เทศน์อบรมฆราวาส
ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
ขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้วกิเลสเกิดไม่ได้
วันนี้ก็มายืดแข้งยืดขา พอจากนู้นแล้วมานี้เข้าทางจงกรมเลย เดินเอาจริงๆ จังๆ วันนี้ เอาจนเหนื่อย มาเดินดัดเส้นดัดสายเจ้าของตั้งแต่มาถึงเข้าทางจงกรมเลย รวมวันนี้ได้ถึงสองชั่วโมง มาคราวนี้ที่เดินมากที่สุด เพราะเดินดัดเส้นเจ้าของ รวมแล้วได้สองชั่วโมงวันนี้ เพราะมันปวดมันขัดมันอะไรต่ออะไร มันไม่ได้สะดวกเกี่ยวกับเรื่องการดัดแปลงแก้ไขธาตุขันธ์เจ้าของ เพราะมันเรื่องยุ่งตลอด เรื่องไหนๆ ก็บีบมาหาธาตุหาขันธ์นี่ละ เมื่อหนักเข้าๆ สุดท้ายมันก็จะเดินไม่ได้ เช่นอย่างเข่าอ่อน มันก็มีเรื่องเข้ามาตลอด เข่าธรรมดามันไม่อ่อนแหละ นี่ก็เพราะถูกทุบถูกตีด้วยการนั่งหรือการอะไร ไม่สะดวกในการเปลี่ยนอิริยาบถ มันก็เป็น หนักเข้าๆ ก็เป็น หนักเข้าจนจะเดินไม่ได้
พอมาจากนู่นปั๊บ ลงปั๊บก็เข้าทางจงกรมเลย ไม่มองใครทั้งนั้น ฟาดรวมแล้วเป็นสองชั่วโมง จากนั้นเข้ามานี่ก็มาดัดเส้นอีกวันนี้นะ โธ่ มันจะตายจริงๆ น้า อนุโลมกับโลกกับสงสาร อนุโลมไปอนุโลมมาเจ้าของเลยจะตาย มีวันนี้ที่วันได้ดัดเส้นดัดเอ็นเจ้าของ จากนั้นเข้าในห้องดัดอีก เพราะมีตั้งแต่วันถูกทุบถูกตีตลอดเวลา หาความสะดวกสบายไม่ได้ อะไรๆ มันก็พังได้ทั้งนั้นแหละ ภูเขาทั้งลูกถูกทุบถูกตีพังได้ ประสาร่างกายคนจะทนไปถึงไหน
นี่ก็ท่านฟักมานี่ ยานี่ดี วิเศษวิโส บอกว่าทาเข่ายานี่วิเศษวิโส มาบรรยายนี้ พอบรรยายจบลงแล้วเราก็ตัดสินให้ว่า ปาเข้าปานู่น ไม่ยอมปานะยังมาวางไว้นี้ จะไปยังมากระซิบอีก โอ๋ยดี ยาดี อะไรดีก็ตามเถอะ ถ้าหัวใจไม่ดี ไม่ดีทั้งนั้น เราว่าเลย เราไม่ได้สนใจอะไรยิ่งกว่าหัวใจนะ ถ้าใจเลวเสียอย่างเดียวอะไรไม่ดีทั้งหมดนั้นแหละ ขอให้ใจดีเสียอย่างดีเท่านั้นดีไปหมด อะไรจะพังพังไป หัวใจไม่ได้พัง นั่นละตัวสาระสำคัญในวัฏฏะและวิวัฏฏะ อยู่ตรงนั้นอยู่ที่หัวใจเราบอก ต้องไปแล้วหักกลับอย่างนั้นซี ไปท่าเดียวๆ ไม่ได้นะ
อะไรถ้าเป็นเรื่องนอกละดีหมดๆ เรื่องภายในจะเลอะเทอะขนาดไหนเป็นฟืนเป็นไฟเผาหัวอกไม่สนใจ โลกเป็นอย่างนั้นเดี๋ยวนี้น่ะ มันน่าสวนก็สวนบ้างซีธรรมะ ปล่อยให้กิเลสจูงจมูกไปถ่ายเดียวไม่เอานะนี่ เราไม่ใช่ควายพอให้กิเลสจูงจมูกไป เดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างนั้นโลกดูเอาซิ มีแต่กิเลสจูงจมูก ดูซิตามนี้จมูกมันวิ่นมันขาดไปหมดแล้วรู้ไหม ลูกศิษย์หลวงตาบัวนี่ตัวสำคัญ คนไหนๆ จมูกวิ่นจมูกขาดไปจนหมด มีแต่กิเลสจูงลากไปๆ ถูไป ไม่มีสติปัญญาพินิจพิจารณา กลับตาลปัตรซัดกันบ้างเล
นี่ไม่ได้ไปแถวเดียวนะ ไปนี่ปั๊บๆๆ เรื่องธรรมเป็นอย่างนั้น สำคัญที่สุดคือใจ ยิ่งพูดกับพระด้วยแล้วเป็นอย่างนั้นละ ดูลักษณะท่าทางมาปั๊บจับได้แล้ว นั่น อะไรจะเลิศเลอยิ่งกว่าหัวใจ ขอให้หัวใจดีเถอะน่ะ มันจะทุกข์จะยากจะลำบากขนาดไหนมันพอถูพอไถนะ ขอให้หัวใจดีอยู่เถอะไม่เสียคนเรา ถ้าหัวใจเสียอะไรจะดี จะมีมากขนาดไหนไม่เกิดประโยชน์นะ ใจตัวเป็นเจ้าของเสียเสียอย่างเดียวเสียหมด นั่น ต้องเอาตัวนี้
อย่าลืมหัวใจเจ้าของนะ เราเป็นผู้ครองสมบัติทั้งภายนอกภายใน สมบัติภายนอกก็ดังที่เราเห็น สมบัติภายในคือศีลธรรม ให้มีอยู่ภายในจิตใจของเรา ให้ประคับประคองไปเสมอกัน เพราะเราเป็นผู้รับผิดชอบทั้งภายนอกภายใน ภายนอกไม่ได้สำคัญยิ่งกว่าภายในนะ ถ้าพูดถึงเรื่องหลักธรรมแล้ว ภายในนี่สำคัญมากที่สุดเลย นี่ก็จวนจะตายแล้วนี่จะให้ว่าไง ธรรมะนี่ก็สอนโลกมาเท่าไร ได้ ๕๕-๕๖ ปีนี้แล้ว ตั้งแต่เริ่มสอนมา แต่ก่อนไม่สอนใคร สอนแต่เจ้าของ ไปอยู่ในป่าในเขา เรียนเป็นมหาเปรียญ เปรียญชั้นไหนๆ เขาจะให้เป็นครูสอน ไม่สอน ไม่สอนอะไรทุกชั้น ตรี โท เอก มหาเปรียญ ไม่สอนใครเลย จะสอนเจ้าของ บอกตรงๆ เลย
จิตมุ่งต่อแดนพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น มันจะเป็นนิสัยอะไรก็ไม่ทราบละ มันหากเป็น มันเด่นอยู่ที่จุดพ้นทุกข์ จะเอาให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ มันเด่นๆ เด่นอยู่ในนั้นละ อ่านธรรมะไปเท่าไรๆ จิตมันหมุนเข้าๆ นะไม่ได้หมุนออก ก็คิดดูซิบวชทีแรกก็เพราะพ่อน้ำตาร่วงลืมเมื่อไร นี้ละกระเทือนหมด ทุกสิ่งทุกอย่างที่คาราคาซังอะไรอยู่นี้พังหมดเลย น้ำตาพ่อมีฤทธิ์มาก ล้มหมดเลยสิ่งเหล่านั้น คือเป็นคาราคาซังเกาะนั้นเกาะนี้อะไร พอน้ำตาพ่อกับแม่พังเท่านั้นแล้วขาดสะบั้นไปหมดเลย หมุนเจ้าของ มัดเจ้าของเข้าเลย สรุปความลงแล้วว่าเอาจนได้ มันหนีไปอะไรไม่ได้ละ จะบวช
เป็นอย่างไรพ่อกับแม่เลี้ยงมาจนแทบเป็นแทบตาย ทุกสิ่งทุกอย่างโลกเขาทำได้ ทำไมเราก็ยังเห็นทำได้กับเขา แต่ส่วนบวชทำไมเราทำไม่ได้ ต้องบวช ลงขนาดพ่อน้ำตาร่วงไม่เคยเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างพ่อกับแม่อนุโลมตามเราๆ ไม่ค่อยขัดนะ เพราะไว้ใจนั่นเองไม่ใช่อะไร ถ้าจะว่าอะไรนี่พ่อแม่ไม่ค่อยขัดขืนกับเรา อนุโลมตามๆ มาเท่าไรแล้ว นี้เพียงขอให้บวชก็ขอมากี่ครั้งกี่หนแล้ว เป็นหูหนวกตาบอดไม่เคยสนใจกับพ่อกับแม่พูดเลย วันนี้ได้เห็นน้ำตาพ่อร่วงไปแล้วเป็นอย่างไร ลูกทั้งคน เอาละนะที่นี่
การบวชการเรียนโลกเขาก็เรียนได้บวชได้ ผู้สึกไปก็สึกไป ผู้ที่เป็นสมภารเจ้าวัดอยู่ก็มากต่อมาก ท่านไม่เห็นเป็นอะไร การบวชไม่ได้ติดคุกติดตะรางอะไรทำไมจึงบวชไม่ได้ แล้วบวชพ่อแม่ก็ไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์ว่าให้บวชเท่านั้นปีเท่านี้เดือนให้สึก เอาเจ้าของแล้วนะ แต่อันหนึ่งก็จะบวชให้พ่อแม่ดีใจเท่านั้นละ ปีสองปีก็จะสึกมาหาลูกหาเมีย เข้าใจ พูดให้มันชัด ก็มันเป็นอย่างนั้นในใจจะให้ว่าอย่างไร นี่ภาษาธรรมก็ต้องพูดอย่างนั้นซิ
พอบวชเข้าไปปั๊บ แต่นิสัยมันจริง อันนี้อันหนึ่งเป็นหลักใหญ่อยู่มาก นิสัยเราจริง ไม่ว่าอะไรถ้าลงได้ลั่นคำแล้วเป็นฆราวาสก็แบบเดียวกัน เพราะฉะนั้นพ่อกับแม่จึงได้เชื่อ ลงได้ลั่นคำไหนแล้วจริงๆ อันนี้เป็นนิสัยติดหัวใจ บวชไปปีสองปีอยากสึกแล้วค่อยสึก แต่เวลาบวชนี้จะไม่ให้มีอะไรต้องติ เวลาสึกออกมาแล้วจะไปตกนรกอเวจีจะได้อำนาจแห่งความดีงามที่เรามาบวชได้บุญได้กุศลเป็นเครื่องฉุดลากขึ้นบ้าง เพราะฉะนั้นจึงเอาให้เต็มเหนี่ยวเลย ก็บวช พอบวชเข้าไปมันจริงนี่นะ อ่านธรรมะเข้าไปเอะใจเรื่อยๆ อันนี้เราก็ผิดมาแล้วๆ หมุนแก้เรื่อยๆ ไป
ฟาดจนกระทั่ง เอาให้เต็มเหนี่ยว ว่างั้นเถอะ บวช พ่อกับแม่ดีอกดีใจเอามากมายทีเดียว พอได้ยินคำเราว่าจะบวช แต่ก่อนจะบวชยังไปขู่แม่อีกนะ เพราะนิสัยลูกส่วนมากมันติดแม่ ไอ้เราติดแม่ตลอดเลย เอะอะต้องเข้าหาแม่ กับพ่อไม่ค่อยเข้า พอลงใจเรียบร้อยแล้วมาขู่แม่ละ มาหาแม่ นี่ว่าจะให้บวช จะบวชให้ละนะ แต่บวชแล้วอยากสึกเมื่อไรก็สึกนะ ใครมาห้ามไม่ได้ ถ้าลงว่าห้ามแล้วไม่บวช บวชเสร็จแล้วจะสึกเมื่อไรก็ได้ แม่ฉลาดกว่าลูก แม่ก็สาธุเลย พอไปบวชเสร็จแล้วออกมาจากอุปัชฌาย์มาหน้าโบสถ์ คนเต็มพระเจ้าพระสงฆ์เต็ม ยังไม่เลิกก็ตาม ไปสึกอยู่ที่นั่นแม่ก็ไม่ว่าอะไร ฟังซิน่ะ แม่อยากเห็นผ้าเหลืองเวลาบวชนั้นแม่ก็พอใจแล้ว ก็รู้แล้วว่าใครมันจะทำได้ ตกลงก็ติดปัญหาแม่ ก็ต้องบวช เห็นไหมล่ะ
ครั้นบวชไปอ่านอรรถอ่านธรรมเข้าไป ตรงไหนมีแต่ข้อตำหนิๆ ที่เราเคยผิดมาแล้วๆ แก้เข้าไปเรื่อยๆ อ่านธรรมะสูงขึ้นไปๆ ทีแรกอยากไปสวรรค์ ต่อมาอยากไปพรหมโลก พออ่านเข้าไปนี้ไม่อยากไปสวรรค์ พรหมโลก อยากไปนิพพาน จิตมันก็หมุนติ้วๆ เข้าไป เลยพุ่งใส่พระนิพพานเลย เห็นพ่อแม่ครูจารย์มั่นที่จังหวัดเชียงใหม่นั้น แหม ไม่ลืมนะ เพราะเคารพเลื่อมใสท่านมาตั้งแต่ยังไม่เห็นองค์ท่าน นั่นละเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นท่าน ได้ยินแต่ปรากฏชื่อลือนามมาตั้งแต่เราเป็นเด็ก อยู่ที่อำเภอบ้านผือ เราเป็นเด็ก เวลาบวชมาแล้วกำลังเรียนหนังสืออยู่ มาพบท่านที่เชียงใหม่
ดูท่านดูด้วยความเคารพเลื่อมใสจริงๆ พอเห็นท่านเข้ามานี้ก็โดดเข้าห้องเลย ดูช่องประตู ดูท่านเดินมา เพราะลงใจแล้วว่าท่านคือพระอรหันต์ เพราะได้ทราบจากครูบาอาจารย์ทั้งหลายมามากต่อมากแล้ว ใครออกมาจากท่าน มาศึกษากับท่านเรียบร้อยแล้ว ออกมานี้พูดเป็นเสียงเดียวกันหมด ท่านอาจารย์มั่นไม่ใช่พระธรรมดา องค์ไหนมาก็บอกไม่ใช่พระธรรมดา ไม่ใช่พระธรรมดาเป็นพระอะไร พระอริยะ อริยะก็มีหลายขั้นอยู่นะ โสดาก็อริยะ สกิทาก็อริยะ อนาคาก็อริยะ อรหันต์ก็อริยะ ท่านอยู่ขั้นใด ขั้นสุด ว่าอย่างนั้นนะ
นี่มันก็ฝังลึกแล้ว พอมองเห็นท่านเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ของคนมีกิเลสนะ ว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ดูท่าน วันนั้นปลื้มปีติทั้งวันเลย พอออกจากนั้นแล้ว หยุดจากเรียนหนังสือแล้วบึ่งถึงท่านเลย ไปก็พอได้ฟังอรรถฟังธรรม เหมือนท่านกางตาข่ายไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านก็ใส่เปรี้ยงๆ ไปเลย เหอ ท่านมาหาอะไร ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ มาหาอะไร จากนั้นก็ชี้ไปตามดินฟ้าอากาศต้นไม้ภูเขา ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ธรรม ธรรมแท้กิเลสแท้อยู่ที่หัวใจ ให้ท่านดูที่หัวใจซิ ท่านจะได้เห็นทั้งธรรมทั้งกิเลสอยู่ภายในหัวใจ ไม่มีที่อื่น อย่าไปหาให้เสียเวล่ำเวลา ให้ดูที่หัวใจ กิเลสที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ภายในจิตใจก็อยู่ที่หัวใจ ธรรมะที่จะเป็นน้ำดับไฟก็ดับที่หัวใจ
ท่านใส่ลงเปรี้ยงๆ เราฟังถึงใจเลยนะ เพราะไปด้วยความจดจ่อเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ของคนมีกิเลส ท่านเน้นหนักๆ ลงไป เอาดูให้ดีนะดูใจ เอาให้ดี จิตตภาวนา เอาให้ดี นี้ละกิเลสกับธรรมท่านจะได้เห็นที่จิตตภาวนา ท่านไม่เห็นที่ไหน ไม่ต้องไปดูที่ไหนให้เสียเวลา ให้ดูที่หัวใจ ด้วยความมีสติโดยทางจิตตภาวนา เร่งลงไป ว่าอย่างนั้นนะ เราไม่ลืม ท่านใส่เปรี้ยงๆ ใส่ด้วยน้ำใจเมตตาของท่านนั่นแหละ ไม่ใช่อะไร เด็ดเผ็ดร้อนมีแต่เนื้อธรรมล้วนๆ จากนั้นแล้วท่านก็มาพูดเรื่องจิตตภาวนาสำคัญมาก ท่านเน้นลงๆ ให้ดูจิตจะเห็นทั้งกิเลสทั้งธรรม ดูที่อื่นไม่เห็น ท่านบอก ดูจิต กิเลสจะเห็นอยู่ที่จิต ละได้ที่จิต ธรรมก็จะรู้ได้ที่จิต เห็นได้ที่จิตนั่นละ จิตตภาวนา เอาให้ดีนะ
ครั้นสุดท้ายท่านก็มีอนุโลมอีกอันหนึ่ง เออ ท่านมหาก็นับว่าเรียนมามากพอสมควรถึงขั้นได้เป็นมหา อย่าว่าผมประมาทธรรมของพระพุทธเจ้านะ เวลานี้เป็นเวลาภาวนาให้ยกบูชาธรรมที่ท่านเรียนมามากน้อยไว้เสียก่อน ให้ท่านเร่งทางด้านจิตตภาวนาให้มาก อย่าไปคิดกังวลกับการศึกษาเล่าเรียนมามากน้อย มาเทียบมาเคียงกันจะสร้างความกังวลใส่หัวใจเรา จิตตภาวนาจะหาความสงบได้ยาก ให้ปล่อยให้หมด การศึกษาเล่าเรียนมามากน้อย ให้เร่งลงในจิตตภาวนาอย่างเดียว เราไม่ได้ลืมนะ
เมื่อเวลาถึงกาลปริยัติกับปฏิบัติจะวิ่งเข้าประสานกันแล้วเอาไว้ไม่อยู่ นี่เราก็ไม่ลืม เวลานี้ยังไม่ให้เกี่ยวข้องกับปริยัติ จะเป็นการรบกวนซึ่งกันและกันระหว่างภาคปฏิบัติกับปริยัติ จิตจะสงบไม่ได้ เพราะจะอดคิดเทียบเคียงอะไรต่ออะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นให้ยกบูชาไว้ก่อน ให้เน้นหนักลงทางจิตตภาวนา อย่างไรจิตจะสงบ เอาให้หนัก เมื่อถึงกาลเวลาที่ปริยัติกับปฏิบัติจะวิ่งเข้าประสานกันแล้วเอาไว้ไม่อยู่ นี่เราไม่ลืม แล้วมันก็เป็นจริงๆ ท่านว่าอย่างนั้น มันก็หมุนติ้วๆ ทางด้านสมาธิภาวนาเพื่อความสงบใจ ทีนี้เวลามันออกก็เป็นอย่างที่ท่านว่าจริงๆ
พอถึงขั้นปัญญา ทีนี้ปัญญาเราออกละนะที่นี่ ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้วทีนี้ปริยัติกับปฏิบัติมันจะวิ่งเข้าประสานกัน เอาไว้ไม่อยู่จริงๆ มันวิ่งประสานกัน นั่นท่านพูดผิดที่ไหนล่ะ จากนั้นมันก็พุ่งเลยละปฏิบัติ เอาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยๆ จิตค่อยสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาๆ สงบเย็นเข้าไปๆ ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัตินี้ เรียกว่าจิตมีกำลังมากแล้วความเพียรเป็นไปเอง สติปัญญาหมุนตัวเป็นเกลียวไป ฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องบีบบี้สีไฟเหมือนแต่ก่อน หมุนติ้วๆๆ
ทีนี้พอถึงขั้นสติปัญญาเป็นอัตโนมัตินี่ ปริยัติกับปฏิบัติมันจะวิ่งใส่กัน ประสานกัน มันรู้เห็นอันนี้ เอา ปริยัติว่าอย่างไร มันวิ่งใส่กัน ปริยัติว่าอย่างไรเอามาเทียบเคียงกัน เอามาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ เอาปริยัติเป็นหลักเกณฑ์ ภาคปฏิบัติของเราเป็นสิ่งที่รู้ขึ้นมาจากการปฏิบัติ เอาเทียบเคียงกับปริยัติ มันวิ่งถึงกันละที่นี่ เอาไว้ไม่อยู่ นั่นเห็นไหมล่ะ ก็ท่านเป็นมาหมดแล้วนี่ ท่านพูดผิดที่ตรงไหน จากนั้นมันก็หมุนของมันติ้วๆๆ เลย
นี่ละที่เคยพูดให้ฟังว่า ธรรมฆ่ากิเลสนี้เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน เหมือนกิเลสทำลายสัตว์โลกเป็นอัตโนมัติ มันทำงานของมันบนหัวใจสัตว์โลกนี้ทุกหัวใจ เป็นกิเลสทำงานทั้งนั้นๆ เป็นอัตโนมัติของมัน ธรรมไม่มีเวลานั้น ถูกกิเลสเหยียบแหลกไปหมด ทีนี้พอจิตตภาวนาของเราได้ฟื้นขึ้นมาๆ มีกำลังแล้ว ทีนี้ตามเหยียบกิเลส แก้กิเลสเป็นอัตโนมัติ พอแก้กิเลสเป็นอัตโนมัติแล้วอยู่ที่ไหนแก้ตลอดนะ ทีนี้ความเพียรว่าความเพียรนี้ไม่มี ได้รั้งเอาไว้ มันจะเลยเถิด คือมันรุนแรง มันดูดมันดื่ม มันพุ่งๆ เลย ถึงความเพียรอัตโนมัติแล้วต้องได้หักห้ามเอาไว้ มันจะเลยเถิด
ไม่หลับไม่นอนซิ ถึงกาลเวลาจะนอน บังคับ มันไม่นอน หัวใจอันนี้กับกิเลสมันฟัดกันอยู่ภายใน หมุนอยู่ภายใน นอนอยู่มันก็ไม่นอน เรื่องธรรมะกับกิเลสฟัดกันอยู่ภายใน เรานอนอยู่เหมือนขอนซุง แต่หัวใจไม่ได้เป็นขอนซุง มันหมุนของมันติ้วๆๆ นี่ละเรื่องธรรมะฆ่ากิเลส สังหารกิเลส แก้กิเลส แก้อัตโนมัติ แก้อย่างนี้ เมื่อมีกำลังแล้วเรื่องธรรมะก็ทำงานแก้กิเลสเป็นอัตโนมัติ เหมือนกันกับกิเลสสร้างผลประโยชน์ของมันใส่หัวใจของสัตว์เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน นี่มันได้เห็น เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วมันก็เทียบกันได้ซิ มันรู้ในหัวใจนี่สงสัยไปไหน อยู่ที่ไหนมันก็หมุนของมันติ้วๆๆ
นี่ละที่มันเร่งของมันเรื่องความเพียร ความเห็นโทษของกิเลสนี้หนักทีเดียว เต็มหัวใจๆ ความเห็นคุณค่าของธรรมเพื่อความหลุดพ้นก็เต็มหัวใจด้วยกัน นี่เอาไว้ไม่อยู่นะ นี่ละลืมวันลืมคืน ลืมเวล่ำเวลา มีแต่ฆ่ากิเลส ฟัดกับกิเลสตลอดเวลา นี่ท่านทั้งหลายไม่เคยฟัง ให้ฟัง นี่ละนำออกมาจากภาคปฏิบัติ สนามรบคือหัวใจ ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันอยู่บนหัวใจของนักภาวนา เมื่อเวลาถึงขั้นเกรียงไกรแล้วเป็นอย่างนั้นละกิเลสกับธรรมฟัดกัน เป็นธรรมจักร เป็นอัตโนมัติหมุนตลอด แต่ก่อนมีแต่กิเลสหมุนบนหัวใจตลอด
ทีนี้เวลาธรรมะมีกำลังแล้วมีแต่ธรรมละหมุนฆ่ากิเลสโดยตลอด กิเลสจะเกิดขึ้นใหม่ไม่ได้เลย ไม่เกิด เกิดไม่ได้ เท่าที่มีอยู่แล้วก็มีแต่คอยจะหมดไปสิ้นไปๆ ที่จะผลิตตัวขึ้นมาใหม่นี้ไม่มี ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้วกิเลสเกิดไม่ได้ มีแต่ระงับดับลงไป ดับลงไปๆ ทางด้านธรรมะมีกำลังมากขึ้นๆ สุดท้ายก็นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ ละซิที่นี่ ว่านิพพานมีหรือไม่มีนาแต่ก่อน หายไปหมด นิพพานเลยกลายว่าอยู่ชั่วเอื้อม หวุดหวิดๆ จับผิดจับถูกอยู่นั้นด้วยความเพียรอัตโนมัติ เมื่อถึงขั้นนี้แล้วกิเลสมีเท่าไรเหมือนว่านับวันเวลาไว้เลย จะพังตลอดๆ นับวันเวลาไว้เลยทีเดียว
ท่านทั้งหลายให้ฟังเสีย สมัยปัจจุบันนี้ไม่มีใครที่จะพูดอย่างนี้ ฟังให้ถึงใจนะ นี่ละธรรมะของศาสดาองค์เอกเรา ขอให้ได้เข้าหัวใจดวงใดเถอะน่ะมันจะจ้าไปหมดนั่นแหละ เวลานี้ถูกกิเลสตัณหาซึ่งเทียบกับพวกมูตรพวกคูถ หรือเทียบกับจอกกับแหนปกคลุมหุ้มห่อน้ำที่สะอาดที่สุดภายในหัวใจเราไว้ มันจึงมองไม่เห็น มองไปก็มีแต่กิเลสเต็มตัวๆ มองคนทั้งคนไม่เห็น เห็นแต่กิเลสเต็มตัวๆ ทีนี้เวลาเปิดออกๆ ธรรมะนี่จ้าขึ้นมา ๆ ทีนี้ก็หมุนติ้วๆ เลย เวลามันด่วน ด่วนจริงๆ นะ จิตนี้ถึงขั้นด่วน มันตายกองกันมากี่กัปกี่กัลป์แล้วมันไม่ได้คำนวณถึงเวล่ำเวลาว่านานหรือไม่นาน มันก็เพลินไปตามเรื่องของมัน เวลากิเลสเต็มหัวใจแล้วมันไม่ได้เพลินเพื่อทางออกนะ มันมีแต่เพลินวิ่งไปตามกิเลส
บทเวลามีธรรมภายในใจแล้วเพลินเพื่อทางออกเท่านั้น ทีนี้หมุนเป็นธรรมจักรไปเลยติ้วๆ ตลอดเวลาๆ กิเลสมีเท่าไรขาดลงๆ สติปัญญาเกรียงไกร สติปัญญาอัตโนมัติแล้วยังไม่แล้ว หมุนเข้าสู่มหาสติมหาปัญญา อันนี้ยิ่งเฉียบยิ่งแหลม มหาสติมหาปัญญา นี่เรียกว่ามรรคสุดยอด เครื่องฆ่ากิเลสสุดยอดคือมหาสติมหาปัญญา มันก้าวขึ้นมาเห็นประจักษ์กับหัวใจไปถามใคร ในสามแดนโลกธาตุไม่ต้องถามใคร พระพุทธเจ้าท่านถามใคร ตรัสรู้ผางขึ้นมาสอนโลกได้เลย อันนี้ก็เหมือนกันกิเลสอยู่ในหัวใจอย่างเดียวกัน ธรรมอยู่ในหัวใจอันเดียวกัน สังหารอยู่ในหัวใจอันเดียวกัน เวลามันขาดมากน้อยก็รู้อยู่ประจักษ์หัวใจ ขาดสะบั้นลงไปหมดแล้วทำไมจะไม่รู้
นี่ละจ้าขึ้นมา มรรคผลนิพพานอยู่ที่หัวใจไม่อยู่ที่อื่นใด อย่าให้กิเลสมาหลอกนะ ศาสนาล่วงไปเท่านั้นล่วงไปเท่านี้ มรรคผลนิพพานจะหมด ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป แต่การสร้างกิเลสทับหัวใจเจ้าของให้จมนั้นมันไม่ได้คิดถึงนะ กิเลสมันหลอก หลอกเพลิดเพลินอันนั้น เพลิดเพลินอันนี้ เหมือนจะไม่มีวันตาย ทั้งๆ ที่ป่าช้าของสัตว์เต็มอยู่ในวัฏจักรนี้ เกิดตายๆ ด้วยกันหมด ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าได้ละ มันก็ไม่สนใจกับความตายนะ มีแต่ความเพลิดความเพลินเหยียบหัวมันไป
เวลาธรรมเปิดขึ้นมามันเห็นหมดละซิที่นี่ มันก็หมุนของมันติ้วๆ เคยพูดแล้ว จะพูดกี่ครั้งก็ตาม ออกสดๆ ร้อนๆ ออกปัจจุบันนี้มีรสมีชาติเต็มหัวใจตลอดมา ผู้ฟังต้องได้เข้าใจหรือมีรสมีชาติเหมือนกัน เวลามันได้หมุนของมันแล้วนี่ โถ มันของง่ายเมื่อไร มันเห็นอยู่ในหัวใจนี่ซี ติ้วๆ หมุนตลอด กลางคืนนอนไม่หลับ มันฟัดกันอยู่ที่หัวใจ กิเลสกับธรรมอยู่ที่หัวใจ มันฟัดกันโดยอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติไม่มีวันหยุดวันถอย นอนไม่หลับ สุดท้ายแจ้ง กลางวันขึ้นมาอีกมันยังไม่ยอมนอน มันยังฟัดกันอีก อ้าว นี่มันจะตายแล้วนะ
หักจิตเข้ามาสู่สมาธิเพื่อให้พักจิต สมาธิเป็นที่พักของจิต ไม่ใช่แก้กิเลส แต่เป็นกำลังหนุนธรรมให้แก้กิเลส หนุนสติปัญญาให้แก้กิเลส พอได้กำลังจากสมาธิแล้วออกผางๆ เลย นั้นละแก้กิเลสแก้อยู่ที่หัวใจ อย่าพากันเป็นบ้านักนะโลกนี้โลกตาบอด พูดให้มันชัดๆ เต็มยันอย่างนี้ มีตากี่ดวงก็ตาม มันตาเพื่อกิเลสเอาไปใช้เสียทั้งหมด ตาเพื่อธรรมเอาไปใช้ไม่ค่อยมีนะ ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสนี้มันรวดเร็วมาก หูก็ดี ตาก็ดี จมูกลิ้นกายดีไปหมด เพื่อกิเลส ถ้าจะย้อนเข้ามาสู่อรรถสู่ธรรมเพื่อแก้กิเลสมันไม่ค่อยมีๆ เอา สร้างขึ้นซิ อยู่กับตัวเองมันไปไหน ฟาดขึ้นมาให้ได้เห็นอย่างที่ว่านี่น่ะ
ธรรมพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ อยู่กับนักภาวนา พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว ไม่มีที่ไหนอันใดที่จะมาเสมอเหมือน ไม่มีคู่แข่ง คือพุทธศาสนาเท่านั้น พระพุทธเจ้าตรัสรู้แต่ละองค์เพียงพระองค์เดียว เพราะเกิดได้ยาก สอนแม่นยำด้วย ไม่มีผิดมีพลาด เรียกว่าสวากขาตธรรม ชอบทั้งนั้น ทุกกิ่งก้านดอกใบมีความถูกต้องแม่นยำไปหมด เรื่องของกิเลสหลอกไปนั้นไม่มีคำว่าถูกต้องแม่นยำ มันหลอกไปหมด แต่ธรรมนี่แม่นยำๆ
เมื่อเข้าถึงขั้นเข้าด้ายเข้าเข็มก็อย่างว่านี่ละ อย่างไรเป็นกับตายไม่มีถอย เอาให้ถึงพริกถึงขิง นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ ซัดกันเลย กิเลสมันจะมาจากไหน มันก็เกิดที่หัวใจ ธรรมะก็อยู่ที่หัวใจ ฟาดกันมันก็ขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจ พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดแล้วจ้าขึ้นมา นี่ไม่ได้คิดได้อ่าน ไม่ได้คาดได้หมายนะ ธรรมชาตินี้เหนือทุกอย่าง คาดไม่ถูก หมายไม่ถูก ถ้าว่าอัศจรรย์ก็เกินคาดเกินหมาย เกินโลกเกินสงสารไปเสีย มันไม่ได้เป็นอัศจรรย์แบบโลกอัศจรรย์กันนะ อัศจรรย์ธรรมภายในใจ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วจ้าไปเลย
นี่ละธรรมที่เลิศเลอ ซึ่งพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลกมาตลอด พวกเราเป็นสัตว์โลกประเภทไหน สัตว์โลกประเภทตาบอดหูหนวก ไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ฟังแต่เสียงเพลงลูกทุ่งลูกกรุงนั่นเหรอ เป็นบ้ากันทั้งวันทั้งคืน เหมือนจะไม่มีป่าช้า มันมีป่าช้าทุกคนนะ อยู่ในศาลานี้ก็มีทุกคน ถึงวันตายเอาไว้ไม่อยู่ละตายด้วยกัน ผู้เทศน์ก็ตาย ใครก็ตายเหมือนกัน เวลายังไม่ตายให้รีบเร่งขวนขวายช่วยเหลือจิตใจที่ถูกกิเลสบีบบี้สีไฟตลอดเวลาให้มีความสง่างามขึ้นมาภายในใจ อยู่ที่ไหนได้หลักได้เกณฑ์แล้วสบายนะ ขอให้ใจมีหลักเสียอย่างเดียว ความทุกข์ความจนอะไรเหล่านี้มันไม่ค่อยสนใจแหละ ความสง่างามอยู่ที่ใจแล้วอยู่ที่ไหนตายก็ตายไปอย่างสบายๆ ของผู้มีธรรม ให้พากันตั้งอกตั้งใจ การเทศน์นี่เทศน์ให้ฟังอย่างชัดเจน เอาธรรมพระพุทธเจ้ามาแสดงในปัจจุบัน มีไหมมรรคผลนิพพาน สมัยทุกวันนี้มีไหม หรือมีแต่กิเลสเหยียบหัวสัตว์โลกนั่นเหรอ ธรรมไม่มี พระพุทธเจ้าทั้งองค์สอนโลกไว้ไม่มีความหมายบ้างเหรอ จะมีความหมายตั้งแต่กิเลสตัณหาเหยียบหัวสัตว์โลกบีบบี้สีไฟทั้งวันทั้งคืนนั่นเหรอ เอาไปชั่งตัวเอง พิจารณาตัวเอง ไปถามตัวเอง ให้แก้ไขตัวเอง ผู้ที่รับเคราะห์รับกรรมคือเราแต่ละคนๆ เอาไปแก้ปัญหาของเราที่ถูกกิเลสเหยียบอยู่เวลานี้ คลี่คลายมันออกมันจะไปไหนกิเลส มันขาดสะบั้นไปได้เพราะอำนาจแห่งธรรมเหมือนกันนั่นแหละ
พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัตินะ นี่ก็ยิ่งแก่มาแล้วๆ ธาตุขันธ์ก็อยู่อย่างนี้ละจะให้ว่าไง ส่วนจิตใจมันหมดปัญหาโดยสิ้นเชิง ก็มีแต่ความเมตตาสงสาร อย่างดีดอย่างดิ้นไปทางนู้นทางนี้ทุกวัน เราเอาอะไร เราไม่เคยเอาอะไร ไม่สนใจกับอะไร พอหมด เมื่อหัวใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันพอแล้วนี้ พออย่างเลิศเลอ ไม่ได้สนใจกับอะไร อาศัยไปวันหนึ่งๆ บิณฑบาตมาฉันเท่านั้นมันก็พอแล้ว แล้วทำไมจึงต้องดีดต้องดิ้น ไปนู้นไปนี้ไปเพื่ออะไร ไปเพื่อโลกสงสารด้วยความเมตตานั่นแหละ ได้มาเท่าไรโละหมดๆ เราไม่เคยสนใจจะเอาอะไรนะ
ดูซิอย่างบิณฑบาตมา ที่สวนแสงธรรมเรานี้ มีมากมีน้อยเท่าไรได้มา เห็นไหมเก็บอะไรไว้บ้าง เห็นไหม ไม่มี เราไม่เคยสนใจ มีแต่ความเมตตาสงสาร สงเคราะห์สงหาไปหมด มีมากกว่านี้ให้มากกว่านี้ มีเท่าไรให้หมด มีแต่ความเสียสละด้วยความเมตตาเท่านั้นเราเป็นที่พอใจ ขอให้ผู้ที่มารับได้ไปเป็นความสุขความสบายแล้วเป็นที่พอใจทั้งนั้นละเรา นอกนั้นเราไม่เอาอะไร มันพออยู่ในหัวใจนี้พอหมด สามแดนโลกธาตุนี้ไม่เอาอะไรเลย ไม่มีอะไรเหนือธรรมชาติอันนี้ ธรรมชาติที่พอนี้ เหนือหมดเลย
พากันตั้งอกตั้งใจ สร้างให้ดีคุณงามความดีอย่าปล่อยอย่าวาง การทำบุญให้ทานเป็นนิสัยของชาวพุทธอยู่แล้ว นี้เป็นพื้นฐาน เราไม่ได้ตำหนิติเตียน เรื่องศีลเรื่องธรรม เรื่องภาวนานี้ต้องได้เตือนกันอยู่เรื่อย ให้เร่งอันนี้เข้าไปด้วยกัน แล้วเข้าสู่จิตตภาวนาด้วยแล้วนั่นเป็นสร้างทำนบใหญ่ บุญกุศลศีลทานของเราที่สร้างมามากน้อยเพียงไรแล้วมันจะไหลลงมาทำนบใหญ่นั้นแหละ เราให้ทานมากี่ปีกี่เดือนกี่กัปกี่กัลป์ไม่สูญไปไหน คำว่าสูญไม่มี ธรรมไม่ลำเอียง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตลอดมา ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย ไม่ทำไม่ได้ เหมือนกันทั้งทำบาปทำบุญไม่ทำไม่ได้ ถ้าทำแล้วได้ด้วยกัน พระธรรมท่านไม่ลำเอียงนะ ตรงไปตรงมา
ให้พากันสร้างนะเวลามีชีวิตอยู่นี้ ทุกวันนี้ศาสนาจะไม่มีเหลือแล้วนะ เฉพาะอย่างยิ่งในเมืองไทยเรา ไปที่ไหนเห็นแต่ความเพลิดความเพลิน เป็นบ้ากันทั้งโลกทั้งสงสาร มองดูนั้น โอ๊ย อันนั้นดีนะอันนี้ดีนะ ประสาสีประสาแสง ประสาอิฐปูนหินทราย เหล็กหลา กระดาษ เงินก็หลังลายอาศัยมันไปวันหนึ่งๆ อย่าเป็นบ้ากับมันจนเกินไป จนเสียคน กระดาษท่านสมมุติขึ้นให้เป็นความสะดวกสบายในระหว่างมนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน ได้ประสับประสานกันด้วยการแลกเปลี่ยนซื้อขาย ไม่ใช่ทำขึ้นให้คนเป็นบ้านะ ให้รู้จักประมาณ
เมื่อธรรมมีในใจจะไม่เป็นบ้า รู้จักใช้จักสอย รู้จักเก็บจักเฉลี่ยเผื่อแผ่ให้เป็นประโยชน์แก่โลก นี่ชื่อว่าผู้ฉลาด ได้มากได้น้อยไม่เสียคน ถ้าเป็นกิเลสแล้วได้มากเท่าไรยิ่งเป็นบ้านะ เหมือนหนึ่งว่าจะไม่ตาย เวลาตายแล้วก็ไม่เห็นมีอะไร เหมือนโลกทั้งหลายเขาตายกันนั่นแหละ นิมนต์พระมากุสลา ธมฺมา ธมฺมา กุสลาหาอะไร คนนั้นมันทำอะไร ทำดีก็ดีดผึง ถ้าทำชั่วก็ผึงเหมือนกัน นั่นละมันขึ้นอยู่กับเราสร้าง กุสลา-อกุสลา กุสลา ธมฺมา สร้างคุณงามความดีเข้าใส่ใจ อกุสลา ธมฺมา สร้างบาปสร้างอกุศล สร้างฟืนสร้างไฟเข้าสู่หัวใจ
จะนิมนต์พระมาเป็นร้อยๆ พันๆ เอาไว้ไม่อยู่ ลงนรกตูมเลย ผู้ที่สร้างความดีงามนี้แล้วนิมนต์พระมาเท่าไรก็ไม่อยู่ ผึงเลย ไปตามอำนาจแห่งบุญกรรมของตนที่มีมากน้อย ควรดีดถึงสวรรค์ สวรรค์ พรหมโลก พรหมโลก ถึงนิพพานผึงเลย ไม่จำเป็นจะต้องกุสลา ธมฺมา ส่ง ไม่จำเป็น พูดให้ชัดๆ ให้ท่านทั้งหลายได้ฟังที่เราเทศน์อยู่ทุกวันนี้เทศน์มากี่ปี ได้ ๕๐ กว่าปีแล้วนี้ ก็เคยพูดซ้ำๆ ซากๆ เรานี่เป็นที่แน่ใจในความเป็นอยู่และตายไปของเรา เป็นอยู่นี้เราก็ไม่มีอะไรกับโลกกับสงสารอะไรเลย มีแต่กิริยาอาการของธาตุของขันธ์ที่เกี่ยวข้องกันอยู่ เพราะธาตุขันธ์ก็เป็นสมมุติ
เรื่องโลกทั้งหลายก็เป็นสมมุติ ก็ประสับประสานกันไปตามธรรมดาของธาตุขันธ์นี้เท่านั้น ส่วนธรรมชาติของจิตที่ผ่านไปแล้วนั้น นั้นคือวิมุตติ ไม่ได้มาเกี่ยวข้อง มีความเป็นอยู่ก็อยู่กับสมมุติไปธรรมดาๆ ถึงกาลเวลาแล้วดีดผึงเดียวเท่านั้นผางเลย ไม่ถามหานิพพาน ถามหาอะไร หัวใจเป็นนิพพานเต็มตัวแล้วถามหาอะไรอีก ไปตื่นเงาอะไร นั่น ให้มันเห็นชัดๆ ซี ลองปฏิบัติแล้วธรรมพระพุทธเจ้าหลอกโลกที่ไหน ไม่เคยหลอก ขอให้ปฏิบัติให้มันรู้มันเห็นตามศาสดาองค์เอก จะกราบได้อย่างสนิทโดยไม่ต้องสงสัย
พระพุทธเจ้านิพพานไปกี่ปีแล้วไม่ถาม พอธรรมะธรรมชาติอันเดียวกันเข้าถึงกันแล้วเป็นอันเดียวกันหมด เหมือนน้ำในมหาสมุทรจะไหลลงมาจากคลองไหนๆ พอเข้าถึงมหาสมุทรเป็นน้ำมหาสมุทรเหมือนกันหมด อันนี้จิตเราสร้างบารมีของเราให้หนักเข้าๆ ไหลเข้าไปใกล้สู่มหาวิมุตติมหานิพพาน พอเข้าถึงวิมุตติหลุดพ้นแล้วเป็นอันเดียวกันหมดเลย ไปถามกันหาอะไร พระพุทธเจ้าปรินิพพานมากี่พระองค์ไม่ได้ถามกัน จ้าขึ้นไปในหัวใจถึงกันหมดเลย ให้พากันจดจำเอา
นี่ก็พยายามสอนทุกแง่ทุกมุม สอนโลกสอนสงสาร อย่าพากันหลับหูหลับตาอยู่เฉยๆ นะ อย่าให้กิเลสมันหลอก อันใดก็มีแต่ดีๆ พวกมูตรพวกคูถมันมาหลอกว่าเป็นทองคำทั้งแท่ง ยังเชื่อมันอยู่เหรอ สิ่งที่ควรอาศัยอาศัยไป สิ่งที่เป็นของดิบของดีที่จะเป็นผลประโยชน์ให้สร้างลงไป ทั้งสองอย่างมันอยู่ด้วยกัน เอาละพอเหนื่อย
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|