เทศน์อบรมฆราวาส
ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๒๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
ให้เอาศาสนามาทำงานในหัวใจ
วันนี้เทศน์เฉพาะที่ชะอำเท่านั้น เทศน์ในวัดหนอกวัว ก็ดีอยู่ ที่นั่นเหมาะอยู่เราดู ภูเขามันมา มันอ้อม มันไปอยู่ในคุ้มเขาเหมาะอยู่ พระมาจากทางวัดป่าบ้านตาดก็มี อย่างมหาตี๋ก็อยู่ที่นั่น มหาตี๋ก็อยู่วัดป่าบ้านตาดมาหลายปี ออกจากนั้นไปแล้วถึงได้มาเจอกันที่นี่วันนี้นะ มหาตี๋หกประโยคนั่นน่ะ (เจ้าอาวาสเป็นเพื่อนท่านโสภา) เออ เพื่อนท่านโสภาที่ขับหนีจากวัด นี่เคยอยู่วัดป่าบ้านตาดมาแล้ว ขับหนีจากวัดคือเอาหมูไปปล่อย ให้หมูหลุดตกรถหายเงียบไปเลย องค์นี้จึงมาทราบวันนี้ มาทราบว่าองค์นี้เองได้ถูกขับออกจากวัดกับท่านโสภา เราพึ่งมาทราบวันนี้ว่าองค์นี้ที่ถูกขับ
พอว่าอย่างนั้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นแถวนี้มีหมูไหมละ ถ้ามีหมูให้ไล่พระองค์นี้ให้หนี ไม่ได้นะ เราบอก แถวนี้มีหมูไหมนี่ รอบตีนภูเขามันมีหมูไหมล่ะ นี่เพชฌฆาตหมูมานี่น่ะ ก็พึ่งเจอกันตั้งแต่วันไล่ออกไปพระองค์นี้นะกับท่านโสภา ท่านโสภาเคยไปที่ท่านไปสร้างวัด เราก็ไม่ทราบว่าเป็นองค์ไหนบ้าง มันจำไม่ได้ละ จำได้แต่ว่าไปด้วยกันสององค์ ต่างองค์ต่างไปนั่งหลับอยู่หน้ารถ หมูอยู่ข้างหลังมันหลุดออกจากรถ ตกรถไปเลย พอไปถึงที่แล้วหมูไม่ทราบหายไปไหน พอกลับมาเราก็ทราบเรื่อง พอทราบแล้วก็ไล่ออกจากวัดทันทีเลย ก็เลยจำไม่ได้ว่าองค์ไหนเป็นคู่ของท่านโสภา ท่านโสภาจำได้ องค์นี้จำไม่ได้ ว่าองค์นี้แหละที่ไปด้วยกันกับท่านโสภา ท่านมาอยู่ที่นี่ แล้วแถวนี้มีหมูไหมละ นี่เพชฌฆาตหมูมานี่ ถ้าหากว่ามีหมูนี้ให้ไล่พระองค์นี้ออก ไม่อย่างนั้นหมูตายหมด เราว่า
มันก็กรรมของมันแปลกอยู่นะ รถไปอย่างไรตกไป พระนั่งอยู่ข้างหน้า หมูอยู่ที่นี่รถปิ๊กอัพอะไรไป ตกลงเมื่อไรไม่ทราบนะ จึงว่าจำได้ ถ้าไม่มีผู้บอกก็ไม่รู้นะ ว่าเป็นองค์นี้ที่ถูกขับไล่ออกจากวัดป่าบ้านตาด เกี่ยวกับเอาหมูไปปล่อย ให้หมูตายทั้งตัว วันนี้พระมาบอกเราจึงรู้ว่าองค์นี้แหละ เป็นคู่กันกับองค์นั้น เห็นไหมละเด็ดไหมละ อย่างนั้นแหละเราปฏิบัติกับพระกับเณรตามหลักธรรมหลักวินัยตรงเป๋ง เอาหมูไปปล่อย เราสั่งเสียเรียบร้อย ไม่ใช่ไม่สั่งเสีย ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้า จะเอาไปปล่อยวัดดงศรีชมพู เพราะมันกว้าง หมูได้อาศัยสะดวกสบาย ครั้นเอาไปไปถึงครึ่งทางหมูเลยหลุดตกออกจากนั้นเสีย กลับมามีแต่รถเปล่าๆ มา พอเราทราบเรื่องไล่หนีเดี๋ยวนั้นเลย ไม่ควรจะอยู่ นั่น
เขาเรียกบ้านทับไท ท่านโสภานั่นนะ เราไปดูสถานที่อยู่อะไรๆ เลยทำให้คิดถึงเจ้าของคือท่านโสภานั้นแหละ ที่อยู่วัดนี้นะ มันส่อมาเรื่องเหล่านี้ๆ แล้วมันก็ส่อเข้าไปหาเจ้าของ คงจะมีธรรมในใจพอสมควรทางด้านจิตตาภาวนา คนจึงมีความเคารพเลื่อมใส พอใจที่จะทำอะไรๆให้ที่เป็นที่น่าดูน่าชม ศาสนสถานคือศาลา ส่วนนอกจากนั้นแล้วก็เป็นกระต๊อบ เป็นอย่างนั้นมาในวัดป่าบ้านตาด ถอดแบบวัดป่าบ้านตาดทั้งนั้นแหละออกไป เป็นกระต๊อบเล็กๆ แค่เล็กสูงแค่นี้ กุฏิก็มีสวยๆ งามๆ รอบๆ ศาลาในวัด เวลามีแขกคนไปเขาจะได้พัก นอกจากนั้นเข้าไปก็มีแต่อย่างว่า กั้นด้วยผ้าจีวรขาด กั้นฝาจีวรขาด แล้วสูงแค่นี้เป็นร้านเล็กๆ ประมาณสักสองเมตรหรือสองเมตรครึ่ง กว้างแคบประมาณสักสองเมตรครึ่ง
อย่างนั้นทุกแห่งๆ กระต๊อบๆ แต่ก่อนมุงด้วยหญ้า ครั้นต่อมาไฟไหม้ป่าละซี หน้าแล้งลมพัดเข้ามา ปลิวเข้ามา มาไหม้กุฏิพระที่มุงหญ้า เลยแก้ไขใหม่ ทีนี้เอากระเบื้องมามุง หรือสังกะสีมามุงแทนหญ้า กระเบื้องก็กระเบื้องแตกๆ เหล่านั้นแหละ สังกะสีก็สังกระสีขาดๆ ทิ้งแล้วไปมุง ออกอวดเฉยๆ ว่ามุงด้วยสังกะสี เอาจีวรขาดแอ้ม อย่างนั้นละในบริเวณของพระแท้ ไม่มีใครไปอยู่ได้ละ เราห้ามขาดไม่ให้เข้าไป เป็นทำเลของพระภาวนา
เราสงวนพระตลอดเวลา เราไม่เคยลดหย่อนนะภาคปฏิบัติของพระทางด้านจิตตภาวนาเป็นสำคัญ เราช่วยโลกสงสารเราก็ช่วยเป็นเรื่องของเรา เราไม่กวน ขอให้ปฏิบัติหน้าที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเราเป็นที่พอใจ หากว่ามีความจำเป็นที่เราจะขอความช่วยเหลือมาบ้างก็เป็นระยะกาลชั่วปุบปับๆ เสร็จแล้วไล่เข้าป่าเลย เราเข้มงวดกวดขันมากทางด้านจิตตภาวนา อยู่ในวัดนั้นไม่ลดไม่ละ เสมอต้นเสมอปลายตลอดมา ถึงเราจะช่วยโลกก็ตาม พระเณรหย่อนยานทางจิตตภาวนาไม่ได้กับเรา เพราะเราสอดส่องดูตลอด
ที่ก็เอาไว้เฉพาะๆ เพราะฉะนั้นจึงกำหนดได้เพียง ๕๐ องค์ ในวัดนั้น ที่เฉพาะๆ ในขอบเขตกำแพงภายในนั้น ได้ ๕๐ องค์ เป็นที่พอดีๆ ๆ สำหรับพระภาวนา อยู่ลำพังตนเองๆ ถ้ามากกว่านั้นมันถี่เข้ามา แล้วการภาวนาไม่สะดวก เราสั่งเองไม่ให้เลย ๕๐ ให้อยู่แค่นั้นๆ จากนั้นก็ออกไปที่กำแพงใหม่ เดี๋ยวนี้พระท่านออกไปปลูกระต๊อบอะไรๆ อยู่ทางกำแพงนอก เป็นวัดใหม่นั้นแหละ จากกำแพงในออกไปปลูกอยู่ทางทิศใต้ ส่วนกลางวัดนี้เป็นทำเลของศาลาที่ประชาชนและใครๆ มาพักอยู่แถวนั้น ฟากนั้นไป ให้เป็นที่ของพระภาวนา ขยายออกไปแล้ว หลายต่อหลายองค์แล้วออกไปข้างนอก ทำกระต๊อบๆ ไป อยู่ทางทิศใต้ ภายในมันเต็มแล้ว ขยายออกไปข้างนอกเรื่อยๆ
เราเข้มงวดกวดขันมากทางด้านจิตตภาวนา เพราะเห็นความเสื่อมทรามแห่งจิตใจของโลกมาก เฉพาะอย่างยิ่งจะมาเห็นความเสื่อมทรามในจิตใจของพระ ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติด้วยแล้วเราดูไม่ได้ เราพูดจริงๆ เด็ดขาดมากนะอันนี้นะ ที่อื่นที่ไหนเราดูก็ดูไป ขวางก็ขวางไปอย่างนั้น ไม่ได้ขวางลึกเหมือนดูพวกเดียวกันในวัด ในวัดนี้ไม่ได้นะ ขวางปั๊บใส่ปั๊วะเลย ดีไม่ดีไล่หนีจากวัดนู่น ปรกติเป็นอย่างนั้นตลอดมา เราไม่เคยหย่อนยานทางด้านจิตตภาวนา การชำระจิตใจให้มีความสง่างามมีคุณค่ามีราคาขึ้นมา ในโลกนี้มีที่จิตใจ ให้ดูเอาอันนี้ออกเป็นพยาน มันเห็นหมดจะให้ว่าอย่างไร
เพราะงั้นการพูดจึงมีความเข้มงวดกวดขันตลอดเวลา เพราะหลักใหญ่อยู่ในหัวใจตัวเอง พูดให้มันชัดนะ หลักใหญ่อยู่นี่ มันลดราวาศอกที่ไหน แน่วอยู่อย่างนั้นละ ไม่มีคำว่ากฎอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา จะเข้าไปเกี่ยวข้องได้เลย มันพ้นไปหมดแล้ว นี่เพราะอะไร ก็เพราะอำนาจแห่งการชำระจิตใจด้วยจิตตภาวนาเป็นหลักใหญ่ ทำอย่างนั้นตลอดมา ทีนี้พระเณรที่เข้ามาศึกษาสอนตั้งแต่เรื่องจิตตภาวนาทั้งนั้น แล้วไม่สอนอย่างอื่นใด เรื่องการก่อสร้างเฉียบขาดนะเรา ถ้าไม่ให้ทำใครมาฝืนไม่ได้นะ เพราะเรื่องการก่อการสร้างเป็นด้านวัตถุ มันเป็นศาสนวัตถุไปแล้ว มันไม่ใช่ศาสนธรรม นี้ตามแบบฉบับของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ฟังให้ได้ความทุกคนนะ
