เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
ตกแต่งภายในจิต
ก่อนจังหัน
พระเราให้ตั้งหน้าตั้งตาทำความพากเพียรโดยเฉพาะ ไม่มีกิจการงานอื่นใดที่จะมารบกวนความพากเพียรของเรา ไปอยู่ที่ไหนๆ ให้มีความเพียรประจำตน สติสัมปชัญญะเป็นพื้นฐานแห่งการประกอบความเพียร สติสัมปชัญญะอันนี้สำคัญมาก ได้เตือนเสมอเรื่องสติ สติเป็นพื้นฐานจนกระทั่งถึงนิพพาน ไปถึงนิพพานกลายเป็นมหาสติมหาปัญญาไปละ สติเป็นพื้นฐานต่อเรื่อยนะ ถ้ามีสติอยู่แล้วกิเลสจะไม่เกิด จำให้ดีคำนี้ สติติดอยู่กับตัวแล้วกิเลสจะไม่เกิด
กิเลสเกิดขึ้นจากสังขาร คือความคิดปรุง สังขารนั้นเป็นสังขารสมุทัยดันออกมา พอเผลอเมื่อไรมันจะออก ออกๆ ถ้าสติติดอยู่แล้วกิเลสเหล่านี้จะไม่ออก ถึงมีก็ไม่ออก มีแต่ชำระกันออกเรื่อยๆ แหละ แล้วค่อยเบาลงๆ พอเผลอสติเท่านั้นมันจะออกทันทีๆ นักภาวนาต้องรู้ รู้อย่างนี้ ไม่รู้อย่างนี้แก้ไม่ตกแก้กิเลส มีแต่เพิ่มกิเลสขึ้นไป ฐานที่ตั้งแห่งความเพียรและแก้กิเลสโดยลำดับนั้น คือสติเป็นสำคัญ ใครอย่าลืมนะคำนี้
นี่ผ่านมาเสียจนพอแล้วจึงได้มาพูดให้ฟัง เรียกว่าไม่ผิด ดำเนินมาแล้วได้ผลเป็นที่พอใจ เริ่มตั้งสติเรื่อยๆ เริ่มเอาจริงๆ นี้ฟาดเสียจนกระทั่งทั้งวันไม่ให้เผลอเลย ฟังซิ สติติดแต่มีคำบริกรรมจับไว้เลย เช่น พุทโธๆ เป็นต้น ทั้งวันจะมีแต่พุทโธกับสติติดกันอยู่ในหัวใจเรา โลกนี้เหมือนไม่มี นั่นละการประกอบความเพียรที่จะตั้งรากตั้งฐานได้ แล้วกิเลสจะไม่เกิดนะ ความวุ่นวายส่ายแส่ที่ไหนจะไม่มี เมื่อสติกับคำบริกรรมควบคุมหัวใจเราอยู่แล้วไม่เกิดกิเลส จำให้ดีคำนี้ก็ดี เราดำเนินมาแล้ว สอนอย่างแม่นยำ ขอให้ไปปฏิบัติจะไม่ผิดไม่พลาดเลย ตั้งตัวได้ไม่สงสัย ถ้าสติเป็นพื้นฐานกับความเพียรอยู่แล้ว ที่ว่ายิ่งทั้งวันไม่เผลอเลย นี่สำคัญมาก
ที่กล่าวมาเหล่านี้ได้ทำมาแล้ว วันหนึ่งๆ ไม่ให้เผลอๆ ตื่นนอนขึ้นมาปั๊บจนกระทั่งหลับ ไม่ยอมให้เผลอไปไหนเลย มันจะเป็นยังไงจิตของเรานี่ เพราะได้รับความทุกข์ความทรมานกับมันเนื่องจากจิตเสื่อม เป็นยังไงมันถึงเสื่อม ตั้งสติจ่ออยู่กับความรู้ๆ แล้วมันเผลอไปที่ตรงไหน ถึงกาลเวลาที่ควรจะเสื่อม พอถึงนั้นแล้ว ๑๔-๑๕ วันขึ้นไปถึงที่ว่ามันอยู่ได้สองสามวันเสื่อมๆ เป็นเพราะเหตุไร พิสูจน์พินิจพิจารณา จึงได้เอาคำบริกรรมเข้ามา แล้วสติติดแนบกับคำบริกรรม ไม่ยอมให้สติเผลอไปไหน เอา เป็นยังไง มันจะเสื่อมจริงๆ เหรอคราวนี้
