ฝั่งกิเลส ฝั่งธรรม
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2544 เวลา 8:00 น. ความยาว 44.37 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :
 

                                                             เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๔

ฝั่งกิเลส ฝั่งธรรม

          นกยูงตัวนั้นต่อไปมันก็จะเชื่องเอง ค่อยคุ้นกับคนไปเอง เพราะไปที่ไหนก็เจอแต่พระ ๆ พระก็แบบเดียวกัน ๆ เขาก็ค่อยเชื่องเข้า ๆ เหมือนอย่างงูจงอางที่อยู่นี่ เราเรียกมันไอ้ขี้ดื้องูจงอางตัวนั้น ตั้งแต่เราเริ่มมาสร้างวัดมันตัวเท่านี้ อยู่ที่หน้าศาลา เราเริ่มสร้างวัด แล้วก็สร้างศาลาเล็กพอเป็นที่ฉันของพระที่หน้าศาลาอีก แล้วงูจงอางตัวนั้นมันมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น เจอบ่อย เราอยู่กุฏิแต่เป็นกระต๊อบ เวลาเข้าออกก็เจอเขาเรื่อย ๆ อยู่ที่บริเวณศาลา เราพูดกับมันว่านี่ไอ้ขี้ดื้อมึงอย่าไปป้วนเปี้ยนข้างนอกนะ เดี๋ยวเขาฆ่านะ มึงมาอยู่กับพระนี่ลักษณะมึงขี้ดื้อนะ พูดเล่นกับมัน มึงไม่กลัวพระนะนี่ แล้วออกไปนี้ไม่กลัวฆราวาสแล้วเขาฆ่ามึงนะ

ตั้งแต่นั้นมาเราก็กำชับกับพระเลยในวัดนี้นะ บอกว่างูตัวนี้มันเชื่องมากนะ เวลาเจอมันแล้ว ธรรมดาไม่ว่าฆราวาสไม่ว่าพระเห็นงูต้องถือเป็นข้าศึก ถือเป็นพิษใช่ไหมล่ะ นี่เราเตือนพระ บอกว่างูตัวนี้อย่าไปหยอกไปเล่นกับเขานะ เขาจะป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ ห้ามไม่ให้หยอกให้เล่นกับเขา ใครเจอที่ไหนก็ให้ผ่านไป เจอที่ไหนผ่านไป เหมือนไม่รู้ไม่ชี้ แล้วเขาจะเชื่อง ทีนี้เวลาเขาอยู่กับพระนี่ ไปเจอพระองค์ไหนก็แบบเดียวกัน คือไม่ให้หยอกให้เล่น เพราะสัตว์เหล่านี้จะไม่ถือว่าหยอกว่าเล่นนะ จะถือว่าจริงจังกับเขาทั้งนั้น กิริยาที่แสดงออกเล่นนี้เขาจะไม่ถือว่าเล่น เขาถือว่าจริงจังกับเขา แล้วเขาอาจทำลายเราได้ เราบอกอย่างนี้ บอกแบบเดียวกันหมด ไปเจอนี้ให้ผ่านไปเสีย ๆ แล้ววันหนึ่ง ๆ เจอพระไม่รู้กี่องค์ ผ่านไปผ่านมา เจอแต่งูตัวเดียว จนโต ขนาดนี้นะ

ตั้งแต่ปี ๕๑๖ เราเจอเขามาตัวขนาดนี้ สร้างวัดทีแรกนั้น เป็นเวลา ๑๘ ปีงูตัวนี้ กับพระไม่มีอะไรเลยนะ งูจงอางนี่ชอบกับสนิทกับคนง่ายมากกว่างูชนิดอื่น ๆ ไปอยู่ที่ไหนเหมือนกัน ชอบเชื่องกับคน ไม่ได้ถือสีถือสา ไม่อวดฤทธิ์อวดเดชนะ งูจงอางตัวนี้เห็นได้ชัดเลย ในครัวไฟนี่เวลาพระท่านมานั่งฉันน้ำร้อนตอนบ่าย ๆ เขามาเขาเข้าวงเลยนะ พระนั่งฉันนี้เขาเข้ามาในวงนี้ เฉยเลย อย่างมากพระก็ทักเขา มึงมาอะไรไอ้ขี้ดื้อ มึงอยากกินน้ำร้อนเหรอ แล้วเขาก็ไปของเขาเรื่อย เฉยนะ เฉย ไปที่ไหนก็แบบเดียวกัน เพราะฉะนั้นจึงว่างูจงอางนี้ชอบเชื่องกับคนง่ายมาก ตัวไหนลักษณะเดียวกันอยู่ในนี้ เชื่องง่ายมากทีเดียว แต่งูอื่น ๆ เราไม่ค่อยรู้จักไม่คุ้นกับมันนัก แต่งูจงอางนี้คุ้น อย่างไอ้ขี้ดื้อเราตั้งชื่อให้มัน

กุฏิเราก็เหมือนกันเขาไป จะเหยียบหัวเขาก็มีบางที นี่หน้ากุฏิเรา มันเป็นป่าหญ้า เขาไปอยู่ป่าหญ้า กระแตร้องจ๊อก ๆ คือกระแตทักเขา เขาอยู่นี่ เราเดินไปหากระแต จะไปหยอกเล่นกระแต มึงร้องอะไรเราว่างั้น งูอยู่ที่นี่ เราเดินซุ่มซ่าม ๆ ไปจนจะเหยียบหัวมัน เขาก็ถอยหนีเสีย พอไปเหยียบปุ๊บอย่างนี้นะเขาถอย อู๊ย ไอ้ขี้ดื้อมึงมาทำไมที่นี่ อย่างนั้นละ เฉย เชื่องง่าย แต่น่าเสียดายมันเอานิสัยวัดไปใช้ซี ตอนนั้นยังไม่ได้ทำกำแพง มันเข้าออก ทางโน้นก็เป็นป่า ทางนี้ก็เป็นป่าวัดเรา มันเข้าออก ๆ ผ่านไปผ่านมาตลอด เขาถือว่าเป็นทางเดินทางท่องเที่ยวของเขา แล้วออกไปอยู่กลางทาง พอดีเขามานั้น เขามามันไม่กลัวเขานี่ มันเอานิสัยวัดไปใช้ เขาเอาปืนยิงเลยตาย งูตัวนี้นะ ตายปี ๕๑๖ วันที่ ๑ เราไม่ได้ลืมนะ

เขามาบอก โอ๊ย ไอ้ขี้ดื้อหลวงตาคงจะตายแล้วแหละ ทำไมว่างั้น มันตายยังไง ก็เมื่อวานนี้เขายิงงูตัวหนึ่งตายอยู่ตะวันตก งูจงอาง คงจะเป็นไอ้ขี้ดื้อหลวงตา ตัวขนาดไหน เขาก็บอก โอ๊ย แล้วละ ตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งป่านนี้ไม่เห็นเลย เลยตาย อยู่ตะวันตกวัดนี่ มันมีทางสายหนึ่งไปนั้นเขาไปมาของเขา มันเข้าออก ๆ มานี้ขวางทาง พอดีเขามาเจอ มันไม่หนีล่ะซี มันเอานิสัยวัดไปใช้ มันอยู่ที่ไหนมันก็อยู่ พระก็ผ่านไปผ่านมา ทีนี้เวลาไปขวางทางนั้นเขาก็ยิงเอาเลย โฮ้ น่าสงสารนะ เชื่องมากงูตัวนี้ แล้วมีบ่อยนะมีลักษณะอย่างเดียวกัน งูจงอางจึงรู้สึกว่าเชื่องกับคนสนิทกับคนได้ง่ายมากนะ ตัวไหนมีลักษณะอย่างเดียวกันหมด

มีเยอะนะงูในวัดนี้ แต่ก่อนเราไม่ได้สนใจจะจับมัน คือปล่อยให้อยู่ของเขา เขาก็เป็นของเขา เราก็เป็นของเราเรื่อย ๆ ทีนี้คนเข้าออก ๆ มากเข้า ๆ มันเลยทำให้คิด อย่างเด็กเล็กเด็กน้อยอย่างนี้ คนเฒ่าคนแก่ แล้วไปเจอเข้าจะไปหยอกไปเล่นเขาอะไร ต่อไปเขาอาจกัดเอาได้ เลยต้องได้จับนะ จับไปปล่อยในภูเขานู่น งูจงอางที่เราพอระลึกได้ประมาณ ๖-๗ ตัว จงอางนี่จับได้มากอยู่ พวกสามเหลี่ยมมีน้อย งูเห่ามีน้อย จับออกจากวัดนี้นะมันเป็นพิษเป็นภัย เพราะคนมากเข้า ๆ ได้ระวังยากนะ ถ้ามีแต่พระแต่เณรไม่มีปัญหาอะไรแหละ ทีนี้คนเข้าออก ๆ ซิ อย่างเดี๋ยวนี้ก็ดูเอาซิคนเป็นยังไง นี่ละเลยได้ต้องจับเอาพวกงูนี้ออก กลัวจะเป็นอันตรายต่อคนจำนวนมาก ซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวไปหยอกไปเล่นบ้าง ส่วนมากเราไป สัตว์ต้องเห็นเราก่อนใช่ไหมล่ะ เราเผลอเดี๋ยวมันฉกปั๊บเลย ตาย

นี่พูดถึงเรื่องนกยูง แล้วก็มาหางู ในวัดนี้นกยูงไม่มี อะไรที่จะเอามาเลี้ยงที่จะรักษาไว้นี้เราต้องพิจารณาก่อน เช่น งูนี้ก็เกี่ยวกับคน จึงต้องจับงูหนี ไม่งั้นก็ปล่อยให้อยู่นี้เลย มันไม่เป็นไรละกับพระกับคนธรรมดาเราในวัดนะ แต่มันจะเป็นกับคนภายนอก ต้องเอาไปปล่อย งูนี้มีหลายชนิดในวัดที่ไปปล่อยนะ งูเหลือม เท่าที่จำได้ไม่มากนักประมาณสี่ห้าตัว คำว่าสี่ห้าตัวไม่ได้หมายถึงว่าเขาอยู่ในวัดนี่นะ เขาอยู่ที่อื่น เช่นเขตวัดอยู่นี้ ในนี้เป็นป่าเป็นดง ถึงเวลาเขาไปมาเขาเข้าออก ๆ กับวัดกับข้างนอกนะ เขาไม่ได้ถือว่านี้เป็นวัด นั้นเป็นนั่นนะ ทำเลหากินเขา งูเหลือมนี้เราเอาไปปล่อยเรื่อย เขาเข้ามากินหนูในวัดนี่ คือทำร้านเล็ก ๆ เอาข้าวมาวางไว้ แล้วงูเหลือมมันแอบคอยเวลาหนูมากินข้าว เขาจะกินหนูตอนนั้นละ

พระท่านเดินจงกรมท่านภาวนาท่านเห็นอยู่ ท่านก็เลยนัดกัน ถ้าวันไหนเขามาท่านก็ไปบอกกันเอาบ่วงมาคล้องเอาไปปล่อย ไปปล่อยวัดถ้ำกลองเพลส่วนมากนะ ถ้ำกลองเพลมีงู เพราะแต่ก่อนงูเยอะอยู่นะ เราเอานี้ไปปล่อย ก่อนปล่อยก็ต้องไปถามสมภารวัดเสียก่อน ถ้าท่านเห็นดีด้วยก็ปล่อย ไม่เห็นดีด้วยก็เอาไปปล่อยในภูเขาเลย พวกสามเหลี่ยมไม่มาก งูเห่านี่ก็มากพอสมควรนะ เท่าที่ในวัดนี้เอาออกไปปล่อย งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูเห่างูจงอางมาก สามเหลี่ยมไม่มาก นกยูงถ้าอยู่ในนี้เขาก็คงจะไม่ไปไหนแหละ เขาอยู่ในวัด ต่อไปเขาก็รู้เพราะเขาคุ้นกับพระทางวัดนู้นแล้ว เขารู้จักกับพระอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นหลบจากนั้นเขาจึงมาอยู่ที่นี่ เขาก็หลบ ๆ ซ่อน ๆ

ข้าวเขาก็จะเริ่มรวมตั้งแต่บัดนี้ต่อไปทางหน้าวัด หลังจากนี้แล้วเราก็จะไปเทศน์ที่ อ.หนองหาน อันนี้เขาทำบุญข้าวเปลือกเหมือนกัน เราก็ไปเทศน์ให้เขาฉลองศรัทธาเขา เขามีใจเลื่อมใสศรัทธามานิมนต์เราไปเทศน์ทำบุญข้าวเปลือก วันนี้จึงไป เทศน์แล้วก็กลับมา ดังที่เคยพูดแล้วเขาคงจะคิดถึงบุญคุณของเราที่ไปช่วยเขาก็ได้ อย่างว่านั่นแหละ เพราะเขต อ.หนองหาน เราได้ช่วยมากนะ พวกโรงเรียนก็หลายหลัง โรงพยาบาล เครื่องไม้เครื่องมือช่วยมาก เขาอาจจะคิดถึงบุญถึงคุณเขาเลยนิมนต์เราไปเทศน์ เราก็ไปให้เมื่อมีโอกาสว่างพอสมควร

ทางศรีสะเกษยังไม่ได้พูดกับพระนะ ดูว่าสั่งกับพระไว้ว่า ให้กำหนดเวล่ำเวลาสมควรที่จะไปได้เมื่อไรแล้ว เอาข้อสะดวกข้อตกลงกันนั้นมาให้เราทราบอีกทีหนึ่ง พอเราทราบเป็นที่ตกลงแล้วก็บอกไปทางศรีสะเกษเขา เวลานี้ยังไม่ได้กำหนดวันให้ เขาให้กำหนดวันเอง จดหมายผู้ว่าแหละมา อันนี้เรายังไม่ได้กำหนด เพราะเวลานี้เราไม่เหมือนแต่ก่อนไม่ใช่ใครนิมนต์ที่ไหนเราก็ไป ตามที่เราเคยบอกไว้แล้ว แล้วแต่จะสะดวกเราเมื่อไร พอไปได้เราก็รับให้ ไม่ได้รับทุก ๆ รายไปนะ เราไม่สะดวกเราก็ไม่ไป

วันนี้คนก็มาก เมื่อวานนี้ก็มาก ที่นี่นะ วันนี้มาก วันพรุ่งนี้ยิ่งมากใหญ่ วันพรุ่งนี้จะทำพิธีหน้าวัดเลย เราชุ่มเย็นเราเป็นลูกชาวพุทธ ทั้งได้กินทั้งได้ทานได้ใช้สอย ได้ให้ทาน ๆ แยกภายนอกแยกภายใน ได้กินก็เพื่อร่างกายของเรา ได้ทานเพื่อบุญกุศลหล่อเลี้ยงจิตใจบำรุงจิตใจ ส่งเสริมจิตใจ อุ้มชูจิตใจเรา จึงว่าแบ่งกินก็เพื่อธาตุเพื่อขันธ์ความเป็นอยู่ แบ่งทานเพื่อหัวใจเจ้าของโดยตรง นี่ถูกต้องแล้ว ขอให้ทุกคนจงแบ่งเป็นสองส่วนทุกคนนะ

หลักพุทธศาสนาเป็นหลักที่ตายตัวแม่นยำ เป็นแบบฉบับมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้วไม่มีข้ออะไรที่ว่าบกพร่องหรือหลอกลวงสัตวโลกไม่มีเลยในพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ แน่อันเดียวกันหมด จึงเคยพูดให้ฟังว่า นี้ฝั่งแห่งธรรม คือพระพุทธเจ้าเป็นผู้อบรมสั่งสอนทางฝั่งนี้ นี้ฝั่งของกิเลส กิเลสมันเสี้ยมสอนสัตวโลกทางฝั่งนี้ ธรรมสั่งสอนสัตวโลกทางฝั่งนี้เพื่อดึงขึ้นฉุดลากขึ้นจากกองทุกข์มากน้อย จนกระทั่งถึงพ้นจากทุกข์โดยลำดับ ด้วยอำนาจของธรรมในฝั่งนี้ทั้งนั้น ฝั่งกิเลสนี้มีแต่ดึงลง ๆ ดึงลงมากน้อยดึงลงตลอด ที่จะดึงขึ้นไม่มีกิเลสตัวใด นั่นฟังซิน่ะ ที่จะแหวกแนวจำพวกกิเลสด้วยกันมาดึงสัตวโลกให้ได้ขึ้นจากทุกข์ไม่มี ทีนี้ธรรมก็แบบเดียวกันอีก ธรรมมีอยู่ในแขนงใดในพระพุทธเจ้าพระองค์ใดที่จะสอนสัตวโลกเพื่อความล่มจมอย่างนี้ไม่มี มีแต่ขึ้นด้วยกันทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นทั้งสองฝั่งนี้จึงมีมาดั้งเดิมตลอดมาและจะมีต่อไป คือฝั่งกิเลสซึ่งเป็นเครื่องฉุดลากสัตวโลกให้จมลงในกองทุกข์ ความเกิดแก่เจ็บตาย ความทุกข์ความทรมานจะอยู่ฝั่งนี้ฝั่งกิเลส กิเลสมันฉุดมันลาก ล่อลวงก็ล่อลวงเพื่อความฉุดลากนั้นเอง กิเลสไม่มีคำว่าจริง มีแต่คำว่าหลอกลวงล้วน ๆ ปลอมล้วน ๆ ว่างั้นเลย พูดได้เลยว่า ฝั่งนี้เป็นฝั่งปลอมล้วน ๆ ฝั่งกิเลสเป็นฝั่งปลอมล้วน ๆ ฝั่งธรรมเป็นฝั่งจริงล้วน ๆ สวนทางกันร้อยเปอร์เซ็นต์ ธรรมนี้ไม่มีคำว่าหลอกลวง ว่าอะไรเป็นอันนั้น จริงตามนั้น ๆ กิเลสว่าอะไรไม่มีจริง หลอกทั้งนั้น ๆ จึงเรียกว่ากิเลส คือความมัวหมอง ความเป็นภัย มันฝังอยู่ในจิตใจ

กิเลสตัวนี้มันฝังอยู่ในจิตใจมากี่กับกี่กัลป์ มันอยู่ในนี้ ธรรมก็อยู่ด้วยกัน มีฟัดมีเหวี่ยงกันอยู่อย่างนั้น ธรรมกับกิเลสฟัดเหวี่ยงกันในหัวใจ เอาหัวใจเป็นเวที มีมาอย่างนั้น ทีนี้ผู้บำเพ็ญธรรม ธรรมมีกำลังขึ้นทางนี้ ๆ ถ้าผู้ทำตั้งแต่ความชั่วช้าลามก ความชั่วช้าลามกขึ้นด้านนี้ก็เหยียบย่ำทำลายจิตใจ ผู้บำเพ็ญธรรมความดีงามหนุนจิตใจ ใจดวงนี้จึงเป็นเหมือนฟุตบอลนั่นแหละ กลิ้งไปกลิ้งมาคือถูกกิเลสเตะ ธรรมฉุดไว้กิเลสเตะหลุดมือไป ออกจากนี้ไปจะถึงครัวไม่ถึงครัวก็ไม่ทราบ กิเลสจะเตะให้หลุดมือไปหลับครอก ๆ ทั้ง ๆ ที่หิวข้าว นอนพักเสียก่อนค่อยกินก็ได้ มันเตะหลุดมือแล้วนะ สำรับหลุดแตกกระจัดกระจายขอบสระ กิเลสมันเตะหลุดมือ

ที่พูดเหล่านี้นะ พูดตามหลักความจริงที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงรู้ทรงเห็นทั้งฝ่ายกิเลสและฝ่ายธรรมเต็มพระทัยมาแล้วมาสอนโลก ลำดับที่สองก็พระสาวก รู้ลำดับลำดารองกันลงมากับพระพุทธเจ้า รู้อันดับหนึ่งคือพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ อันดับสองคือสาวกอรหันต์ท่าน รู้ตามลำดับ เรียกว่าภูมิของพระพุทธเจ้า ภูมิของพระอรหันต์ นี้โอ่งใหญ่ นี้โอ่งเล็ก เต็มด้วยกัน โอ่งเล็กเต็มโอ่งเล็ก น้ำเต็มโอ่งเล็ก โอ่งใหญ่น้ำเต็มโอ่งใหญ่

พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นกว้างขวางลึกซึ้งมากทีเดียว พระสาวกทั้งหลายรู้เต็มโอ่งเล็กของท่านนั่นแหละ ทั้งสองออกมายกขึ้นกึ๊กนี้น้ำเต็มโอ่งเหมือนกัน โอ่งใหญ่นี่ก็น้ำเต็มโอ่งเหมือนกัน จึงยืนยันได้ด้วยกัน ไม่ว่าโอ่งไหนออกมาน้ำเต็มโอ่งด้วยกัน นี่ธรรมพระพุทธเจ้าที่บรรจุในใจของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่าน เหมือนกับน้ำเต็มโอ่งเล็กโอ่งใหญ่นั้นแหละ การแสดงธรรมทั้งหลายพระพุทธเจ้าพระอรหันต์จึงไม่ผิด คือท่านถอดออกจากน้ำโอ่งใหญ่น้ำโอ่งเล็กของท่าน ออกมาก็เป็นน้ำเข้าใจไหม อันนั้นออกมาจากโอ่งใหญ่ก็เป็นน้ำ อันนี้ออกมาจากโอ่งเล็กก็เป็นน้ำ น้ำสะอาดแบบเดียวกัน เป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้นบรรดาพุทธบริษัททั้งหลายที่ได้ฟังอรรถฟังธรรม จึงซึ้งถึงใจ ๆ ในครั้งพุทธกาล บรรลุมรรคผลนิพพานจำนวนมากมายก็เพราะมีแต่ธรรมของจริงออก ๆ ไม่มีปลอม ครั้นต่อมาภาชนะคือใจนี้มีกิเลส ก็มีความปลอมอยู่นั้น เจ้าของก็ผิด ๆ พลาด ๆ สอนคนอื่นก็ผิด ๆ พลาด ๆ ไม่แน่ อย่างพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านถูกต้องแม่นยำ ออกมาคำไหนแม่นยำ ๆ หมด การเทศนาว่าการจึงได้ผลมากยิ่งกว่าธรรมดา ผู้สิ้นกิเลสกับผู้ที่มืดดำกำตาสอนธรรมนี้ผิดกันมากทีเดียว

นี่ละที่พูดให้เป็นที่ตายใจก็คือว่า ทั้งสองฝั่งนี้ ฝั่งนี้เป็นฝั่งธรรม ฝั่งนี้เป็นฝั่งกิเลส มันขนานกันตลอดอย่างนี้ แต่สำหรับธรรมนั้นมีผู้มาฟื้นฟูขึ้น จึงมีมากมีน้อยมีขึ้นมีลง ส่วนกิเลสนั้นขึ้นลงก็ขึ้นลงอยู่กับ เมื่อเวลาธรรมมีมากสั่งสอนสัตวโลก ชะล้างสัตวโลก กิเลสก็ยุบลง ๆ  ถ้าไม่มีผู้นำธรรมมา เหมือนกับน้ำดับไฟไม่มาดับไฟ ไฟมันก็ลุกเผาไหม้ไปเรื่อย ๆ ยิ่งไม่มีน้ำด้วยแล้วก็มีแต่ไฟเท่านั้น โอ๋ย เผาแหลกเลย นี่ระยะที่ไม่มีศาสนา ธรรมนั้นมีแต่ไม่มีผู้หยิบยกขึ้นมาทำประโยชน์ ก็เท่ากับธรรมไม่มี เหมือนแร่ธาตุต่าง ๆ เที่ยวเดินเหยียบย่ำไปมานี่ แร่ธาตุนั้นมีแต่ไม่มีผู้ใดขุดค้นขึ้นมาทำประโยชน์ ก็เท่ากับว่าแร่ธาตุไม่มี ความจริงมี อย่างนั้นแหละ

ธรรมจึงมีมาเป็นสมัย ๆ จากผู้รู้ผู้ฉลาดค้นพบธรรมคือพระพุทธเจ้า ลำดับสองก็พระอรหันต์ ธรรมจึงมีมาในระยะนี้มาก ๆ เป็นน้ำดับไฟ โลกก็ค่อยสงบร่มเย็น ทีนี้พออันนี้เบาลง ๆ ทางนี้ก็ขึ้น ไฟคือกิเลสก็ขึ้น มันเป็นวรรคเป็นตอน ท่านแสดงไว้ตามลำดับลำดาแล้วไม่ผิดเพี้ยนด้วยนะ ตรงแน่ว ๆ เลย นี่เรียกว่าสองฝั่ง ให้พากันเข้าใจเอาไว้ ทีนี้ผลที่จะได้ก็เสมอกันทั้งสองฝั่ง ใครทำดีเมื่อไรได้ดีเมื่อนั้นตลอดไป ใครทำชั่วเมื่อไรด้วยอำนาจของกิเลสก็เป็นชั่วไปเรื่อย ๆ อย่างนี้เสมอกัน จึงไม่มีคำว่าศาสนาครึ ศาสนาล้าสมัย มันล้าที่คนผู้นับถือศาสนาต่างหาก ถ้าคนไม่นับถือ ศาสนาก็มีอยู่นั้นแหละแต่ไม่นำมาใช้ ศาสนาก็ไม่เป็นประโยชน์แก่โลก ก็มีเท่านั้นเอง ความมี-มี ธรรมมี แต่ผู้ไม่สามารถนำมาใช้ก็เท่ากับธรรมไม่มี เหยียบย่ำไปมาอยู่อย่างนั้นแหละ

ที่พูดนี้ก็พูดเข้ามา ๆ ย่นเข้ามาถึงหลวงตาเองที่เทศน์สอนพี่น้องทั้งหลาย เราไม่เคยสงสัยในธรรมทั้งหลายที่นำมาเทศน์นะ ไม่ว่าจะธรรมขั้นใด ๆ ถอดออกมาจากหัวใจเทศน์ตลอด ใครเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นกรรมของสัตว์ก็มีเท่านั้น พระพุทธเจ้าสอนแบบเดียวกัน พระอรหันต์สอนก็แบบเดียวกัน ขึ้นกับสัตวโลกที่จะมีความเชื่อความเคารพเลื่อมใส หยิบยกเอาธรรมนั้นมาพยุงจูงใจตนเองให้ไปทางที่ดีก็เป็นไปตลอด ผู้ที่ไม่ยอมเชื่อ กิเลสมันคอยจะฉุดลากอยู่แล้ว มันก็ต้องไปทางกิเลสโดยตรง พอไม่เชื่อเท่านั้นขึ้นแล้วนั่น กิเลสเอาไปแล้ว กิเลสเอาไปกินแล้ว ไม่ใช่ไม่เชื่อไม่เกิดผล ผลกิเลสจะรอรับตลอดเวลาที่จะลากลง เราจึงต้องได้ระมัดระวัง

นี่เราเกิดในท่ามกลางพุทธศาสนา เรียกว่าเลิศแล้วนะ มนุษย์เหมือนกันที่ไม่มีพุทธศาสนาอันเป็นธรรมแม่นยำนี้มีมากเวลานี้ ตั้งแต่เรามีศาสนาอยู่ก็ยังเลอะ ๆ เทอะ ๆ ไปมากมายก่ายกอง ยิ่งผู้ไม่มีศาสนาด้วยแล้วไม่รู้ว่าบุญว่าบาปเป็นยังไง อันนี้ละหัวชนฝาไปเลยไม่ได้รอ ทุกข์ทรมาน แล้วฝั่งฝาก็ไม่มี เขตแดนก็ไม่มี เกิดด้นเกิดเดาด้วยอำนาจแห่งกรรมชั่วที่เจ้าของทำอยู่ตลอด มันไหลไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นละ นี่เราเกิดในท่ามกลางพุทธศาสนานี้นับว่าเลิศเลอมากนะ ขอให้นำศาสนานี้เอาไปต่อสู้กับข้าศึกศัตรูตัวขี้เกียจขี้คร้าน ตัวท้อแท้อ่อนแอ ตัวตระหนี่ถี่เหนียว เหล่านี้มีแต่กิเลสทั้งนั้นนะ

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้พาใครไปสวรรค์นิพพาน ที่กล่าวนี้ คือเป็นเรื่องโทษทั้งนั้น เป็นสมบัติของกิเลสแต่มาเป็นภัยต่อสัตวโลกผู้เชื่อตามมัน ถ้าตรงกันข้ามเป็นผู้มีความเชื่อตามหลักความจริง ธรรมสอนตามหลักความจริง เชื่อตามหลักความจริง เชื่อบุญเชื่อทานเชื่อการกุศล ขนความสุขความเจริญบุญกุศลเข้าสู่ใจ ผู้นี้ไปได้โดยลำดับ ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย กาลนั้นเวลานี้ไม่มี ขึ้นอยู่กับผู้ทำ ทำดีเป็นดี ทำชั่วเป็นชั่ว นี้คือแบบตายตัว ขอให้พากันจำไว้ทุกคน เสมอกันตลอด ขึ้นอยู่กับผู้ทำเท่านั้นเอง ผู้ทำจะหนักไปทางไหนผลก็หนักไปทางนั้น ทางชั่วก็เป็นผลชั่วขึ้นมา ทางดีเป็นผลดีขึ้นมา มากน้อยตามการกระทำของผู้ทำทั้งหลายนั่นแหละ

เราก็ได้ถามหาลิง ใครเห็นลิงไหม อยู่ทางด้านโน้นเห็นลิงไหม นี้ไม่ได้พบลิงนานแล้วนะ มันเคยมาอยู่เรื่อย ๆ ทางจงกรมเรานี่ ตั้งแต่เรากลับมาจากกรุงเทพนี้ยังไม่เห็นพบลิงเลย เลยถามพระเมื่อวานนี้ พระว่าดูว่ายังมีอยู่ยังเห็นอยู่มีลิงตัวหนึ่ง  แต่ความจริงเขาว่ามี ๒ ตัวตัวหนึ่งมันมักจะออกมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ไปกรุงเทพมาตั้งแต่วันที่ ๘ จนกระทั่งวันนี้ ๘ เดือนกว่า จนกระทั่งป่านนี้ยังไม่เจอลิงเลยนะ แต่ก่อนเขาจะมาเรื่อย ๆ มาที่ทางจงกรมเรา บางทีก็มาหน้ากุฏิ เวลามาเขามาเวลาเงียบจะเป็นตอนเช้าก็ตาม ตอนบ่ายตอนค่ำก็ตาม เขาจะมาเวลาเงียบ ๆ เจอกันอยู่เรื่อย ๆ อยู่ ตั้งแต่กลับจากกรุงเทพมาแล้วไม่เห็นเลย จึงถามพระ พระบอกว่ายังเห็นอยู่ เขาอาจจะอยู่ทางแถวนู้นก็ได้ บางทีเขาก็ไปทางครัว เพราะฉะนั้นทางครัวเราจึงได้ถาม เป็นไงได้เห็นไหม (เดือนที่แล้วเห็นตัวเดียวมันมากินกล้วยค่ะ)

คือ เรื่องอาหารเขาไม่อดแหละพวกลิงนี่นะ เขาไม่อดเพราะอาหารเราใส่ตามร้าน ๆ ทั่วไปหมดทั้งวัด พวกกระรอกกระแตเขามากินนั้น ไอ้นี่มันก็มากินกับเขา เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ให้มันออกมาเพ่นพ่าน เพราะอาหารมันก็มีแล้วไปเพ่นพ่านหาอะไร มาหาเราจึงไม่ได้ ใส่กันเปรี้ยงป้าง โหย เผ่นเลย โธ้ หัวโล้น ๆ ไม่ใช่เล่นนะ คงว่างั้นนะ มันใช่เล่นอะไรหัวโล้น ๆ แต่ขนแกยังไม่เห็นเล่นนี่นะ ฉันเล่นไม่ได้ฉันหัวโล้น ฉันก็ฟัดเลยละซี นี่ตอบกันเข้าใจไหม บางทีเราเปรี้ยงป้างใส่เขานี้เขาก็โดด โธ้ หัวโล้น ๆ ไม่ใช่ของเล่นคงว่างั้น กูจะเล่นได้ไงตั้งแต่มึงหัวขนมึงยังทะลึ่งนี่นะ กูหัวโล้นกูก็ฟัดมึงมั่งล่ะซี ถึงหัวโล้นกูก็มีหัวนี่นะ นั่นฟัดกันตรงนั้นซี เขาจึงไม่ค่อยมาเล่นกับเรา คือเราเล่นกับเขาแหละ ทีนี้เขาไม่รู้ว่าเราเล่นกับเขา เขากลัวจริง ๆ มาเราคึกคักใส่นี่นะ เขาถึงบอกหัวโล้น ๆ ไม่ใช่เล่น ๆ คงว่างั้น ไม่เล่นแหละให้มึงยกโคตรมึงมาถ้ามึงอยากตายทั้งโคตร เข้าใจไหมล่ะเพราะฉะนั้นเขาถึงไม่มา มีตัวเดียวไม่มีโคตรมาละ มีลิงตัวเดียว

เทศน์นี้อัดเทปไว้นู้น ออกจากนี้ก็ออกทางวิทยุอุดร ๘ สถานีแล้วก็จะออกทางกรุงเทพ อันดับที่สามก็ออกอินเตอร์เน็ตทั่วโลกเลย แต่ทีนี้การพูดของเรา เราไม่ได้คำนึงว่ามีเทปมีอินเตอร์เน็ต เราก็พูดตามภาษาของเราอย่างนี้ เขาคงจะได้ยินกันทั่วประเทศทั่วโลกละนะภาษาหลวงตาบัว อย่างที่พูดตะกี้นี้ว่าเล่นกับลิงเข้าใจไหม ปุ๊บปั๊บใส่มันนี้มันก็โดดผึง โธ้ หัวโล้น ๆ ไม่ใช่เล่นนะ มันก็คงคิดอย่างนั้น ทางนี้เราก็ตอบมันไป หัวโล้นไม่ใช่เล่น มึงหัวขนมึงไม่เห็นเล่นนี่นะเข้าใจไหม อย่างนี้ก็ติด(เทป) ก็ออก(วิทยุ)

เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๒ บาท ๓๐ สตางค์ ดอลลาร์ ๑๑๒ ดอลล์ ได้ทุกวันนั่นแหละ ได้มากได้น้อยได้ไปทุกวัน ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ ทองคำที่ต้องการมอบเข้าคลังหลวงคราวนี้อย่างน้อย ๔ พันกิโล รวมทองคำทั้งหมดทั้งที่หลอมและไม่หลอมได้ ๒,๓๐๒ กิโลครึ่งนะเวลานี้ นี่เรากะไว้ว่าอย่างน้อยต้องให้ได้ ๔ พันกิโล อันนี้เป็นพื้นฐานเลยลดไม่ได้ อันนี้เรียกว่าเด็ดขาด ค่อยก้าวไป ๆ หลังจากนั้นก็มีเพิ่มที่เราจะต่อยอดด้วยเงิน ๘๐๖ ล้านนั้นต่อยอดทั้งหมด ไม่ได้มานับเข้าในอวัยวะคือ ๔ พันกิโลนี้ เราไม่นับเข้าในนี้ อันนี้เอาจากเนื้อหนังของพี่น้องชาวไทยเรา ใครมีเนื้อหนังมีมากมีน้อยเราจะไปตัดไปเอาตามอวัยวะของคน สมมุติว่ามือมี ๑๐ นิ้วคนหนึ่งเราจะไปแบ่งเอา ๕ นิ้วตัดเอาเลยนะ ขามี ๒ ขาเราตัดอีกขาหนึ่งเอามาเลย ๆ มาปั้นเป็นเนื้อเป็นหนังของทองคำ ๔ พันกิโลเข้าใจไหม เอาหมด

ใครให้ระวังให้ดี ถ้าใครเสียดายพวกแข้งพวกขามืออยู่แล้วให้เอาทองคำมาแลก ไม่งั้นขาขาดมือขาดจะว่าไม่บอก นี่เราเตือนไว้ก่อนแล้วนะนี่อันหนึ่ง แล้วพอรวมเป็น ๔ พันกิโลนี้เราเรียกว่าเป็นอวัยวะแล้ว ทีนี้ ๘๐๖ ล้านนั้นจับต่อยอดจะไปซื้อทองคำ แล้วก็มาต่อยอด อันนี้เป็นตนเป็นตัว อันนั้นเป็นยอด ก็คิดว่าคงไม่ต่ำกว่า ๖ พันกิโลแหละเป็นอย่างน้อย ที่เรายังไม่ซื้อเวลานี้เราก็ยังพิจารณาเรื่องดอลลาร์กับเงินไทยเราที่มันเทียบกันฟัดเหวี่ยงกันอยู่เวลานี้ คือจะไม่ให้มันต่ำสูงเกินไป กะระยะพอนั้นแล้วเราก็จะซื้อทองคำ ถ้าหากว่าค่าเงินบาทเรามันจะลดลงเราก็รีบซื้อเสีย นี่เรากะไว้อย่างนั้น ทีนี้ก็คอยรอฟังคำเตือนจากบรรดาลูกศิษย์ด้วย ว่าสมควรที่จะเอาเงินนี้ซื้อทองคำเมื่อไร เราพร้อมเสมอที่จะปฏิบัติตามนั้น เพราะกำหนดตายตัวไว้แล้วว่าเงินจำนวนนี้ต้องเข้าทองคำทั้งนั้น

หลังจากนั้นเราก็กะไว้อีกเหมือนกัน เช่นทองคำที่นอกจากนี้ไปเป็นเงินสดก้ำกึ่งกัน คือพร้อมที่จะออกตามความจำเป็นทั่วประเทศไทยนี้อันหนึ่ง อันหนึ่งพร้อมที่หมุนเข้ามาสู่ทองคำอีก เงินที่ว่าประมาณสัก ๕๐ ล้านนี่ เรากะประมาณเอาไว้ประมาณ ๕๐ ล้าน เงินจำนวนนี้จึงเป็นเงินก้ำกึ่งไม่แน่นัก แต่ยังไงก็ตามต้องอยู่ในการพิจารณาของเรา ความหนักแน่นของการพิจารณาของเรานี้หนักแน่นทางทองคำมากอยู่ตลอดมานะ แต่เมื่ออย่างอื่นจำเป็นเราจึงทำให้เป็นก้ำกึ่งเอาไว้ พอแยกทางนี้ได้เราก็แยกไป ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็เข้าทางนี้อย่างนี้แหละให้พี่น้องทั้งหลายทราบตามนี้

(ลูกศิษย์ถวายเงินเนื่องในงานทำบุญข้าวเปลือก) อันไหนที่เป็นเงินมาแล้วเราไม่ไปซื้อข้าวละนะ ถ้าเข้ามาหาเราแล้ว เราบอกตรง ๆ ถ้ายังไม่เข้าใครจะไปซื้ออะไรเราไม่ว่า ถ้ามาเข้ามือเราแล้วเป็นไม่ออก เงินเท่าไรมาเราเข้าเป็นเงินไปเลย ไม่จำเป็นต้องหาเงา ได้ตัวแล้วเอาเลย ก็มีสองอย่างเลือกเอาก็แล้วกัน หลักความจริงก็คือว่า เราทำบุญประทายข้าว ได้ข้าวมาแล้วเขาขายเป็นเงินเข้ามาช่วยชาติ  งานประทายข้าวนี้มีเงินแทรกเข้ามาเราก็เอาเป็นเงินสดเลย เข้าอีกเหมือนกัน ไม่ต้องไปหาซื้อข้าว ให้พากันจำเอาไว้นะ วันนี้ก็คงเทศน์เท่านั้นละนะ เพราะพอเทศน์กัณฑ์เทศน์มาเรื่อย ๆ ผู้เทศน์ก็เทศน์เพื่อกัณฑ์เทศน์ เมื่อเห็นกัณฑ์เทศน์มาแล้วจำเป็นอะไรจะต้องเทศน์ล่ะ ก็เหมือนข้าวเปลือกนั่นแหละเข้าใจไหม

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก