เทศน์อบรมฆราวาส ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๓๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
ธรรมเกิดกับใจแล้วเหนือสิ่งใด
เราไปไหนกองรบกวนมันตามนะ รบกวนนั้นรบกวนนี้ ตามนั้นตามนี้ยุ่งตลอด ให้ช่วยนั้นช่วยนี้ พูดอย่างนี้ละภาษาธรรม มันสลดสังเวชจะตายนะ หัวใจมีอยู่กับทุกคนๆ ไม่มองดูหัวใจตัวเองที่มันคึกมันคะนอง มันดีดมันดิ้นบ้างเลย หาเกาแต่ภายนอก เกาแต่ภายนอกที่มันไม่คัน ที่มันคันไม่เกา เลวยิ่งกว่าหมาขี้เรื้อน หัวใจมนุษย์เลวกว่าหมาขี้เรื้อน หมาขี้เรื้อนเขาเกาในที่คันๆ แต่พวกเรามนุษย์นี้ไปหาเกาในที่ไม่คัน ที่มันคันคือหัวใจตัวมันดีดมันดิ้นตัวนี้ หมาขี้เรื้อนอยู่ในนี้ เกาเข้าไปตรงนี้บ้างเป็นอะไร
มันไม่ได้เกาที่คันนะ เกาที่คันมันจะสงบทันทีๆ พระพุทธเจ้า-พระอรหันต์เกาตรงนั้นนะ ธรรมสอนโลกก็สอนให้เกาที่ตรงนั้น ไม่ได้ไปเกาที่อื่น อันนั้นเป็นกิ่งก้านสาขาดอกใบเล็กๆ น้อยๆ ไม่สำคัญยิ่งกว่าต้นลำอันใหญ่โตของมัน คือหัวใจ อันนี้มันดีดมันดิ้นเอาจริงๆ หาที่ยุติไม่ได้ วิ่งตามกิเลสจมกันทั้งนั้นแหละ ใครจะได้เป็นเศรษฐีกุฎุมพีครองความสุขความเจริญเอามาอวดโลก เพราะการปฏิบัติตามกิเลสรายเดียวไม่เคยมี แต่ผู้ปฏิบัติตามอรรถตามธรรมนั้น ขึ้นต้นก็ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ศาสดาองค์เอกเป็นผู้ตรัสรู้ธรรม นั่นเกาถูกที่คัน ใส่ปึ๋งเข้าไปนั้นกิเลสพังไม่มีอะไรคัน
ธรรมสอนโลกวิธีเกาหมัดที่มันคันๆ อยู่ในหัวใจ จากนั้นก็ประกาศสอนสาวกทั้งหลาย เกาลงที่ตรงนี้ ซัดลงตรงนั้น เบญจวัคคีย์ทั้งห้าบรรลุธรรมปึ๋งขึ้นเลย ห้าองค์ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนั้นพระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุพระโสดา ออกอุทานว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น ไม่ดับคืออันนี้เอง นั่น คืออันนี้ยันไว้เลย นอกนั้นทั่วโลก เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ อันนี้ไม่ดับ เป็นเครื่องยันกัน นี่ละแปลภาษาภาคปฏิบัติ ภาคปริยัติก็เรียนมา เหล่านี้มีแต่มหาทั้งนั้นเรียนมา เราก็เรียน
สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นย่อมดับเป็นธรรมดา นี่ในบาลีที่ว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ เวลาแปลแล้วก็แปลว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นย่อมดับเป็นธรรมดา เพียงเท่านั้น นี่ภาคปริยัติแปล ภาคปฏิบัติแปล สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น พระโสดาขึ้นแล้วแก่พระอัญญาโกณฑัญญะ ขึ้นอย่างนี้เลย จึงเรียกว่าอุทานละซิ จะว่าธรรมดาว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นธรรมดา มันก็ลอยๆ ธรรมดา มันไม่กระเทือนใจจะไปอุทานได้ยังไง นี่ท่านกระเทือนใจของท่านเต็มเหนี่ยวเลย อุทานออกมาทางภาคปฏิบัติ เรายันเป็นพยานได้เลย สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น แต่อันนี้ไม่ดับ นั่นยันกันตรงนี้เลย จ้าขึ้นแล้วที่นี่