ไม่ห่วงเรื่องความเสื่อมความเจริญของจิต เพราะเป็นมาเสียพอแล้ว แต่ที่จะให้เสื่อมจากคำบริกรรม เช่น พุทโธ เป็นต้น กับสติที่ติดแนบกับนี้ไม่ยอม เอาตรงนี้ เสื่อมเจริญจะให้รู้กันตรงนี้ ซัดกันนี่ทั้งวัน ทั้งวันเลยเทียวนะตั้งแต่ตื่นนอน ไม่ยอมให้คิดอะไรทั้งนั้น ทีนี้เราก็รู้ได้ชัดว่า อ๋อ จิตนี้เมื่อมีผู้รักษาเข้มงวดกวดขันแล้วจะไม่ถูกกระทบกระเทือนจากกิเลสทั้งหลายได้ นั่นแน่แล้วนะ จากนั้นก็ตั้งฐานได้เลยที่นี่ พุ่งๆ เลยนะ จำให้ดี นี่ละได้ทำมาแล้ว อย่าเหลาะแหละนะ ว่าอะไรให้เป็นอย่างนั้น
นี้จริงจังมากไม่ใช่มาคุยนะ จริงจังมาก เช่นว่าไม่เผลอ เอานะ เหมือนว่าระฆังดังเป๋งตั้งสติปั๊บ นั่นละที่นี่ฟัดกันเลยไม่ยอมให้เผลอไปไหน ปัดกวาดเช็ดถูหรือทำงานการอะไรนี้สติจะติดตลอดเวลาๆ ตั้งได้ๆ จำให้ดีท่านทั้งหลาย ทำความเพียรอยู่ไม่ทราบว่ากี่ปีกี่เดือนไม่ได้เรื่องได้ราวเพราะอะไร เพราะเหลาะแหละนี่ละ ไม่เอาจริงเอาจัง ถ้ามีสติติดแนบๆ ตั้งได้ทำไมจะตั้งไม่ได้
ธรรมะพระพุทธเจ้าสอนเพื่อตั้งเพื่อฆ่ากิเลสโดยแท้ ทำไมมาอยู่กับเรามันเหลวไหล ก็ตัวเราเป็นตัวเหลวไหลถึงรับธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้ รับได้ตั้งแต่กิเลสเป็นส้วมเป็นถานเผาเอาๆ ละซิ จำให้ดีนะ สอนหมู่เพื่อนมานี้เท่าไรปีแล้ว สอนไม่สงสัยเสียด้วยการสอนหมู่เพื่อน ไม่ได้สอนสุ่มสี่สุ่มห้า สอนถอดออกจากหัวใจที่ทั้งเหตุทั้งผลดำเนินมาสมบูรณ์แล้ว สอนเต็มที่เลย ไม่มีทางที่จะสงสัยสำหรับการสอน แต่ผู้ปฏิบัติให้แน่ใจก็แล้วกัน ตายใจ เอา ปฏิบัติตามนี้ มันจะพาเราล่มจมนรกอเวจีให้เห็น ลากหลวงตาบัวลงนรกด้วย เพราะหลวงตาบัวสอนนี้ผิดไป ให้มันแน่นอนอย่างนั้นซิ
ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่แน่นอนที่สุด สอนโลกให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยลำดับๆ จนกระทั่งถึงวิมุตติพระนิพพาน ทำไมมาอยู่กับเรามีแต่จะล่มจมๆ ก็กิเลสลากคอมันลงไปมันจะไม่จมยังไง ฟังไหมกิเลสลากคอมัน พูดธรรมดามันไม่ถึง กิเลสมันเก่ง เรียกว่ามันลากคอเราได้เลย ถ้าเราเอาจริงๆ ก็ลากคอมันออกซิ เก่งไหมสติปัญญา พระพุทธเจ้า สาวกทั้งหลาย ท่านนำมาใช้เป็นสรณะของพวกเราทุกวันนี้เป็นยังไง เรานำมาใช้เป็นสรณะของตัวเองก็ไม่ได้เรื่องได้ราว เหลวๆ ไหลๆ
ไปที่ไหนมีนะนักภาวนา แต่ไม่ได้เรื่องได้ราวเพราะจิตใจเลื่อนลอย ไม่จริงจัง ถ้าลงจริงจังแล้วเอาเถอะน่า ธรรมะพระพุทธเจ้านี่เป็นเครื่องประกันอยู่แล้ว ทำไมท่านทั้งหลายท่านบำเพ็ญท่านพ้นไปได้ เราทำไมบำเพ็ญเท่าไรจมลงไปๆ มันบำเพ็ญๆ มีแต่ชื่อเฉยๆ แต่การกระทำมันไปหากอบโกยเอาฟืนเอาไฟคือกิเลสตัณหา ด้วยความคิดความปรุง ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ลืมเนื้อลืมตัวไม่มียุติเลย นั่น อันนั้นมันเป็นโทษ จำให้ดีนะ เอาละให้พร
หลังจังหัน
การภาวนาตะกี้นี้ก่อนจังหันก็เทศน์สอนแล้ว ไม่ได้สอนแต่พระ ญาติโยมมีหัวใจเหมือนกัน รับธรรมได้เหมือนกัน เลวได้เหมือนกัน ดีได้เหมือนกัน เอาไปสอนเจ้าของซิที่สอนเรียบร้อยแล้วนั่น ตอนก่อนจังหันวันนี้ก็สอนแล้วเรื่องจิตตภาวนา นี้ก็บอกตรงๆ การสอนนี้ไม่มีคำว่าลูบๆ คลำๆ ถอดมาจากหัวใจทั้งเหตุผลที่สมบูรณ์เต็มที่แล้วสอนอย่างแม่นยำ ให้ปฏิบัติตามนี้ไปได้ไม่สงสัย บอกอย่างนั้นละ ไอ้เหลาะๆ แหละๆ ทำอะไรมันก็ไม่ได้เรื่องแหละแบบเหลาะๆ แหละๆ ไม่เกิดประโยชน์
ต้องจริงจัง ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่จริงจัง ออกจากศาสดาเอกผู้จริงจัง บรรดาสาวกทั้งหลายไม่ใช่ผู้เหลาะแหละนะ จริงจังทั้งนั้น สมควรจะเป็นเจดีย์ของโลกได้กราบไหว้บูชาจึงเป็นได้ สุ่มสี่สุ่มห้าเอามานี้เป็น สรณํ คจฺฉามิ ใครจะกราบได้ลงคอ ก็ดูเอาซิ มองดูมันก็ขวางตาแล้ว ขวางตาขวางธรรม
การฝึกจิตตภาวนา อยู่ในครัวนี้น้อยเมื่อไร มันมาอยู่แบบไหนก็ไม่รู้ หรือมาหาแต่กวนทะเลาะกันก็ไม่รู้ กิเลสมันกวนใจ เมื่อมันกวนใจแล้วไม่มีทางออก ก็กวนทะเลาะคนอื่น เป็นอย่างนั้นนะ ถ้าบังคับมันอยู่แล้วมันจะไปสนใจกับเรื่องของใคร ทะเลาะใคร ทะเลาะกับกิเลสภายในหัวใจตนเอง ฟาดกันแหลกอยู่นี้ ข้าศึกคือกิเลสอยู่ที่นี่ นั่นนักภาวนาไปหาดูอะไรกับคนอื่นคนใด ดูหัวใจเจ้าของซึ่งเป็นข้าศึก มันกวนหัวใจตลอดเวลา
ความอยากนั่นละ อยากนั้นอยากนี้ อยากคิดอยากปรุงอยากแต่งอยากรู้อยากเห็น อยากได้นั้นได้นี้ อยากๆๆ ตลอด นี่ตัวมันกวนใจ ภาวนาสติจับปุ๊บเข้าไปตรงนั้นมันจะกวนไปไหน จะสงบลงๆ สติเข้าตรงไหนสงบตรงนั้น ไม่มีสติแล้วก็เลยเถิดเตลิดเปิดเปิงเป็นบ้าได้เลย อย่างที่เราเห็นคนบ้าอยู่ตามสี่แยกไฟเขียวไฟแดง เราไปเห็นด้วยตาเนื้อของเรา รถจะชนกันเพราะหลีกบ้าอยู่ในสี่แยกไฟแดง มันทำเฉยนะ หยิบนั้นหยิบนี้ใส่นั้น หยิบอันนี้ออก หยิบอันนั้นเข้า เฉยไม่สนใจกับใคร ก็เราเห็นเองนี่ รถที่หลีกคนนี้หลีกกันไปหลีกกันมาก็จะชนกันซิ รถเลยจะเป็นจะตายกับคนๆ เดียวนี้ พอดีเราก็ไปเจอนั้นด้วย เราก็ได้ดู อ๋อ นี่ไม่สนใจกับใครเลยนะ รถที่วิ่งขวักไขว่หลีกกันหลบกัน ทั้งจะชนคน ทั้งจะชนกันไม่ได้เรื่องอะไร ยุ่ง เราก็ดู โอ๊ เป็นอย่างนี้
ทีนี้ก็เอามาพิจารณา นี่ละคือความเคลื่อนไหวไปมานี้คือคนเป็น มีชีวิตอยู่ ความรู้มีอยู่กับใจแต่ไม่มีสติเครื่องรับผิดชอบในตัวเอง มันอยากทำอะไรก็ทำ นี่ละมีแต่จิตล้วนๆ อยากทำอะไรก็ทำ เหมือนไส้เดือนบุ้งกือมันคืบคลานของมันไป ไม่ใช่ไม่มีความรู้ มันมีความรู้แต่ไม่มีสติไม่มีปัญญาเครื่องรักษาตัว มันก็เป็นไปแบบนั้น คนเราเมื่อไม่มีสติเครื่องควบคุมตัวเองรับผิดชอบตัวเองแล้ว ก็เหมือนคนบ้าอยู่ในสี่แยกไฟเขียวไฟแดง อยากทำอะไรก็ทำ เฉย คนอื่นจะเป็นจะตาย..รถมา ตอนนั้นตำรวจไม่มี
นี่ละเรื่องมีแต่ความรู้อย่างเดียว ไม่มีสติรับผิดชอบเป็นได้อย่างนั้น นั่นละมีแต่ความรู้เป็นอย่างนั้น คือความรู้อันนี้มันมีกิเลสตัวสำคัญที่เรียกว่าอวิชชาครอบอยู่นั้น สติปัญญาที่จะควบคุม คอยรับผิดชอบแก้ไขกันไม่มี มันก็ปล่อยตามเรื่อง ไปไหนก็ไป มีแต่ความรู้ไม่ทราบว่าผิดไม่ทราบว่าถูก ไม่ทราบว่าควรไม่ควร สิ่งที่จะให้ทราบเหล่านี้คือสติคือปัญญารับผิดชอบในตัวเอง แล้วก็รู้เรื่องคนอื่นคนใดได้เหมือนเรารู้เรื่องของเรา ถ้าไม่มีสติหรือปัญญาเสียอย่างเดียว ตัวเองก็ไม่รู้เรื่องของตัวเอง คนอื่นก็ไม่รู้เรื่องของเขา อยากจะทำอะไรก็ทำไปตามความรู้สึกๆ โดยมีอันหนึ่งดันให้อยากทำอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีความรับผิดชอบคือสติ
นักภาวนาพิจารณานะ นี่เราพูดเรื่องสติทั่วๆ ไป จิตทั่วๆ ไป ถ้าเป็นจิตของนักภาวนาต้องแหลมคมตลอด แย็บๆ รู้ๆ แล้วปัญญาสอดแทรกๆ มองพับรู้พับ ทะลุปึ๊งๆ นั่นละสติปัญญาที่เข้าเป็นธรรมแท่งเดียวกับใจด้วยแล้วเป็นอย่างนั้น ที่จะมาพูดอย่างโลกนี้พูดไม่ได้นะ มันไม่เหมือนโลก โลกมันเป็นโลกสมมุติ อันนั้นแม้แต่อยู่ในขันธ์ธรรมชาตินั้นเป็นวิมุตติแล้ว แสดงลวดลายของวิมุตติอยู่ตลอดเวลาในธรรมชาติของตนเองที่บริสุทธิ์นั้น นี้ขันธ์ก็เป็นของขันธ์ ต่างกันนะ