ไปที่ไหนมีแต่หรูหราฟู่ฟ่าด้วยวัตถุเต็มวัดเต็มวา มันเป็นศาสนวัตถุไปแล้ว ปลอมเข้ามาสักเท่าไร คนไปก็ไปดูวัดดูวา ดูศาลาโรงธรรม ดูกุฏิของพระสดสวยงดงามหรูหราฟู่ฟ่าราคาแพงๆ เขาก็ว่าอู๊ยวัดนี้เจริญนะ เขาไม่ได้เห็นว่าศาสนาเจริญที่ตรงไหนซี เขาไปเห็นแต่วัตถุเขาก็ว่าวัดนี้เจริญ โหย น่าเกรงขาม ไปอย่างนั้นก็มีนะไอ้พวกบ้ามันมีหลายแบบนะ น่าเกรงขาม เกรงขามขี้หมาอะไร ประสาอิฐปูนหินทราย เหล็กหลาไม้ เอามาประดับกันขึ้น อยู่ที่ไหนมันก็มีในบ้านในเรือนเขา ถ้าว่าน่าเกรงขามก็เกรงขามไปทั่วโลกละซี เขาสร้างตึกเขากี่ชั้นมันน่าเกรงขามไหม ไปหาเกรงขามนู่นซี
อันนี้สถานที่อยู่ของพระ ที่จะให้น่าเกรงขามภายในจิตใจของตัวเองด้วยจิตตภาวนานี้เป็นหลักใหญ่ โลกมองไม่เห็นนะ เห็นพระพุทธเจ้าพระสาวกเห็นจ้าเลยทีเดียว ท่านจึงพูดได้เต็มปาก ท่านไม่สงสัยในเรื่องเหล่านี้ เพราะเห็นประจักษ์ในใจตัวเองแล้วจะไปถามใคร เอาใครมาเป็นพยาน ว่าอะไรดี อะไรเลิศ อะไรเลว มันรู้อยู่นั้นหมด รวมกันนั้นหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้เวลาเราปกครองหมู่เพื่อนอยู่เราจึงไม่ให้เคลื่อนคลาดจากหลักตามตำรับตำราขนบประเพณี เรียกว่าพุทธประเพณี พระสาวกประเพณี ท่านดำเนินมาอย่างนั้น
เหลวๆไหลๆอย่างนั้นมันไม่ใช่ศาสนา มันปลอมเข้าไป มันกลายไปเป็นของจริงอยู่ในวัดนั้น วัดไหนมีแต่หรูหราฟู่ฟ่า สดสวยงดงามด้วยวัตถุเครื่องก่อสร้าง พวกเหล็กพวกหลา อิฐปูนหินทรายมันวิเศษที่ไหน อยู่ในบ้านเรือนที่ไหนมันก็มีเต็มบ้านเต็มเมือง ถ้าวิเศษมันก็วิเศษทั่วโลกแล้วนั่น พระพุทธเจ้าไม่เห็นเป็นของวิเศษ มันวิเศษอยู่ที่จิตใจผู้ปฏิบัติตามหลักศาสนธรรมที่ทรงรู้แจ้งแทงสว่างแล้วมาสอนโลก ไม่ผิดพลาดเลย นั่นน่ะปฏิบัติตามนั้นซี เมื่อปฏิบัติตามั้นแล้วจิตใจจะมีความสง่างามขึ้นมา เพราะไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพัน เป็นข้าศึกศัตรูต่อจิตตภาวนาในการชำระจิตใจ
จิตใจก็ค่อยมีความสง่างามขึ้นมาเป็นลำดับ เพราะได้รับการบำรุงรักษาด้วยจิตตภาวนา มีสติเป็นเครื่องควบคุมรักษาอยู่ตลอดเวลา นั้นแน่นอน ผู้นี้ชี้มรรคชี้ผลได้เลย ถ้าใครเป็นผู้ตั้งใจภาวนาด้วยความมีสติติดแนบอยู่กับตัว ผู้นี้ชี้มรรคชี้ผลได้เลย จะได้ไม่สงสัย เรื่องสติเป็นสำคัญมากกับนักภาวนา ความพากความเพียร กิริยาอาการที่เดินจงกรมกลับไปกลับมาหรือนั่งสมาธิภาวนามันขึ้นอยู่กับสตินะ การเดินกลับไปกลับมาใครเดินก็ได้ เดินจงกรมกิริยานี้ก็ได้ ถ้าสติติดแนบนี้เรียกว่าความเพียร
นั่งภาวนาถ้ามีสติติดแนบอยู่นั้นเรียกว่าความเพียร ถ้าปราศจากสติแล้วเดินก็เท่านั้นแหละ ไม่เห็นมีความหมายอะไร ถ้าขาดสติเมื่อไรความเพียรขาดแล้ว ดูให้มันชัดอย่างนี้ซิผู้ปฏิบัติธรรม ให้มันเห็นระยะความขาดวรรคขาดตอนของสติที่เป็นเครื่องแก้กิเลส หรือสืบต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร ให้มันอย่างนั้นซิผู้ปฏิบัติ นี่ที่พูดมาเหล่านี้ได้ทำหมดแล้วนะ ไม่ใช่มาโม้เฉยๆ ที่ได้ธรรมมาสอนโลกได้ธรรมมาสอนแบบนี้แหละ แบบที่ปฏิบัติมาอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเวลาเห็นเพื่อนฝูงเก้อๆกังๆ เลอะๆเซ่อๆซ่าๆมันยิ่งดูไม่ได้นะ ผู้จะฆ่ากิเลสเป็นพระประเภทนี้เหรอ นั่น พระเซ่อๆซ่าๆ เก้งๆก้างๆ ไม่มีสติปัญญาอย่างนี้เหรอ
พระพุทธเจ้าจอมปราชญ์ ฉลาดหรือไม่ฉลาดจึงเรียกว่าจอมปราชญ์ แล้วพวกเราที่ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้านี้แบบเซ่อๆซ่าๆ ลับหูลับตาทำไป กิริยาอาการแสดงออกด้วยความลับหูลับตา ไม่มีสติสตัง ไม่มีปัญญาพินิจพิจารณาความผิดถูกชั่วดีของตัวเลย อย่างนี้มันมีค่าอะไร ไม่มี ต้องอยู่ในจุดนี้ซิผู้ปฏิบัติ เรื่องมรรคผลนิพพานท้าทายตลอดเวลา ไม่บกบางไปไหนเลย ขอให้ก้าวเข้าไปตามแนวทางของศาสดาที่สอนไว้แล้ว ด้วยสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วนี้เถิด เรื่องมรรคผลนิพพานนี้เปิดจ้าอยู่ตลอดเวลา ภายในหัวใจของโลก ทั้งๆที่กิเลสตัณหามันครอบอยู่ไม่ให้เห็นมรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพานก็ยังมีอยู่ในนั้น
พอเปิดกิเลสนี้ออก เหมือนกับจอกกับแหนเปิดออก มันปกคลุมหัวใจ ปกคลุมสระน้ำ เปิดออกมากเท่าไรก็เห็นน้ำชัดเจนๆ เปิดออกมาเท่าไรก็เห็นความสว่างไสวภายในจิตใจชัดเจนขึ้นๆ เปิดออกหมดจ้าเลย นี่ละมรรคผลนิพพานอยู่ที่หัวใจนะ ไม่ใช่อยู่ที่มืดแจ้ง กาลนั้นสถานที่เวล่ำเวลานั้นนี้ไม่มี ท่านจึงบอกว่าอกาลิโก ธรรมไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ใครบำเพ็ญที่ไหนเวลาใดเป็นธรรมล้วนๆ ผู้สร้างบาปสร้างกรรมก็เป็นบาปเป็นกรรมล้วนๆได้เช่นเดียวกัน เรียกว่าอกาลิโกเหมือนกัน ผู้ปฏิบัติธรรมต้องเป็นคนเข้มงวดกวดขันซิ
เรื่องความพากเพียรนี้สำคัญมากที่สตินั้นแหละ ใครอยู่ที่ไหนก็ตามสติให้ติดกับตัวเอง ชื่อว่าเป็นผู้มีความเพียร สติความระลึกได้ระลึกรู้รอบตัวเอง ระลึกรู้รอบหัวใจ สัมปชัญญะเรียกว่ารู้รอบตัว กิริยาเคลื่อนไหวไปมาที่ไหนความรู้สึกตัวว่าทำสิ่งนั้นทำสิ่งนี้มีประจำตน นี้เรียกสัมปชัญญะ ขยายออกมาจากสติที่เจาะจงในจุดสำคัญ เช่นจิตใจของเราเป็นที่เจาะจงของสติที่จะจ่ออยู่ตรงนั้น เป็นอย่างนั้นนะการประกอบความพากเพียร ใครก็ตามไม่ว่าสมัยใดก็ตาม ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่เคยครึเคยล้าสมัย ตรัสไว้ชอบตลอดมาตลอดไป ขอให้ทำดีตามที่ท่านสอนนั้นเถอะ
เรื่องมรรคผลนิพพานไม่มีลำเอียง ตรงเป๋งเลย จะเป็นผู้ทรงได้ ไม่ว่าหญิงว่าชาย นักบวชและฆราวาส กิเลสมีในหัวใจด้วยกันทุกคน แก้กิเลสอออกแล้วสว่างขึ้นได้ด้วยกัน ถ้าไม่แก้นี้ทำอะไรจะเป็นแบบพระเอาจีวรมาห่มสักกี่ผืนก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร จีวรในท้องตลาดไม่อดอยาก มันสำคัญอยู่ที่จิตใจผู้เป็นเจ้าของแห่งเพศของตน คือเพศพระนั้นน่ะ เพศนี้เป็นเพศที่มีสติ เป็นเพศที่สุขุมคัมภีรภาพ อะไรจะเกินยิ่งกว่าเพศของพระ พระของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่พระเซ่อๆซ่าๆ พระขุนน้ำขุนนาง โก้เก๋หรูหราฟู่ฟ่า วิ่งตามกิเลสโดยไม่รู้สึกตัว ถือว่าโก้ว่าเก๋ โก้เก๋ไปตามกิเลส โก้เก๋ไปกับส้วมกับถาน มันไม่ได้โก้เก๋ไปกับอรรถกับธรรม พอจะได้เลิศเลอมาครองหัวใจเลย ทำเท่าไรมันก็เท่านั้นแหละ
ผู้ที่มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริงๆ ท่านไม่สนใจอะไรยิ่งกว่าดูจิตใจความเคลื่อนไหวของตน เพราะจิตใจนี้เป็นมหาเหตุ เป็นที่แสดงเหตุอันใหญ่หลวงอยู่ที่นั่นตลอดเวลา มีกิเลสเป็นตัวประธาน เวลาธรรมยังไม่เกิดกิเลสต้องเป็นนายใหญ่ทีเดียวครอบอยู่นั้น ทีนี้เวลามีธรรมแทรกเข้าไปๆ กำจัดออกๆ ทีนี้ธรรมแก่กล้าขึ้นมา กิเลสตัวมืดบอดนั้นค่อยจางลงไป จางลงไป ธรรมค่อยสว่างไสวขึ้นมา สติปัญญาแก่กล้าขึ้นมา ทีนี้อะไรเกิดขึ้นภายในใจรู้ทันๆหมด เมื่อรู้ทันมันก็ตกขาดสะบั้นไปเลย ถ้าไม่รู้ทันมันเกาะติดๆ เหมือนปลิงเกาะสัตว์นั้นแหละ กิเลสมันเกาะเหนียวแน่น อะไรจะเกินกว่ากิเลสไม่มีนะ
ผู้ปฏิบัติท่านต้องเป็นอย่างนั้น เพียงแต่ปฏิบัติเฉยๆไปอยู่ธุดงค์กรรมฐานภาวนา เรื่องสติไม่ได้มีอยู่กับใจไม่เกิดประโยชน์อะไรนะ เอากันจุดนี้เลยเป็นจุดสำคัญ จุดฆ่ากิเลสจุดนี้ละ เผลอสติก็กิเลสฆ่าหัวใจทำลายหัวใจก็จุดนี้เอง ถ้ามีสติอยู่แล้วกิเลสจะเกิดไม่ได้นะ ขอให้มีสติ เช่นอย่างความโมโหโทโส มันโมโหโทโสมากน้อยเพียงไร สติจับไว้กับความโมโหมันจะไม่รุนแรง มันจะไม่แสดงอาการผาดโผนโจนทะยานถึงกับทำความเสียหายแก่ผู้เกี่ยวข้อง
ถ้ามีสติบังคับไว้โกรธเท่าไรมันก็ลดลงได้เลย ไม่ว่าความรักความชังให้มีสติกำกับอยู่แล้วมันจะไม่ผาดโผนเกินไป ถ้าปล่อยสติเมื่อไรมันจะผางไปเลยละ อะไรๆ แหลกไปได้ทั้งนั้นละ ขาดสติเสียอย่างเดียว สติจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ท่านจึงแสดงไว้ทั่วๆ ไปตลอดเวลาเลยว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ฟังซิทั้งปวง ไม่มีงดเว้น ยืนเดินนั่งนอน มีแต่ความหลับมันสุดวิสัย ท่านจึงบอกเว้นไว้แต่หลับ นอกจากนั้นให้มีสติสตังตลอดเวลา ยิ่งเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อชำระกิเลสให้หมดสิ้นไปจากใจด้วยแล้ว สติเป็นเบอร์หนึ่งทีเดียว ปัญญามาที่สองแทรกกันไป
เวลาสติมีกำลังกล้าแล้วปัญญาก็ค่อยเสริมกันเข้าไป สุดท้ายสติกับปัญญาเป็นอันเดียวกันเลย หมุนติ้วเป็นอันเดียวกัน นั่นท่านชำระกิเลส เหล่านี้มันจะไม่มีแล้วนะ ศาสนาเป็นศาสนวัตถุไปหมด ทั่วแดนไทยเราแล้ว ใครมาพูดศาสนธรรม มีผู้สนใจกับการประพฤติปฏิบัติธรรมทางด้านจิตใจ ชำระจิตใจออกจากกิเลสซึ่งเป็นตัวภัยนี้มันมีที่ไหน เวลานี้จะไม่มีนะ มันมีแต่ศาสนวัตถุเป็นเรื่องส่งเสริมของกิเลสภายในตัว มันเป็นกาฝาก กิเลสเป็นกาฝากเข้าไปแล้วเป็นเนื้อเป็นหนังภายในตัว ทำลายจิตให้แหลกเหลวไปหมด ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
นั่นละกิเลสเป็นกาฝาก มันกัดจิตใจลงไปให้สึกให้กร่อนลงไป ได้รับความทุกข์ความลำบาก เพราะกิเลสทั้งนั้น ธรรมไม่ได้ทำลำบากนะ การปฏิบัติธรรมปฏิบัติให้มันถึงเหตุถึงผลตามทางของศาสดาที่สอนไว้ซี แล้วเอาไปทวงมรรคผลนิพพานกับพระพุทธเจ้า ถ้าปฏิบัติตามพระองค์แล้วแต่ไม่มีมรรคผลนิพพานเป็นเครื่องตอบรับ เอาซิ เราจะพาไปฟ้องพระพุทธเจ้า ถ้าใครปฏิบัติตามนี้แล้วแต่มรรคผลไม่ปรากฏตามที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วนั้นน่ะ เราจะพาไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนผิดนี่ นี่ปฏิบัติตามนั้นทุกสิ่งทุกอย่างแต่ผลไม่ปรากฏให้ได้เห็น แต่นี้ไม่ได้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้านี่ซิ
สอนอย่างนี้ๆ มันแฉลบออกไปนู้นแฉลบไปนี้ มีแต่ทางผิดพลาดทั้งนั้น ผลดีจะได้มาจากไหน มันก็ไม่ได้ละซิ ตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้มันดีซี เรื่องศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นของที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มี ไม่มีอะไรที่จะเลิศเลอยิ่งกว่าพุทธศาสนา บอกให้ชัดเจน ค้นคว้ากัน ขึ้นเวทีฟัดกันกับกิเลสบนหัวใจตามทางของศาสดาที่สอนไว้แล้ว มันก็จ้าออกหมด รู้ไปหมดเลย ศาสนาใดเป็นอย่างไรไม่ต้องวิจารณ์ ดูพุทธศาสนานี้ยอมรับกราบไหว้เลยทีเดียว เพราะเป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลส สอนไม่มีผิดพลาดคือท่านผู้สิ้นกิเลสแล้ว
คลังกิเลสมันก็สอนไปตามกิเลสซี มีมากมีน้อยอย่างไรก็สอนไปตามแนวของกิเลสที่มีอยู่ในใจ นั่น ผู้นี้ไม่มีกิเลสพระพุทธเจ้าจะเอาความผิดพลาดมาจากไหนมาสอนโลก มีแต่ความถูกต้องดีงาม จึงเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบแล้วทั้งนั้น เพราะในจิตบริสุทธิ์สุดส่วน นำธรรมออกมาจากจิตที่บริสุทธิ์ คำสอนอาการกิริยาอาการทุกอย่างจึงเป็นความถูกต้องไปตามๆกันหมด นั่นพระพุทธเจ้าท่านสอนโลกท่านสอนอย่างนั้น
จึงว่าเอกนะ เราเกิดมาพบพุทธศาสนานี้เป็นศาสนาชั้นเอก เอกอุหาที่ต้องติดไม่ได้ ต้องทดสอบกันทางภาคปฏิบัติมันถึงรู้ได้ชัด ยอมรับกราบอย่างราบเลยเชียว นี่พูดจริงๆ หาที่ค้านไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าทรงแสดงตรงไหนรู้ตรงไหนขึ้นมาๆ ก็เป็นที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้วๆ อวดเก่งมาจากไหนล่ะ จะไปแข่งพระพุทธเจ้าว่าดีกว่าพระพุทธเจ้าที่ตรงไหน รู้ตรงไหนๆ เป็นทางเดินที่ท่านสอนเบิกทางไว้ให้แล้ว เข้าไปรู้ รู้ก็รู้ตามทางเดินที่ท่านสอนไว้แล้วทั้งนั้น
นี่ถึงได้ยอมรับกราบซิ กราบอย่างราบทีเดียวกราบพระพุทธเจ้า ในภาคปฏิบัติเป็นภาคที่คุ้ยเขี่ยขุดค้นเต็มเม็ดเต็มหน่วยเกี่ยวกับเรื่องศาสนาพระพุทธเจ้าของเรา นี่เป็นภาคที่พิสูจน์กันอย่างเต็มเหนี่ยว ภาคอื่นยังไม่พูดนะ ยังไม่เข้าถึงเนื้อแท้ ภาคปริยัติเรียนมามากน้อยมันก็อ่านไปตามตำรับตำรา แต่กิเลสไม่เคยบกบาง ไม่เคยถลอกปอกเปิกจากความจำได้ที่เรียนมาจากคัมภีร์นั้นๆ เลยนะ แต่พอเอาภาคปริยัติที่ท่านชี้แนวทางเข้ามาหากิเลสที่อยู่กับใจนี้นำมาปฏิบัติ พอนำมาปฏิบัตินี้กิเลสมันจะเริ่มถลอกปอกเปิกแล้วนะ
ภาคปฏิบัติเป็นภาคที่เอาจริงเอาจัง เริ่มรู้เริ่มเห็นเข้าไปเป็นลำดับลำดา นี่ละเป็นภาคพิสูจน์โดยแท้ภาคปฏิบัติจิตตภาวนา จิตตภาวนาขอให้มีในใจของผู้ปฏิบัติ อย่างน้อยมีความสงบเย็นใจสบายใจนะ ถ้าไม่ได้ดูหัวใจตัวหมุนติ้วๆ อยู่ในร่างของบุคคลแต่ละคนๆ นี้แล้ว จะไปหาความสุขไปที่ไหนก็ไปเถอะ เจอตั้งแต่ความทุกข์ทั้งนั้น เพราะเป็นเรื่องของกิเลสหว่านล้อมไว้หมดแล้ว ถ้ามีธรรมภายในใจมีสติภายในใจ สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรมอุตส่าห์พยายามติดตามธรรมพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนไว้แล้วจะค่อยสง่างาม ทำอะไรมีเหตุมีผล มีหลักมีเกณฑ์ ไม่ได้ทำสุ่มสี่สุ่มห้านะ ผู้มีธรรมในใจเป็นอย่างนั้นนะ แล้วก็ค่อยสง่างามขึ้นไปเรื่อยๆ
เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องจิตตภาวนานี้แหละ เป็นเรื่องที่จะเปิดความอัศจรรย์ขึ้นมาให้เห็นในหัวใจของตน ซึ่งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็น แต่เวลาเห็นแล้วก็เห็นด้วยการภาวนา เจอขึ้นตรงนั้น ไม่คาดไม่ฝันว่าจะเจอ เหตุผลเข้าถึงกันแล้วมันเป็นผลอันพอใจขึ้นมาๆ เหตุเป็นเครื่องดำเนิน ผลเป็นเครื่องยอมรับๆ กัน นี่ละขอให้ปฏิบัติตามนี้นะ ถ้าไม่ปฏิบัติตามนี้มันก็อย่างว่า เดี๋ยวนี้พุทธศาสนาเรามันมีแต่กระดาษนะ คนผู้ที่ปฏิบัติตามพุทธศาสนาจริงๆ มีน้อยมากทีเดียว แทบจะว่าไม่มี
จะว่าพระก็ไม่ว่าพระท่านพระเรามันก็แบบเดียวกัน หาผู้ที่สนใจดูหัวใจเจ้าของไม่ดู มันดูตั้งแต่ข้างนอกตามเรื่องของกิเลสพาให้ดูไปเสีย หูก็ไปอย่างนั้นวิ่งไปตามกิเลสเสียหมด มันไม่ได้วิ่งไปตามธรรม ถ้าวิ่งไปตามธรรมแล้วเป็นธรรมขึ้นมาทันที วิ่งตามกิเลสก็เป็นกิเลสไปวันยังค่ำ จมไปได้ไม่สงสัย ถ้าใครวิ่งตามกิเลสจะหาความเจริญไม่ได้เลย ถ้าผู้ใดวิ่งตามธรรม พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างไรวิ่งตามธรรม คัดค้านต้านทานกิเลสตลอดเวลา นั่นละจะเจอธรรม
ธรรมพระพุทธเจ้าไม่มีผิดมีพลาด ขอให้ปฏิบัติตามเถอะไม่ผิด ถูกต้องหมดแล้ว มันผิดสำหรับผู้ศึกษานับถือท่านมาปฏิบัติ ปฏิบัติลุ่มๆดอนๆ ไม่จริงไม่จัง แล้วก็หาเรื่องใส่ศาสนาว่าไม่มีมรรคมีผล กิเลสเข้าไปแทรกกินโต๊ะกันอยู่ในหัวใจวันยังค่ำ มันไม่ได้ดูตัวเอง นั่นละผลเสียอยู่ที่ตรงนั้นที่กิเลสไปกินโต๊ะเรา ธรรมะท่านไม่ได้ทำงานละซี มีแต่กิเลสไปทำงานหมด เตะธรรมออกจากหัวใจ มีแต่กิเลสเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ใจ อยู่โลกไหนมันก็ร้อน มันร้อนอยู่ที่หัวใจนะ เราอย่าเข้าใจว่าร้อนที่ไหน เย็นที่ไหน สบายที่ไหน ทุกข์ที่ไหน ทุกข์ที่หัวใจ สุขที่หัวใจ บรมสุขสุดยอดอยู่ที่หัวใจ
อย่างขึ้นเครื่องยนต์กลไกขึ้นบนฟ้าก็ตาม กิเลสอยู่บนฟ้าในหัวใจของคนด้วยกัน ความทุกข์อยู่บนเครื่องบิน มันก็เต็มอยู่ในนั้น เพราะกิเลสตัวเป็นฟืนเป็นไฟมันอยู่ในหัวใจของคนที่นั่งอยู่ในเครื่องบินมีมากมีน้อย มันก็เหมือนเราอยู่พื้นที่ธรรมดานี้แหละ ผู้อยู่ข้างบนก็เผาอยู่ข้างบน ผู้อยู่ข้างล่างก็เผาอยู่ข้างล่าง กิเลสอยู่ที่ไหนเผาที่นั่น ถ้าธรรมมีอยู่ที่ไหนเย็นที่นั่น อยู่ไหนสบายหมด นั่น มันต่างกันนะ
ให้พากันจำเอานะธรรมข้อนี้ ใครมาเทศน์ให้ท่านทั้งหลายฟังมีไหมล่ะ นี้เปิดออกมาจากหัวใจที่คุ้ยเขี่ยขุดค้นเต็มเม็ดเต็มหน่วยจนหายสงสัยแล้วจึงนำมาสอน ด้วยความไม่สงสัย ด้วยความแน่ใจทุกอย่าง พากันนำไปประพฤติปฏิบัตินะ ศาสนาพุทธเรานี้เลิศเลอสุดยอดแล้วนะ ไม่มีใครคุ้ยเขี่ยขุดค้นขึ้นมา ใครก็มาตั้งแต่เป็นหนอนแทะกระดาษ อ่านคัมภีร์นั้นอ่านคัมภีร์นี้เอาความรู้มาจากความจำมาเป็นมรรคเป็นผล มันจะเป็นมรรคเป็นผลได้อย่างไรความจำ ความจริงต่างหากเป็นมรรคเป็นผล นำความจำมาปฏิบัติเป็นความจริงขึ้นมาจากจิตใจ
นี่เป็นมรรคเป็นผลขึ้นที่นี่ เพียงความจำได้เฉยๆเป็นความจำวันยังค่ำ จะเรียนจบพระไตรปิฎกก็เพียงความจำ ไม่เป็นมรรคเป็นผล กิเลสไม่ถลอกปอกเปิก ถ้านำความจำออกมาจากที่เราเรียนนั้นเอามาปฏิบัติต่อกิเลสมากน้อย กิเลสจะเริ่มถลอกปอกเปิกไหวตัวไปเรื่อยๆ เน้นหนักเข้าไปเท่าไรกิเลสพังทลายลงไปเพราะภาคปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเสธ ปริยัติได้แก่การศึกษาเล่าเรียนตามแบบแปลนแผนผัง แล้วนำแบบแปลนแผนผังที่เรียนมานั้นมาปฏิบัติปรับปรุงแก้ไขตนเองตามที่เรียนมานั้น แล้วผิดถูกชั่วดีมันจะรู้จากภาคปฏิบัติของเรา ผลก็ปรากฏขึ้นมา เรียกว่าปฏิเวธ รู้ผลงานของตนเป็นลำดับลำดาจนกระทั่งหลุดพ้นโดยสิ้นเชิง
เรียกว่าปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ รู้สุดยอด จิตได้หลุดพ้นแล้วสุดยอด ไม่มีเรื่องอะไรในโลกอันนี้หมด โลกมันจะวุ่นขนาดไหนก็ตาม จิตดวงนั้นจะไม่มี เพราะเป็นวิมุตติพ้นไปจากแดนสมมุติ คือแดนแห่งความวุ่นวายนี้โดยสิ้นเชิงแล้ว จะเอาอะไรมาเป็นทุกข์ พระอรหันต์-พระพุทธเจ้าท่านไม่เป็นทุกข์นะ ก็มีแต่ธาตุขันธ์เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมอย่างเราๆท่านๆ เพราะนี่เป็นสมมุติด้วยกัน มันก็เจ็บปวดแสบร้อนที่นั่นที่นี่เหมือนกัน ก็หาหยูกหายามาบำบัดรักษาเหมือนโลกทั่วๆ ไปนั้นแหละ ส่วนภายในของท่านไม่มีอะไรเข้าไปแทรกได้เลย
นั่นละนิพพานเที่ยงอยู่ตรงนั้นนะตรงที่จิตหลุดพ้นแล้ว นั่นละธรรมธาตุอยู่ตรงนั้น ไม่มีอะไรเข้าไปแทรก พ้นแล้วจากสมมุติโดยประการทั้งปวง นั่นละท่านว่าธรรมธาตุ พอร่างนี้หมดสภาพแล้วทิ้งปั๊วะ นั่นละธรรมธาตุเต็มตัวแล้ว อันนี้ก็มาอาศัยอยู่ในธาตุขันธ์ซึ่งเป็นสมมุตินี้ ธรรมชาตินั้นก็อยู่อย่างนั้น อันนี้เจ็บนั้นปวดนี้ก็อยู่ตามสมมุติ อันนี้ แต่มันไม่เข้าถึงกันมันเป็นคนละฝั่งแล้ว เป็นอฐานะที่จะให้เป็นอย่างอื่นอย่างใดไม่ได้แล้ว นั้นละจิต
นี่ละชำระให้มันเห็นอย่างนี้ซี ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นธรรมะที่เอหิปสฺสิโกท้าทายตลอดเวลา ให้ท่านน้อมจิตของท่านมาดูตัวเองซิน่ะ เอหิปสฺสิโก เอหิท่านจงมา น้อมสติปัญญาเข้ามาในนี้ ปสฺสิโก ดูตัวเอง ตัวเหตุใหญ่มันอยู่ที่หัวใจ มันแสดงอะไรบ้าง เอาสติปัญญาหยั่งเข้าไปดูนี้ ท่านว่า เอหิปสฺสิโก น้อมสติปัญญาเข้ามาดูตัวเอง ตัวเองคือใจที่มันกำลังลุกเป็นฟืนเป็นไฟด้วยกิเลสเผามันนั่นแหละ ทีนี้เวลาสติปัญญาหยั่งเข้ามานี้ใจดวงนี้มันจะสงบ สงบเย็นลงไปเรื่อยๆ
เอหิปสฺสิโก ดูตรงนี้ ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ ท่านผู้รู้ทั้งหลายจะรู้จำเพาะตน จากอันที่ว่านี่ ที่ เอหิปสฺสิโก ดูเข้ามาภายในจะรู้ที่นี่ มันไม่ได้รู้ภายนอกนะ รู้ภายในใจ รู้ที่นี่ พากันตั้งใจปฏิบัตินะ ศาสนาจะมีแต่ชื่อแต่นาม ที่ไหนก็มีแต่ชื่อแต่ตาม เราพูดสลดสังเวช เราไม่ได้เข้าข้างนั้นออกข้างนี้ ไม่มีคำว่าเอียงนู้นเอียงนี้ ตำหนินู้นตำหนินี้ อย่างขาดเหตุขาดผลเราเป็นไปไม่ได้ ควรติเราติทันทีด้วยเหตุด้วยผลที่ถูกต้อง ควรชม ชมทันที นี่คือธรรม ธรรมไม่มีคำว่าลำเอียง
เวลาศาสนาของเรามันมีแต่ชื่อแต่นาม มีแต่กิริยาเฉยๆ มีกิริยาว่านับถือเฉยๆ แต่กิริยาจริงจังที่กิเลสฝังจมอยู่นั้นมันพาไปถลุงหมด เอาไปทำแหลกไปหมด ไม่มีใครมีความดีงามประจำตนเลย นี่ละศาสนามันมีแต่ชื่อนะ กิเลสเป็นผู้ทำงาน ผลก็มีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนวุ่นวาย ให้เอาศาสนามาทำงานในหัวใจเราซิ บังคับบัญชาจิตใจ เรื่องความขี้เกียจขี้คร้านให้ทราบว่านั้นคือกิเลส เรื่องการคัดค้านต้านทานธรรมนั้นคือกิเลส มันคัดค้านต้านทานธรรม มันก็ค้านเรา เราก็ค้านมัน มันไม่อยากทำ เราทำ นี่ชื่อว่ารบกันกับกิเลส มันไม่อยากทำบุญให้ทาน เอาทำ ไม่อยากภาวนา เอาภาวนา นั่น จึงว่าสู้กัน มันว่าอะไรก็ให้มันลากไปๆ เหมือนหมูขึ้นเขียงมันใช้ไม่ได้นะ
พากันตั้งใจ ผู้ที่จะหวังสารประโยชน์แก่ตนต้องต่อสู้กับสิ่งที่ไร้สาระ แต่มันเป็นภัยต่อตัวของเราตลอดไป เราต้องสู้กันเรื่อยๆ ให้พากันจดจำเอานะ มานี่นี้ก็นึกว่าจะไม่ได้เทศน์อะไร มันก็ยังเทศน์อยู่อย่างนี้ละ เพราะความสงสาร หัวใจมันเป็นฟืนเป็นไฟ ดังที่พูดนี้ ขึ้นเครื่องบินจรวดดาวเทียมก็ขึ้นไปเถอะ กิเลสอยู่ในหัวใจของคนที่อยู่บนจรวดดาวเทียม เป็นไฟอยู่ข้างบน ผู้อยู่ข้างล่างก็เป็นไฟอยู่ข้างล่าง ถ้ากิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดแล้วอยู่ไหนสบายหมด ไม่มีอะไรสบายยิ่งกว่ากิเลสตัวเป็นภัยขาดสะบั้นไปจากใจ
นี่บรมสุขอยู่ที่ใจ อยู่ไหนสบาย ไม่คำนึงถึงเรื่องความเป็นความตาย เพราะธรรมชาตินี้เที่ยงแล้วอยู่ในหัวใจ ไปกังวลอะไรกับเรื่องความเป็นความตาย เพราะธรรมชาตินี้เป็นหลักใหญ่หลวงเต็มหัวใจอยู่แล้ว หายสงสัย สงสัยอะไร ตายนี้จะไปเกิดไหนๆ เกิดที่ไหนมันรู้อยู่นี่ จะไปเกิดที่ไหน สิ่งที่พาให้เกิดมันฟัดขาดสะบั้นลงไปหมดแล้วอะไรจะไปเกิด เมื่อไม่เกิดมันจะไปตายที่ไหน สิ่งที่ทำให้เป็นทุกข์ก็คือกิเลส ฟาดมันขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้วจะเอาทุกข์มาจากไหน กิเลสเป็นผู้สร้างทุกข์ดับไปแล้วทุกข์ก็ดับไปด้วยกัน ก็มีแต่บรมสุขเต็มหัวใจเท่านั้นเอง เอาละพูดเพียงเท่านี้
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน
FM 103.25 MHz
|