เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
น้ำใจที่มีต่อโลก
ก่อนจังหัน
เคยพูดเสมอเรื่องภาวนา การตั้งสติสำคัญมาก จะธรรมบทใดผู้ที่เริ่มต้น หรือผู้ที่ได้หลักคือสมาธิแล้ว สติติดตลอด สติเป็นพื้นฐานสำคัญมากทีเดียว ใครขาดสติคนนั้นขาดความเพียร จำให้ดีทุกคน สติสำคัญมากทีเดียว สติติดตลอดๆ นี้กิเลสจะไม่เกิด พอเผลอสติปั๊บกิเลสออกแล้ว กิเลสออกตามสังขาร สังขารเป็นเครื่องมือของสมุทัยคือกิเลส มันดันสังขารออกมาให้คิด พอออกไปปั๊บได้ไฟคืนมาแล้ว ความยุ่งเหยิงวุ่นวายจะเกิดตลอดจากความคิดมาก เมื่อมีสติแล้วมันจะไม่ออก
เพราะฉะนั้นจึงกล้าพูดได้ว่า กิเลสจะหนาขนาดไหนก็ตาม ถ้าสติมีอยู่แล้วแข็งแกร่งแล้วจะออกไม่ได้ ว่างั้นเลย ที่มันออกได้ก็คือไม่มีสติ หรือกำลังสติยังไม่มี ตั้งพับล้มผล็อยๆ ถ้าตั้งพับล้มผล็อยต้องหาวิธีการ สำหรับพระโดยเฉพาะ เราเองแล้วต้องผ่อนทางอาหารหรืออดอาหาร เมื่อกำลังของร่างกายลดลงแล้วสติค่อยดีขึ้นๆ อันนี้แล้วแต่จริตนิสัยของใคร แต่ส่วนมากจะไม่พ้นอาหารไปได้ เป็นข้าศึกต่อสตินะ
คือสตินี้ พออาหารเต็มที่แล้วสติลอยเลย ตัดอาหารลงไป ผ่อนอาหารลงไป สติค่อยดีขึ้นๆ ผ่อนอาหารลงไปสติค่อยดีขึ้น ถ้าอดอาหารนี้ซัดปึ๋งเลย เป็นอย่างนั้นละ เราพูดให้ชัดเจนให้เป็นแบบเป็นฉบับท่านทั้งหลาย เราจึงทรมานมากทีเดียวสำหรับนิสัยของเราเป็นนิสัยวาสนาหยาบ ท้องเสียมาตั้งแต่พรรษา ๑๐ ออกปฏิบัติพรรษา ๗ เริ่มแต่พรรษา ๗ อดอาหารผ่อนอาหารเห็นว่าได้กำลังดีเลยเอาเรื่อย ทีนี้เตลิดเลย จนกระทั่งท้องเสียตั้งแต่พรรษา ๑๐ ฟาดกันถึงพรรษา ๑๖ แล้วหยุดอดอาหารนะนั่น พรรษา ๑๖ เป็น ๙ ปีแล้ว ลงเวทีพูดให้ชัดเจน ท้องก็ยังเป็นไปเรื่อยๆ เป็นมาจนกระทั่งถึงจะช่วยชาติบ้านเมือง กำลังมันจะไปเพราะท้องเสีย ท้องเสียนี่เพราะอะไร เพราะอดหาร เพราะเรานี้อดอาหารเป็นพื้นๆ
อาศัยอดอาหารตั้งสติ ทีนี้มันไม่คำนึงถึงความเป็นความตายของธาตุของขันธ์ มีแต่จะเอาให้ได้อย่างใจๆ คือให้บรรลุถึงจุดหมายปลายทาง นี่ก็ชี้แจงให้ท่านผู้มุ่งมาปฏิบัติทั้งหลายทราบ ถ้าสติเลื่อนลอยมากๆ ให้ตัดอาหารลง ผ่อนลง ให้สังเกตตัวเองการประพฤติปฏิบัติ ไม่สังเกตทำไปเฉยๆ เลื่อนๆ ลอยๆ ไม่ได้นะ เหลวไหล พระกรรมฐานเราเหลวไหลเพราะไม่มีหลักยึด นี้เอาหลักยึดให้ เอาไปลองดูซิน่ะ ส่วนมากอาหารเป็นอันดับหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องสติ อาหารมากเท่าไรสติยิ่งเลื่อนลอย อาหารน้อยลงๆ สติค่อยดีขึ้นๆ
นี่เคยฟัดเคยเหวี่ยงมาทุกแบบทุกฉบับ ด้วยการพินิจพิจารณา เรียกว่าลบบวกคูณหารอยู่ในตัวๆ เสร็จเลย กว่าจะบืนไปได้ๆ ใช้ความพินิจพิจารณาไม่ใช่น้อยๆ นะ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำแล้วทำๆ เหลวไหลทั้งนั้นละ ไม่ว่าพระไม่ว่าใครก็ตามถ้าไม่มีหลักเกณฑ์ นี่สอนหลักเกณฑ์ให้ ให้ทดสอบพิจารณาตัวเอง อาหารเป็นสำคัญมากกับการตั้งสติ ถ้าตั้งสติมันเลื่อนลอยๆ ให้ผ่อนอาหารลง แล้วให้ตั้งสติดู พอผ่อนอาหารไม่ต้องบอกละ สติจะค่อยดีขึ้นๆ
เราเคยอด เช่นอย่างถึง ๗ วันนี้ลงมาฉันทีหนึ่ง นั่นละสติติดตลอดเลย ๗ วันไม่มีเผลอเลย พอฉันอาหารลงไปแล้วมันลดของมันลง แต่ทีนี้ไม่ได้กินมันก็จะตาย ก็ต้องมีฟัดมีเหวี่ยง มีอดบ้างอิ่มบ้างไปอย่างนั้นละ แต่ยังไงไม่ถอยเรื่องผ่อนอาหารอดอาหาร ต้องถือเรื่องอาหารกับสตินี้เป็นข้าศึกต่อกัน ไม่ถืออย่างนั้นไม่ได้นะ
ผู้ปฏิบัติเลื่อนลอยๆ หาผู้ที่จะทรงมรรคทรงผลไม่มี เพราะการปฏิบัติไม่เข้าร่องเข้ารอย ไม่มีหลักยึด ไม่มีครูมีอาจารย์สอนเป็นที่แน่ใจตายใจ พอที่จะทุ่มกำลังลงไปด้วยความแน่ใจแล้ว นั่น ผู้สอนอย่างนั้นก็ไม่ค่อยมี นี้สอนอย่างแม่นยำพูดตรงๆ ได้ผ่านมาหมดแล้ว การเทศนาว่าการตั้งแต่พื้นๆ ฟาดจนถึงพระนิพพานนี่ไม่สงสัย อยู่ในหัวใจนี้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นการสอนหมู่เพื่อนทั้งหลาย จึงไม่มีสงสัยอะไรทั้งนั้น บอกตรงไหนแน่แล้วๆ เคยผ่านมาแล้ว เหตุก็สมบูรณ์ ผลสมบูรณ์มาแล้วทั้งนั้น จึงได้สอนหมู่สอนเพื่อน อย่าได้พากันเลื่อนลอยนะ การปฏิบัติตัวเลื่อนลอยไม่ได้
อยู่ที่ไหนสติเป็นสำคัญ สติเป็นพื้นฐาน ไม่อย่างนั้นเหลวไหลๆ นักภาวนาทั้งหลายทุกคนให้ยึดเอาหลักที่สอนนี้ให้แม่นยำๆ ใส่ลงไปตูมเลยๆ กิเลสพัง ถ้าไม่มีหลักมีเกณฑ์กิเลสไม่พัง กิเลสเลยเป็นหลักเกณฑ์เสียเอง ธรรมะพัง เป็นยังไงล่ะกิเลสเป็นหลักเกณฑ์ พวกนี้มีแต่พวกแน่นหนามั่นคง นั่งล้อมรอบกันอยู่นี้มีแต่พวกแน่นหนามั่นคง แน่นหนามั่นคงอะไร คือกิเลสมันมั่นคง มันขับออกหมด ใครภาวนาที่ไหนล้มเหลวๆ ไม่ได้เรื่องนะ เอาละทีนี้จะให้พร
หลังจังหัน
พูดถึงเรื่องอดอาหารเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ท้องเสียเพราะอดอาหาร จนกระทั่งจะช่วยชาติมันจะพังมันจะตาย เป็นเรื้อรังมาตั้งแต่โน้น เพราะฉะนั้นจึงสอนผู้ปฏิบัติให้ผ่อนสั้นผ่อนยาว ถ้ามันจะหนักมากให้ผ่อนลง อาหารถ้าผ่อนลงมากก็เพิ่มเข้าๆ นักภาวนาต้องเป็นนักสังเกตไม่งั้นไม่ได้นะ
(มีพระเอาของมาถวาย) เอาวางไว้นั่น แล้วมีพิธีอะไรอีก เราเบื่อพิธีพอแล้ว เอาวางลงไปนั่น วางลงปุ๊บให้แล้วด้วยความจงใจ รับแล้วด้วยความบริสุทธิ์ใจ สมบูรณ์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย มานี่ นโม ตสฺส ปงฺสุกูลจีวรานิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส ฟังไม่ได้นะ มันจอมปลอมทุกวันนี้ บังสุกุลพระพุทธเจ้าท่านสอนให้พระไปเก็บเอาบังสุกุล คือตกอยู่ตามขี้ฝุ่นขี้ฝอยที่เขาทอดทิ้งไว้แล้ว จนกระทั่งถึงป่าช้า ให้ไปบังสุกุลผ้าที่เขาทิ้งไว้แล้ว เอามาเย็บปะติดปะต่อกัน แล้วขึ้น สงฺฆสฺส โอโณชยาม ใครจะถวายสังฆทานอยู่ในบังสุกุลมีเหรอ พิจารณาซิ มันไม่มีเหตุมีผล มันแต่งขึ้นมา ผู้ซื้อก็ซื้อมา ปงฺสุกูลจีวรานิ ภิกฺขุสงฺฆสฺส มันฟังไม่ได้นะ
นอกจากนั้นก็ว่า สีลวนฺตสฺส นี่ก็ว่าดีแล้ว ขึ้นเป็น สีลวนฺโต มันเข้าได้ยังไง เรียนมหามาด้วยกันมันรู้ทันที สีลวา มันเป็นเอกพจน์ สีลวนฺโต มันเป็นกี่พจน์ล่ะ พูดให้มันชัดๆ อย่างนั้นละ มันหลับตาแต่งมา ผู้นั้นก็ไปซื้อมาขายกัน แล้วก็มา สีลวนฺตสฺส แล้วก็ สีลวนฺโต สีลวนฺตสฺส เป็นเอกพจน์ สีลวนฺโต เป็นพหูพจน์ เข้ากันได้ยังไงพิจารณาซิ ถึงเวลาจะออกออกบ้างซิ ก็เรียนมาด้วยกันหลักคัมภีร์ใบลานรู้อยู่ด้วยกัน นอกจากไม่พูดเฉยๆ พูดตรงไหนมันขัดต่อหลักความจริง เช่นหลักบาลีอย่างนี้ บาลีท่านมีหลักมีเกณฑ์ของท่าน
วิทยุนี้พิลึก เดี๋ยวนี้ค่อยเบาหน่อยเรา แต่ก็ไม่เบานะอย่าว่าเบา วิทยุที่สวนแสงธรรม เครื่องนี้ฟังว่ามันกินน้ำมันหรือว่ามีอะไรมากเข้า ก็เลยทำให้ไม่แน่ใจ ตกลงก็ต้องซื้อ ไปกรุงเทพฯคราวนี้ซื้อมารอกันไว้เครื่องนี้ หากว่ามันเสียแล้ววิทยุที่สวนแสงธรรมมันทั่วประเทศไปแล้วนี่นะ ขาดนี้ปั๊บมันต้องกระเทือนกันทั่วประเทศ แล้วทำไง เลยต้องไปเอามา ที่แรกดูว่า ๕ กิโลวัตต์ ฟาดถึง ๑๐ กิโลวัตต์ เป็นเงิน ๔ ล้าน ก่อนที่เราจะมานี้ ก็ออกจากนี้ละออกไป ๔ ล้านปึ๊งๆ ไปเลย ทีแรกคุณเฉลียว คุณภาวนามา เอามาให้ตั้ง ๓ ล้าน ว่าราคา ๓ ล้าน เราเลยขู่ชายปั๋ม เอ้าพูดจริงๆ เราเป็นอย่างนั้นนี่นะ
นักภาวนานักใจบุญอยู่กับคุณเฉลียวอยู่กับคุณภาวนา ทำบุญอย่างเงียบๆ นะ ใครจะหาคนเช่นไร เปิดให้ทราบเสียบ้างมนุษย์เรา ผู้ใจดำน้ำขุ่นก็ให้ฟัง ผู้จิตใจอันกว้างขวางพร้อมทั้งทุนทรัพย์และทุนทรัพย์ไม่มี แต่น้ำใจกว้างขวางก็ให้ได้ทราบทั่วกัน อันนี้ทุนทรัพย์ก็พร้อมน้ำใจก็พร้อม น้ำใจก็กว้างขวาง คุณภาวนากับคุณเฉลียว อยู่วิทยา พอพูดถึงเรื่องอยากได้วิทยุนี้มารอกันไว้ หากว่าอันนี้ปุบปับเสียทางนี้จะได้เข้าทำงานทันที จะไม่ให้เสียเวลา ทางนั้นก็ออกมาปุ๊บให้เลย.๓ ล้าน
แล้วทีนี้ชายปั๋มของเรานี้ก็ไปถูกใครกล่อมมาอีก เขาว่า ๕ กิโลวัตต์ ๓ ล้าน ถ้าเป็น ๑๐ กิโลวัตต์เพิ่มอีกล้านเดียวก็จะดีมาก ทางนี้ก็เลยฟาดไป ๑๐ กิโลวัตต์ ฟาดไปเสียล้านหนึ่ง ทีนี้ไม่มีตับไหนกินก็เลยมาเอาตับหลวงตาบัวไปเข้าใจไหม ก็บอกคุณเฉลียวคุณภาวนาตั้งแต่นั้นไว้แล้ว ๑๐ ล้านก็ได้ว่างั้นนะ อย่าว่าแต่เพียง ๓ ล้านเลย นี่ตรงนี้เป็นคนเหลวไหลเอง เราได้จี้เอาชายปั๋มอย่ามาพูดกับเราอย่างนี้นะ อะไรๆ ที่จะตกลงอะไรให้พิจารณาเรียบร้อยแล้วค่อยออกผึงๆ นะ เราทำอย่างนั้นเราบอกอย่างนี้ หากว่าเราจะรบกวนบรรดาพี่น้องทั้งหลายด้วยเงินจำนวนใดสมบัติจำนวนเท่าไร เราจะพิจารณาเรียบร้อยแล้วออกผึงเดียวถูกเลย อันนี้ว่า ๓ ล้านแล้วก็ ๔ ล้าน มันยังไงกันนี่ อย่าทำอย่างนี้อีกนะกับเราบอกตรงๆ วันนั้นสอน เหลวไหล เราไม่มีนะนิสัยอย่างนี้ จริงจังทุกอย่าง บอกอะไรบอกมามากน้อยให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยเหตุผล นี่เราก็พูด ดุชายปั๋มวันนั้น
นี่พูดถึงเรื่องการจับจ่ายเป็นอย่างนี้ละ ไปกรุงเทพฯนี้คือเงินเหลือมาเท่าไรก็เหลือ ไปที่ไหนทำประโยชน์ที่นั่นๆ เราทำประโยชน์ทั่วโลก ไม่ได้เฉพาะเจาะจงแต่ที่ใดที่หนึ่ง หากมีความจำเป็นอยู่ที่ใดช่วยได้ทั้งนั้นๆ เลย นี่เป็นเรื่องที่เข้ามาสัมผัสที่จะต้องพูดอีก นี่ก็นั่งอยู่สวนแสงธรรมตอนเช้านั้น สามีภรรยา ผัวตาบอด เมียตาดี ไม่มีที่อาศัยก็ต้องวิ่งเข้ามาหาเราตอนเช้า มาขอความเมตตาว่าตาบอด อยากจะผ่าตัด หมอเขาคิดรายหนึ่ง ๓๕,๐๐๐ ไม่มีเงิน แล้วเวลาผ่าแล้วจะเห็นไหม บอกว่าเห็นทั้งสอง เอ้าให้เลย อย่างนั้นแล้ว ๓๕,๐๐๐ เวลาเราให้ให้ ๔๕,๐๐๐ เผื่อไว้ ๑๐,๐๐๐ สำหรับใช้จ่าย แน่ะก็อย่างนั้น ไปที่ไหนเป็นอย่างนั้นเรา
เพราะฉะนั้นจึงพูดได้เลย หรือเขียนประกาศไว้หน้าวัดก็ได้ ไม่ได้โอ้อวด เป็นหลักความจริงของหัวใจเราที่ครอบด้วยเมตตาต่อโลก เราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ได้อะไรมาเพื่อโลกทั้งนั้นไม่ได้เพื่อเรา จะดิ้นจะดีดอยู่ทุกวันนี้ไปไหนก็ตามเราไม่มี มีแต่เพื่อโลกเพื่อสงสารทั้งนั้น ที่ได้มาเหล่านี้ก็เหมือนกันมากน้อย จะออกกระจายไปเพื่อประโยชน์แก่โลกนั่นละ เราทำสุดกำลังความสามารถของเราถึงเรื่องการเฉลี่ยเผื่อแผ่นี่นะ มีเท่าไรเป็นหมดเลย ขอให้มีมาปัดปุ๊บเดียวเมตตานะ เมตตากวาดออกเลยๆ ที่ว่าความตระหนี่จะกำไม่มีละกับเรา กับเราความตระหนี่หงายหมาไปนานแล้ว
ตั้งแต่เรียนหนังสือมันก็เป็นนิสัยอย่างนี้มาดั้งเดิม พูดตามความจริง นิสัยอย่างนี้ดั้งเดิม ไปอยู่กับพระองค์ไหนลักษณะตระหนี่ถี่เหนียวเข้าไม่ได้นะเรา มันเป็นยังไงมันคับหัวอก ยิ่งเป็นสมภารตระหนี่แล้วไม่เข้าเลย เปิดหนีเลย เพื่อนฝูงคนใดก็ตามตระหนี่ถี่เหนียวไม่เข้านะเรา ถ้ามีจิตใจอันกว้างขวางเข้ากันได้สนิทๆ เราเป็นอย่างนั้น คณะของเราไปอยู่ที่ไหนพระเณรเต็มเลย ไม่ว่าจะไปอยู่วัดใดส่วนมากจะไปเป็นหัวหน้าคณะ ผู้ใหญ่ท่านจัดเอง เราก็ไม่ได้สนใจกับเรื่องหัวหน้าคณะคะแนะอะไร แต่หากเป็นยังไงไม่รู้นะผู้ใหญ่ท่านหากจัดเอง ให้เป็นหัวหน้าคณะ
ท่านก็อาจจะเห็นความมีจิตใจกว้างขวางของเรา ของตกมาในคณะนี้เป็นอันเดียวกันหมด คือเหมือนครอบครัวเดียวกัน หัวหน้าคณะอื่นเป็นของท่านของเรา.เป็นแต่เพียงหัวหน้าเท่านั้น แต่เราหัวหน้าทั้งหมดเลย ได้อะไรมานี้รุมกันเลยพระเณร เหมือนพ่อแม่กับลูก พอพ่อแม่ได้อะไรมานี้ลูกก็รุม รุมนี้ก็พระเณรกับครูกับอาจารย์มันก็เหมือนพ่อแม่กับลูก มันก็รุมกันแบบพระแบบเณรเข้าใจไหม ไม่ได้รุมแบบฆราวาสนะ หากรุมแบบพระแบบเณร ได้อะไรมาเป็นอย่างนั้นละเราได้มา ตลอดจนได้มาเป็นผู้ใหญ่ ได้ออกช่วยชาติมันก็แบบนั้นเหมือนกัน เรียกว่ารุมกันทั้งประเทศ รุมเราทั้งประเทศ ได้มาเท่าไรคนนั้นขาดอันนั้นคนนี้ขาดอันนี้เรื่อยให้ไปเรื่อย นี่เรียกว่ารุมเข้าใจไหม รุมทั่วประเทศ ได้ไปนี้ก็จะไม่มีเหลือละ รุมเข้าใจไหม ให้พี่น้องทั้งหลายทราบ
เราทำประโยชน์เพื่อโลกจริงๆ เพราะฉะนั้นเราจึงพูดได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ใครผิดบอกว่าผิด ใครถูกบอกว่าถูก ธรรมตรงไปตรงมาไม่มีความสะท้านหวั่นไหวกับสิ่งใดเลย ธรรมเหนือทุกอย่างแล้ว คำว่ากล้าว่ากลัวไม่มีในธรรม ธรรมเหนือหมดแล้วๆ จึงพูดได้เต็มปากทุกอย่าง เราช่วยโลกเราก็ช่วยอย่างนี้ เอาละวันนี้นะมีเท่านั้นละ
นี่ได้เทศน์แล้ว กระจายทั่วประเทศไทยแล้ว เทศน์ถึงเรื่องน้ำใจ น้ำใจของเราที่มีต่อโลก เรามีอย่างนี้มาตลอด ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวนะในวัด ถ้าหากว่าธรรมดาเขาจะต้องยกยอหลวงตาบัวเป็นมหาเศรษฐีเงินในวัดนี้นะ เพราะมีคนเคารพนับถือมาก ไหลเข้ามาอย่างนี้ละไหลเข้ามา แต่เวลาออกนี้เขาไม่ทราบซิ เช็คใบหนึ่งๆ เป็นแสนๆ ล้านๆๆ เขาไม่รู้ ออกอย่างนั้นละ นี่ละที่เขาว่าเราเป็นเศรษฐี แต่ความจริงเราอยู่ใต้ก้นนรกคือความจนเข้าใจไหม เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ทีนี้จะให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz