เทศน์อบรมฆราวาส ณ ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพ
เมื่อเช้าวันที่ ๒๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
ระลึกถึงธรรมเสมอ ใจจะทรงคุณค่าตลอดไป
เจดีย์วัดอโศฯ สุดท้ายก็เป็นเราอุ้มคนเดียว เราจะอาราธนาครูบาอาจารย์ทั้งหลายประเภทเพชรน้ำหนึ่งๆ เข้ามาที่นั่น ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ท่านมรณภาพไปแล้ว อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุๆ แล้วจะมารวมที่เจดีย์วัดอโศการาม จะอาราธนาท่านมาไว้ที่นั่น ประดิษฐานไว้ที่นั่นให้เป็นจุดศูนย์กลางคือภาคกลางเราที่วัดอโศฯ ครูบาอาจารย์ที่ท่านล่วงไปแล้วอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุๆ เราจะอาราธนามาไว้ที่นี่ทั้งหมด มีเยอะนะครูบาอาจารย์สมัยปัจจุบัน ส่วนมากเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เราอยากจะว่าทั้งนั้นเลย ไม่ว่าธรรมยุต มหานิกาย เป็นลูกศิษย์ของท่านทั้งนั้น อย่างอาจารย์ชานี้ก็ลูกศิษย์ท่าน เป็นมหานิกายก็ตามเป็นลูกศิษย์ท่าน ท่านเป็นผู้สั่งเอง
ตั้งแต่อาจารย์กินรีที่เป็นอาจารย์ของอาจารย์ชา มาศึกษาอบรมกับท่าน ท่านก็มาขอญัตติ ท่านสั่งเองเลยไม่ต้องญัตติ ทั้งสองนิกายนี้สังคมยอมรับสมบูรณ์แบบแล้ว ไม่เป็นสัคคาวรณ์ มัคคาวรณ์ คือไม่ห้ามมรรคผลนิพพาน สังคมยอมรับแล้วสมบูรณ์แบบ ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ถ้ามาญัตติเสีย โลกมันถือสมมุติ พอมาญัตติปั๊บนี้ท่านทั้งหลายมีเพื่อนฝูงมากมายมาเข้าเงียบๆ พวกนั้นก็ขาดผลประโยชน์ เพราะฉะนั้นจึงไม่ให้ญัตติ ท่านสั่งเลย ท่านพูดเอง ไม่ให้ญัตติ
ลูกศิษย์ตถาคตทั้งมหานิกายทั้งธรรมยุต สังคมยอมรับกันหมดแล้วสมบูรณ์แบบด้วยความเป็นพระด้วยกัน และไม่ห้ามมรรคผลนิพพาน มีสิทธิที่จะได้มรรคผลนิพพานจากการปฏิบัติของตนทั่วหน้ากัน ท่านเหล่านี้จึงไม่ได้ญัตตินะ เพราะฉะนั้นทางฝ่ายมหานิกายจึงกระจายมากนะ นั่นเห็นไหมความเห็นของท่านผิดที่ไหนหลวงปู่มั่น ถ้าสมมุติว่าญัตติเสียก็เลยเป็นฝักเป็นฝ่ายไปเสีย ท่านเห็นประโยชน์ส่วนรวมท่านจึงไม่ให้ญัตติ เวลานี้ก็กระจายทั้งธรรมยุต มหานิกาย ฝ่ายปฏิบัติมีแต่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทั้งนั้นออกทั่วไปหมดเลย ในสมัยปัจจุบันก็ยกนิ้วเลยว่าหลวงปู่มั่นที่เป็นโรงงานใหญ่ผลิตพระเพชรน้ำหนึ่งออกมามากทีเดียว
เวลานี้ก็กำลังสร้างเจดีย์ พอเจดีย์เสร็จแล้วจะอาราธนาท่านมาประดิษฐานไว้ที่เจดีย์นี้ ให้พี่น้องชาวพุทธเราได้เข้าไปกราบไหว้บูชา เอาไว้จุดศูนย์กลางคือวัดอโศการาม เราก็รับเลย รับหน้าที่ในงานเจดีย์นี้ ตกลงก็เรียกว่ารับเลยงานนี้ไม่ให้หยุดชะงัก ขาดเหลือเท่าไรเราจะอุ้มให้เต็มกำลังความสามารถของเรา เพราะฉะนั้นงานนี้จึงไม่ให้หยุดชะงัก เงินเอาเข้ามาเรื่อย อย่างที่เราไปอยู่นี้ เจดีย์นี้ก็มารวมอยู่กับเราแล้ว เป็นผู้เสาะแสวงหาสมบัติมาสร้างเจดีย์ เพื่อกราบไหว้บูชาครูบาอาจารย์ของเรา หายากไม่ใช่เล่นนะ เพชรน้ำหนึ่งหาได้ที่ไหน ไม่ได้หาได้ง่ายๆ นะ หาสิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดีหาง่าย แต่หาพระดีพระเลิศเลอพระเพชรน้ำหนึ่งหายากมากทีเดียว ไม่ใช่หาได้ง่ายๆ
ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ๆ ที่จะมาเป็นเพชรน้ำหนึ่งนี้ เรียกว่ารอดเป็นรอดตายมาเลย ท่านฟัดกับกิเลสได้ชัยชนะออกมา เวลาท่านล่วงไปแล้วอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุสง่างาม นั่นละตีตราไว้เลย ถ้าลงอัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้วนี้ตีตราไว้เลยว่า นี้คือพระอรหันต์ บอกงั้นเลย ส่วนท่านที่เป็นอยู่ภายในใจของท่านนั้น บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทราบกันทั้งนั้นแหละ ท่านยังมีชีวิตอยู่นะ แต่ลูกศิษย์ทั้งหลายทราบเรียบร้อยแล้วว่าท่านสิ้นสุดไปแล้ว
ที่อัฐิของท่านมากลายเป็นพระธาตุเวลาท่านล่วงไปแล้วนี้ นี้ประกาศส่วนหยาบต่างหากให้โลกทั้งหลายรู้ทั่วถึงกัน สำหรับลูกศิษย์ลูกหาของท่านที่เข้าไปศึกษากับท่านนั้น แน่ใจมาก่อนแล้วๆ ทั้งนั้น ไม่ผิดเพราะธรรมท่านแสดงออกจากหัวใจ ออกจากหัวใจมีแต่ธรรมชาติๆ ที่เลิศเลอๆ ออกมา ผู้ฟังฟังอย่างถึงใจ ผู้เทศน์ก็เทศน์อย่างถึงใจ ออกมาจึงรับกันได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะฉะนั้นบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายจึงทราบเรื่องครูบาอาจารย์ของตนก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ว่าท่านถึงไหนแล้ว ทราบกันทั่วหน้า ทีนี้เวลาท่านมรณภาพ อัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุขึ้นมา และประกาศให้โลกทราบทั่วไป เป็นอย่างนั้นเอง
อย่างสมัยปัจจุบันนี้พระที่ทรงมรรคทรงผลมีน้อยเมื่อไร พูดให้ชัดเจนเสียเลย สิ่งทั้งหลายโลกเขาเสาะแสวงหาอะไรได้มากน้อย เขาพูดกันทั่วไปหมดไม่มีกระดากอาย ธรรมะเป็นของเลิศเลอ ซึ่งนานๆ จะได้ยินได้ฟังทีหนึ่ง นำออกมาพูดทำไมจะเสียหายไป ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านอุตส่าห์หาความดีงามมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งท่านมรณภาพไป ถึงขนาดอัฐิกลายเป็นพระธาตุ มีแต่ความดีของท่านที่เสาะแสวงหาได้ผลมาอย่างนี้ ประกาศให้โลกได้ทราบว่าได้ของดีอย่างนี้เป็นความเสียหายไปที่ไหน นี่ซิกิเลสมันปิดมันไม่ให้พูด ถ้าพูดเรื่องของดีมันไม่ให้พูด ถ้าพูดเรื่องส้วมเรื่องถานเป็นบ้ากันทั่วโลกดินแดน มันน่าสลดสังเวชนะ
ก็มีเราเท่านั้นที่พูดอยู่ในท่ามกลางประเทศไทยเรานี้ บรรดาพระทั้งหลายท่านเหล่านั้นท่านไม่พูด แต่สำหรับเราพูดอย่างตรงไปตรงมาตามภาษาธรรมเลยไม่มีกระดากอาย หาของดีได้มากน้อยพูดกันเป็นมงคลทั้งนั้น เสียหายไปไหน แล้วหาว่าอวดอุตริ คำว่าอวดอุตริ คือเอาของปลอมมาอวด เรียกว่าอวดอุตริ ถ้าเป็นของจริงจะอวดกันที่ไหน แบงก์ร้อยแบงก์พันเท่าไรก็จริงด้วยกันทั้งนั้น ถ้าปลอมแล้วเท่าไรปลอมหมด นี่ท่านเอาแต่ของจริงออกมาปฏิบัติสั่งสอนสัตว์โลก นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงพระอรหันต์ทั้งหลาย ล้วนแล้วตั้งแต่ท่านได้ธรรมชาติที่เลิศเลอออกมาสอนโลก แล้วการสอนของท่านจะเสียหายไปตรงไหน ถึงจะมาว่าท่านอุตริ อุตริคือหาเรื่องปลอมมาพูด ท่านปลอมที่ไหน ผู้พูดผู้หาเรื่องต่างหากเป็นคนจอมปลอม ปากอมขี้ไม่ใช่ปากอมธรรม ท่านนำมาสอนโลกนี่ละปากอมธรรมทั้งนั้น สอนไปที่ไหนโลกได้รับความสงบร่มเย็นทั่วหน้ากัน ปากอมขี้ไปหาฟ้องหาร้อง กล่าวเรื่องนั้นเรื่องนี้ ว่าอวดอุตริมนุสสธรรม นี่ปากอมขี้มันว่าอย่างนั้น ปากอมธรรมท่านพูดออกมาเป็นมงคลแก่โลก ต่างกันนะ
เวลานี้เฉพาะอย่างยิ่งคือวงกรรมฐาน ท่านเป็นผู้ทรงอรรถทรงธรรมอยู่ในป่าในเขาเงียบๆ สำหรับท่านเหล่านั้นรู้กันเองในวงกรรมฐานด้วยกัน แต่นอกๆ ท่านไม่ค่อยพูดละ ออกไปข้างนอกท่านเงียบไปเสียๆ ถ้าเป็นวงกรรมฐานด้วยกัน องค์ใดมีภูมิจิตภูมิใจขั้นใดภูมิใดท่านรู้กันหมด เพราะเป็นวงภายในด้วยกัน สนทนาอรรถธรรมกันอยู่สม่ำเสมอ ยิ่งมีครูบาอาจารย์ด้วยแล้ว ครูอาจารย์นั้นละเป็นจุดศูนย์กลางที่ลูกศิษย์ลูกหาจะเข้าไปเกี่ยวข้อง ใครรู้เห็นยังไงก็ไปเล่าถวายท่าน ที่ควรจะแก้ไขดัดแปลงยังไงอาจารย์จะเป็นผู้คอยแนะๆ แก้ไขดัดแปลงให้ ทีนี้เรื่องราวมันก็รู้ถึงกันๆ ไปเรื่อยๆ วงภายในกรรมฐานท่านรู้กันเงียบๆ
ผู้ทรงมรรคทรงผลในวงกรรมฐานสายพ่อแม่ครูจารย์มั่นเราสมัยปัจจุบันนี้ มีน้อยเมื่อไร ไม่น้อย พูดให้ชัดเจนเลย อยู่ในป่าในเขาเงียบๆ นั่นละ มี ท่านไม่ออกมาแหละนอกจากเป็นความจำเป็นท่านจะออกมา ท่านไม่ตื่นไม่เต้นกับเรื่องอะไร เพราะไม่มีสิ่งใดเลิศยิ่งกว่าธรรมในใจของท่าน อันนั้นเลิศเลอแล้ว อยู่ที่นั่นท่านพอ อยู่ที่ไหนท่านพอๆ ท่านพอในหัวใจของท่าน ไม่ได้บกพร่องเหมือนกิเลสตัณหา กิเลสตัณหามีมากเท่าไรก็ไม่พอๆ ดีดดิ้นเป็นบ้าไปเลย เรื่องของโลกเป็นอย่างนั้น เรื่องของธรรมท่านพอ
เพราะฉะนั้นจึงกล้าพูดได้เลย เอาหลักความจริงมาพูด ว่าผู้ทรงมรรคทรงผลในสมัยปัจจุบันนี้ ส่วนมากวงกรรมฐานสายพ่อแม่ครูจารย์มั่นมีน้อยเมื่อไร มีอยู่ในป่าลึกๆ ลับๆ เงียบๆ เวลาเข้าถึงกันพูดนี่ โห อัศจรรย์นะเวลาท่านพูด นั่นละพูดธรรม พูดโลกพูดเท่าไรยิ่งเฟ้อ ไม่เป็นท่าเป็นทาง พูดธรรมพูดเท่าไรยิ่งดูดยิ่งดื่มเพลินกัน ท่านเข้าหากันคุยกันนี้ไม่มีเรื่องโลกนะ ไม่มีเลย เรียกว่าไม่มีเลย มีแต่ธรรมล้วนๆ องค์นี้พูดธรรมะขั้นนี้ๆ องค์นั้นพูดอย่างนั้นขั้นนั้นๆ ก็ทราบกันหมดละซิ ออกจากหัวใจของท่านมาพูดมาคุยต่อกัน แล้วไปพูดถวายครูบาอาจารย์เพื่อท่านจะได้ชี้แจงแนะแนวทางให้เสริมกันขึ้นไป เมื่อเป็นเช่นนั้นวงกรรมฐานท่านจึงทราบกันด้วยดี
แต่สำหรับภายนอกไม่ค่อยทราบ ก็เหมือนคำพูดในครอบครัวของเรากับนอกครอบครัวมันต่างกัน คำพูดในครอบครัวสมควรแก่ครอบครัวจะมาพูด นอกนั้นไม่เหมาะ คำนี้เป็นคำพูดของวงกรรมฐานท่านรักท่านสงวนของท่าน ท่านจึงไม่ค่อยจะพูดสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะเป็นธรรมชาติที่มีคุณค่าสูงส่งมากทีเดียว ท่านทรงไว้ด้วยความสงบเย็นใจเงียบๆ อย่างนั้น ให้ฟังเสียตามหลักความจริงของผู้รักธรรมสงวนธรรม ท่านจึงไม่พูดสุ่มสี่สุ่มห้า ท่านพูดตามหลักความจริงต่อกัน และรื่นเริงบันเทิงไปเป็นเวลานานๆ แต่ละองค์ๆ ที่ได้สนทนาธรรมะซึ่งกันและกันจากภาคปฏิบัติของตน ยิ่งไปหาครูบาอาจารย์ด้วยแล้ว ท่านเป็นคนคอยแนะๆ มีขัดข้องตรงไหนท่านแนะให้ ก็เปิดทางให้ออกเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นในวงกรรมฐานของเราสมัยปัจจุบันนี้ คือสายพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ จึงเป็นวงที่ทรงมรรคทรงผลอยู่ไม่น้อย พูดให้ชัดเจน
นี่ละของดี ใครหาที่ไหนก็ได้ตามความสามารถของตน หาความชั่วหาที่ไหนก็ได้เหมือนกัน หาความดีหาที่ไหนก็ได้ ท่านหาท่านก็ได้ของท่านอย่างนั้น พูดเท่านี้ละให้พากันเข้าใจนะ เรื่องมรรคผลนิพพานอยู่กับพุทธศาสนาร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่นอกเหนือไปจากนี้เลย เรามองไม่เห็นว่ามรรคผลนิพพานจะนอกเหนือไปจากพุทธศาสนา เพราะแถวทางที่สอนเพื่อมรรคเพื่อมรรคเพื่อผลไม่มี แต่พุทธศาสนานี่สอนเพื่อมรรคเพื่อผล ตั้งแต่พื้นๆ ถึงนิพพาน ไม่ผิดไม่เพี้ยนคือพุทธศาสนา องค์ศาสดาก็เป็นผู้ทรงไว้แล้วซึ่งนิพพาน นิพพานทั้งเป็นนิพพานทั้งตายท่านทรงไว้แล้ว ธรรมที่ออกจากนั้นจึงเป็นธรรมบริสุทธิ์ล้วนๆ เรื่อยมา แนะแนวทางใดไม่ผิดๆ
เราเกิดมามีวาสนาแล้ว ได้พบพุทธศาสนา ได้ฟังคำสอนพระพุทธเจ้า ขอให้นำไปเป็นคู่พึ่งเป็นพึ่งตายของตน นึกพุทโธคำหนึ่งวันหนึ่ง หรือธัมโม หรือสังโฆ คำใดก็ได้เสมอกันหมด นี้มีคุณค่ามหาศาลในจิตใจของเรา พากันจำเอา อย่าปล่อยอย่าวางธรรม ธรรมคำเดียวเป็นคำกลางๆ ไปที่ไหนให้ระลึกถึงธรรมเสมอ ใจจะทรงคุณค่าตลอดไป ถ้าขาดธรรมแล้วไม่ค่อยมีคุณค่าอะไรคนๆ หนึ่ง เราคิดตั้งแต่นี้ถึงค่ำ ไม่ได้มีแง่อรรถแง่ธรรมเข้าแฝงใจเลย หมดคุณค่าตลอดไป ถ้ามีอรรถธรรมแฝงใจอยู่แล้ว มีคุณค่าตลอดไป ให้จำเอานะ เอาละที่นี่จะให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |