เทศน์อบรมฆราวาส ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๒๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
ธรรมชาตินั้นคือนิพพานเที่ยงอยู่ในหัวใจ
มาจากไหน (วัดอาวุธ บางพลัด ครับผม) ท่านชื่อว่าไง (พระมหาประกอบ ครับผม) ผมเคยไปไหมวัดนี้ (ไม่เคยครับผม) อย่านั่งเท้าแขนมันไม่น่าดู พระที่นั่งในที่ชุมนุมอยู่ในท่ามกลางครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือ มาทำอย่างนี้ดูไม่ได้ จำให้ดีนะ นี่ละธรรมวินัยสอนกันอย่างนี้ อย่ามาเหลาะๆ แหละๆ นะเห็นแล้วมันขวางหูขวางตา นี่รักษาธรรมวินัยมาตั้งแต่วันบวชตลอด ความสวยงามเหมาะสมกับพระรักษาปฏิบัติมา อันนั้นเป็นเรื่องของโลกเขา พากันจำเอานะ
มีพระเท่าไรอยู่นั้น (ตอนนี้มีอยู่ ๑๐ รูปครับผม) ให้พากันตั้งใจปฏิบัตินะพระเรา มันจะเหลวๆ ไหลๆ ไปหมดเวลานี้ วัดจะกลายเป็นส้วมเป็นถาน พระจะกลายเป็นมูตรเป็นคูถไปหมดเพราะความเหลวไหล เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปด้วยการข้ามเกินพระธรรมวินัย นี่ละที่เสีย เสียตรงนี้ มองไปที่ไหนเห็นตั้งแต่ ทั้งเราทั้งท่านทั้งใครเหยียบหัวพระพุทธเจ้าตลอดไปเลย นั่งก็นั่งบนหัว ขี้รดหัวไป มันข้ามเกินหลักธรรมวินัยที่เป็นองค์แทนของศาสดา องค์แทนของศาสดาก็คือเป็นศาสดาของเราทั้งหลายนั่นเอง
ให้พากันเคารพหลักธรรมหลักวินัย นั่นละเป็นองค์แทนของศาสดา ถ้าเคารพหลักธรรมวินัย อยู่ที่ไหนก็ตามเสด็จพระพุทธเจ้าหรือเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา ถ้านอกจากนี้ไปแล้วถึงจะแบกคัมภีร์หลังหักก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เรียนมากี่ประโยคๆ ไม่เกิดประโยชน์ มีแต่ความจำเฉยๆ ความจริงไม่มีในใจ หลักธรรมหลักวินัยนั้นคือความจริงออกจากศาสดา ให้พากันจำเอา ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
เห็นพระลูกพระหลานมาผมก็สงสาร เพราะฉะนั้นเห็นระเกะระกะจึงเอาเลย นั่น ผมไม่อยากดู อันนี้มันเลอะเทอะมาพอแล้วในโลก ในวงของพระ ในวงพวกเรานักปฏิบัติยังจะมาเห็นอย่างนี้อีกมันดูไม่ได้ ให้พากันจำเอา เทศน์เท่านั้นละ เอ้าพากันกราบเสีย นี่พวกญาติโยมก็จะหลั่งไหลขึ้นมาละ พอใจที่นำทองมาถวาย แล้วท่านเป็นหัวหน้าวัด ให้เข้มงวดกวดขันการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยของพระเณรนะ เท่านั้นละฝากไว้
(ลูกศิษย์นำปัจจัยแปดหมื่นกว่าบาทมากราบถวายหลวงตา จากการนำผ้าห่มให้ญาติโยมซื้อถวายพระ) อย่าทำต่อไปนะ ถ้ามีศรัทธาให้เอามา ไม่มีศรัทธาอย่าเอามา อันนี้มันมีเล่ห์มีเหลี่ยมร้อยสันพันคมอยู่ในนั้น กิเลสแทรกธรรม นี่ภาษาธรรมให้ท่านทั้งหลายฟังเสียนะ เราติดเราขวางตามานานแสนนาน วันนี้ก็เห็นพระมานั่งเก้งๆ ก้างๆ ก็ใส่เปรี้ยงๆ เลย นี่ละภาษาธรรมไม่เป็นภัยต่อผู้ใด ภาษานี้เป็นคุณทั้งนั้น เป็นธรรมล้วนๆ อะไรระเกะระกะชะออกไปล้างออกไป ถึงได้ว่าอันนี้มาขายนั่นแล้วก็ได้เงินนี้มา เราไม่อยากรับเงินว่าไง วัดนี้ไม่เคยจำหน่ายขายนั้นขายนี้ เห็นไหมบิณฑบาตได้มาสักเท่าไร กองพะเนินเทินทึก แจกทานไปหมดๆ เลย ของที่ได้มาในนี้เราไม่มีอะไรที่จะกำ ไม่มี แบตลอดๆ ให้ท่านทั้งหลายจำเอา
นี่ละธรรมเป็นประโยชน์แก่โลก เฉลี่ยเผื่อแผ่ชุ่มเย็นไปหมด ไม่ต้องถามถึงชาติชั้นวรรณะฐานะสูงต่ำประการใด น้ำใจที่แสดงออกมาต่อกันเชื่อมถึงกันทันที สนิทตายใจกันได้ทันที นี่ละธรรมให้พากันจำเอา โธ่ ธรรมดูโลกมันจะดูไม่ได้ จะว่าอะไร พูดออกมาจากหัวอกสักทีเถอะ นี้ปฏิบัติมาตั้งแต่วันบวชมาจนกระทั่งถึงบัดนี้สั่งสมความดีงาม ชะล้างสิ่งที่สกปรกมาตลอดๆ ตั้งแต่วันบวช พูดง่ายๆ จนมาถึงวันนี้ ๗๒๗๓ ปีนี้ละมัง ชะล้างๆมา ข้างนอกก็ชะล้างมาตลอด อยู่ในฐานะที่ชะล้างได้ง่าย คือกิริยาอาการความประพฤติอย่างไรอันนี้ชะล้างได้ง่ายกว่าภายใน ภายในใจนี่ชะล้างยาก จึงต้องเอาจิตตภาวนาเข้าไปชะล้าง ธรรมดานี่ชะล้างไม่ได้
นี่ชะล้างมาทั้งภายนอกทั้งภายในรวมกันมาเรื่อย ชะล้างมาๆ เอาให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเลยชะล้างที่สุดท้ายคือชะล้างหัวใจ เราชะล้างมาตั้งแต่บวชก็ฝึกหัดภาวนา เคยเล่าให้ฟัง นี่ละชะล้างหัวใจ ต่อมาพอเรียนจบตามความมุ่งหมาย ที่ว่าเรียนจบแล้วเราจะออกปฏิบัติโดยถ่ายเดียวเท่านั้น แล้วเราก็ออกตามนั้น นั่นละที่นี่ขึ้นเวทีฟัดกันเลยกับกิเลส มีแต่ชะล้างจิตใจโดยลำดับ กายวาจาความประพฤติทุกอย่างมันชะล้างอยู่ตลอดแล้ว เป็นประจำนิสัยของพระ ต้องรักษาอย่างนั้นชะล้างอย่างนั้นมาตลอด
ส่วนจิตใจมันมัวหมองมืดตื้อไม่มีใครมองเห็นกันได้แหละ เราก็พยายามชะล้างเรื่อยมาโดยลำดับลำดา ตั้งแต่จิตเศร้าหมองมืดตื้อ จูงเข้าทางจงกรมมันร้องแหง็กๆ มันเป็นอย่างไรร้องแหง็กๆ เหมือนจูงหมาใส่ฝน มันไม่อยากเข้าทางจงกรม เหมือนจูงหมาใส่ฝน มันร้องแหง็กๆ เคยเห็นไหมจูงมาใส่ฝน ไม่เคยเห็นเหรอ ไปจูงดู ไปบ้านเวลาฝนตกจูงหมาออกไปมันจะร้องแหง็กๆ ไหม สอนขนาดละสอนคน
นี่ละเราทำความดีมันฝืนๆ ได้ฟัดกันตลอดเวลานะ วันนี้เปิดให้พี่น้องทั้งหลายทราบเสีย เราทำประโยชน์มาให้แก่โลกมานี้ได้ ๕๕๕๖ ปีนี้แล้ว ทำแบบสมบูรณ์ ไม่ได้มาทำเจ้าของ เจ้าของได้พยายามชำระสะสางมาตั้งแต่พรรษา ๗ จนกระทั่งพรรษา ๑๖ วันที่ ๑๕ วันที่มันเป็นนั้น วันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๖ ๒๔๙๓ เวลาไปเทียบแล้วเป็นวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ นี่ละชะล้างกันไป ซัดกันไปๆ ตลอดเวลา เป็นตายไม่ได้คำนึง
ที่มาเทศน์ให้พี่น้องทั้งหลายฟังนี้เวลาปฏิบัติอยู่นั้น นักโทษในเรือนจำเราสมัครเข้าเลยมันไม่ได้ทุกข์ กินข้าววันละสองหนสามหน จักตอกเหลาตอกวันละสี่ห้าเส้น ฆ่าเวล่ำเวลาพอได้ออกจากเรือนจำ แต่สู้กับกิเลสนี้มันยิ่งกว่าเขาติดคุกในเรือนจำนะ ทุกข์ยากลำบากด้วยความสมัครใจ จะเป็นจะตายนี้บางทีจนกิเลสมันขึ้นภายในจิตใจ เพราะความทุกข์ความทรมานกับเรา นั่งภาวนาฟาดกันเต็มเหนี่ยวๆๆ เขาขับลำทำเพลงมาข้างๆ ทางนี้กิเลสก็ขึ้น นี้เขายังพอมีความสะดวกสบายบ้าง ไม่ได้รับกองทุกข์ ตกนรกทั้งเป็นเหมือนอย่างเราที่เป็นอยู่เวลานี้ นี่กิเลสสอดขึ้นมา
ทางนี้ธรรมก็รับกันปึ๋งเลย เรื่องเหล่านี้เราก็เคยผ่านมาแล้ว ตกนรกทั้งเป็นทั้งตาย ได้เห็นมาแล้ว ตั้งแต่ไหนในชาตินี้เป็นฆราวาสก็เคยเป็นอยู่แล้ว ไปตื่นเต้นหาอะไร ฟาดกิเลสตัวมันหลอกอยู่เวลานี้เป็นไร ก็ซัดกันเลย นี่ละพูดถึงเรื่องความพากความเพียร เราพูดจริงๆ ชีวิตของเรานี้ แหม พูดง่ายๆ นะ งานของโลกนี้เขาทำได้เราทำได้เต็มกำลังความสามารถ แต่ไม่มีคำว่าสละเป็นสละตาย แต่งานภาวนานี้สละตายจริงๆ นะ ถึงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็ม เอา ใครเก่งอยู่ ใครไม่เก่งตกเวที ต้องซัดกันทะลุเลย
ท่านทั้งหลายฟังเสียนะ เพลงของการฆ่ากิเลส วิธีรบข้าศึกศัตรู สละชีวิตๆ มา กว่าจะได้ธรรมมาแสดงพี่น้องทั้งหลายนี่เป็นเวลา ๕๖ ปีนี้ ๒๔๙๓ นั่นละวันกิเลสตัวข้าศึกใหญ่พังทลายลงจากหัวใจ ฟ้าดินถล่มภายในหัวใจนี้เลย ฟ้าดินถล่มมันสะเทือนหัวใจมาก จนกระทั่งสะดุ้งปึ๋งเลยทีเดียว มันเป็นอย่างไร กิเลส อวิชฺชาปจฺจยา มันกดมันถ่วงลากสัตว์ทั้งหลายให้เกิดแก่เจ็บตายในภพน้อยภพใหญ่ ไม่มีกำหนดกฏเกณฑ์ว่าภพใดชาติใดจะเกิดเป็นอะไรๆ บ้าง ตามแต่กรรมของตัวเองที่สร้างมาดีชั่ว ถ้าทำชั่วแบบไหนๆ มันจะไปเกิดตามกรรมชั่วของตัวเอง
ไม่มีอะไรเหนือกรรม ใครอย่าอวดดีอวดเก่งว่าตัวเก่งๆ นะ เก่งขนาดไหนไม่เหนือกรรม ถ้าลงได้ทำกรรมแล้วใครไม่เห็นก็ตามเจ้าของก็เห็น เจ้าของก็รู้อยู่ในนั้น นั่นละตัวสร้างกรรมคือตัวเจ้าของเอง มืดแจ้งไม่ได้เป็นบาปเป็นกรรม ไม่ได้เป็นผู้สร้างกรรม ตัวผู้ทำทั้งในที่ลับทั้งในที่แจ้ง ผู้นั้นละทำ กรรมอยู่ในนั้น มันเกิดมันตายทั่วโลกดินแดนอยู่ในนี้ มีมากขนาดไหน นี่ละกิเลสตัวนี้มันพาให้เกิดให้ตาย พอมาถึงขั้นสุดท้ายในคืนวันนั้น เวลา ๕ ทุ่มเป๋งเลย หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ อยู่บนภูเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ เวลา ๕ ทุ่มเป๋ง
พอถึงวาระซัดกันนี้ก็สะเทือนโลก เหมือนว่าโลกธาตุสะเทือน มันกระเทือนอย่างรุนแรง ร่างกายนี้ไหวปึ๋งเลย นี่เห็นไหมอวิชชาตัวมันกดมันถ่วงพาเกิดพาตายกี่กัปกี่กัลป์มานับไม่ถ้วน นักเกิดก็คือตัวของเราของท่านแต่ละคนๆ ไม่มีใครนับได้ พอมันจ้า ขึ้นมามันรู้ตามไปหมดเลยเกิดเป็นอะไรๆ นี่ละพอผางขึ้นมานี้เกิดความสลดสังเวช น้ำตาพังเลยเทียวนะ ฟังเสียนะท่านทั้งหลาย เราปฏิบัติธรรมนี้ มาสอนเหล่านี้เราสอนด้วยความเมตตา เราไม่ได้สอนด้วยความโอ้อวด พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้โอ้อวด เป็นสิ่งที่กระตุกใจให้พากันตื่นบ้าง
อย่าเป็นบ้ายศบ้าลาภ บ้าสรรเสริญเยินยอ บ้านั้นบ้านี้ มันมีแต่กิเลสหลอกคนให้จมๆ ธรรมท่านไม่หลอก นี่ก็ฟัดกันจนกระทั่งขาดสะบั้นลงไปแล้ว ถึงขนาดที่ว่าท้อใจ เราก็ไม่เคยคิดเคยเห็นเคยเป็นในจิตดวงนั้น เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องคาดเรื่องด้นเรื่องเดานะ เวลามันจ้าขึ้นมานี้ไม่ได้เหมือนอะไรเลย นั่นละที่เรียกว่าจิตที่พ้นจากโลกสมมุติเวียนเกิดเวียนตาย ผางออกไปเท่านั้น มองดูอะไรนี้มันเหมือนกองมูตรกองคูถ กองฟืนกองไฟล้อมทั้งหน้าทั้งหลัง ทั้งเขาทั้งเราเต็ม มันล้อมเข้ามาตั้งแต่เมื่อไรไม่เห็น เวลามันจ้าผางขึ้นมานี้มันถึงมองได้เห็น
ทีนี้มันก็ท้อใจ เอ๊ นี่จะสอนใครไปอย่างไร ลงเป็นขนาดนี้แล้ว นี่ละมันเป็นในจิต พูดให้ฟังชัดๆ เสียวันนี้ ไม่เคยคาดเคยคิดนะ ธรรมชาติที่เลิศเลออัศจรรย์ เลยโลกเลยสงสาร เป็นวิมุตติไปแล้ว ไม่ได้เป็นโลกเป็นสงสาร ผางขึ้นมาเท่านั้นเกิดความท้อใจทีเดียว โอ๊ย จะสอนไปอย่างไร ดูธรรมชาติที่เป็นอยู่ในหัวใจเวลานั้น กับดูสภาพทั้งหลายนี้เหมือนหนึ่งว่าเข้ากันไม่ได้ นี่ละทำให้ท้อใจ จะสอนไปอย่างไรลงธรรมชาตินี้อัศจรรย์ถึงขนาดนี้แล้วจะไปสอนโลกใครจะไปเชื่อฟัง ไปสอนที่ไหนเขาก็จะหาว่าบ้าๆ ไปหมด ทั้งๆ ที่เขาเป็นบ้ากันทั้งโลกธาตุ ธรรมชาตินี้ไม่ใช่บ้าก็ตาม แต่ทั้งโลกธาตุนี้มันเป็นบ้าทั้งหมด มันจะมาโจมตีว่าเป็นบ้าไม่เกิดประโยชน์อะไร สอนไปทำไมสอนโลก อยู่ไปกินไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น พอถึงวันแล้วไปเสียเท่านั้น
มันทุกข์ยากลำบากขนาดนี้เพราะการฆ่ากิเลสตัวนี้ ได้เจอได้เห็นแล้วจะมาแนะนำสั่งสอนคนอื่นให้เขามาตะเกียกตะกายอย่างเรานี้ไม่มีใครเป็นไปได้ ฟังซิ มันเป็นของมันเองนะ ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามผู้หนึ่งผู้ใดแหละ เป็นในหลักธรรมชาติ ไปสอนใคร ใครจะไปเชื่อถือ ใครจะปฏิบัติตามได้ ลงถึงขนาดนี้แล้ว สอนใครไม่ได้แล้ว ทีนี้เป็นความท้อใจนะ พอท้อใจลงปั๊บเท่านั้น ทีนี้ธรรมอันหนึ่งกระทุ้งขึ้นมาเลย ผึงในหัวใจเลย ก็เมื่อธรรมอันนี้เป็นของอัศจรรย์ เป็นของเลิศเลอสุดวิสัยของมนุษย์ที่จะรู้ได้เห็นได้แล้วเราเป็นเทวดามาจากไหน นี่ละธรรมขึ้นนะ เราถึงรู้ได้เห็นได้ รู้ได้เพราะเหตุใด นั่น ทำไมคนอื่นเขาจะรู้ไม่ได้ เรารู้ได้เพราะเหตุใด เราเป็นเทวบุตรเทวดามาจากไหนจึงมารู้ได้ รู้ได้เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดคือสายทางมา พากันจำเอานะ
สายทางแห่งบารมีของเราของท่านที่สร้างมาเหล่านี้ นี่ละสายกรรมดีของเราลบไม่สูญ พอว่าอย่างนั้นขึ้นมานี่ปั๊บมันถึงกันเลยกับที่เราเคยสร้างความดีงามมาทั้งหลายๆ มาถึงจุดนี้ อันนั้นละส่งให้ถึงที่นี่ ยอมรับทันทีเลยว่า อ๋อได้ ไม่มากก็ได้ ยอมทันทีเลย ทีแรกว่าจะสอนใครไม่ได้เลย เพราะมายกเจ้าของว่าเป็นเทวดามาจากไหน แล้วทำไมถึงดูถูกมนุษย์ พูดง่ายๆ ว่าอย่างนั้น คนทั้งหลายว่าจะรู้ไม่ได้เห็นไม่ได้ เราเป็นเทวดามาจากไหนทำไมเรารู้ได้ รู้ได้เพราะเหตุใด ใครๆ ก็สร้างคุณงามความดีมาด้วยกัน มากน้อยๆ สร้างมา หนุนเข้ามาๆ เหมือนกัน ยอมรับทันทีว่า อ๋อรู้ได้ นั่นเห็นไหม ไม่มากก็ได้ นั่นตัดกันเลย จากนั้นมาค่อยพิจารณาไปตามนั่นละ
ถึงเช่นนั้นก็อยู่ในป่าในเขาไม่ได้ออกมานะ ไม่ให้ใครไปยุ่งแหละ พระด้อมเรื่อยๆ พระ ติดตามเรื่อยมาตั้งแต่ไหนแต่ไรละ ตั้งแต่พ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพ แต่ก่อนเราไม่เคยสนใจกับพระกับเณรว่าจะมาติดสอยห้อยตามเรา มาสนใจเรา เราไม่เคยคิด พอพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพเกาะพรึบเลย ไม่ทราบว่าจ้องมองเราดูเราอยู่ตั้งแต่เมื่อไร นั่นละที่นี่พระเณรแอบตามๆ หลบนั้นหลบนี้ ขโมยหนีทั้งกลางคืน กลางวันก็หนีเวลาหมู่เพื่อนติดตามไป เผลอเมื่อไรไปเมื่อนั้น มันไม่สะดวกไม่สบาย อยู่คนเดียวสบายดี ทั้งวันทั้งคืนอยู่ไปเท่าไรสบายทั้งนั้น หัวใจสบายเสียอย่างเดียว ไม่มีอะไรยุ่งในโลกนี้
ที่มันยุ่งในโลกนี้ เพราะหัวใจพาให้ยุ่ง ท่านทั้งหลายจำเอานะ ความโลภก็ยุ่ง ความโกรธก็ยุ่ง ราคะตัณหาก็ยุ่ง เหล่านี้คือฟืนคือไฟเผาหัวใจโลก อยู่ที่ไหนใครจะว่ามีความสุขความเจริญ อย่าเอามาอวดธรรมะ ธรรมเหนือนั้นแล้วจ้าหมดแล้ว อย่าเอามาอวดนะว่าเป็นของดิบของดี อย่าพากันเป็นบ้านักหนา บ้ายศบ้าลาภ บ้าสรรเสริญเยินยอ ได้มาเท่าไรไม่เพียงไม่พอ นี้คือกิเลสหลอกคน หลอกเท่าไรได้มาเท่าไรไม่พอ ได้ไม่พอๆ สุดท้ายตูมเลย ลง เวลามันยกขึ้นพอสมควรแล้ว ทีนี้ยกตูมเลย จะให้กิเลสพายกให้ผึงไปเลยไม่มี นอกจากธรรมเท่านั้น ธรรมถ้าได้ยกแล้วขึ้นๆ ขึ้นทะลุถึงนิพพานเลย ท่านทั้งหลายพากันจำเอา
วันนี้ก็ไม่ทราบว่าพูดอะไร มันหากมีอะไรมากระเทือนใจ จึงได้ออก นี่ละเหตุผลกลไกที่ควรจะออก มันจะออกของมันเอง อยู่ในหัวใจนี้แหละ ธรรมของพระพุทธเจ้ามีมาตั้งกัปใดกัลป์ใดอยู่ในหัวใจของทุกคน อย่าพากันประมาทธรรม อย่าเอากิเลสไปเหยียบย่ำทำลายธรรม ขี้รดหัวธรรมคือหัวใจของเราที่มีธรรมอยู่ภายในนั้น อย่าเอาขี้โลภขี้โกรธขี้หลงเข้าไปขี้รดอยู่ในนั้น วันคืนปีเดือนวันหนึ่งๆ เป็นบ้าแต่กับโลกกิเลสให้มันหลอกไป มีวันอิ่มพอบ้างหรือไม่ล่ะ
ธรรมะท่านเตือนอยู่แล้ว โก นุ หาโส กิมานนฺโท นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ อนฺธกาเรน โอนทฺธา ปทีปํ น คเวสถ. ก็เมื่อโลกสันนิวาสนี้มันเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กัน ด้วยความมืดบอดของกิเลสหลอกสัตว์โลกอยู่ตลอดมาอย่างนี้ ท่านทั้งหลายยังมาหัวเราะกันอยู่หาอะไร นั่นความหมาย ทำไมไม่เสาะแสวงหาที่พึ่ง โก นุ หาโส ที่ว่านี่พระพุทธเจ้ากระตุกสัตว์ทั้งหลาย ท่านสอนเป็นพุทธภาษิตที่พระองค์ทรงแสดง เพราะโลกนี้มันมืดมันบอด มันเป็นบ้ากันตลอดเวลาไม่มีวันตื่นนอน ท่านก็เอาธรรมะนี้กระตุกเสียบ้าง พวกเรานี้อยู่ในประเภทไหน กระตุกมันพอจะรู้ตัวบ้างหรือไม่ หรือพอกระตุกนี้เหมือนว่าให้กุสลาพร้อม มันตายในขณะนั้นเหรอ มันน่าทุเรศนะ
ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดไหน ให้มันจ้าขึ้นที่หัวใจดูซิน่ะครอบโลกธาตุนู่นน่ะ ของง่ายๆ เมื่อไรธรรมนี่น่ะ กิเลสมันเหยียบแต่พวกที่มีกิเลสด้วยกันน่ะเหยียบ เขาไม่สนใจกับธรรม เหมือนกับว่าเหยียบธรรม ธรรมจะเหยียบท่านได้อย่างไร ท่านเลิศท่านเลอขนาดไหนเรื่องธรรม ขอให้พากันบำเพ็ญนะความดีงาม คือศาสดาองค์เอกทุกๆ พระองค์สอนให้สร้างคุณงามความดี บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี อย่าพากันประมาท ศาสดาองค์เอกจอมปราชญ์ทั้งนั้นที่สอนไว้
ไอ้พวกที่เหยียบย่ำทำลายนี้คือจอมโง่ จอมมืดจอมบอด คือพวกเรานี้แหละ มันไม่เชื่อบาปเชื่อบุญเชื่อนรกสวรรค์ ว่ามีๆ มีแต่พวกที่มันไม่เชื่อนี่ลง ผู้ที่ท่านเชื่อท่านหลีกท่านเว้น ท่านไปตามที่พระพุทธเจ้าสอนให้ไปในทางที่ดี ท่านไปทางดีหลั่งไหลขึ้นสู่สวรรค์ นิพพานมีน้อยเมื่อไรที่เชื่อพระพุทธเจ้า ที่ไม่เชื่อมันก็จมลงไปๆ ยิ่งมีมากมหามาก เราจะเอาฝ่ายไหนไปตัดสินตัวของเราเอง เอาปัญหานี้ไปถามตัวของเรา เราจะไปทางไหน จะไปทางศาสดาองค์เอกที่สอนโลกอย่างแม่นยำไม่มีโกหก หรือจะไปทางกิเลสตัวโกหกหลอกลวง ทั้งโคตรทั้งแซ่ปู่ย่าตายายของมันเป็นสกุลที่โกหกทั้งนั้น จะไปสกุลที่โกหกของกิเลส หรือจะไปสกุลไหน สกุลของศาสดาจอมปราชญ์ทั้งนั้น เอาให้เลือกตัวเองซิตั้งแต่บัดนี้ ไม่อย่างนั้นจะตายทิ้งเปล่าๆ นะ
เวลาตายแล้วนิมนต์พระมากุสลา ธมฺมา มันเกิดประโยชน์อะไร กุสลาคืออะไร ก็คือความเฉลียวฉลาด ให้ฟิตตัวบำเพ็ญตัวเสียตั้งแต่บัดนี้ที่ยังไม่สายเกินไป ตายแล้วจึงมา กุสลา ธมฺมา มันเกิดประโยชน์อะไร ความฉลาดแก้ตัวเองในเวลานี้ นี่เราพูดถึงเรื่องการบำเพ็ญตัวมา ที่ได้มาสอนท่านทั้งหลายเป็นเวลา ๕๖ ปีนี้ ตั้งแต่ ๒๔๙๓ กิเลสพังออกจากใจ ตั้งแต่บัดนั้นไม่มีเรื่องภายในใจเลยแม้เม็ดหินเม็ดทราย เพราะเป็นสมมุติทั้งหมด ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่มาปรากฏเป็นสมมุติ ไม่มีอะไรปรากฏ เพราะกิเลสสิ้นซากไปแล้ว สมมุติไปด้วยกันไม่มีอะไรเหลือ ความทุกข์แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่เคยมีตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นลงไปเท่านั้น จึงชี้นิ้วได้เลยว่า อ๋อกิเลสเท่านั้นเป็นตัวก่อเหตุ สร้างความวุ่นวายให้แก่สัตว์โลกทั้งหลาย เมื่อกิเลสอันเป็นเหตุสร้างกองทุกข์นี้ดับลงไปแล้วทุกข์จึงไม่มี
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านจึงไม่มีทุกข์ในใจ ตั้งแต่วันกิเลสขาดสะบั้นลงไป จะยอมรับกันแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์-ความทุกข์ อันนี้เป็นสมมุติ เจ็บไข้ได้ป่วยตัวร้อนมีเหมือนกันกับเราๆ ท่านๆ ไม่ผิดแปลกกัน เป็นแต่เพียงว่ามันไม่เข้ากระเทือนใจท่าน มีก็สักแต่ว่ามี ไม่ทำจิตใจท่านให้กระเทือน ถ้าเป็นคนเราธรรมดาแล้วเป็นหมด จามฟิกๆ ก็เป็นบ้าวิ่งหาหมอแหละ เอาคนอื่นมาเป็นตัวของตัว ไม่คิดพึ่งตัวของตัวว่าจะแก้ไขดัดแปลงกันอย่างไรบ้างเลย ให้พากันพึ่งตัวเอง นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ ความรักอื่นเสมอรักตนไม่มี นี่ละรักตนแล้วให้แก้ไขตนเอง ให้เป็นตัวของตัวขึ้นบ้างนะ
มันเลยจะตายทิ้งเปล่าๆ นะ เวลานี้ศาสนาเป็นเศษกระดาษไปเท่านั้น มีใครหยิบยกเอาศาสนาที่เป็นธรรมอันเลิศเลอมาปฏิบัติให้เห็นความเลิศเลอในจิตใจ มันไม่มีบ้างเหรอเวลานี้น่ะ มันมีแต่กิเลสเหยียบหัวอยู่ตลอดเวลา ไปที่ไหนมีแต่กิเลส พอกพูนเอาเหลือประมาณจนมองหาธรรมไม่เห็น แม้แต่อยู่ในวัดในวาในพระในเณรมันก็แบบเดียวกัน ถูกเหยียบย่ำทำลายของกิเลสทั้งหมด จะเห็นพระจริงๆ พระอรรถพระธรรม พระมีความสง่างามภายในจิตใจนี้เห็นยากดูยาก หายาก หาของดีหายาก หาพระดีหายากที่สุด
จะไปหาที่ไหน ก็หาในตัวของเราเอง หาคนนั้นเหมือนคนนี้ คนนี้เหมือนคนนั้น เราล่ะเหมือนใคร ให้ดูเรานี่ซิ ถ้าเราเหมือนเขา เลวเหมือนเขา ทำอย่างไรถึงจะดี แก้ไขตัวเองให้มันจ้าขึ้นมานี่ซิ เมื่อเวลามันจ้าขึ้นมาแล้วไม่ต้องมีถามอะไร อาโลโก อุทปาทิ สว่างจ้าครอบโลกธาตุ สงสัยอะไร ความเกิดความตายหมดปัญหาทันที ถ้าลงกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วความเกิดตายไม่มีปัญหา ธรรมชาตินั้นคือนิพพานเที่ยงอยู่ในหัวใจนั้น ให้พากันจดจำเอา เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|