาดับขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจ
ถามหาพระพุทธเจ้าหาอะไร พระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างไร มันก็รู้ขึ้นภายในใจ ธรรมแท้คืออย่างนี้ที่รู้ขึ้นมานี้ ธรรมเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้า-พระธรรม-พระสงฆ์รวมมาเป็นอันเดียวกัน เป็นธรรมแท่งเดียวกัน คืออันนี้เอง เวลาถึงขั้นรู้แล้วเป็นอย่างนั้น นี่ละจากจิตตภาวนา ผู้ที่ฝึกฝนอบรมจิตตภาวนาเพื่อความพ้นทุกข์ให้เดินตามแถวนี้ไม่ผิด การเทศนาว่าการสอนพี่น้องทั้งหลายไม่ว่าธรรมขั้นใดเราสอนด้วยความเป็นจริงที่รู้ที่เห็นภายในจิตใจ นำมาสอนจึงไม่ผิดไม่พลาด ไม่ว่าธรรมขั้นใดภูมิใด ตั้งแต่พื้นๆถึงนิพพาน เราสอนเต็มหมดแล้ว สอนไปหมดแล้วเรื่องเหล่านี้ ถึงนิพพานก็สอน
เพราะเหตุไร ก็ดำเนินตัวจนกระทั่งถึงนั้นแล้ว จะนำมาพูดนำมาสอนไม่ได้มีอย่างเหรอ สอนอย่างอาจหาญชาญชัย อย่างไม่สะทกสะท้น เพราะหลักความเป็นจริงอยู่กับหัวอกเรานี้หมดแล้ว จะไปหวั่นไหวกับอะไร มีแต่เบิกทางๆให้ก้าวเดินๆ เพื่อความพ้นทุกข์เท่านั้นแหละ นี่ละศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นปัจจุบันอยู่ตลอดเวลา อย่า พากันหลงกิเลสมันมาหลอกลวงว่าศาสนานี้ครึล้าสมัย กาลนั้นมีมรรคผล กาลนี้ไม่มี กิเลสหลอก ตัวกิเลสเองมันเป็นกิเลสมากี่กัปกี่กัลป์บนหัวใจเรา ไม่เห็นมันครึมันล้าสมัยบ้างล่ะ มีแต่ทำโลกทั้งหลายให้เป็นบ้ากับมัน เป็นผู้ทันสมัยกับกิเลสแล้วพากันจมกันทั่วโลกไม่คิดกันบ้างเหรอ
ธรรมะเป็นเครื่องรื้อถอนออกจากกิเลสตัวมันทันสมัย ให้มันคว่ำลงภายในจิตใจหมดแล้ว โผล่ขึ้นมาคราวนี้เป็นวิมุตติธรรม นี่เอาให้ได้ที่ตรงนี้ซี กิเลสประเภทเดียวกัน ธรรมะประเภทเดียวกัน แก้กันมาได้ตลอดตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์ไหนๆ มาถึงตัวของเราทำไมธรรมะนี้จะครึจะล้าสมัยไปไหน จะแก้ไม่ได้ ก็ธรรมะประเภทเดียวกันแก้กิเลสได้อย่างเดียวกัน กิเลสไม่ได้พลิกหน้าพลิกตามาจากโลกไหนๆ ก็กิเลสตัวเก่า แก้ธรรมะก็ธรรมะประเภทเก่า แก้กันลงไปขาดสะบั้นลงไปบริสุทธิ์ได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าทั้งหลายและสาวกทั้งหลายนั้นแล เป็นปัจจุบันธรรม
ศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่ประกาศท้าทายเรื่องมรรคผลนิพพาน คือพุทธศาสนานี้เป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน ไม่สงสัย ขอให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติเถิด จะรู้จะเห็นขึ้นที่ใจ เพียงรู้ผางขึ้นเท่านั้นละไม่ต้องถามใคร สามแดนโลกธาตุพอแล้วกับหัวใจดวงรู้ๆ รู้ด้วยความบริสุทธิ์ ขาดสะบั้นไปหมดบรรดาสมมุติไม่มีเหลือเลย นี่ละความรู้ที่เลิศเลอสุดยอด ความรู้ของพระพุทธเจ้าก็ดีของพระอรหันต์ก็ดีเป็นความรู้ประเภทนี้แล้ว เรียกว่าธรรม จิตกลายเป็นธรรมธาตุไปแล้ว
เวลามีชีวิตอยู่ก็ให้ชื่อให้นามว่าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ นี่ในร่างกายของท่านเป็นสมมุติยังมีอยู่ ก็เรียกว่าท่านสำเร็จแล้วเป็นพระอรหันต์ แต่พอร่างกายนี้ขาดสะบั้นลงไป จิตนั้นเป็นธรรมธาตุแล้วดั้งเดิม ทีนี้แสดงตัวเป็นธรรมธาตุโดยสมบูรณ์ ธาตุขันธ์สมมุตินี้เปิดออกหมดแล้วไม่มีเหลือ นี้แลธรรมพระพุทธเจ้าสอนถึงขนาดนี้ ไม่มีผิดมีเพี้ยน เราอยากจะทราบเรื่องศาสนาของเราอย่างแท้จริง ให้ขุดค้นเข้าไปที่จิตตภาวนาดังพระพุทธเจ้าสอน เราจะหายสงสัยบรรดาศาสนาทั้งหลายเป็นศาสนาอย่างไรบ้าง เราจะรู้ชัดประจักษ์ใจกับพุทธศาสนาของเรานี้แลที่เราดำเนินตามท่าน จะไม่เป็นอย่างอื่นใด
ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ เฉพาะสถานที่นี่เป็นสถานที่เหมาะสมกับการภาวนาอยู่แล้ว ให้อบรมจิตใจ ใจนี่ละเป็นวัฏจักร ใจนี้เป็นนักท่องเที่ยวพาให้เกิดให้ตายไม่หยุดไม่ถอย ส่วนภพชาติต่างๆที่ใจเข้าไปสวมใส่เข้าไปยึดเป็นเจ้าของ ว่าเกิดชาตินั้นเกิดชาตินี้แล้วตายไป นั้นเป็นเรือนร่างภายนอกของใจ พออันนี้ดับลงไปตายลงไปแล้วจิตนี้ไม่เคยตาย ออกจากร่างนี้ไปสู่ร่างนั้น จากร่างนั้นไปสู่ร่างนั้น สูงๆต่ำๆลุ่มๆดอนๆ ตามแต่บุญกรรมของตนมีมากน้อย
ถ้ามีบาปมีกรรมมากน้อยเพียงไร มันก็จะไสลงไปสู่กองทุกข์ที่ตนสร้างไว้มากน้อยนั่นแล ถ้าผู้มีบุญมากน้อยเพียงไรก็จะหนุนขึ้น หนุนขึ้นไปสู่ความดิบความดีทั้งหลาย ความสมหวังเป็นลำดับลำดา นี่บุญหนุนขึ้น กิเลสกดลง จะมีอยู่ในใจของเราทุกคน บาปบุญไม่ต้องไปหาที่ไหน คิดขึ้นเท่านั้นก็เป็นบาปแล้วถ้าคิดทางบาป บุญคิดเท่านั้นก็เป็นบุญแล้วถ้าคิดทางบุญ อยู่กับหัวใจของเรา หัวใจนี้เป็นปัจจุบันตลอดเวลา สิ่งเหล่านั้นที่อยู่กับใจมันมาเป็นปัจจุบันด้วยกัน แก้ได้ด้วยกัน เหมือนพระพุทธเจ้า-สาวกทั้งหลายท่านแก้ผ่านไปแล้ว เราก็แก้ได้เช่นเดียวกับท่าน
พากันตั้งอกตั้งใจนะ เรื่องการจิตตภาวนาจิตรู้ภายในใจนี้ไม่ได้เหมือนสิ่งใดรู้นะ จิตรู้ด้วยจิตตภาวนานี่รู้อย่างอาจหาญชาญชัย รู้อย่างไม่ปิดไม่บัง รู้อย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่ต้องไปถามใคร ไม่ว่าจะรู้ธรรมขั้นใดๆ หากเป็นความชัดเจนแน่นอนอยู่ภายในใจนั้นทั้งนั้นเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้ถึงที่สุดวิมุตติหลุดพ้นแล้วนี้จ้าครอบโลกธาตุเลย จะไปถามใคร พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วว่าสนฺทิฏฺฐิโก ตั้งแต่พื้นๆจนกระทั่งถึง สนฺทิฏฺฐิโก คือรู้ผลงานของตนประจักษ์ตนเอง จนกระทั่งถึงนิพพานผลงานสุดยอด ท่านก็รู้สุดยอดแล้ว ไม่ต้องถามใคร
แม้แต่บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ที่กำลังดำเนินธรรมขั้นสูง ที่จะไปทูลถามพระพุทธเจ้าในปัญหาแง่ต่างๆ พอไปถูกฝนตก รออยู่ที่ใต้ถุนกุฏิ พิจารณาหยดน้ำที่ตกลงมาบนชายคาลงมาพื้นกระทบกัน ตั้งเป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมาแล้วดับไปๆ ท่านพิจารณาถึงสังขารภายในของท่าน เกิดแล้วทั้งดีทั้งชั่ว เกิดแล้วดับไปๆ ก็ไปถึงจุดใหญ่คือจิต เข้าถึงเช่นนั้นท่านบรรลุธรรมเสียในขณะนั้น พอฝนตกอยู่แทนที่จะขึ้นไปทูลถามพระพุทธเจ้า ไม่ไปเลย กลับ นั่นละสนฺทิฏฺฐิโก สุดยอดเต็มภูมิท่านแล้วท่านจะไปถามหาอะไร ผู้ที่รู้จริงๆ ท่านไม่ถามกันแหละ นอกจากรู้งูๆปลาๆมันมีความสงสัยได้ เข้าใจว่าบรรลุก็มี มีอยู่ แต่ถ้าบรรลุแบบนี้แล้วไม่มี เหมือนกันไปหมดเลย
นี่ผลแห่งการสร้างคุณงามความดี ความดีทั้งหลายเกิดขึ้นจากการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา จะมารวมตัวอยู่ที่ภาวนา บุญกุศลทั้งหลายจะไหลเข้าสู่ที่จิตตภาวนา เมื่อเข้าที่นั่นแล้วจะหนุนจิตโดยถ่ายเดียวๆ จนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์โดยไม่ต้องสงสัย ขอให้ท่านทั้งหลายได้นำธรรมนี้ไปปฏิบัติบ้าง วันนี้สอนเรื่องจิตตภาวนาล้วนๆ เพราะอย่างอื่นอย่างใดโลกทั้งหลายไม่สงสัย เคยผ่านกันมามากต่อมากแล้ว ผลได้ผลเสียเป็นอย่างไรบ้างก็รู้ด้วยตนเองทุกคน แต่จิตตภาวนานี้ไม่ค่อยมีใครสั่งสอนกัน และไม่ค่อยได้สนใจปฏิบัติกัน
มาวันนี้เป็นโอกาสที่เหมาะสม ซึ่งจะอบรมทางด้านธรรมะเข้าสู่ใจของพี่น้องทั้งหลาย จึงได้สอนจิตตภาวนาอันเป็นแหล่งสำคัญแห่งความสุขและความทุกข์ทั้งหลายอยู่ตรงนี้ เราจะมารู้ที่ใจของเรา ความทุกข์มาน้อยในโลกธาตุนี้จะมารวมอยู่ที่ใจดวงนี้ผู้สร้างทุกข์ขึ้นมา แล้วความสุขมากน้อยจนกระทั่งถึงความสุขวิมุตติพระนิพพานจะมารู้ประจักษ์ที่ใจ ที่ได้เคยอบรมมาจนกระทั่งเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วดีดขึ้น พ้นจากทุกข์ก็อยู่ที่จิตดวงนี้
อย่าไปหาตามดินฟ้าอากาศสมัยนั้นสมัยนี้ นั่นกิเลสหลอกคน ให้ดูตัวของเรา กิเลสเวลามันหลอกลวงเรามันหลอกลวงเราอยู่ที่หัวใจ มันมีอดีต-อนาคตที่ไหน หลอกตรงไหนสัตว์โลกเชื่อทั้งนั้นๆ ธรรมะฟาดลงไปกิเลสพังได้ทั้งนั้น ให้พากันตั้งอกตั้งใจ เราเห็นท่านทั้งหลายได้มาบำเพ็ญในสถานที่เช่นนี้ ซึ่งเป็นที่สงบอบรมจิตใจให้มีความเย็นอกเย็นใจเราเป็นที่พอใจ วันนี้จึงมาเสริมให้เรื่องจิตตภาวนาให้จิตใจได้สูงขึ้น ละเอียดขึ้นเป็นลำดับ เราจะเห็นความแปลกประหลาดภายในจิต
ในครั้งพุทธกาลท่านรู้ท่านเห็น ท่านรู้จากใจของท่านที่มีภาวนา ถ้าไม่มีภาวนารู้ไม่ได้นะเรื่องแปลกๆ ละกิเลสก็ละไม่ได้ ต้องละด้วยการภาวนา รู้เห็นสิ่งต่างๆก็รู้ด้วยการภาวนา ภาวนาจึงเป็นจุดสำคัญที่จะรู้เห็นสิ่งต่างๆ ทั้งหยาบละเอียด ไปที่ไหนไม่พ้นจิตนี้ไปได้ จึงขอทุกๆ ท่านได้นำไปประพฤติปฏิบัติ
วันนี้แสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่กาลเวลาและธาตุขันธ์ จึงขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาท่านทั้งหลาย มีท่านเจ้าภาพเป็นต้น โดยทั่วกันเทอญ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|