นี่ละพระนิพพาน กระแสของพระนิพพานถึงแล้ว ถึงกันแล้ว อันนี้ไม่ดับ ยันกับสิ่งทั้งหลายที่เกิดแล้วดับทั้งนั้น อันนี้ไม่ดับ ความหมายว่างั้น ฟังซิมหาเรียนมาเหมือนกัน นี่ก็เรียนมาเหมือนกัน นี่ละภาคปฏิบัติไม่ได้เหมือนภาคปริยัตินะ เราก็เรียนมาปริยัติก็เป็นมหาเหมือนกัน แปลทางปริยัติก็แปลเหมือนกัน อย่างที่ว่านี้ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นย่อมดับเป็นธรรมดา มันธรรมดาไปเลยลอยๆ ไป มันไม่ถึงใจ พอธรรมเข้าถึงใจปึ๋งเท่านั้น พระอัญญาโกณฑัญญะ สิ่งใดก็ตามเกิดขึ้นแล้วดับทั้งนั้น อันนี้ไม่ดับ ความหมายว่าอย่างนั้น ยันกันเลย ได้แล้วสิ่งไม่ดับ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเจอมาเหล่านั้นมีแต่เกิดดับทั้งนั้น อันนี้ไม่ดับ นั่นยันกันตรงนั้นซิภาคปฏิบัติ ไม่มีภาคปฏิบัติไม่มีอันยัน อันนี้เกิดจากภาคปฏิบัติยันปึ๋งขึ้นเลย อันนี้ไม่ดับ นั่นถึงพระนิพพานปึ๋งเลย เป็นธรรมชาติอันนี้เอง ได้เห็นแล้ว กระแสของพระนิพพานพาดพิงถึงแล้ว อันนี้ไม่ดับ นี่ละธัมมจักกัปปวัตตนสูตรท่านแสดง
ต่อจากนั้นท่านก็ลงวาระสุดท้าย ขมวดเรื่องเข้ามา มาลง ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราตถาคต อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงนี้ไม่มีการกำเริบอีกแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้คืออัตภาพนี้เป็นอัตภาพสุดท้ายของเรา นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ตั้งแต่นี้ต่อไปเราจะไม่กลับมาเกิดแบกร่างกายอันนี้พาเกิดพาตายทับกันทั่วโลกดินแดนนี้อีกต่อไป นี่ละท่านแสดงไว้ในสี่บทสี่บาทนั้น พระอัญญาโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมแล้ว
หลังจากนั้นมาก็เทศน์อนัตตลักขณสูตร ล้างโลกสมมุติทั้งปวง หมดโดยสิ้นเชิง ด้วยอำนาจแห่งอนัตตลักขณสูตร สิ่งใดๆ ก็ตามเป็นอนัตตาๆ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราทั้งนั้นๆ ปัดออกหมดๆ แม้ที่สุดกิเลสที่มันว่าเราว่าของเราอยู่ในนี้ปัดออกนี้เลยจ้าขึ้นเลย นั่นละภาคปฏิบัติฟังเสีย ภาคปริยัติก็เรียนมาเหมือนกัน นี้ภาคปริยัติเรียนมาแล้ว ภาคปฏิบัติมานั้นมันถึงยันกันได้เลย เกิดขึ้นภายในใจนี้แม่นยำๆ ด้วย แน่นหนามั่นคงด้วย ถึงใจด้วย พูดออกมาถึงเหตุถึงผลถึงอรรถถึงธรรมทุกอย่าง ท่านจึงเรียกว่าพลังของธรรม
ที่พูดอย่างที่ว่าดุเดือดเหมือนจะโกรธจะแค้นจะกัดจะฉีกกันนั้น โลกทั้งหลายเขาถือว่าโกรธว่าแค้น ดุด่าว่ากล่าวให้สมใจที่โมโหโทโสเต็มหัวใจ โลกกิเลสมันว่าอย่างนั้น แต่เรื่องของธรรมไม่เป็นอย่างนั้น พลิกเป็นตาลปัตรไปเลย นี้คือพลังของธรรม กิเลสตัวเดียวไม่มีในหัวใจจะเอาอะไรมาโกรธ จะเอาอะไรมาโมโหโทโส โมโหโทโสเหล่านี้มีแต่กิเลสทั้งนั้น กิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วมีแต่ธรรมล้วนๆ ผึงออกมานี้พลังของธรรม พากันจำเอาเสีย
เทศนาว่าการหนักเบามากน้อยมีแต่พลังของธรรมออกมา เรื่องกิเลสตัณหา หรือว่าความโมโหโทโสที่จะแย็บออกมานี่ไม่มี เพราะเหตุไรจึงไม่มี ก็มันไม่มีในหัวใจจะเอาอะไรมาแสดง ถ้ามีอยู่ต้องแสดง ถ้ามันหมดแล้วไม่แสดง จึงเรียกว่าหมด นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าประกาศจ้าขึ้นในหัวใจ มันครอบโลกธาตุของเล่นเมื่อไร พูดให้มันชัดเจนเสียเรา มันจ้าอยู่ในหัวใจนี้แล้ว เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการจึงไม่เคยมีคำว่าสะทกสะท้านแบบกิเลส มีแต่แบบธรรมล้วนๆ ไม่มีแบบกิเลสเข้ามาแฝงเลย ตรงไปตรงมา ภาษากิเลสเขาว่าขวานผ่าซาก พูดดุพูดด่า ภาษาของกิเลสมันสงวนตัวของมัน ธรรมตีหน้าผากมัน ธรรมท่านเปรี้ยงๆ ไปเลย ฆ่ากิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วมีอะไรมาโกรธ ไม่มีคำว่าโกรธ เหล่านี้เป็นกิเลสทั้งนั้น กิเลสสิ้นจากหัวใจเอาอะไรมาเป็นกิเลสมาโกรธ ไม่มี นั่นละหมดโดยสิ้นเชิง
ตายก็ตายเปล่าๆ นั่นละ เช่นสมมุติว่าใครจะมาฆ่าให้ตายให้ท่านมีความโมโหโทโส ไม่มีเลย หมดโดยสิ้นเชิง ตายก็ตายไปธรรมดาเหมือนโลกทั่วๆ ไป แต่ใจท่านไม่โกรธ นี่คือใจพระอรหันต์ จะเอาอะไรมาโกรธ จะเอาอะไรมากล้า จะเอาอะไรมากลัว ความกล้าก็เป็นกิเลส ความกลัวก็เป็นกิเลส ความโกรธเป็นกิเลส ถึงขั้นตายก็ไม่มีกิเลสเหล่านี้เกิดเลย ตายไปตามสภาพของธาตุขันธ์ที่พังทลายลงไป จิตเป็นธรรมชาติที่ไม่ตาย นั่น ไปแตะไม่ได้อันนั้น ไม่แตะ นั่นละจิตของท่านที่ว่าจิตไม่ตาย จิตเป็นธรรมธาตุ จะทำอย่างอื่นอย่างใดให้เป็นอย่างใดอีกไม่ได้แล้ว
นี่ละการประพฤติปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าประกาศธรรมสอนโลกบรรลุมรรคผลนิพพานมามากต่อมากบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ตั้งแต่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาลงมาโดยลำดับลำดา สำเร็จมาเป็นลำดับลำดา เพราะท่านเอาธรรมของจริงออกจากหัวใจมาเทศน์ ท่านไม่ได้เทศน์ลอยๆ จำนั้นจำนี้มาพูด เขาก็ไม่แน่ใจ เราก็ไม่แน่ใจ ผู้เทศน์ก็ไม่แน่ใจ ผู้ฟังจะเอาความแน่ใจมาจากไหน ถ้าผู้เทศน์ยันลงไปทีเดียวเป็นความแน่ใจแล้ว ดังพระอัญญาโกณฑัญญะ สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น อันนี้ไม่ดับ นั่นรับกันแล้วเห็นไหมล่ะ อันที่ท่านรู้นี้ไม่ดับ นี่เครื่องพยานมันกันอยู่นี่ ท่านรู้อย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงได้กล้าปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างได้ว่า อะไรก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น อันนี้ไม่ดับ นั่น
นี่ละธรรมภาคปฏิบัติ ให้มันยันกันอยู่ภายในหัวใจนี้ ขอให้ปฏิบัติเถอะ ธรรมพระพุทธเจ้านี่เป็นอกาลิโก เปิดจ้าอยู่ตลอดเวลา มีตั้งแต่พวกส้วมพวกถานมันปกคลุมหุ้มห่อจิตใจ ไปที่ไหนมีแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ครอบหัวใจไว้หมด หัวใจดวงที่เป็นธรรมแท้ๆ นั้นมองไม่เห็น เพราะพวกมูตรพวกคูถทั้งหลายนี้มันครอบงำเสียหมด เปิดออกซิ ภาวนาตามที่ท่านสอนนั้นน่ะมันเป็นอย่างไร แต่ก่อนสาวกอรหันต์ท่าน สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ได้มาจากไหน ได้มาจากท่านเปิดอันนี้แหละ ถ้าไม่เปิดเรียนจบคัมภีร์ไหนก็ตาม พระไตรปิฎกก็มีแต่ความจำ ความจริงไม่มีในหัวใจ กิเลสไม่ถลอกปอกเปิกนะ เพียงความจำ ต้องเอาความจำมาเป็นภาคปฏิบัติเป็นความจริงขึ้นมา
ท่านจึงว่าปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ผลของงานก็เกิดขึ้นโดยลำดับลำดา ไม่เป็นอย่างอื่นอย่างใด เกิดขึ้นจากผู้ปฏิบัติ ธรรมะพระพุทธเจ้านี้เป็นมัชฌิมา อยู่ในท่ามกลางแห่งมรรคผลนิพพานตลอดเวลา นี้คือธรรมแท้ แต่กิเลสมันมายุมาแหย่ มาลบมาล้างว่ามรรคผลนิพพานไม่มี บาปบุญไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี นี้เรื่องของกิเลสทั้งนั้น พี่น้องทั้งหลายชาวพุทธจำให้ดี พูดให้ฟังชัดเจน นี้เปิดอ้าแล้วในหัวใจนี้ ลบได้อย่างไร นรกมีมาตั้งกี่กัปกี่กัลป์ ใครจะกล้าสามารถไปลบนรกได้วะ มีมากี่กัปกี่กัลป์นับไม่ได้เลย ไม่ว่าหลุมใดๆ มีมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์ไหนๆ ยังไม่อุบัติ อุบัติขึ้นมาก็มาเจออันนี้ก็บอกตามความจริงที่มาเจอมาเห็น
นี่นรกนี่เป็นไฟ เป็นประเภทๆๆ ขึ้นมา นรกมีหลายหลุม เผาหัวใจสัตว์ผู้ที่อาจหาญชาญชัยก่อกรรมทำเข็ญตลอดเวลา ไม่มีความกระดากอายในบาปในกรรมทั้งหลายนั่นละ เผาพวกนี้ละ ท่านผู้ระวังมีหิริโอตตัปปะสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมแล้วท่านไม่ทำ ไฟเหล่านี้เผาท่านไม่ได้ สร้างแต่คุณงามความดี แล้วสวรรค์-พรหมโลก-นิพพานมีไว้เพื่อใคร ก็มีไว้สำหรับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งนั้นแหละ ทางเดินของผู้ดีไปทางนี้ ทางเดินของคนชั่วผู้ชั่วลงทางต่ำเสมอ ไปที่ไหนภพใดชาติใดมีตั้งแต่เรื่องกองทุกข์ความทรมานบีบบี้สีไฟเพราะกรรมของตัวเองชั่วช้าลามกนั้นแหละ ที่ทำขึ้นมาเผาตัวเอง ไม่มีใครมาเผาให้นะ เราจะไปตำหนิผู้ใด
ใครจะเก่งกล้าสามารถเลยศาสดาองค์เอกไปได้ พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เป็นแบบเดียวกันหมด ทรงรู้ทรงเห็นสิ่งเหล่านี้มาด้วยกันทั้งนั้น แล้วมาสอนจะผิดไปไหน เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสองคืออะไร คือพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าไม่มีสอง ว่าอย่างไรเป็นอย่างนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีสอง เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วหมด ไม่ว่าต้นว่ากิ่งก้านสาขาดอกใบ แตกไปไหนก็เป็นกิ่งก้านของต้นไม้ต้นนี้ๆ ต้นไม้ที่แน่นอน ที่เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วนี้ทั้งนั้น นั่นท่านสอนไว้อย่างนี้ ใครจะสอนได้แม่นยำยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก โลกนี้โลกโกหก คือโลกของกิเลส มันโกหกทั้งนั้น พากันภูมิใจในความโกหกของกิเลส ครอบหัวใจของตนเอง และเป็นบ้ากันทั้งโลกทั้งสงสาร
พูดแล้วสลดสังเวชนะ นี่พูดจริงๆ ตามหลักธรรม ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามผู้ใด เอาอรรถเอาธรรมเอาความจริงมาพูด แต่ก่อนมันไม่รู้ ไม่ว่าท่านว่าเรามันไม่รู้ มันก็เป็นไปตามภาษีภาษา เวลามันรู้แล้วจะให้ว่าอย่างไร ก็พูดตามที่มันรู้มันเห็น ใครไปลบล้างซิลบล้างนรกน่ะ ศาสดาองค์เอกตรัสรู้มากี่พระองค์ องค์ไหนมีความสามารถไปลบล้างนรกทั้งหลายที่มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้เสียอีก ใครจะเก่งกล้าสามารถไปลบล้างนรกไม่ให้มี หรือไม่มีได้ ไม่ว่าหลุมใดก็ตาม สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ใครไปลบล้างได้ มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ กี่กัปกี่กัลป์เหมือนกัน เรียกว่าไม่สามารถที่จะพรรณนาได้ในความนานของสภาพทั้งดีและชั่วเหล่านี้
แล้วพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ก็มาสอนสิ่งที่ดีและชั่วที่เป็นตามหลักความจริงของมันอยู่แล้วนี้มาสอนโลก เราจะเก่งกล้าสามารถยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าไปที่ไหนไปลบล้างนรกๆ นรกก็ไม่มี สวรรค์ก็ไม่มี มีตั้งแต่บาปเต็มตนเต็มตัว นั้นละมันจะเผาเจ้าของ ให้พากันจำนะตั้งแต่บัดนี้ยังไม่ตาย ตายแล้วจะนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา มันเกิดประโยชน์อะไร กุสลา ธมฺมา ก็คือว่าสอนให้คนมีความเฉลียวฉลาด แก้ไขดัดแปลงสิ่งที่ไม่ดีออกจากตนเอง บำเพ็ญสิ่งที่ดีให้ดียิ่งขึ้นๆ นั้นละ กุสลา ธมฺมา ต้องสร้างตั้งแต่เวลามีชีวิตอยู่นี้ตายเกิดประโยชน์อะไร
นี่มันก็จวนจะตายแล้วนะนี่ แทนที่จะมาเป็นห่วงเป็นใยเจ้าของ เราพูดจริงๆ เม็ดหินเม็ดทรายเราไม่มี ตื่นขึ้นมาปั๊บมีแต่ความเมตตาสงสารครอบโลกธาตุ มันเป็นอย่างไรถึงได้ครอบโลกธาตุ มันมีอะไรอยู่ในนี้ถึงได้เมตตาสงสารครอบโลกธาตุ ถ้าไม่มีอันยิ่งใหญ่ครอบโลกธาตุอยู่ในนั้นจะเมตตาครอบโลกธาตุได้ยังไง นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าใหญ่หรือไม่ใหญ่ มีแต่ว่ากิเลสมันใหญ่ทั้งนั้นเดี๋ยวนี้ กิเลสมันใหญ่ทั้งนั้น มันเหยียบหัวสัตว์ทั้งหลายให้จมลงๆ ไม่มีใครเห็นโทษเห็นกรรม ไม่มีใครเบื่อหน่ายอิ่มพอคือกิเลสกล่อมหัวใจโลก
ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วพอใจด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเรื่องของอรรถของธรรมอืดอาดเนือยนายขี้เกียจขี้คร้าน ท้อแท้อ่อนแอ ไล่เข้าไปห้องพระฟังเสียงร้องแงๆ เหมือนจูงหมาใส่ฝน มันเป็นอย่างไรมันไม่อยากกราบพระ มันขี้เกียจขี้คร้าน ตัวขี้เกียจขี้คร้านเหยียบหัวมันก็ร้องแง็กๆ ละซิ เหมือนจูงหมาใส่ฝน ถ้าบอกว่าลิเกละครอยู่ที่นั่น ระบำรำโป๊อยู่นั่น เหอๆ มันเป็นบ้ากันหมดโลก พวกแหๆ นี่ มีไหมลูกศิษย์หลวงตาบัวอยู่นี่น่ะ หรือมีอุตริแต่หลวงตาบัวคนเดียวนี่หรือ ไม่มีความจริงเอามาพูด เรียกว่าอุตริ เอาของจอมปลอมมาพูด เรียกว่าอุตริ
นี้มีไหมลูกศิษย์เรานี่มีแหๆ ไหม ถ้ามีเราก็ไม่อุตริ ก็แสดงว่าถูกต้อง ถ้าถูกต้องแล้วให้ยอมรับ ยอมรับอย่าแหๆๆ อีกนะ มีแต่พวกแหๆ ลูกศิษย์หลวงตาบัว พูดแล้วโมโห ถ้ามีไม้อยู่ข้างๆ นี่เราจะปาไปให้มันหลงทิศหลงแดน ลงกุฏิไม่ทัน แต่มันไม่มีไม้เอาละนั่งสบายเถอะ มันไม่มีไม้ไม่ต้องกลัว มีแต่ปากแว้ๆ เฉยๆ ละ เหมือนจูงหมาใส่ฝนมันร้องแง็กๆ เฉยๆ เข้าใจไหม ถ้าจูงเข้าวัดเข้าวา ฟังธรรมจำศีล ปฏิบัติความดีงามทั้งหลาย อันหนึ่งมันอยู่ในใจ มันจะแง็กๆ ขึ้นมา มีไหมอยู่ในหัวใจเรา
หมาเราเห็นตั้งแต่ข้างนอก ตอนเช้าเขาจูงมาตามนี้น่าดูๆ ไอ้หมาตัวมันแหง็กๆ ห้ามไม่ให้ไปวัดไปวา ฟังธรรมจำศีล สร้างคุณงามความดี มันแหง็กๆ อยู่ในหัวใจทุกคน ทำไมไม่ดูมันหมาตัวนี้น่ะ หมาตัวนี้เป็นภัยต่อคนนะ หมาตัวนั้นไม่เป็นภัย ใครก็อยากเล่นอยากหยอกมัน มันติดเจ้าของ เจ้าของไปไหนพันกันเลย มันรักเจ้าของ ใครมาเห็นอยากดูอยากชมทั้งนั้นหมาตัวนั้น แต่หมาตัวแหง็กๆ นี้ไม่มีใครอยากชม แต่ชอบมันอยู่ในหัวใจของแต่ละคนๆ เห็นคนอื่นโกรธนี้ไม่อยากได้ยินได้ฟัง แต่ถ้าโกรธเขาวันยังค่ำฟังได้แหง็กๆ ได้ พวกนี้พวกแหง็กๆ โกรธเขาได้ด่าเขาได้ แต่เขาด่าตัวเองด่าไม่ได้ นี่ละหมาตัวนี้อยู่ในหัวใจมีไหมอยู่นี่
โธ่ เรื่องแก้กิเลสเป็นของง่ายเมื่อไร เราเคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว จนท้อใจที่จะไม่สั่งสอนใครเลย บอกแล้วพูดไม่รู้กี่ครั้ง ไม่เคยคาดเคยคิดนะ แต่ก่อนก็ธรรมดาๆ บึกบึนไป เช่นอย่างภาวนาไป เวลาภาวนาทีแรกจูงหมาใส่ฝน มันก็ร้องแหง็กๆ ก็จูงกันไป จูงไปเรื่อย ปลอบโยนกันไป เวลานี้มันทุกข์ยากลำบาก เพราะยังไม่มีทุนมีรอน การบำเพ็ญก็พึ่งบำเพ็ญจิตใจหาความสงบไม่ได้ มีแต่ฟืนแต่ไฟแหง็กๆ อยู่ในหัวใจ เอา ถูไถไปๆ ทีนี้เวลาถูไถไปมันค่อยได้หลักได้เกณฑ์ๆ จิตไม่เคยสงบ สงบ
พอสงบแล้วแน่นหนามั่นคงปึ๋งมีความสง่าผ่าเผย เห็นค่าของใจตัวเองแล้ว เริ่มเห็นคุณค่าใจตัวเองตั้งแต่จิตมีความสงบ ถ้าใจไม่มีความสงบไม่มีใครเห็นคุณค่าของหัวใจ นอกจากเป็นบ้ากับสิ่งภายนอกแหง็กๆ ไปตามมันเท่านั้นละ เห่าไปตามมัน ไม่ใช่เห่าจะกัด เห่าตามมัน เป็นอย่างนั้นนะ ทีนี้เวลาบำเพ็ญเข้าๆ ธรรมะมีภายในจิตใจสูงขึ้นๆ ละเอียดลออขึ้น ทีนี้ย้อนเข้ามาเห็นความอัศจรรย์ โอ๋ นี่ความอัศจรรย์ความแปลกประหลาดอยู่ที่ใจๆ
หมุนเข้าสู่ใจละที่นี่ สิ่งภายนอกมันก็ค่อยเปลื้องออกๆ ค่อยปล่อยวางลงไป เบาลงไป จิตใจหมุนเข้ามาหาธรรมภายในใจ หมุนเข้าๆ ทีนี้ความสำคัญเลยมาอยู่ที่ใจ หมุนที่ใจเรื่อยๆๆ นอกนั้นจางไปๆ ปล่อยออกๆ หมุนเข้ามาที่ใจ ธรรมเกิดกับใจแล้วเลิศเลอเหนือสิ่งใดๆ ทั้งนั้นในสามแดนโลกธาตุ ทีนี้ยิ่งหมุนเข้าไป หมุนเข้าไป จิตสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมา ไม่เคยคิดเคยเห็น ไม่เคยคิดว่าจิตนี้เป็นความสำคัญอย่างไรบ้าง ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็น มาได้เห็นตอนภาวนา
เอาพูดให้ชัดๆ อย่างนี้ แต่ก่อนไม่เคยเห็น แต่เวลามาภาวนาที่ร้องแหง็กๆ ก็ยอมรับว่าร้องแหง็กๆ สู้กิเลสไม่ได้ ให้มันตีเอาหงายหมาลงไปร้องแหง็กๆ เอา สู้ไปสู้มาสุดท้ายกิเลสมันก็หงายหมาเหมือนกัน ฟัดเข้าไปๆ เอาจนกิเลสขาดสะบั้นไปจากหัวใจหมดโดยสิ้นเชิง จ้าขึ้นมาครอบโลกธาตุ ท้อใจ พูดชัดๆ อย่างนี้เลย โถ ลงขนาดนี้แล้วจะไปสอนใครได้ สอนใครที่ไหนเขาจะหาว่าบ้าไปหมด เพราะเขาเป็นบ้ากันทั้งโลก จิตดวงนี้ใครจะไปยอมรับ ไม่มีใครยอมรับ อยู่ไปกินไปพอถึงวันเท่านั้นก็เอาละ บิณฑบาตกับชาวบ้านชาวเมืองในป่าในเขากินไป พอถึงกาลเวลาแล้วก็ดีดผึงไปเท่านั้น สอนให้มันหนักหนาลำบากลำบนอะไรให้เขาหาว่าบ้า นั่นเห็นไหมล่ะ
เวลามันเป็นเป็นขนาดนั้นนะ มันเป็นแล้วในหัวใจนี้น่ะ แต่ก่อนใครเคยคาดเคยหมายเมื่อไรว่าธรรมเป็นเช่นไร ถึงขนาดที่ว่าตำหนิความเป็นอยู่ของตนที่เคยเป็นมากี่กัปกี่กัลป์ ตำหนิโดยสิ้นเชิง ไม่มีชิ้นใดดีเลย ธรรมชาตินั้นครอบไปหมดๆ ทีนี้มันก็ท้อใจซิ สอนใครก็ตามใครจะบึกบึนไปได้ ลงถึงขนาดนี้แล้ว ใครจะรู้จะเห็นได้ธรรมประเภทขนาดนี้แล้ว อยู่ไปกินไปวันหนึ่งๆ พอถึงวันเท่านั้นพอแล้ว สอนใครเขาก็จะหาว่าบ้า นั่นเห็นไหมล่ะ มันเป็นในใจ ไม่ได้มาโม้มาคุยนะ
แต่ก่อนมันไม่ได้เป็นในนี้ ธรรมชาตินี้มันเลยคาดเลยคิด เป็นแบบอัศจรรย์ที่นอกสมมุติ ว่าอย่างนั้นเถอะ ไม่มีที่ไหนที่จะไปคาดคิดได้เลย มาเจอเอาเสียอย่างจังๆ น่ะซี มันก็ท้อใจ สอนไปหาอะไร ใครจะไปรู้ได้ลงขนาดนี้แล้ว ลงขนาดนี้แล้วใครจะไปรู้ได้ มนุษย์ทั้งโลกรู้ไม่ได้ รู้แต่เราคนเดียว เหยียบมนุษย์โดยไม่รู้ตัวซิ ทีนี้ธรรมท่านก็ผางขึ้นมาละซิ นี้ละที่ว่าธรรมกระตุกในหัวใจ กระตุกอย่างแรงเสียด้วยนะ ไม่ใช่กระตุกธรรมดา นี่ละธรรมเกิด ธรรมกระตุก เหมือนหนึ่งว่าเราลืมโลกลืมสงสารเสีย เราเลิศแต่เราคนเดียว นอกนั้นเลวไปเสียหมด เป็นลักษณะนั้น
ธรรมท่านจึงกระตุกขึ้นมาว่า ถ้าหากว่าเป็นสิ่งที่เลิศเลอ รู้แต่เราคนเดียว ไม่มีใครจะสามารถรู้ได้แล้ว เราเป็นเทวดามาจากไหน เราก็เป็นมนุษย์เหมือนมนุษย์ทั้งหลายนี่ เราทำไมรู้ได้เห็นได้ เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ทำไมจึงไปว่าเขาจะรู้ไม่ได้เห็นไม่ได้ เรารู้ได้รู้ได้เพราะอะไร เพราะเหตุใด คำว่าเพราะเหตุใดนี่นะ มันวิ่งถึงบารมีทุกคน ทุกคนมีบารมีทุกคนนะ พอว่ารู้ได้เพราะเหตุใด สายทางตั้งแต่นู้นมาถึงจุดนี้ มาถึงธรรมชาติที่เลิศเลอนี่มาจากบารมีความดีงามทั้งหมดเลย ไสเข้ามา ไสเข้ามา
พอว่ารู้ได้เพราะเหตุใด มันมองเห็นสายทางของเจ้าของมา มีแต่สายบารมีความดีงามทั้งนั้นมานี่ ยอมรับ อ๋อ รู้ได้ ไม่มากก็รู้ได้ ยอมรับทันทีเลย ก็มันสายทางเข้ามา ต่างคนต่างสร้างคุณงามความดีมาด้วยกันทุกคน มีใกล้มีไกล ขยับเข้ามาๆ ด้วยกันทั้งนั้น มันก็ยอมรับ อ๋อ ได้ ไม่มากก็ได้ ปฏิเสธไม่ได้เลยนะที่นี่ นั่นจึงมีแก่ใจที่จะแนะนำสั่งสอน เพื่อนฝูงก็รุมตลอด เรื่องรุมนั้นรุมแหละ อยู่ในป่าในเขาไปที่ไหนพระนี้รุม จมูกพระดีกว่าจมูกหมานะ หมานี้ตามเจ้าของดมนั้นดมนี้ไม่ได้เรื่องได้ราวมันกลับบ้านของมัน แต่พระนี้ไม่กลับ ไปอยู่ในเขาที่ไหนลูกไหน ถ้ำใดเงื้อมผาใด ตามถึงหมดพระ พอไปถึงแล้วมาอย่างไรพวกนี้น่ะ จมูกมันเก่งกว่าจมูกหมานี่นะพวกนี้ เฉย ขอให้ได้อยู่ด้วยก็พอ ขอให้ได้อยู่ด้วย ว่าอย่างไรเฉยเลย สมหวังแล้ว ได้มาถึงแล้ว ความหมายว่าอย่างนั้น จะว่าอะไรว่าไปเถอะ ตกลงเราก็แหง็กๆ เพราะหมู่เพื่อนทับเอาร้องแหง็กๆ
นี้ละธรรมเลิศหรือไม่เลิศ ขอให้ปฏิบัติซิธรรมพระพุทธเจ้า ถ้าอยากรู้อยากเห็น มีแต่อ่านคัมภีร์ใบลาน กราบปลกๆ ได้ไม่ถึงสามครั้ง พุทโธ ธัมโม สังโฆ บางคนยังไม่ถึงสามครั้งฟังเสียงหลับครอกๆ มีเยอะ นี่ความขี้เกียจขี้คร้าน เรื่องกิเลสตัณหามันเหยียบเอาอย่างนี้ ธรรมงอกเงยไม่ได้ เอา เร่งลงไป ฟาดลงไป กิเลสมันหนาเท่าไรธรรมต้องหนาซัดกันๆ ซิ มันพ้นไปไม่ได้ละ ธรรมเหนือกิเลสตลอดมา ถ้านำมาใช้กิเลสพังเพราะธรรมพระพุทธเจ้า กิเลสพังเพราะธรรม สาวกทั้งหลายกิเลสพังเพราะธรรม ความพากเพียร สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ขันติธรรม ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เรียกว่าพละทั้งห้า
นี้ละธรรมทั้งนั้นฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปได้ทุกคนนั่นแหละ อย่าพากันนอนใจนะ เราจวนจะตายเท่าไรแทนที่จะมาห่วงเรา เราพูดจริงๆ เราไม่มีเลย บอกว่าไม่มีเลย ตื่นขึ้นมาจิตมันออกแล้ว มันจ้ามันครอบไปหมดแล้ว มีแต่ความเมตตาสงสารทั้งนั้น โง่เง่าเต่าตุ่นก็คือมนุษย์เรา เทียบกับธรรมประเภทนี้แล้ว ไม่มีใครโง่ยิ่งกว่ามนุษย์ เมื่อได้อรรถธรรมเหล่านี้ไม่มีใครจะฉลาดยิ่งกว่ามนุษย์ ถ้าได้ธรรมแทรกเข้าไปตีกิเลสได้ ฆ่ากิเลสได้ พระพุทธเจ้าฆ่ากิเลสได้ แต่ก่อนกิเลสเหยียบพระพุทธเจ้ามากี่กัปกี่กัลป์ สาวกทั้งหลายกิเลสเหยียบทั้งนั้น ทำไมกิเลสพังได้ ก็เพราะอำนาจของธรรม นี้เราลูกศิษย์ตถาคต ก็เพราะอำนาจของธรรมเหมือนกัน ให้เพียรกันนะ
อย่านอนใจเฉยๆ ครูบาอาจารย์ไม่อยู่ พุทโธ ธัมโม สังโฆ อยู่กับเรา ท่านไม่พรากจากเรานะ ให้ระลึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ ระลึกภาวนาอยู่นี่ ไปที่ไหนเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลาด้วยความระลึกถึงธรรม จิตใจใดที่ระลึกถึงอรรถถึงธรรม จิตใจนั้นเลิศอบอุ่นตลอดเวลา จิตใจใดไม่มีอรรถมีธรรม จะเอาสมบัติเงินทองข้าวของมากองเต็มแผ่นดินนี้ก็ตามไม่มีความหมาย ไม่อย่างนั้นจะว่าธรรมเลิศกว่าสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร พออันนี้ปรากฏขึ้นเท่าไรมันปล่อยของมันหมดเลย พากันจดจำ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|