ฝึกเข้าไปๆ มันก็ดีจิตใจ ขอให้มีสติควบคุมตัวเองเถอะ ถ้าสติไม่มีไม่เป็นท่านะ ภาวนาไม่ได้เรื่องได้ราว จิตหาความสงบไม่ได้ ถ้ามีสติควบคุมอยู่นั้นกิเลสจะไม่เกิดกิเลสจะไม่ลุกลาม กิเลสอยู่กับใจ พอสติครอบไว้แล้วมันจะออกไม่ได้ ดังที่พูดตะกี้นี้ตอนเช้านี้ว่าสติเป็นสำคัญ ถ้าสติบังคับอยู่แล้วกิเลสไม่เกิด มันจะเกิดไปไหนได้ พอเผลอปั๊บสังขารนั่นละคือกิเลส มาตามสังขาร ใช้สังขารเป็นเครื่องมือออก คิดนั้นคิดนี้ยุ่งไปหมดเลย มีกิเลสบังคับไปให้คิดให้ปรุง ทีนี้พอสติมีปั๊บจับไม่ให้มันคิด ให้คิดอยู่กับ เช่นคำบริกรรม เอ้าคิดอยู่กับคำบริกรรมนี้เป็นบทของธรรมรักษาจิต สติรักษาคำบริกรรมอยู่นั้นแล้วแล้วกิเลสจะไม่เกิด วันยังค่ำกิเลสไม่เกิด
เอาให้มันเห็นบนเวที คือหัวใจกับกิเลสฟัดกันซิ มันถึงพูดได้อย่างจะแจ้งทีเดียวไม่สงสัย ที่พูดเหล่านี้ผ่านมาหมดแล้วนะ ไม่ใช่ธรรมดา จึงได้มาสอนประชาชนทั้งหลาย สอนสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง ปฏิบัติสุ่มสี่สุ่มห้าไปสอนใครเจ้าของก็ไม่ลงใจในคำสอนของตัวเองที่สอนออกไป คนอื่นจะแน่ใจได้ยังไง ถ้าลงได้แน่ในหัวใจผึงออกไปนี้เป็นรสเป็นชาติตลอด ผู้ฟังมันก็ถึงใจๆ ละซิ นั่นละธรรมแท้เป็นอย่างนั้น ไม่มีอดีตอนาคต เป็นปัจจุบันตลอดเวลา สดๆ ร้อนๆ มีรสมีชาติตลอดไปเลย ธรรมออกจากหัวใจที่เป็นคลังแห่งรสชาติทั้งหลายอยู่ในนั้นหมด ออกไปเหล่านี้เป็นรสเป็นชาติไปหมด
ถ้าเป็นคลังกิเลสออกไปก็มัวๆ หมองๆ ว่าไปลูบๆ ไป คลำๆ ไป ถ้ามีผู้มาทักทำไมจึงเทศน์อย่างนั้นล่ะ ก็ตำราท่านว่าอย่างนั้น แน่ะมันมีทางหลีกไปได้นะ ถ้าเป็นความจริงแล้วเพราะเหตุไรจึงเทศน์อย่างนั้น เพราะเหตุนั้นตอบกันปึ๋งเลยทันที ออกไปด้วยเหตุด้วยผลทุกอย่าง ถามมามันจะรับกันทันทีเลย นั่นจึงเรียกว่าธรรม อยากให้บรรดาพี่น้องทั้งหลาย เฉพาะอย่างยิ่งนักบวชเราออกปฏิบัติให้เห็นธรรมที่เลิศเลอ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้แล้วด้วยสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วๆ เป็นยังไงเรามันปลอมตลอดเวลาหรือ ธรรมที่ชอบแล้วเข้าไปหาเราจึงปลอมไปหมด มันใช้ไม่ได้ เพราะเหตุไร ท่านสอนเพื่อดึงเข้ามรรคผลนิพพานมันโดดลงนรก มันฝืนพระพุทธเจ้าเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปต่อหน้าต่อตา หัวพระพุทธเจ้าคืออะไร ธรรมวินัยนั้นแลเป็นศาสดา นั่น มันเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปด้วยการข้ามเกินธรรมวินัยไม่สนใจ มันได้เรื่องได้ราวอะไร
ถ้าปฏิบัติจริงจัง แน่ทีเดียว พุทธศาสนานี้คือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานเปิดจ้าอยู่ตลอดเวลาภายใน เป็นแต่เพียงว่าจอกแหนมันปกคลุม เหมือนสระน้ำที่ใสสะอาดถูกจอกถูกแหนปกคลุมไว้แล้ว น้ำมีขนาดไหนมองไม่เห็น เห็นแต่จอกแต่แหนอยู่บนน้ำ อันนี้ก็มีแต่กิเลสตัณหาอยู่บนหัวใจ ธรรมแท้ที่เป็นเหมือนสระน้ำอันบริสุทธิ์สุดส่วนนั้นมันมองไม่เห็นละซิ เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้เปิดออกคือการภาวนาชำระจิต ก็คือชำระจอกแหนได้แก่กิเลสอยู่ภายในใจนี้ออกๆ พออันนั้นจางไปทีนี้เรื่องใจนี้จะค่อยสว่างขึ้นมาๆ เปิดออกๆ จิตใจยิ่งสว่าง สติปัญญาแสดงลวดลายออกๆๆ เต็มเหนี่ยวเลย เป็นอย่างนั้นนะ จิตดวงนี้ไม่ได้โง่ตลอดเวลานะ ขอให้นำมาใช้ ให้เอาธรรมมาช่วยบุกเบิกเพิกถอนสิ่งปกปิดกำบังอะไรออกมันจะมองเห็น
ถ้าว่าอ่านตำราก็อ่านไปเฉยๆ ไม่สนใจปฏิบัติ สุดท้ายศาสนาก็เป็นศาสนามีแต่ตำราไม่มีความหมาย ก็ตัวเองไม่มีความหมายหมดความหมายแล้วจะเอาอะไรมาเป็นความหมาย ถ้าว่าอ่านคัมภีร์ไปมันก็เป็นหนอนแทะกระดาษไปเสีย มันไม่ได้สนใจมาปฏิบัติมันจะเห็นอรรถเห็นธรรมอะไร พระพุทธเจ้าสอนไว้ในตำรา สอนไว้ให้ปฏิบัตินี่ ปฏิบัติตามที่สอนไว้นั้น จะไปไหน มันก็ต้องตรงแน่วตามที่ศาสดาสอนไว้ พุ่งถึงนิพพานด้วยคำสอนนี้แหละจะไปไหน มันไม่สนใจปฏิบัติตามซิ
จิตที่บริสุทธิ์แล้วเหมือนอะไรที่ไหน แดนสมมุตินี้ไม่มีในธรรมชาตินั้น ท่านจึงว่าวิมุตติพ้นไปหมดทุกอย่าง จะเอามาพูดอย่างโลกนี้พูดไม่ได้ เรื่องความอัศจรรย์ก็เลยโลกไปเสียทุกอย่าง ว่าดีว่าเลิศว่าเลอ ก็เลยโลกทุกอย่างไปแล้ว เหนือทุกอย่างไปแล้วนั้นเอามาพูดได้ยังไง ท่านก็เอาแขนงของธรรมอันนั้นละออกมาพูด สอนวิธีการให้เป็นทางเดินๆ อย่างโอวาทท่านมาสอนพวกเรานี้ออกมาจากธรรมชาตินั้นแหละ เป็นกิ่งแขนงออกมาให้ยึดนี้ๆ จะเข้าถึงต้นลำพูดง่ายๆ จับกิ่งนี้เข้าไปตามเข้าไปก็จะไปถึงต้นไม้ต้นนั้น ต้นไม้ต้นนั้นคืออะไร คือธรรมแท้อยู่ที่หัวใจ ท่านเอาออกจากธรรมแท้นี้มาเป็นแขนงสอนให้รู้บาปรู้บุญรู้คุณรู้โทษอะไรๆ ทุกอย่าง เราปฏิบัติตามนั้นแล้วจะเข้าถึงต้นลำใหญ่นั่น
ศาสนาเลยจะเลอะเทอะไปหมดแล้วเวลานี้ อย่างน้อยศาสนาเป็นศาสนวัตถุ ไปที่ไหนมีแต่วัตถุออกหน้าออกตา ศาสนาแท้คืออะไร คือการปฏิบัติชำระกิเลสภายในจิตใจของตนเอง ด้วยความพากความเพียรมีจิตตภาวนาเป็นสำคัญ นี้คือศาสนาแท้ เรียกว่าศาสนธรรม ศาสนวัตถุก็มีแต่การก่อการสร้าง เอาวัตถุต่างๆ มาอวดกัน โอ๊ย วัดนี้สวยงามนะหรูหรา น่าชมน่าเกรงขาม เกรงขามขี้หมาอะไรประสาอิฐปูนหินทรายเหล็กหลา เอาไปสิบชั้นร้อยชั้นมันก็เป็นอิฐเป็นปูนหินทรายไปถึงนั้นละ จะเป็นมรรคผลนิพพานที่ไหน ดูหัวใจนี้ซิแก้ตัวนี้ได้แล้วไม่ต้องพูดถึงเรื่องดิน น้ำ ลม ไฟเหล่านี้ มันจ้าไปหมดครอบไปหมดแล้วเลิศไหมนั่น นั่นละศาสนธรรมเป็นอย่างนั้น
ไอ้ศาสนวัตถุเอาแต่วัตถุมาอวดกัน โบสถ์หลังหนึ่งสิ้นไปสักกี่ล้าน จนถึงร้อยล้านว่าไง เป็นประโยชน์อะไร การตกแต่งภายนอกให้หรูหราฟู่ฟ่าสวยงาม ตัวภายในมันรกรุงรังเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้อยู่ด้วยอำนาจของกิเลสราคะตัณหาเป็นต้นนี้ ทำไมจึงไม่ดู ทำไมจึงไม่ชำระตรงนี้ ตัวนี้ตัวเป็นไฟ ไปหาตกแต่งอะไร ไปเกาในที่ไม่คัน หมาขี้เรื้อนเขาเกาถูกที่คันนะ เกาตรงไหนคันตรงนั้นเขาเกา อันนี้พระขี้เรื้อนเราอยู่ในวัดในวานี้มันเลยหมาขี้เรื้อนเกาดะไปเลย อะไรก็ดีๆ พระเรานี้ตัวสำคัญ หลวงตาบัวก็พระหัวโล้นๆ เอาธรรมพระพุทธเจ้ามาสอนทั้งหลวงตาบัวด้วย สอนทั้งเพื่อนฝูงอันเดียวกันด้วยผิดไปไหน
เราต้องยอมรับพระพุทธเจ้าซิ ผิดบอกว่าผิด นำธรรมพระพุทธเจ้ามาสอน สอนท่านสอนเราผิดไปไหน มันเลอะเทอะไปขนาดนั้นละเวลานี้ศาสนา มันมีอะไรติดเนื้อติดตัวของชาวพุทธเรา มองไปที่ไหนมันไม่มี มองเข้าไปในวัด สิ่งที่อยู่ในวัดคืออะไร หรูหราฟู่ฟ่าเป็นเรื่องของโลกทั้งหมดเต็มอยู่ในวัดนั้น ของสดสวยงดงามประดับประดา สุดท้ายก็ลายคราม เอาดอกไม้ดอกตอกอะไรมาประดับประดาตกแต่งกุฏิกุต่างให้สวยให้งาม ตัวมันเป็นสัตว์นรกอยู่ในหัวใจทำไมไม่ดู ท่านให้ตกแต่งภายในจิตต่างหากนี่นะ เมื่อตกแต่งภายในจิตนี้แล้วเข้าไปซุกหัวนอนอยู่ตรงไหนสบายหมด
เห็นไหมพระพุทธเจ้าสอน บวชแล้วให้ไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ในป่าในเขา ให้สง่างามอยู่ในนู้น ใจสบายแล้วอยู่ไหนได้หมด เพราะสภาพร่างกายกับสิ่งเหล่านี้มันอยู่ด้วยกันได้ทั้งนั้น พอซุกหัวนอนที่ไหนก็ได้ สร้างหอปราสาทราชมนเทียรหาประโยชน์อะไร อันนี้มันสกปรกขนาดไหน สร้างอะไรมาประดับประดาโลงผีนี้มันจะเป็นเทวดาได้ยังไง มันก็เป็นโลงผีตามเดิม ไอ้ซากอสภในตัวของเราร่างกาย หัวใจของเราเป็นกิเลสมีแต่ส้วมแต่ถานสร้างเท่าไรมันก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร
สร้างหัวใจให้ดีเถอะน่ะ ลงสร้างหัวใจดีแล้วอยู่ที่ไหนดีหมด ไม่ว่ายืน ว่าเดิน ว่านั่ง ว่านอนจ้าตลอด อิริยาบถไม่มี ในจิตของท่านผู้บริสุทธิ์เป็นธรรมทั้งแท่งแล้วจ้าตลอด เวลาใช้กิริยากับโลกก็ใช้ไปตามธาตุตามขันธ์ ที่เป็นเครื่องมือใช้ก็ใช้ไปอย่างนั้น พาอยู่พากินพาหลับพานอน กิริยาอาการที่แสดงไปตามสมมุติก็ว่าไปอย่างนั้น ธรรมชาตินั้นไม่ได้เป็นอย่างนี้ อันนี้ใช้ตามสมมุติต่างหาก ควรแก่ยังไงต่อยังไงแล้วก็ปฏิบัติไปตามอย่างนั้น เรื่องสมมุติอยู่ในธาตุในขันธ์ ท่านก็ปฏิบัติตามสมมุตินี้เพียงเวลามีชีวิตอยู่ นอกจากนั้นปล่อยพรึบไปหายเงียบเลย
แม้แต่อันนี้ยังไม่ตายธรรมชาตินี่ก็จ้าอยู่แล้ว เข้ามาสับปนกับอะไรธรรมชาตินั้น ไม่มีที่จะสับปน ทำอะไรให้เป็นก็ไม่เป็นเรียกว่าอฐานะ ให้เป็นอย่างอื่นอย่างใดไปไม่ได้แล้ว ธรรมชาตินั้นพ้นสมมุติไปแล้ว เรียกว่าพ้นกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ซึ่งเป็นความแปรสภาพไม่มีในจิตที่บริสุทธิ์ จึงเรียกว่านิพพานเที่ยงละซิ ฟาดลงไปให้เห็นซิธรรมพระพุทธเจ้าสอนประกาศลั่นโลกมานี้มันเป็นยังไงหูเรา หูพระพุทธเจ้า หูสาวกก็เป็นหูคนเหมือนกัน หูเรามันเป็นยังไง มันเป็นหูหมาไปหมดแล้วเหรอเวลานี้
หูหมาหูไอ้ปุ๊กกี้ เห็นไหมไอ้ปุ๊กกี้อยู่นั้น เวลานี้กำลังถูกขังมันยังไม่ออก พอเปิดนี้มันจะวิ่งออกมา เห่าว้อกแว้กๆ ไปละ หูไอ้ปุ๊กกี้ ตามันก็เห็นหูมันก็เห็น พอเห่ามันก็เห่าไปละ ไอ้หูเรามันฟังเสียงอรรถเสียงธรรมไหม หรือมันฟังตั้งแต่เสียงเพลงลูกทุ่งลูกกรุง วันนี้งานปีใหม่เป็นบ้ากับปีใหม่กันไป ก็มืดกับแจ้งนั่นแหละ มันหากเป็นบ้ากัน ขอพรปีใหม่ๆ ตัวเองเป็นยังไงพอจะได้พรปีใหม่มารับไหม มีแต่ส้วมแต่ถาน เอาพรปีใหม่มาก็โยนลงในส้วมในถานมันก็เหมือนขี้ด้วยกันไปหมดใช้ไม่ได้นะ พากันจำ เอาละวันนี้เทศน์เท่านั้น
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |