หักห้ามวัฏวนด้วยจิตตภาวนา (สมเด็จพระสังฆราช)
วันที่ 13 ธันวาคม 2548 เวลา 18:50 น.
สถานที่ : กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส

ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

เมื่อค่ำวันที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

หักห้ามวัฏวนด้วยจิตตภาวนา

 

(รวมเวลาแสดงธรรม ๔๓ นาที)

          ไปเยี่ยมสมเด็จสังฆราชแล้ว โอ้ท่านน่าสงสาร ท่านไม่รับสั่งอะไรละกับเรา ไปก็ขึ้นบนเข่าเลย เราปั๊บเข้าไปนั่นเลย กราบเรียนท่าน ท่านจ้องดู ดูว่าท่านไม่ได้รับสั่งสักคำนะ เราก็กราบเรียนท่านย่อๆ พอให้ท่านทราบชื่อ แล้วท่านจ้องดู เวลาเราจะลาท่านกลับมาแล้วท่านชี้ใส่เก้าอี้ ท่านอยากให้นั่งเก้าอี้ ดูว่ายังไม่อยากให้กลับนะ ท่านชี้มาที่เก้าอี้ เราอยู่ที่ตักที่เข่าท่าน ไปลาท่าน ท่านก็ชี้มาเก้าอี้ เราเลยไม่มา ลาจากนั้นแล้วก็เปิดเลย มันก็ทันสมัยดีนี่ ลาท่านแล้วเปิดเลย ไม่นั่งเก้าอี้ พูดถึงเรื่องความสนิทสนม สนิทสนมกันมามากและนานกับสมเด็จสังฆราช

          เวลาไปพักวัดบวรฯทีไรนี้ท่านปล่อยภาระหมด โยนมาให้เรา การเทศนาว่าการในวัดบวรฯ เพราะท่านหนักมาตลอด พอเราไปท่านก็โยนให้เลย เรียกว่าเราไปจับขาหมี มันมีในนั่นเหมือนกันนะขาหมี ขบขันดีนะ คือผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในป่า ไปจ๊ะเอ๋กันกับหมี คือธรรมดาหมีนี่มันไม่ค่อยวิ่งหนี ถ้าเจอใกล้ๆ เช่นอย่างลูกกรงเห่านี้โดดยเข้ามากัดคน ทำคนให้เสียท่าเสียก่อนมันค่อยไป พอหนุ่มคนนั้นเดินไปนั้นไปจ๊ะเอ๋กับหมี หมีก็โดดมา ทางนี้ก็เข้าต้นไม้ มันก็ตะปบมา ต้นไม้อยู่ตรงกลาง คนอยู่ทางนั้นมันก็ตะปบสองขา แล้วคนนั้นก็จับได้ทั้งสองขาเลย จับหมีตัวนั้นได้ทั้งสองขา

          ทีนี้พอจับหมีได้หมีก็โดดจะออก หัวคนก็ชนต้นไม้ คนจะตาย คนจับขาหมีดึง หัวหมีก็ชนต้นไม้ ชนอยู่อย่างนั้น ต้นไม้อยู่ตรงกลาง คนเจ็บหัวซิ พอหมีโดด คนจับขามันอยู่ หัวคนชนต้นไม้ เขาจับขาหมีไว้ หัวหมีก็ชนต้นไม้นั่นละ เอากันอยู่ปึงปังๆ พอดีคนหนึ่งมา ทำอะไรนั่น นี่กำลังจับขาหมี มาช่วย คนนั้นเห็นจับขาหมี หัวหมีกับหัวคนชนต้นไม้ต้นเดียวกัน ทางนี้ก็ตะโกนเรียก โอ้ยทำอะไรนั่น ทางนี่กำลังจับขาหมีมาช่วยกัน คนนั้นก็ปุ๊บปั๊บจับขาหมีได้ คนนี้ก็เปิดเลย คนนั้นชนต้นเสาอยู่กับหมีตัวนั้น

          เราไปวัดบวรฯก็แบบเดียวกัน ท่านจับขาหมีอยู่ เห็นเราไปท่านก็ปล่อยขาหมีให้เรา เราก็ชน เป็นอย่างนั้นละ เข้าท่าดี มันมีในนิทานเหมือนกัน คือหมีนี่เวลาไปเจอใกล้ๆ มันไม่ได้วิ่งหนีนะ ส่วนมากมันจะวิ่งมาหาคน ตะปบหรือกัดคนเสียก่อน บางทีเจ็บมากด้วยมันถึงจะไป แต่เสือไม่ได้เจอมันง่ายๆ พวกคนในป่าเขาไปนี่เขาระวังแต่หมี  มันมาสะเปะสะปะของมันจึงมักจะเจอคนเสมอ แต่เสือนี่มันสติดี พอคนมานู้นมันรู้แล้วมันหลบ แต่หมีนี่เจอ เจอมันบ่อยหมี

          เจอก็ไม่เป็นไรแหละ ขออย่าให้ไปจับขาหมีก็แล้วกันนะ เรามาวัดบวรฯ มีแต่มาจับขาหมี ท่านปล่อยเลยให้เราเทศน์ ตั้งแต่มาพักที่นี่แล้วก็เลยไม่ได้ไป วันนี้ท่านไม่รับสั่งอะไร แต่ท่านจ้องมองเราตลอดเลยนะ บทเวลาเราจะลาท่านกลับท่านชี้มาเก้าอี้ให้นั่งเก้าอี้เสียก่อนยังไม่อยากให้กลับ ทางนี้ก็เผ่นเลย ไม่อยู่แล้ว เจ้าคุณเทพฯบอกมากับคุณหลวง บอกว่าอยากให้เราไปกราบเยี่ยมสมเด็จสังฆราช อยู่วัดบวรฯ คณะกุฏิเราเคยไปพัก กุฏิท่าน เวลาไปกรุงเทพฯ ท่านอยากให้เรา คุณหลวงเอาผ้าไตรว่าสมเด็จพระสังฆราชให้เอามาถวาย

          คือเจ้าคุณเทพฯนี่แหละให้เอาผ้ามาถวาย ไปบอกว่าผ้าสมเด็จสังฆราชให้เอามาถวายเรา แต่เราไม่ค่อยเชื่อ ธรรมดาท่านก็ไม่สนใจกับอะไรแล้ว เอาผ้านั่นมาแล้วพูดสั่งคำมาว่าอยากให้เราไปเยี่ยมสมเด็จสังฆราช เพราะท่านไม่เห็นเราไปตั้งแต่ท่านได้เป็นสมเด็จสังฆราชแล้วเราไม่เคยไปวัดบวรฯ ที่ท่านนิมนต์ก็เพราะเหตุนี้เอง เพราะท่านทราบดีเรื่องเรากับสมเด็จสังฆราชสนิทกันอย่างไรบ้าง และสนิทกับท่าน แต่อยู่ๆ ก็ไม่เห็นไปสักที ท่านเลยหาอุบาย เอาผ้าไตรมาเมื่อวานหรือวันซืน บอกว่าผ้าสมเด็จสังฆราช เอาผ้ามาถวายแล้วอยากให้ไปกราบเยี่ยมสมเด็จสังฆราช

          ไปวันนี้ท่านไม่ได้ไป ท่านไม่ได้ไปที่โรงพยาบาล มีแต่พระสามสี่องค์ เป็นประจำสี่องค์ ก็ไปคุยกับท่านไม่มากนัก ไม่นาน แต่ท่านไม่รับสั่งอะไร เป็นแต่เพียงว่าท่านจ้องเราตลอด นั่นเรียกว่าเป็นการปฏิสันถารต้อนรับด้วยกิริยาอย่างนั้น เราก็พูดบ้างเล็กน้อย ท่านเทศน์ตามนิสัยของท่าน คือท่านเทศน์ช้ามากนะ พูดขึ้นประโยคหนึ่งแล้วกว่าจะขึ้นประโยคหนึ่งนาน เหมือนว่าคิดประโยคหน้าเสียก่อนแล้วค่อยพูด ประโยคจบเหมือนว่าคิดเสียก่อนแล้วค่อยพูด เป็นประโยคๆ ช้ามาก

          เวลาท่านฟังเทศน์เรา ท่านก็คงจะคิดอันหนึ่งเหมือนกันนะ ท่านไปนั่งด้วยกัน เวลาให้เราเทศน์ บางวันที่ท่านว่างท่านก็ไปด้วย แต่ให้เราเทศน์ ทีนี้เวลาเราเทศน์กับท่านเทศน์มันต่างกัน ท่านเทศน์ช้ามากเชียว แต่เราพอเริ่มแล้วมันยำเลย ท่านก็ฟัง เราเทศน์ก็เป็นเรื่องของเรา ยำเลย ของท่านฟัดเสียโป้กแล้วก็ไปหาผักหาหญ้ามาแล้วเอามาวาง ค่อยโป้กแล้วไปหาเนื้อหาปลามา แล้วก็โป้กอีกทีหนึ่ง เป็นอย่างนั้น เรานี้ยำเลย มันต่างกัน

          อันนี้เป็นไปตามนิสัยนั่นแหละ นิสัยมันต่างกัน ท่านอาจารย์ฝั้นก็มีช้าๆ อย่างนั้นก็เทศน์ไปช้าๆ ไป เทศน์ช้าๆ แล้วก็หยุด บางทีเหมือนจะไม่เทศน์แล้วก็เทศน์ขึ้นอีก ต่อไปเรื่อยเลย  นั่นก็เป็นนิสัยของท่าน เทศน์แล้วหยุดเงียบเหมือนจะไม่เทศน์ แล้วก็ขึ้นอีก เทศน์ไปแล้วหยุดไปเทศน์ไปอย่างนั้น พูดถึงเรื่องท่านอาจารย์ฝั้นนี้เราก็ระลึกถึงเจ้าคุณอุปัชฌาย์เรานั่นน่ะ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ วันนั้นเราไม่ได้ไปในงาน มีงานชื่อวัดสุเทพนครพนม (มีเสียงดังขึ้น) มันเสียงอะไรนี่ อี้ๆแอ้ๆอยู่นั่น มันฟังให้คนเป็นบ้าไม่ใช่เหรอ ทั่วดินแดน มีแต่เรื่องบ้ากวนหู มองไปที่ไหน โอ้ยนี่มันจะเป็นบ้ากันทั้งโลก  นี่มันไม่มาเกี่ยวข้องเราก็ไม่พูด เฉย ความจริงมันดูพอแล้ว จนเบื่อจะดูจะฟัง

          พูดถึงเรื่องท่านเจ้าคุณ คือท่านเคยฟังเทศน์เรามากต่อมากแล้ว ไปไหนท่านจะไม่เทศน์เลย ไปไหนคือเอาเราไปเทศน์ทั้งนั้นละ มีงานอะไรก็ตาม เฉพาะวัดโพธิฯนี้ ในตอนที่ท่านกำลังซ่อมโบสถ์ใหม่ ต่อมันเป็นสามรสแต่ก่อนมีรสเดียว ต่อเป็นสามคสสามชั้นขึ้นไป กู้เงินมหามกุฏเข้าไปแต่ก่อนเงินมันแพง กู้ไปแสนสองหมื่น กู้เขาไปแล้วก็ไปซ่อม ทีนี้พวกประชาชนทั้งหลายเขาทราบว่าท่านติดหนี้ จังหวัดนู้นก็มาทอดผ้าป่าช่วยใช้หนี้ให้ท่านนั่นแหละ มาจากที่ไหนก็ตาม ดูว่าไม่เคยเว้นเลยแม้แต่แห่งเดียวนะที่ท่านจะมาเอาเราไปเทศน์ ท่านมาเองนะ ขึ้นรถปุ๊บๆมา ไปแล้ว ถึงป่วยก็ตามต้องได้ไปถ้าท่านมา ถ้าท่านไม่มาท่านสั่งให้พระมาหาเรา เราไม่ไปหาอุบายพูด

        สุดท้ายท่านมาเองทั้งนั้นแหละ ยิ่งไปเทศน์อย่างนี้ท่านมาเอง เราก็ไปเทศน์ให้ ท่านเคยเสียพอฟังเทศน์เรา เราไปเทศน์มันก็มีส่วนอยู่ เวลาเราไปเทศน์แต่ละครั้งๆเขาถวายมามากเท่าไรเราก็รวมกับนั้น ดีไม่ดีได้เกือบเท่ากันกับผ้าป่าเขา ของเราบวกเข้าปุ๊บๆ เลย เพราะเราไม่เคยแตะ เราบูชาคุณท่าน ท่านเป็นอุปัชฌาย์เรา ไปเทศน์ที่ไหนก็ตามเราไม่เคยแตะ จนกระทั่งท่านถาม เธอจะได้ใช้อะไร บอก โอ้ยมี เราว่า เราไม่เคยสนใจ ยกถวายหมดเลย

          แม้ที่สุดไปเทศน์ในวัดโพธิฯ เทศน์ในงานศพ ท่านผู้เกียรติเสียไป เขานิมนต์เราไปเทศน์ในงานศพ เราก็มอบท่านหมดเลย เราไปเทศน์ให้เฉยๆ เป็นอย่างนั้นปรกติ ทีนี้เวลาเทศน์ของเรากับท่านอาจารย์ฝั้นมันไม่เหมือนกัน นี่ละเป็นเหตุที่จะให้ท่านพูด วันนั้นไปเทศน์ที่วัดศรีเทพฯ จังหวัดนครพนมนั่นละ ท่านอาจารย์ฝั้นเป็นคนเทศน์ ท่านนั่งฟัง ท่านมาพูดให้เราฟังเองนะ เราเป็นสัทธิงวิหาริก หรือว่าลูกของท่านจะผิดไปไหน  ท่านว่าเราโมโหบัว คิดถึงมหาบัวจะตาย นี่เทศน์แล้วแต่จะขึ้น แล้วแต่จะหยุด แล้วจะไปไหน คิดถึงมหาบัว โมโห มันไม่ทันใจ ท่านว่าอย่างนี้นะ

          คือท่านฟังเทศน์เราแล้ว เคยแล้ว เราถ้าเริ่มก็เรื่อยไปอย่างนั้น ถ้าให้หยุดอย่างนั้น มันก็ตามนิสัย หยุดแต่ลมหายใจ จากนั้นก็เรื่อยๆ ท่านอาจารย์ฝั้นท่านก็เทศน์ตามนิสัยของท่าน ท่านอยากหยุด หยุด เหมือนจะไม่เทศน์เดี๋ยวขึ้นอีก ท่านเจ้าคุณท่านก็โมโห คือเวลาท่านไปฟังเทศน์ท่านจะนั่งสมาธิฟังนะ จิตมันกล่อม นี่ละท่านเล่าให้ฟัง  เธอเทศน์เมื่อไรแล้วจิตเราสงบแน่วเลยละบัว ว่าอย่างนั้นแหละ เธอเทศน์เราไม่กังวล พอเริ่มขึ้นแล้วกล่อมจิตสงบเลย

          วันนั้นไปเทศน์ท่านอาจารย์ฝั้นเลยโมโห เลยจิตไม่ลง ท่านว่าอย่างนั้น เลยคิดถึงเธอ โมโหด้วยซ้ำ ท่านเล่าให้ฟัง เพราะท่านเคยฟังเทศน์เรามามากต่อมาก งานใดก็ตาม ต้องเอาเราไปเทศน์ที่วัดโพธิฯ งานผ้าป่านี่ทุกงานเลย ต้องไปเทศน์ให้ทุกงาน เทศน์ที่ไรผลมันก็รวมกันๆ อย่างนั้นละ อันนี้มันก็เป็นตามนิสัยเรา ตามนิสัยของใครของเรา พูดถึงท่านเจ้าคุณก็มาขบขันตอนไปเทศน์อำเภอท่าอุเทน ซึ่งเป็นอำเภออยู่ของท่าน บ้านเดิมท่านอยู่อำเภอท่าอุเทน เวลาท่านเอาเราไปเทศน์ เราก็ไม่เคยเทศน์อย่างนั้น มันแล้วแต่เหตุการณ์

          ทีนี้งานนั้นบ้านนั้นมีแต่บัตรแต่เบอร์แต่บ้า เบอร์บ้านั่นน่ะเต็มไปหมด เราก็ไม่เคยเทศน์อย่างนั้น ท่านเองจึงไม่เคยได้ยินเราเทศน์อย่างนั้น เทศน์ก็ธรรมดาไปเรื่อยๆ  วันนั้นมันไม่ไปอย่างนั้นละซิ มันมีแต่บัตรแต่เบอร์แต่บ้าเต็มศาลา ขึ้นไปก็เริ่มเบอร์แล้วเริ่มบ้าแล้ว เทศน์แต่เรื่องบัตรเรื่องเบอร์เรื่องบ้า คนหัวเราะลั่นศาลาเลย สุดท้ายท่านเจ้าคุณก็หัวเราะ ไม่ลืมหูลืมตาหัวเราะตั้งแต่ขึ้นจนกระทั่งจบเทศน์ เราจำได้ว่าเทศน์ ๔๕ นาที มีแต่เรื่องเดียวตลกขบขัน มีข้อเปรียบเทียบข้อนั้นข้อนี้ ทางนั้นหัวเราะลั่น ท่านเจ้าคุณเองท่านก็หัวเราะ

          จนกระทั่งจะจบเขาก็ขอร้องขึ้นมา ขอเทศน์อีก อย่าด่วนจบ เราก็เฉย พอจบแล้วลงจากธรรมาสน์ ธรรมาสน์อยู่กลางศาลา มากราบพระแล้วท่านเจ้าคุณยังหัวเราะ หลับหูหลับตาหัวเราะอยู่อย่างนั้นเลย ตลอดเลย เรากราบเสร็จแล้วท่านยังหลับหูหลับตา ยังไม่มองดูเราว่ากราบแล้วมานั่งแล้ว ท่านหัวเราะขนาดนั้น ทีนี้พอท่านลืมตาเข้ามา มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น หัวเราะตลอดเลยนะ มันมีเรื่องขบๆ ขันๆ มาประกอบๆ ให้พวกนั้น ประกอบกับเรื่องเบอร์เรื่องบ้านั่นแหละ ไม่ใช่อะไรแหละ มันเข้ากันได้ ท่านเจ้าคุณเลยหัวเราะจะเป็นจะตายจริงๆ เราลงมาท่านยังหัวเราะอยู่ตลอดเวลา

          พอจากนั้นแล้วทีนี้เจอหน้าเราทีไรก็ตาม มองหน้า มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น  เจอหน้าทีไรเอานี้ทักเลย มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น เราเฉย ก็ไม่ใช่บ้าเทศน์ได้หมด ตั้งแต่นั้นเลยเอาคำนั้นละทักเรา จนกระทั่งท่านล่วงไป เอ๊มหาบัวนี่เทศน์หลายสันหลายคม ท่านพูดของท่านอย่างนั้นละ เทศน์ท่าอุเทน โอ้ยเราอดหัวเราะไม่ได้ เราก็จะเป็นจะตายเหมือนชาวบ้านเขา เขาก็หัวเราะกันลั่นๆ ท่านก็หัวเราะของท่าน ตั้งแต่นั้นมาเจอหน้าทีไรมหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น อย่างนั้นตลอดเลย ท่านไม่เคยได้ยิน เพราะเราก็ไม่เคยเทศน์ มันแล้วแต่เหตุการณ์ที่จะเทศน์อย่างไรก็ว่าไปอย่างนั้น ท่านมาเจอตั้งแต่นั้นเอาคำทักทาย มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น เรื่อย

          วันนี้ก็ไปสองแห่งไปเยี่ยมท่านราชเลขา ท่านรู้สึกดีใจมาก ท่านก็น้ำตาร่วงเหมือนกัน เราก็ให้โอวาสย่อๆ จากนั้นมาก็ไปกราบเยี่ยมสมเด็จพระสังฆราช วันนี้ไปสองแห่ง เหนื่อยนะ ไปมาแล้วเหนื่อย

          อยากให้พี่น้องทั้งหลายเราสนใจในธรรม ธรรมอย่าไปคิดว่าอยู่ที่ไหนอื่นใดนะไม่มี มีอยู่ก็ตาม แต่ไม่มีอะไรจะรับสัมผัสได้เหมือนใจ ใจรับสัมผัสธรรมได้ดี จะให้รับสัมผัสได้ดีเท่าไรก็คือการภาวนา การภาวนานี้จ่อความรู้สึก สติลงไปที่ใจ เหตุการณ์ต่างๆ มันมีอยู่ตลอดเวลาแล้ว ส่วนมากก็เป็นเรื่องของกิเลส คือความคิดความปรุงอยู่เฉยๆ ไม่ได้นะ ความคิดความปรุงนี่เรียกว่าสังขาร สังขารที่มีกิเลสบังคับอยู่นั้นมันก็เป็นเครื่องมือของกิเลสไป

          เพราะฉะนั้น คิดออกแง่ใดมุมใดจึงได้รับการบังคับออกจากกิเลสให้คิดให้ปรุง คิดเรื่องใดก็ตาม มีแต่คิดเรื่องวัฏวนหมุนตัวเอง หาทางออกทางไปไม่ได้ คือความคิดของสัตว์โลก เพราะกิเลสตัวนี้ทำให้คิดให้ปรุงให้อยากรู้อยากเห็น อยากเป็นต่างๆลมๆ แล้งๆ อยากไปได้หมด ไม่มีประมาณคือความอยากของกิเลส อยากได้ทุกแง่ทุกมุม ไม่ได้ก็ตามขอให้ได้อยากก็เอา ได้คิดตามความอยากก็พอ พอใจ

          นี่โลกทั้งหลายอยู่ด้วยกันเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ความคิดความปรุงนี้จะเป็นเครื่องมือของกิเลส ท่านบอกว่า อวิชฺชาปจฺจยา อวิชชาเป็นปัจจัยเป็นเครื่องหนุนให้เกิด สังขาร ท่านว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นไปเรื่อยๆ คืออวิชชามันหนุนออกมา อยากให้คิดให้ปรุงตลอด ไม่มีวันอิ่มพอ คือความคิดความปรุงของสังขารที่อวิชชาบังคับให้คิดให้ปรุงอยู่อย่างนั้นตลอด นี่เรียกว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โลกโดยอัตโนมัติของมัน ไม่มีใครมาบังคับบัญชา มันหากทำงานของมันอยู่นั้นในจิตนี้ จิตนี้จึงเป็นวัฏวน วนไปวนมา ผลของมันก็คือเกิดแก่เจ็บตาย เกิดแก่เจ็บตายในภพน้อยภพใหญ่ ไม่กำหนดกฎเกณฑ์ว่าจะเป็นภพใดชาติใด สัตว์บุคคลเปรตผีประเภทต่างๆ เทวบุตรเทวดา ลงนรกอเวจี ล้วนแล้วตั้งแต่อันนี้พาหนุนให้ไป คิดไม่หยุดไม่ถอย

          นี่เรียกว่าวัฏวน กิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติของมัน แต่โลกทั้งหลายไม่มีใครทราบนะ พูดให้ชัดเจนไม่ทราบ ว่าความคิดความปรุงซึ่งมีอยู่กับทุกคนนี้แหละ ว่าเป็นความคิดของกิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติ อย่างนี้ไม่มี มันหากคิดหากปรุงของมันอย่างนั้นตลอดเวลา นี่เรียกว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติ ไม่มีใครบังคับบัญชา เรื่องของกิเลสบังคับให้ทำงานเองเท่านั้น เราจะทราบได้ชัดก็ต่อเมื่อหยั่งจิตเข้าสู่จิตตภาวนา เข้าภาวนาจะทำให้จิตหมุนจากความคิดโดยอัตโนมัติของมันนั้น เข้ามาคิดปรุงในทางด้านอรรถด้านธรรม

          เช่นเราคิดเราปรุงคำบริกรรมในการภาวนาคำใดก็ตาม ตามแต่จริตนิสัยเราชอบ เป็นพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ มรณัสสติระลึกถึงความตายก็ได้ อานาปานสติก็ได้ ตามแต่จริตนิสัยชอบ แล้วให้จิตทำงานอยู่กับธรรมนี้ คำบริกรรมนี้เป็นธรรม แล้วจิตก็ให้คิดอยู่กับคำบริกรรมที่เป็นธรรมนี้ให้สืบเนื่องกันไปโดยลำดับ มีสติเป็นเครื่องควบคุมจิตใจ ไม่ให้คิดไปทางกิเลส ให้คิดเฉพาะกฎของธรรม นี่เรียกว่างานของธรรม  แล้วเมื่อเราคิดไป งานของธรรมกับกิเลสนี้ต่างกัน

          งานกิเลสคิดเท่าไรไม่มีอิ่มมีพอ ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่มีขอบเขตหลักเกณฑ์อะไรเลย หมุนไปเรื่อยๆ แต่คิดทางด้านธรรมะ เช่นพุทโธนี้ เมื่อเราคิดหนักเข้ามากเข้า หนักเข้า จิตนี้จะสงบตัวลง ไม่ได้เหมือนกิเลสพาคิด ธรรมพาคิด งานของธรรมจะทำใจให้สงบเย็นลงๆ เรากำหนดภาวนาติดต่อกัน สติติดต่อกันเท่าไรจิตก็ค่อยสงบลงไป สงบลงไป ทีนี้งานของกิเลสก็ไม่มาแทรกได้ มีแต่งานของธรรมทำงาน ใจก็ค่อยสงบเย็นลงไป เมื่อมีความสงบแล้วก็เริ่มสงบเรื่อยๆ เข้าไป จนเกิดความผ่องใส เป็นความสุขแปลกประหลาดขึ้นมา ดีไม่ดีเป็นความอัศจรรย์ขึ้นมา ในงานของธรรมที่ทำงานด้วยคำบริกรรมนั้นแล จิตก็สง่า

          พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกได้ เมื่อเราบวชใหม่ๆ นี้เคยเล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง เพราะเป็นสิ่งไม่เคยพบไม่เคยเห็น เวลาบวชใหม่ๆ เห็นท่านพระครูเดินจงกรม เราก็สังเกตท่าน ทีนี้เวลาบวชแล้วก็ไปถามภาวนากับท่าน ว่าอยากภาวนา จะให้ภาวนาบทใด ท่านบอกว่าให้ภาวนาพุทโธละ เราก็ชอบพุทโธ ท่านว่าอย่างนั้น เราก็เอาคำนั้นละมาภาวนา เรียนหนังสืออยู่จะพักเวลาไว้หนึ่งชั่วโมงนี้ ชั่วโมงนี้เป็นชั่วโมงภาวนาของเรา ตั้งแต่เริ่มบวชมันหากนิสัยชอบอย่างนั้น

          ภาวนาสะเปะสะปะ พุทโธๆ สติก็มีในเบื้องต้น ครั้นต่อไปสติก็เหลวไหล ใจก็ไม่รวม สุดท้ายก็นอน เป็นอย่างนี้เป็นประจำไป หากทำอยู่ทุกวัน มันก็เป็นของมันอย่างนั้นทุกวัน บทเวลามันจะเป็นขึ้นมาจริงๆ เราก็กำหนดพุทโธนั้นแหละ พอว่ากำหนดพุทโธแล้วจิตค่อยสงบเข้ามาๆ เหมือนเขาตากแหไว้ พอดึงจอมแหตีนแหก็ค่อยหดเข้ามา หดเข้ามา จนกระทั่งหดเข้ามาเต็มตัวเป็นกองแหขึ้นมา ทีนี้ไม่เป็นตีนแหแล้ว เป็นกองแหแล้ว มันหดเข้ามา ใจของเราพอค่อยสงบเข้ามา สงบเข้ามา ก็เป็นจุดให้เกิดความสนใจ สติก็เลยจ่อตรงนั้น มันก็ค่อยหดเข้ามา หดเข้ามา

          หดเข้ามาถึงที่มันแล้ว หยุดกึ๊กเลยทีเดียว ไม่คิดไม่ปรุงอะไรอีกเลย แหม เกิดความอัศจรรย์ไม่เคยเห็นเรา ตื่นเต้นภายในใจเวลานั้น เพราะไม่เคยเห็น เป็นความอัศจรรย์เกินคาดเกินหมาย เพราะเกิดเองในเวลาภาวนาซึ่งเราไม่เคยคิดเคยคาดไว้เลย ก็มาเป็นในขณะนั้น แล้วปรากฏว่ามันมีเกาะอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร นอกนั้นเวิ้งว้างไปหมด เหลือแต่ความรู้ที่แปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่จุดศูนย์กลางความเวิ้งว้างนั้น เลยแปลกประหลาดอัศจรรย์ตื่นเต้นตัวเอง ไม่นานจิตพอถูกกวนด้วยความตื่นเต้นมันก็เลยถอนขึ้นมา

          โอ๋ยอัศจรรย์ จะทำภาวนาให้เป็นอีกมันก็ไม่เป็น วันนั้นเป็นอารมณ์ทั้งวัน อารมณ์อยู่กับจิตที่สงบอัศจรรย์นั้นละ อยู่ทั้งวันเลยนะ เป็นเอง เรียนหนังสือก็เรียน แต่จิตมันติดอยู่กับอันนั้น กับความอัศจรรย์ที่มันเป็นในเวลาภาวนาจิตสงบรวมลงไปนั้นแหละ วันหลังเอาอีก พยายามอีก มันเลยไม่ได้ เพราะเราไปคาดสัญญาอดีตที่เป็นมาแล้ว มันไม่อยู่ปัจจุบัน มันก็เลยไม่เป็น เมื่อนานเข้าไม่เห็นมันเป็นแล้วก็เลยทอดธุระ  ความหวังอะไรจะให้เป็นอย่างนั้นมันก็ถอนตัวไป ไม่หวังไม่อะไร ภาวนาสะเปะสะปะไปอีก อ้าวลงอีกแล้ว พอลงอีกก็เป็นบ้าอีกละ ขยับใหญ่เลย จะเอาให้ได้อย่างนั้นละ ไม่ได้

          รวมแล้วเรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี ภาวนาจิตประเภทนี้เป็นสามหน เป็นแบบอัศจรรย์จริงๆ ๓ หน นี่ละทำให้เกิดความเชื่อฝังลึกนะ เชื่อในมรรคผลนิพพานฝังลึก แล้วมีความมุ่งมั่นขึ้นในนั้นเสร็จ นี่เราหยุดจากการเรียนนี้เราจะออกภาวนาเพื่อให้ได้จิตดวงนี้แน่นอน อย่างไรเราจะต้องให้ได้จิตดวงนี้กลับมาครองแน่นอนเลย พอออกจากการศึกษาเล่าเรียน เข้าทางภาคปฏิบัติแล้วจิตก็หมุนใหญ่เลยเชียว จะเอาให้ได้ ฟาดให้ได้ทั้งวันทั้งคืน สุดท้ายมันก็ได้ ได้มาเรื่อยๆ

          อย่างนี้ละจิต เวลามันได้ปรากฏขึ้นมานี้ ตั้งแต่เราเกิดมาเราเคยเห็นความสุขความสบายในหัวใจของเราที่ไหนเมื่อไร ไม่มี มีแต่หวังเอาความสุขจากสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วก็ผิดไปพลาดไป ไม่ค่อยเห็นได้ ใครๆ ก็ไม่ได้ความสุข ที่จะสมหวังๆ มันไม่ได้นะ มันหากดิ้น หากหาความสุขด้วยกันทั้งนั้นแหละ แต่มันก็ไม่ได้สมหวัง ทีนี้พอภาวนาอย่างนี้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ สมหวัง จากนั้นเร่งใหญ่เลย สุดท้ายมันก็ได้ ได้อย่างว่า อัศจรรย์ ได้เรื่อยๆ เลย เพราะเร่งใหญ่นะ ไม่ได้ทำงานทำการอะไร ออกภาวนา มีแต่ภาวนาทั้งวัน เว้นแต่หลับเท่านั้น งานการอื่นใดไม่มายุ่งเลย มีแต่ภาวนา จิตมันก็สง่างามขึ้นมา

          นี่แหละที่เราได้ความอัศจรรย์ภายในจิต จากนั้นจิตก็แน่นหนามั่นคงเป็นสมาธิขึ้นมา จากสมาธิเข้าถึงความอัศจรรย์อันนั้น ถอยจากนั้นมาก็มาอยู่สมาธิ เอิบอิ่มในจิตใจตลอด นี่ละทีนี้สิ่งที่เราไม่เคยรู้เคยเห็น การรักษาจึงไม่มีความรอบคอบขอบชิด จิตก็เลยเสื่อมไปได้นะ จากโคราชขึ้นมาอุดร มาทำกลดหลังหนึ่งเท่านั้นละ เราไม่เคยรักษาจิตประเภทนี้ นึกว่ามันจะไม่เสื่อม เราก็ทำกลด ครั้นทำกลดไปแล้วมาภาวนาจิตเข้าได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่ได้เหมือนแต่ก่อน เอ๊ะนี่ชอบกล จิตเราจะเสื่อมแล้ว

          รีบร้อยกลด ทำเสร็จ ดีไม่ดีช่างมันเถอะ เพราะจิตมันกังวลกับเรื่องจิตจะเสื่อม รีบทำเสร็จแล้วก็ออก เอาใหญ่เลย จิตก็เสื่อมลงไปเรื่อยๆ หมด ยังเหลือแต่อีตาบัวเท่านั้น หมดเนื้อหมดตัวก็ว่าได้ ทีนี้ร้อนใหญ่ละทีนี้ พอจิตนั้นได้เสื่อมลงไปแล้วนี้ร้อนใหญ่ เป็นฟืนเป็นไฟเผาในหัวอกตลอดเวลา ทำอย่างไรให้คืนมันก็ไม่คืน เป็นอย่างนั้น ได้ ๑ ปีกับ ๕ เดือน นี่ละตกนรกทั้งเป็น แต่ก่อนภาวนายังไม่เป็นมันก็อยู่ผาสุกสบายนะ แต่ภาวนาเป็นแล้วได้สิ่งที่เราพึงใจ มาครองแล้วแต่กลับเสื่อมลงไปหมดเสีย ทีนี้เหลือแต่ตัว ใจนี้ร้อนที่สุดเลย

          จึงมาพลิกใหม่ คือเรากำหนดจิตเฉยๆ มันเผลอได้ เราทำหน้าที่ภาวนาโดยตรง ซึ่งมีหน้าที่การงานหลายด้านหลายทาง เรามีแต่งานภาวนาอย่างเดียว พอว่าอะไรมันก็เป็นอย่างนั้นได้ ทีนี้ทำให้เกิดสงสัยที่ว่าเรากำหนดจิต พยายามเต็มกำลังความสามารถ ตั้งสติจ่ออยู่กับความรู้ แล้วขึ้น ๑๔-๑๕ วัน เจริญขึ้นไป พอขึ้นไปอยู่ได้สองสามคืนเสื่อมลงพรวดพราดๆ หมด ๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีกับห้าเดือน นี่ละเราไม่ลืมนะ เราจึงได้มาตั้งใหม่คิดใหม่ จิตของเราเจริญขึ้นไปแล้วไม่ให้มันเสื่อมมันก็เสื่อมต่อหน้าต่อตา นี้จะเป็นเพราะเหตุใด หรือจะเป็นเพราะเราไม่ได้ใช้คำบริกรรม สติติดแนบกับคำบริกรรม เอาทีนี้ตั้งใหม่ นี่แหละเราคิด

          คราวนี้เอาคำบริกรรมติดกับใจเลย ไม่ยอมให้เผลอ สติติดแนบเลย เอามันจะเผลอแบบไหนให้รู้คราวนี้ นิสัยเราจะจริงจังอยู่มากนะ ว่าอะไรเป็นอันนั้น พอลงใจกับคำบริกรรมนี้แล้วก็เอาละทีนี้ จับติดปุ๊บ คำบริกรรมติดปั๊บ สติติดแนบไม่ยอมให้เผลอ ทั้งวันไม่ให้เผลอเลย ทีนี้มันจะเผลอไปไหน มันจะเสื่อมอย่างไร บังคับไม่ให้มันคิดมันปรุงอะไร จิตมันก็ค่อยสงบๆ ด้วยคำบริกรรม ไม่ปล่อยวางนั้นแหละ จนกระทั่งถึงขั้นมันมีกำลัง

          พอจิตมีกำลังแล้วคำบริกรรมนี้หมดนะ มันเข้าสู่ความสงบ เหลือแต่ความสงบแนบแน่น นึกคำบริกรรมไม่ออก เอ๊นี่เราก็ว่าจะให้จิตอยู่กับคำบริกรรม ทีนี้คำบริกรรมนึกไม่ออกแล้วจะทำอย่างไร ก็มีอันหนึ่งรู้ขึ้นมาว่าเมื่อคำบริกรรมหมดแล้วความรู้ที่เด่นๆ อยู่นั้นไม่หมด ให้เอาสติจับกับความรู้อันนั้นไว้ พอจิตคลี่คลายออกมาแล้ว เราบริกรรมได้ ให้นึกคำบริกรรมติดกับนั้นต่อไป ก็ทำอย่างนั้น มันก็เป็นได้ ครั้นมันอิ่มพอแล้วมันสงบได้นะจิต

          เมื่ออิ่มพอคำบริกรรมแล้วสงบเงียบเลย ปรุงไม่ขึ้น ปรุงไม่มี ความคิดอะไรไม่มี แล้วจิตละเอียดสุดละตรงนั้น ให้สติอยู่กับนั้น พอจิตคลี่คลายออกมาก็เอาคำบริกรรมใส่เข้าไปอีก อย่างนี้เรื่อย จนกระทั่งจิตนี่ขึ้นไปถึงขั้นที่มันจะเสื่อม อ้าวมันจะเสื่อมไปไหนเราปล่อยหมดแล้ว ไม่ว่าจะเสื่อมไม่ว่าจะเจริญอะไรเราไม่เป็นอารมณ์ แต่กับคำบริกรรมนี้จะไม่ปล่อยกันเด็ดขาด นี่ละจับอันนี้ไว้

          พอจิตเจริญขึ้นไป เจริญขึ้นไป เอาปล่อย มันเคยเจริญเคยเสื่อมแล้วห้ามมันไม่ฟัง คราวนี้ไม่ห้าม แต่กับคำว่าพุทโธนี้จะไม่ยอมปล่อย ติดกับพุทโธตลอด พอถึงขั้นมันควรจะเสื่อมปล่อยเลย ไม่เสื่อมนะ พอถึงนั้นแล้วมันก็ก้าวขึ้น ก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ ทีนี้ไม่เสื่อม ด้วยคำบริกรรมนี้ จนกระทั่งได้ทราบชัดอ๋อนี่เราขาดคำบริกรรม สติอาจเผลอไปตรงนี้เอง เพราะฉะนั้นจิตของเราจึงเสื่อมได้ บัดนี้ไมเสื่อม แน่ใจๆ พอมันไม่เสื่อม ก้าวเข้าถึงขั้นแน่นหนามั่นคงทีนี้ก็เร่งใหญ่เลยนะ นั่งหามรุ่งหามค่ำไปเลยละ พอก่อนพรรษานั่งตลอดรุ่งแล้ว ทีนี้จิตไม่เสื่อม

          พอนั่งตลอดรุ่งคืนแรกก็เกิดความอัศจรรย์ขึ้นมา จนกระทั่งมันออกอุทานขึ้นมา คราวนี้ไม่เสื่อม ถึงไม่เสื่อมก็ตามเราเข็ดเรื่องจิตเสื่อมนี้ ถ้าลงเสื่อมคราวนี้แล้วให้ตายเสียดีกว่า อย่าอยู่ในหนักโลกเขาเลย เพราะฉะนั้นถ้าเรายังมีชีวิตจิตอันนี้จะเสื่อมไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงจับติดตลอดกับคำบริกรรม จนกระทั่งถึงนั่งภาวนาตลอดรุ่งได้เลย นั่งอิริยาบถเดียว นั่งขัดสมาธิ ไม่เปลี่ยแปลงวิธีใดท่าใดทั้งหมด ให้นั่งสมาธิ เอาตัวเอง จนกระทั่งเด็ดขาด เว้นให้ข้อเดียว คือเว้นแต่ครูบาอาจารย์หรือพระเณรเกิดอุบัติเหตุภายในวัดในคืนที่เรานั่งภาวนานั้น เราจะลุกจากที่ไปช่วยเหตุการณ์อันนั้น นอกจากนั้นไม่ให้มีข้อแม้เลย จะปวดหนักเอาออกเลย ปวดเบาออกเลย ออกใส่ผ้านี่ให้ออก แต่เรื่องที่จะลุกไปถ่ายนี้ไม่มี

          แต่มันก็ไม่เคยปวดหนักนะ ไม่มี แต่ปวดเบาจะปวดได้อย่างไร เหงื่อมันออก ผ้าจีวรเปียกเหมือนกับเราซัก มันไม่ใช่เหงื่อมันเป็นยางตาย มันออก ฟาดเสียทะลุตลอดรุ่ง จิตเกิดความอัศจรรย์ขึ้นในเวลาจนตรอกจนมุม คือความทุกข์สาหัสที่มันบีบบังคับเรา เรานั่งภาวนาอยู่นี้เป็นเหมือนหัวตอนะ เป็นเหมือนกันกับหัวตอ ทุกขเวทนาที่มันโหมลุกเผาตัวเราที่ไปนั่งหัวตอนี้มันเหมือนไฟเผาหัวตอ นั้นละเวลานั้นเมื่อมันทุกข์มาก ๆ สติปัญญาก็ยิ่งหมุนติ้วๆ เลย เราจะทนทุกข์เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์

          มันทุกข์มากเท่าไร สติปัญญายิ่งหมุนเร็วๆ ตลอด ให้ทันกับเหตุการณ์ สุดท้ายจิตก็ลง ลงได้ผึงเลยทันที นี่ขึ้นอุทานขึ้นมา เอ้อคราวนี้ไม่เสื่อม นั่น มันแน่ใจของมัน ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เสื่อม นั่งตลอดรุ่งก็ฟาดเอาเสียจนเก้าคืนสิบคืน เราไม่ลืม เว้นคืนหนึ่งเว้นสองคืนบ้าง สามคืนบ้าง นั่งตลอดรุ่ง ทีนี้จิตได้ทุกคืน ถ้าลงคืนไหนได้นั่งตลอดรุ่งแล้วไม่มีพลาดที่จะไม่เจอจิตอัศจรรย์ที่มันลงเต็มเหนี่ยวของมัน ได้ทุกคืนๆ นั่นละทีนี้จิตก็ไม่เสื่อมมาตั้งแต่นู้น เรื่อยมาเลย

          นี่การปฏิบัติตัวเองเราปฏิบัติมาอย่างนั้น แต่นิสัยเรามันจริงนะ ว่าอะไรเป็นอันนั้น ไม่ค่อยเหลาะแหละ ถ้าลงว่าอะไรขาดไปเลย ขาดไปเลย เป็นอย่างนั้นละ จากนี้แล้วจิตก็ก้าวเลยละทีนี้ มันจะได้เห็นเรื่องของกิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติของมัน แต่ก่อนไม่เห็น ไม่รู้  ทีนี้พอจิตก้าวขึ้นภาวนาในขั้นฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัตินี้มันก็ทราบกัน พอพิจารณานี้ละเอียดลออ ขั้นร่างกายหมดความหมายแล้ว นั้นละทีนี้เป็นขั้นที่สติปัญญาอัตโนมัติก้าวเดิน ทีนี้ลงได้ก้าวเดินนี้แล้วไม่มีวันมีคืน หมุนติ้วๆ เรียกว่าฆ่ากิเลส สติปัญญาฆ่ากิเลสเป็นลำดับลำดา ไม่มีที่กิเลสตัวใดที่จะโผล่หน้าขึ้นมาให้เห็น มีก็เท่ากับมี ที่จะเพิ่มอีกไม่มี

          ตั้งแต่ระยะนั้นแล้วมีแต่จะค่อยกุดค่อยด้วนลงไป ๆ ที่จะให้กิเลสกิดขึ้นมาใหม่นี้ไม่มี เพราะสติปัญญาขั้นนี้เป็นขั้นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสตลอดเวลา ทีนี้มันก็ย้อนไปคิดได้ว่าเรื่องกิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์เป็นอัตโนมัติมาดั้งเดิม แต่ก่อนไม่มีธรรมข้อนี้เป็นข้อวัดเครื่องเทียบเคียงกันมันก็ไม่รู้ พอถึงขั้นสติปัญญาฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัตินี้มันขึ้นเอง เป็นเอง กลางคืนนอนไม่หลับตลอดรุ่ง จิตหมุนเป็นธรรมจักรฆ่ากิเลสทั้งนั้นๆ ด้วยอำนาจของปัญญาเชี่ยวชาญ กิเลสจะโผล่ขึ้นมาที่ไหนไม่ได้นะ สติปัญญานี้มันรวดเร็ว หมุนติ้วๆ กลางคืนจะนอนมันไม่หลับ เพราะมันทำงานอยู่ภายในหัวใจตลอดเวลา นี่เรียกว่าอัตโนมัติ มันทำงานตลอดเวลา เรานั่งก็ภาวนาอยู่ในนั้นเป็นอัตโนมัติ

          ทีนี้เมื่อมันทำงานของมันไม่หยุดไม่ถอยมันจะหลับได้อย่างไร สุดท้ายก็สว่างขึ้นมา เป็นวันใหม่ขึ้นมาไม่หลับเลย ตื่นเช้าขึ้นมาวันหลังมันก็หมุนของมันตลอด กลางวันมันก็จะไม่นอนอีก นี่ละเรียกว่าธรรมทำงานโดยอัตโนมัติ ท่านทั้งหลายทราบเสีย ในปัจจุบันนี้ก็มีหลวงตาองค์เดียวเป็นผู้นำมาพูดอย่างอาจหาญชาญชัย ตามหลักความจริงไม่มีคลาดเคลื่อนเลย เราดำเนินมาอย่างนี้ พอถึงขั้นสติปัญญาอัตมัติฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติแล้วนี้หมุนตลอดเลย ไม่มียับยั้ง ต้องรั้งเอาไว้ ให้นอนก็ต้องบังคับให้นอน

          การบังคับให้นอนเฉยๆ ไม่ได้ มันหมุนกับกิเลส ฆ่ากิเลสตลอด ต้องเอาพุทโธมาบังคับ บริกรรมพุทโธ ไม่ให้ไปทำงานอันนั้น ทำงานกับทางด้านปัญญา มันรุนแรงนะ ทางด้านปัญญารวดเร็วมาก รุนแรงมาก กำลังมากทีเดียว มันไม่สนใจกับสมาธิเลย  มันหาว่าสมาธินี้ไม่ได้ฆ่ากิเลส มันนอนตายอยู่เฉยๆ ปัญญาต่างหากฆ่ากิเลส มันก็จะหมุนไปทางด้านปัญญา จะไม่พักผ่อนหย่อนตัวได้เลย นี่มันก็จะตาย จึงต้องหักเข้ามาสู่สมาธิ เอาพุทโธบังคับไว้ ไม่ให้เผลอจากพุทโธ ให้ติดกับพุทโธ แล้วจิตก็ลงแน่ว คือทำงานอันเดียวมันก็ลงได้ ถ้าทำงานด้วยสติปัญญานี้มันไม่อันเดียว มันหมุนเป็นธรรมจักร พอหันเข้ามากับพุทโธๆ นี้อยู่อันเดียว ทีนี้จิตก็ลงแน่วเลย

          พอจิตลงสงบเป็นสมาธิแล้วเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามนะ ที่ชุลมุนวุ่นวายด้วยสติปัญญานั้นทีนี้มันสงบตัวเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม บังคับไว้นะ มันแน่วลง ให้อยู่ไม่ให้ออก คือกำลังของปัญญามันรุนแรงมากนะ ถ้าอ่อนมือเมื่อไรมันโดดทางด้านปัญญาทันที จึงต้องบังคับเอาไว้ จนกระทั่งใจของเรามีกำลังพอตัว มีกำลังวังชาเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม เป็นความสุขความสบายเต็มเหนี่ยวแล้วทีนี้ พอลามือเท่านั้นมันจะดีดผึงทางด้านปัญญา และหมุนตลอดอีกเหมือนกัน

          นี่ละเรียกว่าสติปัญญาทำงานฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ แต่ก่อนเราก็ไม่เคยเห็น มาเป็นกับตัวของเราเอง อยู่ที่ไหนฆ่ากิเลสทั้งนั้น ไม่มีคำว่าจะอยู่เฉยๆ ไม่มี หมุนติ้วๆ นี่เรียกว่าธรรมฆ่ากิเลส แต่ก่อนกิเลสฆ่าธรรม ในสัตว์โลกทั้งหลายกิเลสฆ่าธรรม ทำลายธรรมในหัวใจสัตว์โลกให้ได้รับความลำบากลำบน ทีนี้พอบำเพ็ญไปถึงขั้นจะฟัดจะเหวี่ยงกันได้มันก็ออกอย่างว่า ถึงขั้นสติปัญญามีกำลังแล้วฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ ได้รั้งเอาไว้นะ ไม่ใช่ธรรมดาต้องรั้งเอาไว้ รั้งก็รั้งเข้าในสมาธิ รั้งให้หลับนอน จะหลับนอนก็ต้องมีพุทโธ ถ้าไม่มีพุทโธไม่ได้ จิตนี้มันดีดผึงๆ ทางด้านปัญญา มันเพลิน ฆ่ากิเลสนี้เพลิน

          เวลาจะหลับนอนก็ต้องเอาพุทโธมาบังคับ นึกพุทโธๆ ให้อยู่อันเดียวแล้วก็หลับได้ นึกพุทโธๆ ได้ จิตสงบได้นึกพุทโธๆจิตสงบได้ ถ้าไม่นึกพุทโธนี้จะดีดทางด้านปัญญาตลอดเลย คำว่าสติเผลอมันไม่เผลอแหละ เป็นแต่เพียงว่ามันอ่อนลงนิดหนึ่ง สติทางด้านสมาธินี้อ่อนลงนิดหนึ่งมันจะโดดออกทางด้านปัญญา จึงต้องบังคับด้วยสติเอาไว้ให้อยู่กับสมาธิ จนกระทั่งมีกำลังวังชาแล้วค่อยให้ออก นี่ผู้ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังท่านทั้งหลายฟังเสีย ที่ว่าธรรมฆ่ากิเลสสังหารกิเลสโดยอัตโนมัติเป็นอย่างนี้เอง ในความเพียรขั้นนี้แล้วไม่ถอย

          ส่วนกิเลสที่ทำงานบนหัวใจสัตว์เป็นอัตโนมัติของมัน โลกเมื่อได้ยินอย่างนี้แล้วก็จะทราบกัน แต่ก่อนก็ไม่มีใครทราบแหละ พอพูดอย่างนี้แล้วก็จะทราบ ถึงแก้มันไม่ได้ยังไม่สนใจจะแก้ก็พอทราบได้ พอสติปัญญาอัตโนมัติขึ้นแล้ว ทีนี้นิพพานนี้อยู่ชั่วเอื้อมๆ นะ ไม่ได้สนใจกับอะไร คือจะให้หลุดพ้นเดี๋ยวนี้วันนี้เวลาใดก็ได้ในขณะนี้ๆ สดๆ ร้อนๆ ตลอดไป จึงเหมือนกับว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ หวุดหวิดๆ จับผิดจับพลาดอยู่อย่างนั้นน่ะ หลุดไม้หลุดมือแล้วเกาะใหม่หลุดใหม่ เกาะใหม่

          นี่เวลาสติปัญญามันหมุนมันเห็นโทษของวัฏจักร ความเกิดแก่เจ็บตายคือกิเลสตัวนี้เอง ทีนี้เวลาเห็นโทษของมันเสร็จแล้วก็เห็นคุณของสติปัญญาที่จะสังหารมันให้มุดมอดลงไปโดยสิ้นเชิง มันจึงหมุนกันเต็มเหนี่ยวเลย ทีนี้ก็เลยกลายเป็นสติปัญญาหรือว่าธรรมสังหารกิเลสโดยอัตโนมัติ ไม่มีคำว่าหยุดว่าถอย สติปัญญาอัตโนมัติแล้วยังไม่แล้ว ยังเป็นมหาสติมหาปัญญาเกรียงไกรมากทีเดียว คำว่าเผลอไม่ต้องพูด ถึงขั้นนี้แล้วไม่มีคำว่าเผลอ ตื่นนอนพับเป็นสติปัญญาอัตโนมัติฟัดกับกิเลสแล้วอยู่ตลอดเวลา

          ทีนี้เวลามันถึงขั้นนี้แล้วเรื่องกิเลสจะเกิดใหม่นี้ไม่มี มีอยู่แล้วก็ค่อยหมดไปๆ ๆ แต่มีอยู่แล้วค่อยไปมันก็ไม่ขึ้นมาเรื่อยๆ นะ เพราะมันมีกำลังอ่อนมากแล้ว ทางสติปัญญามีกำลังแก่กล้าสามารถ อะไรโผล่ขึ้นมาขาดสะบั้นทันที ขึ้นว่ากิเลสเกิดขึ้นมานี้ไม่ได้นะ ขาดสะบั้นลงไปทันทีทันใด นี่ละมันจึงว่าสดๆ ร้อนๆ พระนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ เห็นโทษเห็นที่สุดทีเดียว การเกิดแก่เจ็บตายมากี่ภพกี่ชาติมันบอกอยู่ในปัจจุบันของจิตนั่นแหละ

          ทีนี้เวลาจะสังหารตัวให้พาเกิดแก่เจ็บตายต่อไปนี้จะไม่ให้มันมีต่อไปอีก จะเอาให้มันขาดสะบั้นลงไปจากใจหมด เพราะฉะนั้นมันจึงเร่งกันอย่างหนัก ผาดโผนโจนทะยานคือความเพียรประเภทนี้แหละ การนอนต้องบังคับให้นอน ไม่บังคับไม่ได้ ลงเดินจงกรมตั้งแต่ฉันเสร็จแล้วไม่รู้เวล่ำเวลานะ นี่ละคือจิตมันไม่ออก มันหมุนอยู่ในหัวอกนี้ละ กิเลสอยู่กับจิต ธรรมะฆ่ากิเลสก็ฆ่าอยู่กับจิต มันหมุนอยู่ภายในหัวอกเรานี้ เวลามันหนักมาก พอไปจริงๆมันเหนื่อยหัวอกนะ อ่อนเพลียเหนื่อยอยู่ในหัวอก

          ทีนี้เราอยากจะพักเข้าสมาธิเพื่อความสงบใจ นี่อันหนึ่ง จากนั้นก็หมุนเลยละ หมุนเรื่อยๆ ฉันเสร็จแล้วไปเดินจงกรมไม่ได้คำนึงคำนวณถึงเวล่ำเวลา อะไรไม่สนใจทั้งนั้น หมุนอยู่ติ้วๆ ตลอด จนกระทั่งจะก้าวขาไม่ออก นานเท่าไร ฟังซิน่ะ จะก้าวขาไม่ออกก็รู้ตัวเองว่าหมดกำลังละเดินจงกรมหมดกำลัง เมื่อยล้าพอแล้ว นี่ถึงรู้ ธาตุขันธ์จะก้าวขาไม่ออกถึงมารู้ แล้วก็พาพักหนึ่ง วันนี้ก็ทำ กลางคืนก็ทำ กลางวันก็ทำ ไม่หยุดไม่ถอยอยู่อย่างนี้ตลอด นี่ละความเพียรมันพาให้หมุนเองนะ

          ที่ว่าความเพียรๆ แต่ก่อนหมดโดยสิ้นเชิง ถ้าว่าเพียรก็เพียรเพื่อความพ้นทุกข์เท่านั้น ที่จะเพียรในประโยคพยายามนี้ไม่มี มีแต่รั้งเอาไว้ๆ มันผาดโผนเกินไป นี่ละถึงขั้นธรรมฆ่ากิเลสฆ่าอย่างนี้ทางภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัตินี่แม่นยำมากทีเดียว ลงได้เป็นกับหัวใจดวงใดแล้วจะไม่เชื่อผู้อื่นผู้ใด นอกจากความรู้ความเห็นที่ประจักษ์อยู่กับตัวเองๆ นี้เป็นความที่เชื่อได้อย่างฝังใจ อย่างอื่นไม่เอามาเป็นอารมณ์ เรียกว่าสนฺทิฏฺฐิโก ประจักษ์อยู่ในหัวใจ รู้เห็นอยู่ในหัวใจ มันหนักเข้าๆ กิเลสค่อยหมดไปๆ ค้นคุ้ยเขี่ยหา คือหมด มันไม่แสดงตัวเฉยๆ เราก็ไม่ได้สำคัญว่ากิเลสหมด เป็นแต่เพียงว่ากิเลสไม่แสดงตัว คุ้ยเขี่ยหาเท่าไรก็ไม่มี เงียบไปหมด

          บางทีมันขึ้นเฉยๆ นะ มันไม่ได้สำคัญ เหอ มันไปไหนหมดกิเลสนี่ มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอนี่ ว่าเฉยๆ ไม่ได้สำคัญ สักเดี๋ยวก็โผล่ขึ้นมาก็ซัดกันอีก ซัดกันอีก จนกระทั่งเข้าถึงรังใหญ่ปจฺจยา ขาดสะบั้นผางลงไป เลยไม่ถามว่าอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ คือสนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดท้ายตัดสินขึ้นมา โลกธาตุไหวโลกธาตุภายในขันธ์ของเรานี่นะ ดินฟ้าอาการเขาก็อยู่ในสภาพของเขา แต่จิตของเราที่มันกระเทือนมากในขณะที่อวิชชาขาดสะบั้นลงไปจากใจ คือวัฏวนพาให้เกิดให้ตายนี้ขาดสะบั้นลงไปจากใจ

          วิวัฏฏะได้แก่แดนพ้นทุกข์โผล่ขึ้นมาในขณะเดียวกัน นี่ละกระเทือนมากทีเดียว ร่างกายนี้ไหวไปเลย จึงเหมือนกับว่าฟ้าดินถล่ม ทีนี้ความรู้ที่ไม่เคยรู้เคยเห็นมันจ้าขึ้นมาโดยไม่คาดไม่คิด ทีนี้อัศจรรย์เกินคาดเกินหมาย น้ำตาพังเลย เป็นเองเพราะความอัศจรรย์ และเห็นโทษของกิเลสนี้ก็เห็นอย่างถึงใจ มันขาดไปแล้วก็ยังเห็นอย่างถึงใจ เห็นคุณค่าของธรรมคือแดนพ้นทุกข์ประจักษ์ใจในเวลานั้นก็ถึงใจ นี่ละที่ว่าน้ำตานี่พังเอง พังลงไปเลยทีเดียว ไม่นอน วันนั้นไม่นอนทั้งคืน มันอัศจรรย์ อัศจรรย์พระพุทธเจ้า-พระสงฆ์สาวกทั้งหลาย เมื่อมันเข้าเป็นอันเดียวกันแล้ว คือธรรมชาติที่บริสุทธิ์นี้มันเป็นอันเดียวกัน เหมือนกับน้ำในมหาสมุทร

          น้ำในมหาสมุทรนี้เวลายังอยู่ในคลองต่างๆ ที่ไหลลง ยังไม่ถึงมหาสมุทร เราก็เรียกว่าน้ำคลองนั้นคลองนี้ พอเข้าไปถึงมหาสมุทรปึ๋งเท่านั้นเป็นมหาสมุทรอันเดียวกันหมดเลย นี้จิตของผู้สร้างบารมีทั้งหลายก็เหมือน สร้างบารมีมาใกล้เข้ามาๆ ยังเรียกเป็นรายบุคคลอยู่ กำลังสร้างบารมี พอจิตเข้าถึงวิมุตติหลุดพ้นผางเท่านั้น นี่เรียกว่ามหาวิมุตติมหานิพพาน แล้วเป็นอันเดียวกันเลย เหมือนกับน้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทร พอถึงมหาสมุทรแล้วเป็นมหาสมุทรอันเดียวกันหมด ว่าน้ำคลองนั้นคลองนี้ไม่มี ลบโดยสิ้นเชิง

          นี้จิตเมื่อเข้าถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วเป็นอันเดียวกันเลย พระพุทธเจ้าถามท่านหาอะไร ถามธรรม-สงฆ์มาเป็นอันเดียวกันแล้ว ถามท่านหาอะไร มันชัดเจนอย่างนั่น นั่นละที่ว่าแดนอัศจรรย์ เราเคยคาดเคยคิดมาแต่เมื่อไร ไม่เคยคาด ความเป็นเองเกิดขึ้นแล้วตัดสินทุกอย่างขาดสะบั้นไปหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ นี่ละท่านว่าสนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอด รู้เห็นความสมบูรณ์พูนผลของตนในขั้นสุดท้าย การปฏิบัติจิตตภาวนา ให้พากันอบรมจิตใจเพื่อจะหักห้ามวัฏวน ที่มันพาคิดพาพาปรุงพาแต่งเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่หยุดไม่ถอย ให้หักห้ามด้วยตจิตตภาวนา

          เอาธรรมเข้ามาทำงานแทน เช่นพุทโธๆ แทนความคิดของกิเลสที่มันพาคิดทั้งวันทั้งคืน แล้วธรรมจะปรากฏขึ้นมาอย่างนี้เรื่อยๆ ไป จนกระทั่งถึงแดนพ้นทุกข์ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าประกาศจ้ามาตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทีแรกจนกระทั่งบัดนี้ ธรรมนี้เป็นอกาลิโก ท้าทายมรรคผลนิพพานอยู่ตลอดเวลาสำหรับผู้สนใจปฏิบัติตาม ไม่ครึไม่ล้าสมัย เป็นธรรมกลางๆ อยู่อย่างนั้น เรียกว่าอกาลิโก ไม่เลือกกาลสถานที่เวล่ำเวลา ไม่ว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอน ทำความพากเพียร ไม่ว่าที่แจ้งที่ลับจะเป็นความเพียร  จะเป็นอรรถเป็นธรรมตลอดไป สุดท้ายก็เป็นมรรคผลนิพพานขึ้นมาจนได้นั่นแหละ

          การทำชั่วก็เหมือนกัน เป็นอกาลิโก การทำชั่วตามกิเลสมันก็เป็นอกาลิโก ทำเมื่อไรเป็นกิเลสเมื่อนั้น เป็นชั่วเมื่อนั้น ตลอด ถ้าทำมากก็พาเจ้าของให้จม ไม่มีคำว่าจะฟื้นได้เลย ถ้าฟื้นเจ้าของด้วยการสร้างคุณงามความดีอย่างนี้จะฟื้นไปเป็นลำดับ แล้วต่อทางไปเรื่อยให้ใกล้เข้าไปต่อมรรคผลนิพพาน สุดท้ายก็เข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ด้วยบุญญาภิสมภารของเราที่สร้างอยู่ไม่หยุดไม่ถอย มีมากมีน้อยเหมือนน้ำที่ตกที่ลงจากบนฟ้านั่นแหละ ตกทีละเม็ดๆ ตกไม่หยุดไม่ถอยทำท้องมหาสมุทรให้เต็มด้วยน้ำได้

          การสร้างคุณงามความดีไม่จำเป็นจะต้องได้กอบได้โกยเท่าภูเขามาทานละ มีเท่าไรเราทาน เหมือนฝนทีละหยดละหยาดตกไม่หยุดไม่ถอยมันก็ท่วมเอง อันนี้ความดีงามของเราสร้างอยู่ไม่ถอยมันก็ค่อยเจริญเติบโต สุดท้ายเข้าถึงวิมุตติหลุดพ้นเช่นเดียวกัน ท่านจึงไม่ให้ประมาทบุญ มีมากมีน้อยเป็นของเราทั้งนั้น เช่นอย่างเงินมีใบห้าใบสิบใบร้อยใบพันเป็นของเรา เป็นล้านๆ ก็เป็นของเราทั้งนั้น บวกกันเข้าแล้วเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่เงินห้าเงินสิบไป บวกกันมากมันก็เป็นเงินล้าน เป็นล้านๆ ขึ้นได้เมื่อรวมกันแล้ว

          กองการกุศลของเราที่สร้างมามากน้อยนี้ก็ค่อยบวกเข้าไป วันนั้นวันนี้ทุกวันเป็นขึ้นมา บุญกุศลนี้ละเป็นธรรมชาติที่เราตายใจ พึ่งเป็นพึ่งตายได้โดยแท้จริง ส่วนอื่นมีตั้งแต่กิเลสมันกระซิบกระซาบ หลอกลวงเราให้พาไปทำตามความชอบของมัน แล้วครั้นทำลงไปก็จมลงไป คนเสียได้เพราะกิเลสหลอกลวง คนดีได้เพราะการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นคำสอนที่แม่นยำมาก ไม่มีที่จะคลาดเคลื่อนไปไหน ท่านจึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่ว่าแง่ใดมุมใดชอบทั้งนั้น ไม่มีผิดมีพลาดคือคำสอนของพระพุทธเจ้า

          ให้ปฏิบัติเถอะ เชื่อพระพุทธเจ้าเป็นความดีเป็นมงคลแก่เราตลอดไป ถ้าเชื่อกิเลสตัณหาจะพาให้จม ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้คิดได้อ่านได้นำไปปฏิบัตินะ ร่างกายของเราเวลานี้ก็รู้แล้วว่าเป็นมนุษย์ ดีชั่วเราหมุนไปได้ หมุนไปทางชั่วเป็นชั่วเป็นภัยต่อเรา หมุนไปทางดีก็เป็นสิริมงคลต่อเรา เรารักเรา ไม่มีอะไรที่จะรักเสมอด้วยความรักตน ให้พยายามสิ่งใดที่จะเป็นภัยแก่ตัวของเราให้ปัดออก อยากทำเท่าไรก็อย่าทำ เพราะทำแล้วมันก็เป็นภัยตลอดไป ส่วนที่ดีไม่อยากทำ เชื่อจอมปราชญ์คือศาสดาแล้วให้ทำลงไป มันไม่อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำคือกิเลสมันฝืน เราทำนี่คือเราเดินไปตามธรรม สุดท้ายผลดีก็เป็นของเรา ให้พากันจำ

          วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

          พูดเรื่องภาวนานี้ เรายังไม่เคยปรากฏนะว่าเราสำคัญตนว่าถึงที่นั้นๆ แต่ยังไม่ถึงไม่เคยมี ที่พูดอย่างนี้เพราะมันมีในวงปฏิบัติ พวกวงปฏิบัติด้วยกันมี อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความรอบคอบ ปัญญาสำคัญ สติปัญญาเป็นสำคัญ ถ้านิสัยแบบสุกเอาเผากินมักจะเป็นอรหันต์ดิบขึ้นมา เป็นได้ ยกตัวอย่างอย่างที่ว่า อำเภอภูเวียง พระท่านไปเที่ยวกรรมฐานด้วยกันสามองค์ อยู่ดึกๆภาวนาด้วยกันพอหกทุ่มเสียงนกหวีดดังว้อดๆ ขึ้นมา มันก็ต้องตื่นตกใจซิคนเราอยู่ดึกๆ เสียงนกหวีด ปุ๊บปั๊บลงไป เป็นอะไรๆ

          องค์นั้นก็มาองค์นี้ก็มา วิ่งไปหา เป็นอะไรๆ เป็นอะไรมันสำเร็จแล้ว เป็นอย่างนั้น พระท่านก็งง เอ๊ สำเร็จแล้วเป่านกหวีดหาอะไร ก็เป่าอยากให้หมู่เพื่อนทราบละซิ เพราะมาด้วยกัน อ้างมีเหตุมีผลแต่มันเหตุผลโง่มาจากต้นของมันนั่นแหละ ทีนี้พระสององค์ท่านก็เลยไปสนทนาคุยกัน วิพากวิจารณ์มันเป็นอย่างไรพระองค์นี้ เอ๊ะอะสำเร็จก็เป่านกหวีดขึ้นมา มันอะไรกันน้า คอยฟังไป

          พอดีคืนหลัง หกทุ่มอีกละเสียงนกหวีดว้อดขึ้นอีก เอาอีกแล้วสำเร็จไปไหน พระท่านก็อยากมาบ้างไม่อยากมาบ้าง มันหมดกำลังใจ มันมีแบบหนึ่ง พอมา เป็นอะไรไปถึงไหนแล้ว จะไปถึงไหนมันไม่สำเร็จ ไม่สำเร็จเป่าอะไร ก็เมื่อคืนนี้สำเร็จเป่า อันนี้ไม่สำเร็จก็ต้องเป่าละซิ หมดท่าเลย สำหรับเราเราพูดจริงๆ เราไม่เคยมี ที่ว่ามันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมา ว่าเฉยๆ ไม่ได้สำคัญนะ คือเวลาคุ้ยเขี่ยหากิเลสเหมือนว่าหมดจริงๆ แต่จิตนี้มันยังไม่ได้ลงใจ เพราะงั้นจึงว่าเหอ กิเลสมันไปไหนหมด ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ มันนึกในใจเฉยๆ มันไม่ได้สำคัญตนนะ สักเดี๋ยวก็โผล่ขึ้นมาก็ซัดกันเลย บทเวลามันถึงที่ของมันแล้วไม่เห็นถามอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ ฟ้าดินถล่มอยู่ในนี้ ขาดสะบั้นลงไป ผางขึ้นมาเท่านั้นพอ ก็ไม่เห็นมีสำคัญอะไรเลย

          มันทำให้สำคัญได้ละ เพราะกิเลสมันละเอียด แต่สำหรับเราเราพูดจริงๆ เราไม่เคยมี ละเอียดขนาดไหนติดตามมันเจอ แล้วมันก็โผล่ขึ้นมาให้เห็นจนได้ เพราะเรายังไม่ไว้ใจ ถ้าไว้ใจคือสำคัญตนแล้ว อันนี้ไม่เคย ไม่เคยสำคัญตน ภาคปฏิบัติเรามักมีอยู่เสมอ พวกที่อยู่วงกรรมฐานด้วยกันมันถึงทราบเรื่องกันได้ดี มี สำคัญมีได้ เรานี้มันไม่เคยมีทั้งนั้นละ จะพูดว่าไม่เหนือสติปัญญาไปได้ก็ไม่ผิด สติปัญญาจะต้องจับกันตลอดเลย มันจะละเอียดขนาดไหนตามกันจนได้ อย่างที่ว่าค้นหาที่ไหนก็ไม่เจอ มันว่างไปหมดเลย เหอ มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยขึ้นมาแล้วเหรอ ว่าเฉยๆ นะ ยังไม่ได้สำคัญตนนะ สักเดี๋ยวก็คุ้ยเขี่ยไม่ถอย เดี๋ยวก็เจอ เจอขึ้นมาก็ฟัดกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย เลยไม่ถามถึงอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ มันแน่แล้วนั้น ถามหาอะไร

          เวลานี้พระเรานักปฏิบัติผู้ทรงมรรคทรงผล เฉพาะอย่างยิ่งวงกรรมฐานสายพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นยังมีอยู่ไม่น้อยนะ ให้ท่านทั้งหลายทราบเสีย ท่านรู้เงียบๆ อยู่ภายในของท่าน ในวงกรรมฐานท่านทราบกันได้ดี คืออันนี้เป็นธรรมะครัวเรือน เหมือนอย่างพ่อแม่กับลูกคุยกันในครัวเรือน ไม่ได้ออกนอกครัวเรือน ในวงครัวเรือนรู้กัน อันนี้ในวงกรรมฐานนี่เป็นเหมือนวงครัวเรือน เรารู้กัน องค์ไหนเป็นอย่างไรๆ นี้รู้กัน แต่รู้อยู่ภายใน ไม่พูดออกข้างนอกเฉยเลย ภายในของท่านรู้กัน องค์ไหนเป็นอย่างไรๆ รู้ เพราะฉะนั้นจึงรวมความได้เลยว่า วงกรรมฐานสายพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น หากทราบกันโดยภายในที่เกี่ยวข้องกันอยู่เสมอ

          นี่ละถ้ายังมีผู้ปฏิบัติดีอยู่ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีอยู่มรรคผลนิพพานก็ถูกเปิดขึ้นมา ปกคลุมสระน้ำใหญ่ๆ น้ำที่ใสสะอาดไว้ และถูกจอกถูกแหนปกคลุม มองไปไม่เห็นน้ำ ใครก็เห็นแต่ผิวเผิน แต่จอกแต่แหนว่าสระนี้ไม่มีน้ำ เวลาผู้ภาคปฏิบัติก็คือผู้ไปเปิดจอกเปิดแหนออก พอเปิดออกไปแล้วตักมาอาบดื่มใช้สอยเป็นอย่างไรรู้ทันที จากนั้นแล้วแม้จอกแหนเข้ามาปิดตามเดิม ความเชื่อที่ฝังลึกว่าน้ำมีในสระนี้ไม่มีถอน อย่างพระโสดานี่ละที่ว่าตกกระแส ถึงท่านยังมีกิเลสก็ตาม แล้วมีแต่พยายามบุกเบิกเรื่อยๆ

          จนกระทั่งออก เอาจอกแหนออกจากสระ หมดโดยสิ้นเชิง เปิดจ้าขึ้นมามีแต่น้ำที่สะอาด อมตมหานิพพานอยู่ในหัวใจซึ่งเทียบกับสระนั่นเอง สระใหญ่เต็มไปด้วยน้ำ คือน้ำอรรถน้ำธรรม กิเลสที่เป็นจอกเป็นแหนถูกเอาออกหมด เปิดออกหมด ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติอยู่เรื่องมรรผลนิพพานไม่ต้องถาม ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศท้าทายไว้แล้ว พุทธศาสนาคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน ขอให้ปฏิบัติเถอะ ว่าอย่างนั้นเลย แน่นอน

          พระพุทธเจ้าไม่เคยโกหกโลก ตรัสรู้ขึ้นมา จ้าขึ้นมาแล้ว สอนธรรมก็จ้าแบบเดียวกัน สอนให้ตรงแน่วต่อมรรคต่อผล ผู้ปฏิบัติให้ตรงตามสายทางเดินที่ทรงสอนไว้ด้วยความแม่นยำแล้วจะรู้จะเห็นไปตามๆ กัน ไม่ปฏิบัติไม่สนใจละซิ มิหนำซ้ำเอากิเลสตัณหาเข้าไปพอกพูนปิดหมด ว่ามรรคผลนิพพานไม่มี บาปบุญนรกสวรรค์ไม่มีไปเลย ปิดไปหมด ตาบอด ผู้ตาดีเห็นไว้หมดแล้ว พระพุทธเจ้าทุกพระองค์องค์ไหนที่ไม่เห็นบาปบุญนรกสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เปรตผี เห็นเหมือนกันหมด นี่คือผู้ตาดี พวกตาบอดของสัตว์โลกทั้งหลายตาบอดไปหมด ลบหมด ไม่มี แล้วก็โดนเอาๆ พระพุทธเจ้าท่านไม่โดน ผิดถูกดีชั่วสอนไว้ตามหลักความจริง ใครจะเอาก็เอา ไม่เอาก็กรรมของสัตว์เท่านั้นเอง มันก็มีเท่านั้น

          

เทศน์อบรมฆราวาส

ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

เมื่อค่ำวันที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

หักห้ามวัฏวนด้วยจิตตภาวนา

 

(รวมเวลาแสดงธรรม ๔๓ นาที)

          ไปเยี่ยมสมเด็จสังฆราชแล้ว โอ้ท่านน่าสงสาร ท่านไม่รับสั่งอะไรละกับเรา ไปก็ขึ้นบนเข่าเลย เราปั๊บเข้าไปนั่นเลย กราบเรียนท่าน ท่านจ้องดู ดูว่าท่านไม่ได้รับสั่งสักคำนะ เราก็กราบเรียนท่านย่อๆ พอให้ท่านทราบชื่อ แล้วท่านจ้องดู เวลาเราจะลาท่านกลับมาแล้วท่านชี้ใส่เก้าอี้ ท่านอยากให้นั่งเก้าอี้ ดูว่ายังไม่อยากให้กลับนะ ท่านชี้มาที่เก้าอี้ เราอยู่ที่ตักที่เข่าท่าน ไปลาท่าน ท่านก็ชี้มาเก้าอี้ เราเลยไม่มา ลาจากนั้นแล้วก็เปิดเลย มันก็ทันสมัยดีนี่ ลาท่านแล้วเปิดเลย ไม่นั่งเก้าอี้ พูดถึงเรื่องความสนิทสนม สนิทสนมกันมามากและนานกับสมเด็จสังฆราช

          เวลาไปพักวัดบวรฯทีไรนี้ท่านปล่อยภาระหมด โยนมาให้เรา การเทศนาว่าการในวัดบวรฯ เพราะท่านหนักมาตลอด พอเราไปท่านก็โยนให้เลย เรียกว่าเราไปจับขาหมี มันมีในนั่นเหมือนกันนะขาหมี ขบขันดีนะ คือผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในป่า ไปจ๊ะเอ๋กันกับหมี คือธรรมดาหมีนี่มันไม่ค่อยวิ่งหนี ถ้าเจอใกล้ๆ เช่นอย่างลูกกรงเห่านี้โดดยเข้ามากัดคน ทำคนให้เสียท่าเสียก่อนมันค่อยไป พอหนุ่มคนนั้นเดินไปนั้นไปจ๊ะเอ๋กับหมี หมีก็โดดมา ทางนี้ก็เข้าต้นไม้ มันก็ตะปบมา ต้นไม้อยู่ตรงกลาง คนอยู่ทางนั้นมันก็ตะปบสองขา แล้วคนนั้นก็จับได้ทั้งสองขาเลย จับหมีตัวนั้นได้ทั้งสองขา

          ทีนี้พอจับหมีได้หมีก็โดดจะออก หัวคนก็ชนต้นไม้ คนจะตาย คนจับขาหมีดึง หัวหมีก็ชนต้นไม้ ชนอยู่อย่างนั้น ต้นไม้อยู่ตรงกลาง คนเจ็บหัวซิ พอหมีโดด คนจับขามันอยู่ หัวคนชนต้นไม้ เขาจับขาหมีไว้ หัวหมีก็ชนต้นไม้นั่นละ เอากันอยู่ปึงปังๆ พอดีคนหนึ่งมา ทำอะไรนั่น นี่กำลังจับขาหมี มาช่วย คนนั้นเห็นจับขาหมี หัวหมีกับหัวคนชนต้นไม้ต้นเดียวกัน ทางนี้ก็ตะโกนเรียก โอ้ยทำอะไรนั่น ทางนี่กำลังจับขาหมีมาช่วยกัน คนนั้นก็ปุ๊บปั๊บจับขาหมีได้ คนนี้ก็เปิดเลย คนนั้นชนต้นเสาอยู่กับหมีตัวนั้น

          เราไปวัดบวรฯก็แบบเดียวกัน ท่านจับขาหมีอยู่ เห็นเราไปท่านก็ปล่อยขาหมีให้เรา เราก็ชน เป็นอย่างนั้นละ เข้าท่าดี มันมีในนิทานเหมือนกัน คือหมีนี่เวลาไปเจอใกล้ๆ มันไม่ได้วิ่งหนีนะ ส่วนมากมันจะวิ่งมาหาคน ตะปบหรือกัดคนเสียก่อน บางทีเจ็บมากด้วยมันถึงจะไป แต่เสือไม่ได้เจอมันง่ายๆ พวกคนในป่าเขาไปนี่เขาระวังแต่หมี  มันมาสะเปะสะปะของมันจึงมักจะเจอคนเสมอ แต่เสือนี่มันสติดี พอคนมานู้นมันรู้แล้วมันหลบ แต่หมีนี่เจอ เจอมันบ่อยหมี

          เจอก็ไม่เป็นไรแหละ ขออย่าให้ไปจับขาหมีก็แล้วกันนะ เรามาวัดบวรฯ มีแต่มาจับขาหมี ท่านปล่อยเลยให้เราเทศน์ ตั้งแต่มาพักที่นี่แล้วก็เลยไม่ได้ไป วันนี้ท่านไม่รับสั่งอะไร แต่ท่านจ้องมองเราตลอดเลยนะ บทเวลาเราจะลาท่านกลับท่านชี้มาเก้าอี้ให้นั่งเก้าอี้เสียก่อนยังไม่อยากให้กลับ ทางนี้ก็เผ่นเลย ไม่อยู่แล้ว เจ้าคุณเทพฯบอกมากับคุณหลวง บอกว่าอยากให้เราไปกราบเยี่ยมสมเด็จสังฆราช อยู่วัดบวรฯ คณะกุฏิเราเคยไปพัก กุฏิท่าน เวลาไปกรุงเทพฯ ท่านอยากให้เรา คุณหลวงเอาผ้าไตรว่าสมเด็จพระสังฆราชให้เอามาถวาย

          คือเจ้าคุณเทพฯนี่แหละให้เอาผ้ามาถวาย ไปบอกว่าผ้าสมเด็จสังฆราชให้เอามาถวายเรา แต่เราไม่ค่อยเชื่อ ธรรมดาท่านก็ไม่สนใจกับอะไรแล้ว เอาผ้านั่นมาแล้วพูดสั่งคำมาว่าอยากให้เราไปเยี่ยมสมเด็จสังฆราช เพราะท่านไม่เห็นเราไปตั้งแต่ท่านได้เป็นสมเด็จสังฆราชแล้วเราไม่เคยไปวัดบวรฯ ที่ท่านนิมนต์ก็เพราะเหตุนี้เอง เพราะท่านทราบดีเรื่องเรากับสมเด็จสังฆราชสนิทกันอย่างไรบ้าง และสนิทกับท่าน แต่อยู่ๆ ก็ไม่เห็นไปสักที ท่านเลยหาอุบาย เอาผ้าไตรมาเมื่อวานหรือวันซืน บอกว่าผ้าสมเด็จสังฆราช เอาผ้ามาถวายแล้วอยากให้ไปกราบเยี่ยมสมเด็จสังฆราช

          ไปวันนี้ท่านไม่ได้ไป ท่านไม่ได้ไปที่โรงพยาบาล มีแต่พระสามสี่องค์ เป็นประจำสี่องค์ ก็ไปคุยกับท่านไม่มากนัก ไม่นาน แต่ท่านไม่รับสั่งอะไร เป็นแต่เพียงว่าท่านจ้องเราตลอด นั่นเรียกว่าเป็นการปฏิสันถารต้อนรับด้วยกิริยาอย่างนั้น เราก็พูดบ้างเล็กน้อย ท่านเทศน์ตามนิสัยของท่าน คือท่านเทศน์ช้ามากนะ พูดขึ้นประโยคหนึ่งแล้วกว่าจะขึ้นประโยคหนึ่งนาน เหมือนว่าคิดประโยคหน้าเสียก่อนแล้วค่อยพูด ประโยคจบเหมือนว่าคิดเสียก่อนแล้วค่อยพูด เป็นประโยคๆ ช้ามาก

          เวลาท่านฟังเทศน์เรา ท่านก็คงจะคิดอันหนึ่งเหมือนกันนะ ท่านไปนั่งด้วยกัน เวลาให้เราเทศน์ บางวันที่ท่านว่างท่านก็ไปด้วย แต่ให้เราเทศน์ ทีนี้เวลาเราเทศน์กับท่านเทศน์มันต่างกัน ท่านเทศน์ช้ามากเชียว แต่เราพอเริ่มแล้วมันยำเลย ท่านก็ฟัง เราเทศน์ก็เป็นเรื่องของเรา ยำเลย ของท่านฟัดเสียโป้กแล้วก็ไปหาผักหาหญ้ามาแล้วเอามาวาง ค่อยโป้กแล้วไปหาเนื้อหาปลามา แล้วก็โป้กอีกทีหนึ่ง เป็นอย่างนั้น เรานี้ยำเลย มันต่างกัน

          อันนี้เป็นไปตามนิสัยนั่นแหละ นิสัยมันต่างกัน ท่านอาจารย์ฝั้นก็มีช้าๆ อย่างนั้นก็เทศน์ไปช้าๆ ไป เทศน์ช้าๆ แล้วก็หยุด บางทีเหมือนจะไม่เทศน์แล้วก็เทศน์ขึ้นอีก ต่อไปเรื่อยเลย  นั่นก็เป็นนิสัยของท่าน เทศน์แล้วหยุดเงียบเหมือนจะไม่เทศน์ แล้วก็ขึ้นอีก เทศน์ไปแล้วหยุดไปเทศน์ไปอย่างนั้น พูดถึงเรื่องท่านอาจารย์ฝั้นนี้เราก็ระลึกถึงเจ้าคุณอุปัชฌาย์เรานั่นน่ะ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ วันนั้นเราไม่ได้ไปในงาน มีงานชื่อวัดสุเทพนครพนม (มีเสียงดังขึ้น) มันเสียงอะไรนี่ อี้ๆแอ้ๆอยู่นั่น มันฟังให้คนเป็นบ้าไม่ใช่เหรอ ทั่วดินแดน มีแต่เรื่องบ้ากวนหู มองไปที่ไหน โอ้ยนี่มันจะเป็นบ้ากันทั้งโลก  นี่มันไม่มาเกี่ยวข้องเราก็ไม่พูด เฉย ความจริงมันดูพอแล้ว จนเบื่อจะดูจะฟัง

          พูดถึงเรื่องท่านเจ้าคุณ คือท่านเคยฟังเทศน์เรามากต่อมากแล้ว ไปไหนท่านจะไม่เทศน์เลย ไปไหนคือเอาเราไปเทศน์ทั้งนั้นละ มีงานอะไรก็ตาม เฉพาะวัดโพธิฯนี้ ในตอนที่ท่านกำลังซ่อมโบสถ์ใหม่ ต่อมันเป็นสามรสแต่ก่อนมีรสเดียว ต่อเป็นสามคสสามชั้นขึ้นไป กู้เงินมหามกุฏเข้าไปแต่ก่อนเงินมันแพง กู้ไปแสนสองหมื่น กู้เขาไปแล้วก็ไปซ่อม ทีนี้พวกประชาชนทั้งหลายเขาทราบว่าท่านติดหนี้ จังหวัดนู้นก็มาทอดผ้าป่าช่วยใช้หนี้ให้ท่านนั่นแหละ มาจากที่ไหนก็ตาม ดูว่าไม่เคยเว้นเลยแม้แต่แห่งเดียวนะที่ท่านจะมาเอาเราไปเทศน์ ท่านมาเองนะ ขึ้นรถปุ๊บๆมา ไปแล้ว ถึงป่วยก็ตามต้องได้ไปถ้าท่านมา ถ้าท่านไม่มาท่านสั่งให้พระมาหาเรา เราไม่ไปหาอุบายพูด

        สุดท้ายท่านมาเองทั้งนั้นแหละ ยิ่งไปเทศน์อย่างนี้ท่านมาเอง เราก็ไปเทศน์ให้ ท่านเคยเสียพอฟังเทศน์เรา เราไปเทศน์มันก็มีส่วนอยู่ เวลาเราไปเทศน์แต่ละครั้งๆเขาถวายมามากเท่าไรเราก็รวมกับนั้น ดีไม่ดีได้เกือบเท่ากันกับผ้าป่าเขา ของเราบวกเข้าปุ๊บๆ เลย เพราะเราไม่เคยแตะ เราบูชาคุณท่าน ท่านเป็นอุปัชฌาย์เรา ไปเทศน์ที่ไหนก็ตามเราไม่เคยแตะ จนกระทั่งท่านถาม เธอจะได้ใช้อะไร บอก โอ้ยมี เราว่า เราไม่เคยสนใจ ยกถวายหมดเลย

          แม้ที่สุดไปเทศน์ในวัดโพธิฯ เทศน์ในงานศพ ท่านผู้เกียรติเสียไป เขานิมนต์เราไปเทศน์ในงานศพ เราก็มอบท่านหมดเลย เราไปเทศน์ให้เฉยๆ เป็นอย่างนั้นปรกติ ทีนี้เวลาเทศน์ของเรากับท่านอาจารย์ฝั้นมันไม่เหมือนกัน นี่ละเป็นเหตุที่จะให้ท่านพูด วันนั้นไปเทศน์ที่วัดศรีเทพฯ จังหวัดนครพนมนั่นละ ท่านอาจารย์ฝั้นเป็นคนเทศน์ ท่านนั่งฟัง ท่านมาพูดให้เราฟังเองนะ เราเป็นสัทธิงวิหาริก หรือว่าลูกของท่านจะผิดไปไหน  ท่านว่าเราโมโหบัว คิดถึงมหาบัวจะตาย นี่เทศน์แล้วแต่จะขึ้น แล้วแต่จะหยุด แล้วจะไปไหน คิดถึงมหาบัว โมโห มันไม่ทันใจ ท่านว่าอย่างนี้นะ

          คือท่านฟังเทศน์เราแล้ว เคยแล้ว เราถ้าเริ่มก็เรื่อยไปอย่างนั้น ถ้าให้หยุดอย่างนั้น มันก็ตามนิสัย หยุดแต่ลมหายใจ จากนั้นก็เรื่อยๆ ท่านอาจารย์ฝั้นท่านก็เทศน์ตามนิสัยของท่าน ท่านอยากหยุด หยุด เหมือนจะไม่เทศน์เดี๋ยวขึ้นอีก ท่านเจ้าคุณท่านก็โมโห คือเวลาท่านไปฟังเทศน์ท่านจะนั่งสมาธิฟังนะ จิตมันกล่อม นี่ละท่านเล่าให้ฟัง  เธอเทศน์เมื่อไรแล้วจิตเราสงบแน่วเลยละบัว ว่าอย่างนั้นแหละ เธอเทศน์เราไม่กังวล พอเริ่มขึ้นแล้วกล่อมจิตสงบเลย

          วันนั้นไปเทศน์ท่านอาจารย์ฝั้นเลยโมโห เลยจิตไม่ลง ท่านว่าอย่างนั้น เลยคิดถึงเธอ โมโหด้วยซ้ำ ท่านเล่าให้ฟัง เพราะท่านเคยฟังเทศน์เรามามากต่อมาก งานใดก็ตาม ต้องเอาเราไปเทศน์ที่วัดโพธิฯ งานผ้าป่านี่ทุกงานเลย ต้องไปเทศน์ให้ทุกงาน เทศน์ที่ไรผลมันก็รวมกันๆ อย่างนั้นละ อันนี้มันก็เป็นตามนิสัยเรา ตามนิสัยของใครของเรา พูดถึงท่านเจ้าคุณก็มาขบขันตอนไปเทศน์อำเภอท่าอุเทน ซึ่งเป็นอำเภออยู่ของท่าน บ้านเดิมท่านอยู่อำเภอท่าอุเทน เวลาท่านเอาเราไปเทศน์ เราก็ไม่เคยเทศน์อย่างนั้น มันแล้วแต่เหตุการณ์

          ทีนี้งานนั้นบ้านนั้นมีแต่บัตรแต่เบอร์แต่บ้า เบอร์บ้านั่นน่ะเต็มไปหมด เราก็ไม่เคยเทศน์อย่างนั้น ท่านเองจึงไม่เคยได้ยินเราเทศน์อย่างนั้น เทศน์ก็ธรรมดาไปเรื่อยๆ  วันนั้นมันไม่ไปอย่างนั้นละซิ มันมีแต่บัตรแต่เบอร์แต่บ้าเต็มศาลา ขึ้นไปก็เริ่มเบอร์แล้วเริ่มบ้าแล้ว เทศน์แต่เรื่องบัตรเรื่องเบอร์เรื่องบ้า คนหัวเราะลั่นศาลาเลย สุดท้ายท่านเจ้าคุณก็หัวเราะ ไม่ลืมหูลืมตาหัวเราะตั้งแต่ขึ้นจนกระทั่งจบเทศน์ เราจำได้ว่าเทศน์ ๔๕ นาที มีแต่เรื่องเดียวตลกขบขัน มีข้อเปรียบเทียบข้อนั้นข้อนี้ ทางนั้นหัวเราะลั่น ท่านเจ้าคุณเองท่านก็หัวเราะ

          จนกระทั่งจะจบเขาก็ขอร้องขึ้นมา ขอเทศน์อีก อย่าด่วนจบ เราก็เฉย พอจบแล้วลงจากธรรมาสน์ ธรรมาสน์อยู่กลางศาลา มากราบพระแล้วท่านเจ้าคุณยังหัวเราะ หลับหูหลับตาหัวเราะอยู่อย่างนั้นเลย ตลอดเลย เรากราบเสร็จแล้วท่านยังหลับหูหลับตา ยังไม่มองดูเราว่ากราบแล้วมานั่งแล้ว ท่านหัวเราะขนาดนั้น ทีนี้พอท่านลืมตาเข้ามา มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น หัวเราะตลอดเลยนะ มันมีเรื่องขบๆ ขันๆ มาประกอบๆ ให้พวกนั้น ประกอบกับเรื่องเบอร์เรื่องบ้านั่นแหละ ไม่ใช่อะไรแหละ มันเข้ากันได้ ท่านเจ้าคุณเลยหัวเราะจะเป็นจะตายจริงๆ เราลงมาท่านยังหัวเราะอยู่ตลอดเวลา

          พอจากนั้นแล้วทีนี้เจอหน้าเราทีไรก็ตาม มองหน้า มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น  เจอหน้าทีไรเอานี้ทักเลย มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น เราเฉย ก็ไม่ใช่บ้าเทศน์ได้หมด ตั้งแต่นั้นเลยเอาคำนั้นละทักเรา จนกระทั่งท่านล่วงไป เอ๊มหาบัวนี่เทศน์หลายสันหลายคม ท่านพูดของท่านอย่างนั้นละ เทศน์ท่าอุเทน โอ้ยเราอดหัวเราะไม่ได้ เราก็จะเป็นจะตายเหมือนชาวบ้านเขา เขาก็หัวเราะกันลั่นๆ ท่านก็หัวเราะของท่าน ตั้งแต่นั้นมาเจอหน้าทีไรมหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น อย่างนั้นตลอดเลย ท่านไม่เคยได้ยิน เพราะเราก็ไม่เคยเทศน์ มันแล้วแต่เหตุการณ์ที่จะเทศน์อย่างไรก็ว่าไปอย่างนั้น ท่านมาเจอตั้งแต่นั้นเอาคำทักทาย มหาบัวเทศน์อย่างนี้ก็เป็น เรื่อย

          วันนี้ก็ไปสองแห่งไปเยี่ยมท่านราชเลขา ท่านรู้สึกดีใจมาก ท่านก็น้ำตาร่วงเหมือนกัน เราก็ให้โอวาสย่อๆ จากนั้นมาก็ไปกราบเยี่ยมสมเด็จพระสังฆราช วันนี้ไปสองแห่ง เหนื่อยนะ ไปมาแล้วเหนื่อย

          อยากให้พี่น้องทั้งหลายเราสนใจในธรรม ธรรมอย่าไปคิดว่าอยู่ที่ไหนอื่นใดนะไม่มี มีอยู่ก็ตาม แต่ไม่มีอะไรจะรับสัมผัสได้เหมือนใจ ใจรับสัมผัสธรรมได้ดี จะให้รับสัมผัสได้ดีเท่าไรก็คือการภาวนา การภาวนานี้จ่อความรู้สึก สติลงไปที่ใจ เหตุการณ์ต่างๆ มันมีอยู่ตลอดเวลาแล้ว ส่วนมากก็เป็นเรื่องของกิเลส คือความคิดความปรุงอยู่เฉยๆ ไม่ได้นะ ความคิดความปรุงนี่เรียกว่าสังขาร สังขารที่มีกิเลสบังคับอยู่นั้นมันก็เป็นเครื่องมือของกิเลสไป

          เพราะฉะนั้น คิดออกแง่ใดมุมใดจึงได้รับการบังคับออกจากกิเลสให้คิดให้ปรุง คิดเรื่องใดก็ตาม มีแต่คิดเรื่องวัฏวนหมุนตัวเอง หาทางออกทางไปไม่ได้ คือความคิดของสัตว์โลก เพราะกิเลสตัวนี้ทำให้คิดให้ปรุงให้อยากรู้อยากเห็น อยากเป็นต่างๆลมๆ แล้งๆ อยากไปได้หมด ไม่มีประมาณคือความอยากของกิเลส อยากได้ทุกแง่ทุกมุม ไม่ได้ก็ตามขอให้ได้อยากก็เอา ได้คิดตามความอยากก็พอ พอใจ

          นี่โลกทั้งหลายอยู่ด้วยกันเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ความคิดความปรุงนี้จะเป็นเครื่องมือของกิเลส ท่านบอกว่า อวิชฺชาปจฺจยา อวิชชาเป็นปัจจัยเป็นเครื่องหนุนให้เกิด สังขาร ท่านว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นไปเรื่อยๆ คืออวิชชามันหนุนออกมา อยากให้คิดให้ปรุงตลอด ไม่มีวันอิ่มพอ คือความคิดความปรุงของสังขารที่อวิชชาบังคับให้คิดให้ปรุงอยู่อย่างนั้นตลอด นี่เรียกว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โลกโดยอัตโนมัติของมัน ไม่มีใครมาบังคับบัญชา มันหากทำงานของมันอยู่นั้นในจิตนี้ จิตนี้จึงเป็นวัฏวน วนไปวนมา ผลของมันก็คือเกิดแก่เจ็บตาย เกิดแก่เจ็บตายในภพน้อยภพใหญ่ ไม่กำหนดกฎเกณฑ์ว่าจะเป็นภพใดชาติใด สัตว์บุคคลเปรตผีประเภทต่างๆ เทวบุตรเทวดา ลงนรกอเวจี ล้วนแล้วตั้งแต่อันนี้พาหนุนให้ไป คิดไม่หยุดไม่ถอย

          นี่เรียกว่าวัฏวน กิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติของมัน แต่โลกทั้งหลายไม่มีใครทราบนะ พูดให้ชัดเจนไม่ทราบ ว่าความคิดความปรุงซึ่งมีอยู่กับทุกคนนี้แหละ ว่าเป็นความคิดของกิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติ อย่างนี้ไม่มี มันหากคิดหากปรุงของมันอย่างนั้นตลอดเวลา นี่เรียกว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติ ไม่มีใครบังคับบัญชา เรื่องของกิเลสบังคับให้ทำงานเองเท่านั้น เราจะทราบได้ชัดก็ต่อเมื่อหยั่งจิตเข้าสู่จิตตภาวนา เข้าภาวนาจะทำให้จิตหมุนจากความคิดโดยอัตโนมัติของมันนั้น เข้ามาคิดปรุงในทางด้านอรรถด้านธรรม

          เช่นเราคิดเราปรุงคำบริกรรมในการภาวนาคำใดก็ตาม ตามแต่จริตนิสัยเราชอบ เป็นพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ มรณัสสติระลึกถึงความตายก็ได้ อานาปานสติก็ได้ ตามแต่จริตนิสัยชอบ แล้วให้จิตทำงานอยู่กับธรรมนี้ คำบริกรรมนี้เป็นธรรม แล้วจิตก็ให้คิดอยู่กับคำบริกรรมที่เป็นธรรมนี้ให้สืบเนื่องกันไปโดยลำดับ มีสติเป็นเครื่องควบคุมจิตใจ ไม่ให้คิดไปทางกิเลส ให้คิดเฉพาะกฎของธรรม นี่เรียกว่างานของธรรม  แล้วเมื่อเราคิดไป งานของธรรมกับกิเลสนี้ต่างกัน

          งานกิเลสคิดเท่าไรไม่มีอิ่มมีพอ ยิ่งคิดยิ่งฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่มีขอบเขตหลักเกณฑ์อะไรเลย หมุนไปเรื่อยๆ แต่คิดทางด้านธรรมะ เช่นพุทโธนี้ เมื่อเราคิดหนักเข้ามากเข้า หนักเข้า จิตนี้จะสงบตัวลง ไม่ได้เหมือนกิเลสพาคิด ธรรมพาคิด งานของธรรมจะทำใจให้สงบเย็นลงๆ เรากำหนดภาวนาติดต่อกัน สติติดต่อกันเท่าไรจิตก็ค่อยสงบลงไป สงบลงไป ทีนี้งานของกิเลสก็ไม่มาแทรกได้ มีแต่งานของธรรมทำงาน ใจก็ค่อยสงบเย็นลงไป เมื่อมีความสงบแล้วก็เริ่มสงบเรื่อยๆ เข้าไป จนเกิดความผ่องใส เป็นความสุขแปลกประหลาดขึ้นมา ดีไม่ดีเป็นความอัศจรรย์ขึ้นมา ในงานของธรรมที่ทำงานด้วยคำบริกรรมนั้นแล จิตก็สง่า

          พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกได้ เมื่อเราบวชใหม่ๆ นี้เคยเล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง เพราะเป็นสิ่งไม่เคยพบไม่เคยเห็น เวลาบวชใหม่ๆ เห็นท่านพระครูเดินจงกรม เราก็สังเกตท่าน ทีนี้เวลาบวชแล้วก็ไปถามภาวนากับท่าน ว่าอยากภาวนา จะให้ภาวนาบทใด ท่านบอกว่าให้ภาวนาพุทโธละ เราก็ชอบพุทโธ ท่านว่าอย่างนั้น เราก็เอาคำนั้นละมาภาวนา เรียนหนังสืออยู่จะพักเวลาไว้หนึ่งชั่วโมงนี้ ชั่วโมงนี้เป็นชั่วโมงภาวนาของเรา ตั้งแต่เริ่มบวชมันหากนิสัยชอบอย่างนั้น

          ภาวนาสะเปะสะปะ พุทโธๆ สติก็มีในเบื้องต้น ครั้นต่อไปสติก็เหลวไหล ใจก็ไม่รวม สุดท้ายก็นอน เป็นอย่างนี้เป็นประจำไป หากทำอยู่ทุกวัน มันก็เป็นของมันอย่างนั้นทุกวัน บทเวลามันจะเป็นขึ้นมาจริงๆ เราก็กำหนดพุทโธนั้นแหละ พอว่ากำหนดพุทโธแล้วจิตค่อยสงบเข้ามาๆ เหมือนเขาตากแหไว้ พอดึงจอมแหตีนแหก็ค่อยหดเข้ามา หดเข้ามา จนกระทั่งหดเข้ามาเต็มตัวเป็นกองแหขึ้นมา ทีนี้ไม่เป็นตีนแหแล้ว เป็นกองแหแล้ว มันหดเข้ามา ใจของเราพอค่อยสงบเข้ามา สงบเข้ามา ก็เป็นจุดให้เกิดความสนใจ สติก็เลยจ่อตรงนั้น มันก็ค่อยหดเข้ามา หดเข้ามา

          หดเข้ามาถึงที่มันแล้ว หยุดกึ๊กเลยทีเดียว ไม่คิดไม่ปรุงอะไรอีกเลย แหม เกิดความอัศจรรย์ไม่เคยเห็นเรา ตื่นเต้นภายในใจเวลานั้น เพราะไม่เคยเห็น เป็นความอัศจรรย์เกินคาดเกินหมาย เพราะเกิดเองในเวลาภาวนาซึ่งเราไม่เคยคิดเคยคาดไว้เลย ก็มาเป็นในขณะนั้น แล้วปรากฏว่ามันมีเกาะอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร นอกนั้นเวิ้งว้างไปหมด เหลือแต่ความรู้ที่แปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่จุดศูนย์กลางความเวิ้งว้างนั้น เลยแปลกประหลาดอัศจรรย์ตื่นเต้นตัวเอง ไม่นานจิตพอถูกกวนด้วยความตื่นเต้นมันก็เลยถอนขึ้นมา

          โอ๋ยอัศจรรย์ จะทำภาวนาให้เป็นอีกมันก็ไม่เป็น วันนั้นเป็นอารมณ์ทั้งวัน อารมณ์อยู่กับจิตที่สงบอัศจรรย์นั้นละ อยู่ทั้งวันเลยนะ เป็นเอง เรียนหนังสือก็เรียน แต่จิตมันติดอยู่กับอันนั้น กับความอัศจรรย์ที่มันเป็นในเวลาภาวนาจิตสงบรวมลงไปนั้นแหละ วันหลังเอาอีก พยายามอีก มันเลยไม่ได้ เพราะเราไปคาดสัญญาอดีตที่เป็นมาแล้ว มันไม่อยู่ปัจจุบัน มันก็เลยไม่เป็น เมื่อนานเข้าไม่เห็นมันเป็นแล้วก็เลยทอดธุระ  ความหวังอะไรจะให้เป็นอย่างนั้นมันก็ถอนตัวไป ไม่หวังไม่อะไร ภาวนาสะเปะสะปะไปอีก อ้าวลงอีกแล้ว พอลงอีกก็เป็นบ้าอีกละ ขยับใหญ่เลย จะเอาให้ได้อย่างนั้นละ ไม่ได้

          รวมแล้วเรียนหนังสืออยู่ ๗ ปี ภาวนาจิตประเภทนี้เป็นสามหน เป็นแบบอัศจรรย์จริงๆ ๓ หน นี่ละทำให้เกิดความเชื่อฝังลึกนะ เชื่อในมรรคผลนิพพานฝังลึก แล้วมีความมุ่งมั่นขึ้นในนั้นเสร็จ นี่เราหยุดจากการเรียนนี้เราจะออกภาวนาเพื่อให้ได้จิตดวงนี้แน่นอน อย่างไรเราจะต้องให้ได้จิตดวงนี้กลับมาครองแน่นอนเลย พอออกจากการศึกษาเล่าเรียน เข้าทางภาคปฏิบัติแล้วจิตก็หมุนใหญ่เลยเชียว จะเอาให้ได้ ฟาดให้ได้ทั้งวันทั้งคืน สุดท้ายมันก็ได้ ได้มาเรื่อยๆ

          อย่างนี้ละจิต เวลามันได้ปรากฏขึ้นมานี้ ตั้งแต่เราเกิดมาเราเคยเห็นความสุขความสบายในหัวใจของเราที่ไหนเมื่อไร ไม่มี มีแต่หวังเอาความสุขจากสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วก็ผิดไปพลาดไป ไม่ค่อยเห็นได้ ใครๆ ก็ไม่ได้ความสุข ที่จะสมหวังๆ มันไม่ได้นะ มันหากดิ้น หากหาความสุขด้วยกันทั้งนั้นแหละ แต่มันก็ไม่ได้สมหวัง ทีนี้พอภาวนาอย่างนี้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ สมหวัง จากนั้นเร่งใหญ่เลย สุดท้ายมันก็ได้ ได้อย่างว่า อัศจรรย์ ได้เรื่อยๆ เลย เพราะเร่งใหญ่นะ ไม่ได้ทำงานทำการอะไร ออกภาวนา มีแต่ภาวนาทั้งวัน เว้นแต่หลับเท่านั้น งานการอื่นใดไม่มายุ่งเลย มีแต่ภาวนา จิตมันก็สง่างามขึ้นมา

          นี่แหละที่เราได้ความอัศจรรย์ภายในจิต จากนั้นจิตก็แน่นหนามั่นคงเป็นสมาธิขึ้นมา จากสมาธิเข้าถึงความอัศจรรย์อันนั้น ถอยจากนั้นมาก็มาอยู่สมาธิ เอิบอิ่มในจิตใจตลอด นี่ละทีนี้สิ่งที่เราไม่เคยรู้เคยเห็น การรักษาจึงไม่มีความรอบคอบขอบชิด จิตก็เลยเสื่อมไปได้นะ จากโคราชขึ้นมาอุดร มาทำกลดหลังหนึ่งเท่านั้นละ เราไม่เคยรักษาจิตประเภทนี้ นึกว่ามันจะไม่เสื่อม เราก็ทำกลด ครั้นทำกลดไปแล้วมาภาวนาจิตเข้าได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่ได้เหมือนแต่ก่อน เอ๊ะนี่ชอบกล จิตเราจะเสื่อมแล้ว

          รีบร้อยกลด ทำเสร็จ ดีไม่ดีช่างมันเถอะ เพราะจิตมันกังวลกับเรื่องจิตจะเสื่อม รีบทำเสร็จแล้วก็ออก เอาใหญ่เลย จิตก็เสื่อมลงไปเรื่อยๆ หมด ยังเหลือแต่อีตาบัวเท่านั้น หมดเนื้อหมดตัวก็ว่าได้ ทีนี้ร้อนใหญ่ละทีนี้ พอจิตนั้นได้เสื่อมลงไปแล้วนี้ร้อนใหญ่ เป็นฟืนเป็นไฟเผาในหัวอกตลอดเวลา ทำอย่างไรให้คืนมันก็ไม่คืน เป็นอย่างนั้น ได้ ๑ ปีกับ ๕ เดือน นี่ละตกนรกทั้งเป็น แต่ก่อนภาวนายังไม่เป็นมันก็อยู่ผาสุกสบายนะ แต่ภาวนาเป็นแล้วได้สิ่งที่เราพึงใจ มาครองแล้วแต่กลับเสื่อมลงไปหมดเสีย ทีนี้เหลือแต่ตัว ใจนี้ร้อนที่สุดเลย

          จึงมาพลิกใหม่ คือเรากำหนดจิตเฉยๆ มันเผลอได้ เราทำหน้าที่ภาวนาโดยตรง ซึ่งมีหน้าที่การงานหลายด้านหลายทาง เรามีแต่งานภาวนาอย่างเดียว พอว่าอะไรมันก็เป็นอย่างนั้นได้ ทีนี้ทำให้เกิดสงสัยที่ว่าเรากำหนดจิต พยายามเต็มกำลังความสามารถ ตั้งสติจ่ออยู่กับความรู้ แล้วขึ้น ๑๔-๑๕ วัน เจริญขึ้นไป พอขึ้นไปอยู่ได้สองสามคืนเสื่อมลงพรวดพราดๆ หมด ๆ อย่างนี้เป็นเวลาปีกับห้าเดือน นี่ละเราไม่ลืมนะ เราจึงได้มาตั้งใหม่คิดใหม่ จิตของเราเจริญขึ้นไปแล้วไม่ให้มันเสื่อมมันก็เสื่อมต่อหน้าต่อตา นี้จะเป็นเพราะเหตุใด หรือจะเป็นเพราะเราไม่ได้ใช้คำบริกรรม สติติดแนบกับคำบริกรรม เอาทีนี้ตั้งใหม่ นี่แหละเราคิด

          คราวนี้เอาคำบริกรรมติดกับใจเลย ไม่ยอมให้เผลอ สติติดแนบเลย เอามันจะเผลอแบบไหนให้รู้คราวนี้ นิสัยเราจะจริงจังอยู่มากนะ ว่าอะไรเป็นอันนั้น พอลงใจกับคำบริกรรมนี้แล้วก็เอาละทีนี้ จับติดปุ๊บ คำบริกรรมติดปั๊บ สติติดแนบไม่ยอมให้เผลอ ทั้งวันไม่ให้เผลอเลย ทีนี้มันจะเผลอไปไหน มันจะเสื่อมอย่างไร บังคับไม่ให้มันคิดมันปรุงอะไร จิตมันก็ค่อยสงบๆ ด้วยคำบริกรรม ไม่ปล่อยวางนั้นแหละ จนกระทั่งถึงขั้นมันมีกำลัง

          พอจิตมีกำลังแล้วคำบริกรรมนี้หมดนะ มันเข้าสู่ความสงบ เหลือแต่ความสงบแนบแน่น นึกคำบริกรรมไม่ออก เอ๊นี่เราก็ว่าจะให้จิตอยู่กับคำบริกรรม ทีนี้คำบริกรรมนึกไม่ออกแล้วจะทำอย่างไร ก็มีอันหนึ่งรู้ขึ้นมาว่าเมื่อคำบริกรรมหมดแล้วความรู้ที่เด่นๆ อยู่นั้นไม่หมด ให้เอาสติจับกับความรู้อันนั้นไว้ พอจิตคลี่คลายออกมาแล้ว เราบริกรรมได้ ให้นึกคำบริกรรมติดกับนั้นต่อไป ก็ทำอย่างนั้น มันก็เป็นได้ ครั้นมันอิ่มพอแล้วมันสงบได้นะจิต

          เมื่ออิ่มพอคำบริกรรมแล้วสงบเงียบเลย ปรุงไม่ขึ้น ปรุงไม่มี ความคิดอะไรไม่มี แล้วจิตละเอียดสุดละตรงนั้น ให้สติอยู่กับนั้น พอจิตคลี่คลายออกมาก็เอาคำบริกรรมใส่เข้าไปอีก อย่างนี้เรื่อย จนกระทั่งจิตนี่ขึ้นไปถึงขั้นที่มันจะเสื่อม อ้าวมันจะเสื่อมไปไหนเราปล่อยหมดแล้ว ไม่ว่าจะเสื่อมไม่ว่าจะเจริญอะไรเราไม่เป็นอารมณ์ แต่กับคำบริกรรมนี้จะไม่ปล่อยกันเด็ดขาด นี่ละจับอันนี้ไว้

          พอจิตเจริญขึ้นไป เจริญขึ้นไป เอาปล่อย มันเคยเจริญเคยเสื่อมแล้วห้ามมันไม่ฟัง คราวนี้ไม่ห้าม แต่กับคำว่าพุทโธนี้จะไม่ยอมปล่อย ติดกับพุทโธตลอด พอถึงขั้นมันควรจะเสื่อมปล่อยเลย ไม่เสื่อมนะ พอถึงนั้นแล้วมันก็ก้าวขึ้น ก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ ทีนี้ไม่เสื่อม ด้วยคำบริกรรมนี้ จนกระทั่งได้ทราบชัดอ๋อนี่เราขาดคำบริกรรม สติอาจเผลอไปตรงนี้เอง เพราะฉะนั้นจิตของเราจึงเสื่อมได้ บัดนี้ไมเสื่อม แน่ใจๆ พอมันไม่เสื่อม ก้าวเข้าถึงขั้นแน่นหนามั่นคงทีนี้ก็เร่งใหญ่เลยนะ นั่งหามรุ่งหามค่ำไปเลยละ พอก่อนพรรษานั่งตลอดรุ่งแล้ว ทีนี้จิตไม่เสื่อม

          พอนั่งตลอดรุ่งคืนแรกก็เกิดความอัศจรรย์ขึ้นมา จนกระทั่งมันออกอุทานขึ้นมา คราวนี้ไม่เสื่อม ถึงไม่เสื่อมก็ตามเราเข็ดเรื่องจิตเสื่อมนี้ ถ้าลงเสื่อมคราวนี้แล้วให้ตายเสียดีกว่า อย่าอยู่ในหนักโลกเขาเลย เพราะฉะนั้นถ้าเรายังมีชีวิตจิตอันนี้จะเสื่อมไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงจับติดตลอดกับคำบริกรรม จนกระทั่งถึงนั่งภาวนาตลอดรุ่งได้เลย นั่งอิริยาบถเดียว นั่งขัดสมาธิ ไม่เปลี่ยแปลงวิธีใดท่าใดทั้งหมด ให้นั่งสมาธิ เอาตัวเอง จนกระทั่งเด็ดขาด เว้นให้ข้อเดียว คือเว้นแต่ครูบาอาจารย์หรือพระเณรเกิดอุบัติเหตุภายในวัดในคืนที่เรานั่งภาวนานั้น เราจะลุกจากที่ไปช่วยเหตุการณ์อันนั้น นอกจากนั้นไม่ให้มีข้อแม้เลย จะปวดหนักเอาออกเลย ปวดเบาออกเลย ออกใส่ผ้านี่ให้ออก แต่เรื่องที่จะลุกไปถ่ายนี้ไม่มี

          แต่มันก็ไม่เคยปวดหนักนะ ไม่มี แต่ปวดเบาจะปวดได้อย่างไร เหงื่อมันออก ผ้าจีวรเปียกเหมือนกับเราซัก มันไม่ใช่เหงื่อมันเป็นยางตาย มันออก ฟาดเสียทะลุตลอดรุ่ง จิตเกิดความอัศจรรย์ขึ้นในเวลาจนตรอกจนมุม คือความทุกข์สาหัสที่มันบีบบังคับเรา เรานั่งภาวนาอยู่นี้เป็นเหมือนหัวตอนะ เป็นเหมือนกันกับหัวตอ ทุกขเวทนาที่มันโหมลุกเผาตัวเราที่ไปนั่งหัวตอนี้มันเหมือนไฟเผาหัวตอ นั้นละเวลานั้นเมื่อมันทุกข์มาก ๆ สติปัญญาก็ยิ่งหมุนติ้วๆ เลย เราจะทนทุกข์เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์

          มันทุกข์มากเท่าไร สติปัญญายิ่งหมุนเร็วๆ ตลอด ให้ทันกับเหตุการณ์ สุดท้ายจิตก็ลง ลงได้ผึงเลยทันที นี่ขึ้นอุทานขึ้นมา เอ้อคราวนี้ไม่เสื่อม นั่น มันแน่ใจของมัน ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เสื่อม นั่งตลอดรุ่งก็ฟาดเอาเสียจนเก้าคืนสิบคืน เราไม่ลืม เว้นคืนหนึ่งเว้นสองคืนบ้าง สามคืนบ้าง นั่งตลอดรุ่ง ทีนี้จิตได้ทุกคืน ถ้าลงคืนไหนได้นั่งตลอดรุ่งแล้วไม่มีพลาดที่จะไม่เจอจิตอัศจรรย์ที่มันลงเต็มเหนี่ยวของมัน ได้ทุกคืนๆ นั่นละทีนี้จิตก็ไม่เสื่อมมาตั้งแต่นู้น เรื่อยมาเลย

          นี่การปฏิบัติตัวเองเราปฏิบัติมาอย่างนั้น แต่นิสัยเรามันจริงนะ ว่าอะไรเป็นอันนั้น ไม่ค่อยเหลาะแหละ ถ้าลงว่าอะไรขาดไปเลย ขาดไปเลย เป็นอย่างนั้นละ จากนี้แล้วจิตก็ก้าวเลยละทีนี้ มันจะได้เห็นเรื่องของกิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติของมัน แต่ก่อนไม่เห็น ไม่รู้  ทีนี้พอจิตก้าวขึ้นภาวนาในขั้นฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัตินี้มันก็ทราบกัน พอพิจารณานี้ละเอียดลออ ขั้นร่างกายหมดความหมายแล้ว นั้นละทีนี้เป็นขั้นที่สติปัญญาอัตโนมัติก้าวเดิน ทีนี้ลงได้ก้าวเดินนี้แล้วไม่มีวันมีคืน หมุนติ้วๆ เรียกว่าฆ่ากิเลส สติปัญญาฆ่ากิเลสเป็นลำดับลำดา ไม่มีที่กิเลสตัวใดที่จะโผล่หน้าขึ้นมาให้เห็น มีก็เท่ากับมี ที่จะเพิ่มอีกไม่มี

          ตั้งแต่ระยะนั้นแล้วมีแต่จะค่อยกุดค่อยด้วนลงไป ๆ ที่จะให้กิเลสกิดขึ้นมาใหม่นี้ไม่มี เพราะสติปัญญาขั้นนี้เป็นขั้นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสตลอดเวลา ทีนี้มันก็ย้อนไปคิดได้ว่าเรื่องกิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์เป็นอัตโนมัติมาดั้งเดิม แต่ก่อนไม่มีธรรมข้อนี้เป็นข้อวัดเครื่องเทียบเคียงกันมันก็ไม่รู้ พอถึงขั้นสติปัญญาฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัตินี้มันขึ้นเอง เป็นเอง กลางคืนนอนไม่หลับตลอดรุ่ง จิตหมุนเป็นธรรมจักรฆ่ากิเลสทั้งนั้นๆ ด้วยอำนาจของปัญญาเชี่ยวชาญ กิเลสจะโผล่ขึ้นมาที่ไหนไม่ได้นะ สติปัญญานี้มันรวดเร็ว หมุนติ้วๆ กลางคืนจะนอนมันไม่หลับ เพราะมันทำงานอยู่ภายในหัวใจตลอดเวลา นี่เรียกว่าอัตโนมัติ มันทำงานตลอดเวลา เรานั่งก็ภาวนาอยู่ในนั้นเป็นอัตโนมัติ

          ทีนี้เมื่อมันทำงานของมันไม่หยุดไม่ถอยมันจะหลับได้อย่างไร สุดท้ายก็สว่างขึ้นมา เป็นวันใหม่ขึ้นมาไม่หลับเลย ตื่นเช้าขึ้นมาวันหลังมันก็หมุนของมันตลอด กลางวันมันก็จะไม่นอนอีก นี่ละเรียกว่าธรรมทำงานโดยอัตโนมัติ ท่านทั้งหลายทราบเสีย ในปัจจุบันนี้ก็มีหลวงตาองค์เดียวเป็นผู้นำมาพูดอย่างอาจหาญชาญชัย ตามหลักความจริงไม่มีคลาดเคลื่อนเลย เราดำเนินมาอย่างนี้ พอถึงขั้นสติปัญญาอัตมัติฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติแล้วนี้หมุนตลอดเลย ไม่มียับยั้ง ต้องรั้งเอาไว้ ให้นอนก็ต้องบังคับให้นอน

          การบังคับให้นอนเฉยๆ ไม่ได้ มันหมุนกับกิเลส ฆ่ากิเลสตลอด ต้องเอาพุทโธมาบังคับ บริกรรมพุทโธ ไม่ให้ไปทำงานอันนั้น ทำงานกับทางด้านปัญญา มันรุนแรงนะ ทางด้านปัญญารวดเร็วมาก รุนแรงมาก กำลังมากทีเดียว มันไม่สนใจกับสมาธิเลย  มันหาว่าสมาธินี้ไม่ได้ฆ่ากิเลส มันนอนตายอยู่เฉยๆ ปัญญาต่างหากฆ่ากิเลส มันก็จะหมุนไปทางด้านปัญญา จะไม่พักผ่อนหย่อนตัวได้เลย นี่มันก็จะตาย จึงต้องหักเข้ามาสู่สมาธิ เอาพุทโธบังคับไว้ ไม่ให้เผลอจากพุทโธ ให้ติดกับพุทโธ แล้วจิตก็ลงแน่ว คือทำงานอันเดียวมันก็ลงได้ ถ้าทำงานด้วยสติปัญญานี้มันไม่อันเดียว มันหมุนเป็นธรรมจักร พอหันเข้ามากับพุทโธๆ นี้อยู่อันเดียว ทีนี้จิตก็ลงแน่วเลย

          พอจิตลงสงบเป็นสมาธิแล้วเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามนะ ที่ชุลมุนวุ่นวายด้วยสติปัญญานั้นทีนี้มันสงบตัวเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม บังคับไว้นะ มันแน่วลง ให้อยู่ไม่ให้ออก คือกำลังของปัญญามันรุนแรงมากนะ ถ้าอ่อนมือเมื่อไรมันโดดทางด้านปัญญาทันที จึงต้องบังคับเอาไว้ จนกระทั่งใจของเรามีกำลังพอตัว มีกำลังวังชาเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม เป็นความสุขความสบายเต็มเหนี่ยวแล้วทีนี้ พอลามือเท่านั้นมันจะดีดผึงทางด้านปัญญา และหมุนตลอดอีกเหมือนกัน

          นี่ละเรียกว่าสติปัญญาทำงานฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ แต่ก่อนเราก็ไม่เคยเห็น มาเป็นกับตัวของเราเอง อยู่ที่ไหนฆ่ากิเลสทั้งนั้น ไม่มีคำว่าจะอยู่เฉยๆ ไม่มี หมุนติ้วๆ นี่เรียกว่าธรรมฆ่ากิเลส แต่ก่อนกิเลสฆ่าธรรม ในสัตว์โลกทั้งหลายกิเลสฆ่าธรรม ทำลายธรรมในหัวใจสัตว์โลกให้ได้รับความลำบากลำบน ทีนี้พอบำเพ็ญไปถึงขั้นจะฟัดจะเหวี่ยงกันได้มันก็ออกอย่างว่า ถึงขั้นสติปัญญามีกำลังแล้วฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ ได้รั้งเอาไว้นะ ไม่ใช่ธรรมดาต้องรั้งเอาไว้ รั้งก็รั้งเข้าในสมาธิ รั้งให้หลับนอน จะหลับนอนก็ต้องมีพุทโธ ถ้าไม่มีพุทโธไม่ได้ จิตนี้มันดีดผึงๆ ทางด้านปัญญา มันเพลิน ฆ่ากิเลสนี้เพลิน

          เวลาจะหลับนอนก็ต้องเอาพุทโธมาบังคับ นึกพุทโธๆ ให้อยู่อันเดียวแล้วก็หลับได้ นึกพุทโธๆ ได้ จิตสงบได้นึกพุทโธๆจิตสงบได้ ถ้าไม่นึกพุทโธนี้จะดีดทางด้านปัญญาตลอดเลย คำว่าสติเผลอมันไม่เผลอแหละ เป็นแต่เพียงว่ามันอ่อนลงนิดหนึ่ง สติทางด้านสมาธินี้อ่อนลงนิดหนึ่งมันจะโดดออกทางด้านปัญญา จึงต้องบังคับด้วยสติเอาไว้ให้อยู่กับสมาธิ จนกระทั่งมีกำลังวังชาแล้วค่อยให้ออก นี่ผู้ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังท่านทั้งหลายฟังเสีย ที่ว่าธรรมฆ่ากิเลสสังหารกิเลสโดยอัตโนมัติเป็นอย่างนี้เอง ในความเพียรขั้นนี้แล้วไม่ถอย

          ส่วนกิเลสที่ทำงานบนหัวใจสัตว์เป็นอัตโนมัติของมัน โลกเมื่อได้ยินอย่างนี้แล้วก็จะทราบกัน แต่ก่อนก็ไม่มีใครทราบแหละ พอพูดอย่างนี้แล้วก็จะทราบ ถึงแก้มันไม่ได้ยังไม่สนใจจะแก้ก็พอทราบได้ พอสติปัญญาอัตโนมัติขึ้นแล้ว ทีนี้นิพพานนี้อยู่ชั่วเอื้อมๆ นะ ไม่ได้สนใจกับอะไร คือจะให้หลุดพ้นเดี๋ยวนี้วันนี้เวลาใดก็ได้ในขณะนี้ๆ สดๆ ร้อนๆ ตลอดไป จึงเหมือนกับว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ หวุดหวิดๆ จับผิดจับพลาดอยู่อย่างนั้นน่ะ หลุดไม้หลุดมือแล้วเกาะใหม่หลุดใหม่ เกาะใหม่

          นี่เวลาสติปัญญามันหมุนมันเห็นโทษของวัฏจักร ความเกิดแก่เจ็บตายคือกิเลสตัวนี้เอง ทีนี้เวลาเห็นโทษของมันเสร็จแล้วก็เห็นคุณของสติปัญญาที่จะสังหารมันให้มุดมอดลงไปโดยสิ้นเชิง มันจึงหมุนกันเต็มเหนี่ยวเลย ทีนี้ก็เลยกลายเป็นสติปัญญาหรือว่าธรรมสังหารกิเลสโดยอัตโนมัติ ไม่มีคำว่าหยุดว่าถอย สติปัญญาอัตโนมัติแล้วยังไม่แล้ว ยังเป็นมหาสติมหาปัญญาเกรียงไกรมากทีเดียว คำว่าเผลอไม่ต้องพูด ถึงขั้นนี้แล้วไม่มีคำว่าเผลอ ตื่นนอนพับเป็นสติปัญญาอัตโนมัติฟัดกับกิเลสแล้วอยู่ตลอดเวลา

          ทีนี้เวลามันถึงขั้นนี้แล้วเรื่องกิเลสจะเกิดใหม่นี้ไม่มี มีอยู่แล้วก็ค่อยหมดไปๆ ๆ แต่มีอยู่แล้วค่อยไปมันก็ไม่ขึ้นมาเรื่อยๆ นะ เพราะมันมีกำลังอ่อนมากแล้ว ทางสติปัญญามีกำลังแก่กล้าสามารถ อะไรโผล่ขึ้นมาขาดสะบั้นทันที ขึ้นว่ากิเลสเกิดขึ้นมานี้ไม่ได้นะ ขาดสะบั้นลงไปทันทีทันใด นี่ละมันจึงว่าสดๆ ร้อนๆ พระนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ เห็นโทษเห็นที่สุดทีเดียว การเกิดแก่เจ็บตายมากี่ภพกี่ชาติมันบอกอยู่ในปัจจุบันของจิตนั่นแหละ

          ทีนี้เวลาจะสังหารตัวให้พาเกิดแก่เจ็บตายต่อไปนี้จะไม่ให้มันมีต่อไปอีก จะเอาให้มันขาดสะบั้นลงไปจากใจหมด เพราะฉะนั้นมันจึงเร่งกันอย่างหนัก ผาดโผนโจนทะยานคือความเพียรประเภทนี้แหละ การนอนต้องบังคับให้นอน ไม่บังคับไม่ได้ ลงเดินจงกรมตั้งแต่ฉันเสร็จแล้วไม่รู้เวล่ำเวลานะ นี่ละคือจิตมันไม่ออก มันหมุนอยู่ในหัวอกนี้ละ กิเลสอยู่กับจิต ธรรมะฆ่ากิเลสก็ฆ่าอยู่กับจิต มันหมุนอยู่ภายในหัวอกเรานี้ เวลามันหนักมาก พอไปจริงๆมันเหนื่อยหัวอกนะ อ่อนเพลียเหนื่อยอยู่ในหัวอก

          ทีนี้เราอยากจะพักเข้าสมาธิเพื่อความสงบใจ นี่อันหนึ่ง จากนั้นก็หมุนเลยละ หมุนเรื่อยๆ ฉันเสร็จแล้วไปเดินจงกรมไม่ได้คำนึงคำนวณถึงเวล่ำเวลา อะไรไม่สนใจทั้งนั้น หมุนอยู่ติ้วๆ ตลอด จนกระทั่งจะก้าวขาไม่ออก นานเท่าไร ฟังซิน่ะ จะก้าวขาไม่ออกก็รู้ตัวเองว่าหมดกำลังละเดินจงกรมหมดกำลัง เมื่อยล้าพอแล้ว นี่ถึงรู้ ธาตุขันธ์จะก้าวขาไม่ออกถึงมารู้ แล้วก็พาพักหนึ่ง วันนี้ก็ทำ กลางคืนก็ทำ กลางวันก็ทำ ไม่หยุดไม่ถอยอยู่อย่างนี้ตลอด นี่ละความเพียรมันพาให้หมุนเองนะ

          ที่ว่าความเพียรๆ แต่ก่อนหมดโดยสิ้นเชิง ถ้าว่าเพียรก็เพียรเพื่อความพ้นทุกข์เท่านั้น ที่จะเพียรในประโยคพยายามนี้ไม่มี มีแต่รั้งเอาไว้ๆ มันผาดโผนเกินไป นี่ละถึงขั้นธรรมฆ่ากิเลสฆ่าอย่างนี้ทางภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัตินี่แม่นยำมากทีเดียว ลงได้เป็นกับหัวใจดวงใดแล้วจะไม่เชื่อผู้อื่นผู้ใด นอกจากความรู้ความเห็นที่ประจักษ์อยู่กับตัวเองๆ นี้เป็นความที่เชื่อได้อย่างฝังใจ อย่างอื่นไม่เอามาเป็นอารมณ์ เรียกว่าสนฺทิฏฺฐิโก ประจักษ์อยู่ในหัวใจ รู้เห็นอยู่ในหัวใจ มันหนักเข้าๆ กิเลสค่อยหมดไปๆ ค้นคุ้ยเขี่ยหา คือหมด มันไม่แสดงตัวเฉยๆ เราก็ไม่ได้สำคัญว่ากิเลสหมด เป็นแต่เพียงว่ากิเลสไม่แสดงตัว คุ้ยเขี่ยหาเท่าไรก็ไม่มี เงียบไปหมด

          บางทีมันขึ้นเฉยๆ นะ มันไม่ได้สำคัญ เหอ มันไปไหนหมดกิเลสนี่ มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอนี่ ว่าเฉยๆ ไม่ได้สำคัญ สักเดี๋ยวก็โผล่ขึ้นมาก็ซัดกันอีก ซัดกันอีก จนกระทั่งเข้าถึงรังใหญ่ปจฺจยา ขาดสะบั้นผางลงไป เลยไม่ถามว่าอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ คือสนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดท้ายตัดสินขึ้นมา โลกธาตุไหวโลกธาตุภายในขันธ์ของเรานี่นะ ดินฟ้าอาการเขาก็อยู่ในสภาพของเขา แต่จิตของเราที่มันกระเทือนมากในขณะที่อวิชชาขาดสะบั้นลงไปจากใจ คือวัฏวนพาให้เกิดให้ตายนี้ขาดสะบั้นลงไปจากใจ

          วิวัฏฏะได้แก่แดนพ้นทุกข์โผล่ขึ้นมาในขณะเดียวกัน นี่ละกระเทือนมากทีเดียว ร่างกายนี้ไหวไปเลย จึงเหมือนกับว่าฟ้าดินถล่ม ทีนี้ความรู้ที่ไม่เคยรู้เคยเห็นมันจ้าขึ้นมาโดยไม่คาดไม่คิด ทีนี้อัศจรรย์เกินคาดเกินหมาย น้ำตาพังเลย เป็นเองเพราะความอัศจรรย์ และเห็นโทษของกิเลสนี้ก็เห็นอย่างถึงใจ มันขาดไปแล้วก็ยังเห็นอย่างถึงใจ เห็นคุณค่าของธรรมคือแดนพ้นทุกข์ประจักษ์ใจในเวลานั้นก็ถึงใจ นี่ละที่ว่าน้ำตานี่พังเอง พังลงไปเลยทีเดียว ไม่นอน วันนั้นไม่นอนทั้งคืน มันอัศจรรย์ อัศจรรย์พระพุทธเจ้า-พระสงฆ์สาวกทั้งหลาย เมื่อมันเข้าเป็นอันเดียวกันแล้ว คือธรรมชาติที่บริสุทธิ์นี้มันเป็นอันเดียวกัน เหมือนกับน้ำในมหาสมุทร

          น้ำในมหาสมุทรนี้เวลายังอยู่ในคลองต่างๆ ที่ไหลลง ยังไม่ถึงมหาสมุทร เราก็เรียกว่าน้ำคลองนั้นคลองนี้ พอเข้าไปถึงมหาสมุทรปึ๋งเท่านั้นเป็นมหาสมุทรอันเดียวกันหมดเลย นี้จิตของผู้สร้างบารมีทั้งหลายก็เหมือน สร้างบารมีมาใกล้เข้ามาๆ ยังเรียกเป็นรายบุคคลอยู่ กำลังสร้างบารมี พอจิตเข้าถึงวิมุตติหลุดพ้นผางเท่านั้น นี่เรียกว่ามหาวิมุตติมหานิพพาน แล้วเป็นอันเดียวกันเลย เหมือนกับน้ำที่ไหลลงสู่มหาสมุทร พอถึงมหาสมุทรแล้วเป็นมหาสมุทรอันเดียวกันหมด ว่าน้ำคลองนั้นคลองนี้ไม่มี ลบโดยสิ้นเชิง

          นี้จิตเมื่อเข้าถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วเป็นอันเดียวกันเลย พระพุทธเจ้าถามท่านหาอะไร ถามธรรม-สงฆ์มาเป็นอันเดียวกันแล้ว ถามท่านหาอะไร มันชัดเจนอย่างนั่น นั่นละที่ว่าแดนอัศจรรย์ เราเคยคาดเคยคิดมาแต่เมื่อไร ไม่เคยคาด ความเป็นเองเกิดขึ้นแล้วตัดสินทุกอย่างขาดสะบั้นไปหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ นี่ละท่านว่าสนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอด รู้เห็นความสมบูรณ์พูนผลของตนในขั้นสุดท้าย การปฏิบัติจิตตภาวนา ให้พากันอบรมจิตใจเพื่อจะหักห้ามวัฏวน ที่มันพาคิดพาพาปรุงพาแต่งเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่หยุดไม่ถอย ให้หักห้ามด้วยตจิตตภาวนา

          เอาธรรมเข้ามาทำงานแทน เช่นพุทโธๆ แทนความคิดของกิเลสที่มันพาคิดทั้งวันทั้งคืน แล้วธรรมจะปรากฏขึ้นมาอย่างนี้เรื่อยๆ ไป จนกระทั่งถึงแดนพ้นทุกข์ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าประกาศจ้ามาตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทีแรกจนกระทั่งบัดนี้ ธรรมนี้เป็นอกาลิโก ท้าทายมรรคผลนิพพานอยู่ตลอดเวลาสำหรับผู้สนใจปฏิบัติตาม ไม่ครึไม่ล้าสมัย เป็นธรรมกลางๆ อยู่อย่างนั้น เรียกว่าอกาลิโก ไม่เลือกกาลสถานที่เวล่ำเวลา ไม่ว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอน ทำความพากเพียร ไม่ว่าที่แจ้งที่ลับจะเป็นความเพียร  จะเป็นอรรถเป็นธรรมตลอดไป สุดท้ายก็เป็นมรรคผลนิพพานขึ้นมาจนได้นั่นแหละ

          การทำชั่วก็เหมือนกัน เป็นอกาลิโก การทำชั่วตามกิเลสมันก็เป็นอกาลิโก ทำเมื่อไรเป็นกิเลสเมื่อนั้น เป็นชั่วเมื่อนั้น ตลอด ถ้าทำมากก็พาเจ้าของให้จม ไม่มีคำว่าจะฟื้นได้เลย ถ้าฟื้นเจ้าของด้วยการสร้างคุณงามความดีอย่างนี้จะฟื้นไปเป็นลำดับ แล้วต่อทางไปเรื่อยให้ใกล้เข้าไปต่อมรรคผลนิพพาน สุดท้ายก็เข้าถึงมรรคผลนิพพานได้ด้วยบุญญาภิสมภารของเราที่สร้างอยู่ไม่หยุดไม่ถอย มีมากมีน้อยเหมือนน้ำที่ตกที่ลงจากบนฟ้านั่นแหละ ตกทีละเม็ดๆ ตกไม่หยุดไม่ถอยทำท้องมหาสมุทรให้เต็มด้วยน้ำได้

          การสร้างคุณงามความดีไม่จำเป็นจะต้องได้กอบได้โกยเท่าภูเขามาทานละ มีเท่าไรเราทาน เหมือนฝนทีละหยดละหยาดตกไม่หยุดไม่ถอยมันก็ท่วมเอง อันนี้ความดีงามของเราสร้างอยู่ไม่ถอยมันก็ค่อยเจริญเติบโต สุดท้ายเข้าถึงวิมุตติหลุดพ้นเช่นเดียวกัน ท่านจึงไม่ให้ประมาทบุญ มีมากมีน้อยเป็นของเราทั้งนั้น เช่นอย่างเงินมีใบห้าใบสิบใบร้อยใบพันเป็นของเรา เป็นล้านๆ ก็เป็นของเราทั้งนั้น บวกกันเข้าแล้วเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่เงินห้าเงินสิบไป บวกกันมากมันก็เป็นเงินล้าน เป็นล้านๆ ขึ้นได้เมื่อรวมกันแล้ว

          กองการกุศลของเราที่สร้างมามากน้อยนี้ก็ค่อยบวกเข้าไป วันนั้นวันนี้ทุกวันเป็นขึ้นมา บุญกุศลนี้ละเป็นธรรมชาติที่เราตายใจ พึ่งเป็นพึ่งตายได้โดยแท้จริง ส่วนอื่นมีตั้งแต่กิเลสมันกระซิบกระซาบ หลอกลวงเราให้พาไปทำตามความชอบของมัน แล้วครั้นทำลงไปก็จมลงไป คนเสียได้เพราะกิเลสหลอกลวง คนดีได้เพราะการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นคำสอนที่แม่นยำมาก ไม่มีที่จะคลาดเคลื่อนไปไหน ท่านจึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่ว่าแง่ใดมุมใดชอบทั้งนั้น ไม่มีผิดมีพลาดคือคำสอนของพระพุทธเจ้า

          ให้ปฏิบัติเถอะ เชื่อพระพุทธเจ้าเป็นความดีเป็นมงคลแก่เราตลอดไป ถ้าเชื่อกิเลสตัณหาจะพาให้จม ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้คิดได้อ่านได้นำไปปฏิบัตินะ ร่างกายของเราเวลานี้ก็รู้แล้วว่าเป็นมนุษย์ ดีชั่วเราหมุนไปได้ หมุนไปทางชั่วเป็นชั่วเป็นภัยต่อเรา หมุนไปทางดีก็เป็นสิริมงคลต่อเรา เรารักเรา ไม่มีอะไรที่จะรักเสมอด้วยความรักตน ให้พยายามสิ่งใดที่จะเป็นภัยแก่ตัวของเราให้ปัดออก อยากทำเท่าไรก็อย่าทำ เพราะทำแล้วมันก็เป็นภัยตลอดไป ส่วนที่ดีไม่อยากทำ เชื่อจอมปราชญ์คือศาสดาแล้วให้ทำลงไป มันไม่อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำคือกิเลสมันฝืน เราทำนี่คือเราเดินไปตามธรรม สุดท้ายผลดีก็เป็นของเรา ให้พากันจำ

          วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

          พูดเรื่องภาวนานี้ เรายังไม่เคยปรากฏนะว่าเราสำคัญตนว่าถึงที่นั้นๆ แต่ยังไม่ถึงไม่เคยมี ที่พูดอย่างนี้เพราะมันมีในวงปฏิบัติ พวกวงปฏิบัติด้วยกันมี อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความรอบคอบ ปัญญาสำคัญ สติปัญญาเป็นสำคัญ ถ้านิสัยแบบสุกเอาเผากินมักจะเป็นอรหันต์ดิบขึ้นมา เป็นได้ ยกตัวอย่างอย่างที่ว่า อำเภอภูเวียง พระท่านไปเที่ยวกรรมฐานด้วยกันสามองค์ อยู่ดึกๆภาวนาด้วยกันพอหกทุ่มเสียงนกหวีดดังว้อดๆ ขึ้นมา มันก็ต้องตื่นตกใจซิคนเราอยู่ดึกๆ เสียงนกหวีด ปุ๊บปั๊บลงไป เป็นอะไรๆ

          องค์นั้นก็มาองค์นี้ก็มา วิ่งไปหา เป็นอะไรๆ เป็นอะไรมันสำเร็จแล้ว เป็นอย่างนั้น พระท่านก็งง เอ๊ สำเร็จแล้วเป่านกหวีดหาอะไร ก็เป่าอยากให้หมู่เพื่อนทราบละซิ เพราะมาด้วยกัน อ้างมีเหตุมีผลแต่มันเหตุผลโง่มาจากต้นของมันนั่นแหละ ทีนี้พระสององค์ท่านก็เลยไปสนทนาคุยกัน วิพากวิจารณ์มันเป็นอย่างไรพระองค์นี้ เอ๊ะอะสำเร็จก็เป่านกหวีดขึ้นมา มันอะไรกันน้า คอยฟังไป

          พอดีคืนหลัง หกทุ่มอีกละเสียงนกหวีดว้อดขึ้นอีก เอาอีกแล้วสำเร็จไปไหน พระท่านก็อยากมาบ้างไม่อยากมาบ้าง มันหมดกำลังใจ มันมีแบบหนึ่ง พอมา เป็นอะไรไปถึงไหนแล้ว จะไปถึงไหนมันไม่สำเร็จ ไม่สำเร็จเป่าอะไร ก็เมื่อคืนนี้สำเร็จเป่า อันนี้ไม่สำเร็จก็ต้องเป่าละซิ หมดท่าเลย สำหรับเราเราพูดจริงๆ เราไม่เคยมี ที่ว่ามันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมา ว่าเฉยๆ ไม่ได้สำคัญนะ คือเวลาคุ้ยเขี่ยหากิเลสเหมือนว่าหมดจริงๆ แต่จิตนี้มันยังไม่ได้ลงใจ เพราะงั้นจึงว่าเหอ กิเลสมันไปไหนหมด ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ มันนึกในใจเฉยๆ มันไม่ได้สำคัญตนนะ สักเดี๋ยวก็โผล่ขึ้นมาก็ซัดกันเลย บทเวลามันถึงที่ของมันแล้วไม่เห็นถามอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ ฟ้าดินถล่มอยู่ในนี้ ขาดสะบั้นลงไป ผางขึ้นมาเท่านั้นพอ ก็ไม่เห็นมีสำคัญอะไรเลย

          มันทำให้สำคัญได้ละ เพราะกิเลสมันละเอียด แต่สำหรับเราเราพูดจริงๆ เราไม่เคยมี ละเอียดขนาดไหนติดตามมันเจอ แล้วมันก็โผล่ขึ้นมาให้เห็นจนได้ เพราะเรายังไม่ไว้ใจ ถ้าไว้ใจคือสำคัญตนแล้ว อันนี้ไม่เคย ไม่เคยสำคัญตน ภาคปฏิบัติเรามักมีอยู่เสมอ พวกที่อยู่วงกรรมฐานด้วยกันมันถึงทราบเรื่องกันได้ดี มี สำคัญมีได้ เรานี้มันไม่เคยมีทั้งนั้นละ จะพูดว่าไม่เหนือสติปัญญาไปได้ก็ไม่ผิด สติปัญญาจะต้องจับกันตลอดเลย มันจะละเอียดขนาดไหนตามกันจนได้ อย่างที่ว่าค้นหาที่ไหนก็ไม่เจอ มันว่างไปหมดเลย เหอ มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยขึ้นมาแล้วเหรอ ว่าเฉยๆ นะ ยังไม่ได้สำคัญตนนะ สักเดี๋ยวก็คุ้ยเขี่ยไม่ถอย เดี๋ยวก็เจอ เจอขึ้นมาก็ฟัดกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย เลยไม่ถามถึงอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ มันแน่แล้วนั้น ถามหาอะไร

          เวลานี้พระเรานักปฏิบัติผู้ทรงมรรคทรงผล เฉพาะอย่างยิ่งวงกรรมฐานสายพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นยังมีอยู่ไม่น้อยนะ ให้ท่านทั้งหลายทราบเสีย ท่านรู้เงียบๆ อยู่ภายในของท่าน ในวงกรรมฐานท่านทราบกันได้ดี คืออันนี้เป็นธรรมะครัวเรือน เหมือนอย่างพ่อแม่กับลูกคุยกันในครัวเรือน ไม่ได้ออกนอกครัวเรือน ในวงครัวเรือนรู้กัน อันนี้ในวงกรรมฐานนี่เป็นเหมือนวงครัวเรือน เรารู้กัน องค์ไหนเป็นอย่างไรๆ นี้รู้กัน แต่รู้อยู่ภายใน ไม่พูดออกข้างนอกเฉยเลย ภายในของท่านรู้กัน องค์ไหนเป็นอย่างไรๆ รู้ เพราะฉะนั้นจึงรวมความได้เลยว่า วงกรรมฐานสายพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น หากทราบกันโดยภายในที่เกี่ยวข้องกันอยู่เสมอ

          นี่ละถ้ายังมีผู้ปฏิบัติดีอยู่ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีอยู่มรรคผลนิพพานก็ถูกเปิดขึ้นมา ปกคลุมสระน้ำใหญ่ๆ น้ำที่ใสสะอาดไว้ และถูกจอกถูกแหนปกคลุม มองไปไม่เห็นน้ำ ใครก็เห็นแต่ผิวเผิน แต่จอกแต่แหนว่าสระนี้ไม่มีน้ำ เวลาผู้ภาคปฏิบัติก็คือผู้ไปเปิดจอกเปิดแหนออก พอเปิดออกไปแล้วตักมาอาบดื่มใช้สอยเป็นอย่างไรรู้ทันที จากนั้นแล้วแม้จอกแหนเข้ามาปิดตามเดิม ความเชื่อที่ฝังลึกว่าน้ำมีในสระนี้ไม่มีถอน อย่างพระโสดานี่ละที่ว่าตกกระแส ถึงท่านยังมีกิเลสก็ตาม แล้วมีแต่พยายามบุกเบิกเรื่อยๆ

          จนกระทั่งออก เอาจอกแหนออกจากสระ หมดโดยสิ้นเชิง เปิดจ้าขึ้นมามีแต่น้ำที่สะอาด อมตมหานิพพานอยู่ในหัวใจซึ่งเทียบกับสระนั่นเอง สระใหญ่เต็มไปด้วยน้ำ คือน้ำอรรถน้ำธรรม กิเลสที่เป็นจอกเป็นแหนถูกเอาออกหมด เปิดออกหมด ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติอยู่เรื่องมรรผลนิพพานไม่ต้องถาม ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศท้าทายไว้แล้ว พุทธศาสนาคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน ขอให้ปฏิบัติเถอะ ว่าอย่างนั้นเลย แน่นอน

          พระพุทธเจ้าไม่เคยโกหกโลก ตรัสรู้ขึ้นมา จ้าขึ้นมาแล้ว สอนธรรมก็จ้าแบบเดียวกัน สอนให้ตรงแน่วต่อมรรคต่อผล ผู้ปฏิบัติให้ตรงตามสายทางเดินที่ทรงสอนไว้ด้วยความแม่นยำแล้วจะรู้จะเห็นไปตามๆ กัน ไม่ปฏิบัติไม่สนใจละซิ มิหนำซ้ำเอากิเลสตัณหาเข้าไปพอกพูนปิดหมด ว่ามรรคผลนิพพานไม่มี บาปบุญนรกสวรรค์ไม่มีไปเลย ปิดไปหมด ตาบอด ผู้ตาดีเห็นไว้หมดแล้ว พระพุทธเจ้าทุกพระองค์องค์ไหนที่ไม่เห็นบาปบุญนรกสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เปรตผี เห็นเหมือนกันหมด นี่คือผู้ตาดี พวกตาบอดของสัตว์โลกทั้งหลายตาบอดไปหมด ลบหมด ไม่มี แล้วก็โดนเอาๆ พระพุทธเจ้าท่านไม่โดน ผิดถูกดีชั่วสอนไว้ตามหลักความจริง ใครจะเอาก็เอา ไม่เอาก็กรรมของสัตว์เท่านั้นเอง มันก็มีเท่านั้น

          วันที่ ๑๓ ธันวา ทองคำที่หลอมแล้ว ๑๙๐ กิโล ทองคำที่ยังไม่ได้หลอม ๔ กิโล ๖๔ บาท ๗๘ สตางค์ รวมทองคำที่หลอมแล้วและยังไม่ได้หลอม เป็น ๑๙๔ กิโล ๖๔ บาท ๗๘ สตางค์ ถ้ารวมกับ ๓๗ กิโลครึ่งที่มอบแล้วนั้น ก็เป็น ๒๓๒ กิโล ๓๑ บาท ๘๗ สตางค์

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 

 

 

 

 

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 

 

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก