เทศน์อบรมฆราวาส ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
รสชาติจากธรรม
ทุกวันนี้แก่มันไม่เหมือนแต่ก่อน หนาวธรรมดามันก็เป็นหนาวมาก เป็นอย่างนั้นละ คือธาตุขันธ์มันอ่อนลงทุกอย่าง เป็นอะไรนิดหน่อยก็เป็นมากขึ้นมา ตั้งแต่ยังหนุ่มยังน้อยนี้ โถ มันหนาวจริงๆ เหล่านี้ตกกระหมด ตามเนื้อตามตัวตามแขน หนาวขนาดนั้นแหละ แต่เรื่องผ้าห่มเราไม่เอา จะหนาวขนาดไหนก็สู้มันด้วยผ้าสองผืน คือสังฆาฏิพับครึ่ง กับจีวรพับครึ่ง ให้เท่านั้นเอง จะหนาวขนาดไหนนอนไม่ได้ก็ไม่นอน ที่จะให้หาผ้าห่มมาเพิ่มไม่เลย จนกระทั่งพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านรู้ได้ยังไงไม่รู้นะ อย่างนั้นละพ่อแม่ครูจารย์มั่นทำกับเราอดคิดไม่ได้ทุกอย่าง ท่านทำอะไรกับเรานะ เราถามพระองค์อื่นก็บอกว่าไม่เห็นท่านทำ แต่กับเรานี้ท่านทำอยู่เสมอ ให้ได้คิดตลอดเวลา
หนาวๆ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเราไม่เอา ดัดอยู่ตลอดดัดเจ้าของ ใครมีผ้าห่มเท่าไรไม่สนใจ เอาสามผืนเท่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนไม่เอาผ้าห่ม ดัดกันอยู่ในนั้นตลอดเลย จนพ่อแม่ครูจารย์เอาผ้าห่มของท่านไปบังสุกุลให้เรา เลยได้ห่มนะ อย่างนั้นละ ท่านทราบได้ยังไงว่าเราไม่มีผ้าห่ม นั่นละเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่นทุกอย่างแหลมคมมากทีเดียว เราทำอะไรเงียบๆ ของเราไม่ให้ใครทราบ ท่านทราบจนได้ตลอดเรื่องของเราทำ เช่นการขบฉัน บิณฑบาตมาได้เท่าไรเอาเท่านั้น หยิบใส่บาตรนิดหน่อยแล้วพอ จับบาตรซุกเข้าไปข้างฝา เอาฝาบาตรปิด แล้วเอาผ้าอาบน้ำปิดอีกทีหนึ่ง จัดข้างๆ เจ้าของนั่ง จากนั้นก็มาจัดอาหารถวายท่าน
สำหรับใครตามมาถวายอะไรเราไม่เคยสนใจ ปฏิบัติอย่างนั้นตลอดมา ในวัดนั้นเลยกลายเป็นมีเราองค์เดียว แต่ไม่พูดให้ใครรู้นะทำตัวเองอย่างนั้น พระเณรเต็มวัดก็ไม่เห็นทำ ก็มีทำเราองค์เดียว ทำอย่างเงียบๆ ไม่ให้ใครทราบ ท่านทราบจนได้ อย่างนั้นแหละ เวลาเสร็จแล้วเราก็ไปเอาบาตรออกมาปั๊บ มีอะไรก็ฉันเท่านั้นพอ แล้วท่านทราบได้ยังไง อยู่ๆ ท่านเอาของในบาตรของท่านที่เราจัดให้เรียบร้อยแล้วนั้น จัดถวายท่านไว้ อะไรที่ถูกกับธาตุกับขันธ์ของท่าน เราเป็นคนจัดเรียบร้อยๆ แล้วอยู่ๆ ก็ปั๊บมาเลย บทเวลาท่านจะทำมองไม่ทัน
เวลาสงบเงียบจะเตรียมฉันกัน อยู่ๆ ท่านเอาของจากบาตรท่านปุ๊บปั๊บมา ขอใส่บาตรหน่อยท่านมหา บางทีท่านก็บอกว่าศรัทธามาสายๆ ว่าแล้วปุ๊บถึงเลย ถ้าท่านทำอย่างนั้นเราก็ต้องฉันทุกครั้ง คนอื่น โหย ไม่ได้ มาแตะของเราไม่ได้ แต่พ่อแม่ครูจารย์เพราะความเคารพ ท่านทำเสมอแต่นานๆ ท่านทำทีหนึ่ง ท่านไม่ได้ทำซ้ำๆ ซากๆ อะไรนัก นานๆ ทำทีหนึ่ง เราทำอย่างนั้นของเรามาตลอด ไม่สนใจกับอะไร อาหารการขบฉันก็ไม่สนใจ ได้มาเท่าไรก็เท่านั้นพอ จัดนิดๆ หน่อยๆ ใส่บาตรฉัน ฉันก็ไม่เคยอิ่มนะ อยู่หนองผือฉันประมาณสัก ๖๐% ถือเป็นประจำของเราที่ไปอยู่กับท่านเป็นอย่างนั้น
ถ้าเราไปโดยลำพังเราแล้วยิ่งดัดใหญ่เลย อยากฉันก็ฉัน ไม่อยากฉันก็ไม่ฉัน กี่วันก็แล้ว มันจะเป็นจะตายจริงๆ ก็ออกไปบิณฑบาตเสียวันหนึ่ง พออยู่ได้แล้วก็อยู่ไปเลย เราไปคนเดียวเป็นแต่อย่างนั้น ส่วนมากไม่ค่อยฉัน มันจะตายจริงๆ ถึงจะไปฉันให้มัน มีแต่หยุดทั้งนั้นอาหาร เพราะเวลาเราอดอาหารกับเวลาฉันปรกตินี้ ทางด้านจิตใจเกี่ยวกับเรื่องการภาวนาต่างกันมาก ธาตุขันธ์อ่อนเพลียเท่าไรก็ตาม แต่จิตใจมันดีดขึ้นๆ เรามุ่งต่อธรรมต่างหาก เราไม่ได้มุ่งต่อปากต่อท้องอะไร อันนี้ฉันเมื่อไรก็ได้ กำลังของธาตุขันธ์มาอย่างรวดเร็ว แต่กำลังของจิตใจนี้มาช้ามาก ต้องได้พยุงทางด้านจิตใจมากกว่าทางด้านธาตุด้านขันธ์ของเรา
อดอาหารผ่อนอาหารมากเท่าไร สติยิ่งดีๆ ความเพียรยิ่งเด่น เห็นชัดๆ ทางด้านจิตใจ ทีนี้พอมาฉันจังหันเข้าไปแล้ว มันมีลักษณะผิดๆ พลาดๆ มันต่างกัน พออดอาหารลงไปแม่นยำๆ สติก็แม่นยำ ทุกอย่างจับติดๆ มันต่างกัน พอมาฉันจังหันแล้วมันจะมีส่วนลดของมันให้เห็น ถ้าฉันติดๆ กันไปมันก็ลดของมันให้เห็นชัดๆ ทีนี้เราไม่ต้องการลดลงไปซี ต้องดัดทางด้านร่างกาย มีกำลังวังชามันไม่ดี สติก็ไม่ค่อยดี การหลับการนอนมักจะนอนมาก ถ้าอดอาหารนอนน้อยมากทีเดียว ถ้าฉันจังหันนอนมาก ดีไม่ดีความขี้เกียจแทรกเข้าไปอีก ก็เลยกลายเป็นขี้เกียจมากเข้าไป ดัดเอาไว้ๆ ตลอด อยู่ด้วยความอดอยากขาดแคลนตลอดเลย ทางธาตุขันธ์นี้เรียกว่าอย่างนั้นละ อดอยากขาดแคลนตลอด
แต่ไม่ใช่ของไม่มีนะ มันเป็นอยู่กับเราดัดเราเอง มีมากมีน้อยไม่สนใจ จะสนใจเฉพาะที่จะนำมาเยียวยาธาตุขันธ์ให้พอเป็นไป เพื่อความพากเพียรจะได้มีกำลังมากขึ้นเท่านั้น นักภาวนาต้องเป็นนักสังเกตตัวเอง พระกรรมฐานที่ออกเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริงๆ แล้วจะต้องได้สังเกตตัวเอง ไม่สังเกตตัวเองไม่ได้ผลเท่าที่ควร ต้องได้สังเกตเจ้าของตลอดเวลา ถือใจเป็นสำคัญ จิตตภาวนาเป็นยังไงๆ ฉันจังหัน ฉันมากฉันน้อยเป็นยังไง สังเกตอยู่อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นไม่ได้ มันจะมีแต่ทางธาตุขันธ์มันก้าว ก้าวไปก็เหยียบธรรม บังคับทางธาตุทางขันธ์ไว้ให้ทางจิตตภาวนาก้าวเดิน แล้วจิตใจก็เห็นชัดๆ ไปเรื่อย
อดอาหารยิ่งหลายวันสติไม่เผลอเลย ตั้งได้ทั้งวันเลย จะแย็บไปเผลอโน้นเผลอนี้ไม่ได้ นี่ละดีอย่างนี้ เวลาอดอาหารสติดี ตั้งติดๆ เลย จิตใจก็สงบได้ง่าย สงบไปเท่าไรก็ยิ่งผ่องใสยิ่งเย็นยิ่งสง่างามเข้าไป เห็นประจักษ์ในหัวใจของเราเอง ทีนี้เราก็ต้องพยุงทางด้านจิตใจให้มากยิ่งกว่าธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์นี่พอเป็นไปเท่านั้นพอ ไม่ให้มากกว่านั้นมันจะไปทับทางด้านจิตใจ จึงว่าเหมือนตกนรกทั้งเป็น ผู้ตั้งใจอรรถธรรมจริงๆ แล้วเหมือนอย่างนั้น สำหรับเราเองเป็นอย่างนั้นตลอดมา มาหาพ่อแม่ครูจารย์ทีไรนี้มีแต่หนังห่อกระดูกมา ท่านก็รู้ชัดเจนแล้วนั่น คือออกไปมีแต่ฟัดกันตลอดเลยไม่มีถอย กลับมาหาท่านทีไรนี้ ระยะนั้นอายุ ๓๐ สามสิบกว่า มันก็แข็งแรงขึงขังตึงตัง แต่เวลามาหาท่านไม่เป็นอย่างนั้น เหมือนคนแก่อายุเจ็ดสิบแปดสิบ มาหาท่านทีไรเป็นอย่างนั้นตลอด ท่านก็รู้ละซิว่าเอาจริงเอาจัง
เวลาอยู่กับท่านไม่ฉันไม่ได้ละ มันเกี่ยวข้องกับหมู่กับเพื่อนพระเณรเต็มวัดเต็มวา อยู่ในความสอดส่องดูแลของเราทั้งนั้น เพื่อท่านจะอยู่ได้สะดวกสบาย ไม่ไปรบกวนท่านให้ระเกะระกะทางสายหูสายตาท่าน พระเณรก็ให้เรียบร้อยตลอด นี่ละที่ฉันเพราะเหตุนี้เอง แต่ไม่ฉันให้อิ่ม ฉันเพียง ๖๐% ฉันทุกวันไม่เคยอดนะอยู่หนองผือ อยู่กับท่านไม่ว่าอยู่ที่ใดถ้าอยู่กับท่านแล้วไม่อด แต่ฉันเพียงเท่านั้น ลดลงๆ พอเป็นไป ถ้าอดนี้งานการทั้งหลายก็มี มันไม่ได้สนุกทุ่มลงทางความพากเพียร ต้องแบ่งนู้นแบ่งนี้คอยสอดส่องดูแลพระเณรเพื่อความสะดวกสบายของท่าน เพราะเราไปหาท่านเราไปเองนี่นะ จะไปให้ท่านลำบากลำบนกับเราอะไร ซึ่งไม่ใช่เรื่องควรจะลำบากด้วย เพราะฉะนั้นเราจึงต้องได้สอดส่องดูแลพระเณร
พระเณรนี่ถ้าพูดถึงเรื่องความกลัวนี้กลัวเรามากนะ พ่อแม่ครูจารย์มั่นเป็นอันดับหนึ่ง กลัวเราเป็นอันดับสอง ส่วนมากกลัวเรานี้จะกลัวอยู่เรื่อยๆ เพราะเรากับพระเณรมันคลุกเคล้ากันอยู่ ส่วนกับท่านนานๆ จะได้พบ ความกลัวก็ไม่มากนัก กับเรามันสอดนั้นสอดนี้อยู่ทั้งวัน มันสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่นั้นละ องค์ไหนไม่ดียังไงเตือนๆ ที่ควรเด็ดก็เด็ดไปเลย เป็นอย่างนั้น ด้วยเหตุนี้เองพระเณรจึงกลัวเรา เราเอาจริงเอาจังทุกอย่าง เราไม่ได้ทำเหลาะๆ แหละๆ กับพระกับเณรจึงต้องกลัวเรา
อาหารก็ฉันเพียงเท่านั้นละ ถ้าฉันมากกว่านั้นมันก็ไม่คุ้มค่ากัน ฉันเพียงพออยู่ได้เท่านั้นเอาละพอ ไม่เคยอดอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เพราะงานการเกี่ยวข้องกับหมู่กับเพื่อนมีอยู่ตลอด คอยสอดคอยส่องดูแลความเรียบร้อยของพระเณรไม่ให้ระเกะระกะ ถ้าเราอยู่ที่นั่นเป็นอย่างนั้น พระเณรเรียบไปเลย เราคอยดูแล ทีนี้มันก็หนัก หนักมากอยู่นะ อยู่กับหมู่กับเพื่อนคอยสอดส่องดูแลหมู่เพื่อนให้ตั้งอยู่ในความสงบงามตา ไม่ให้ระเกะระกะสายหูสายตาและจิตใจท่าน เราต้องได้สอดส่องตลอดเวลา ทีนี้มันก็ลำบาก ความเพียรของเราก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตอนออกไปมันจึงได้ฟัดกันเต็มเหนี่ยวเลย
ออกไปก็ออกไปองค์เดียวดังที่เคยเล่าให้ฟังนั่นแหละ ไม่ได้เอาใครไปด้วยมันกังวล เป็นน้ำไหลบ่า สององค์ก็แทรก มันต้องคิด ความรับผิดชอบกันลึกๆ มีอยู่ในนั้นแหละ ยิ่งสามองค์แล้วก็เป็นน้ำไหลบ่า ไม่เป็นท่าละ นั่น ถ้าองค์เดียวสละเลย อยากกินไม่กิน เป็นตายอะไรก็แล้วแต่เถอะ มันจะตายจริงๆ เราก็รู้เรานี่นะ นั่นละเอาขนาดนั้น ทีนี้ความเพียรก็ก้าวๆ เข้าเรื่อย เวลาจะมาหาพ่อแม่ครูจารย์นี้ มันดูดดื่มทางความเพียร ถ้าพูดภาษาโลกเขาเรียกว่ามันยังไม่อยากมา เพราะเร่งความเพียร มันดูดดื่มทางความเพียรมาก จะไม่มาก็ได้แต่มันไม่สะดวกสบายใจ ท่านก็คงจะเป็นห่วงเกี่ยวข้องกับพระกับเณรอาจระเกะระกะให้ท่านได้เห็น
เพราะฉะนั้นเวลาเราจะไปไหนอย่างนี้ กราบเรียนท่าน ดูอาการของท่าน ท่านไม่อยากให้ไปนะ แต่ท่านเห็นประโยชน์ส่วนใหญ่ของเราคือจิตตภาวนา ท่านจึงให้ไป เวลากราบเรียนก็เผดียง ไม่ใช่จะกราบเรียนลาไปทีเดียว เผดียงเรียนถามท่านเรื่องการงานในวัดมีอะไรบ้างๆ ถ้ามีเราก็จะจัดจะทำไปเรียบร้อยแล้วเราค่อยไป ถ้าท่านว่าไม่มีอะไร ถ้าว่าอย่างนั้นแล้ว ถ้าไม่มีอะไรก็คิดอยากจะออกประกอบความเพียรสักชั่วระยะ บอกว่าชั่วระยะนะ ท่านก็นิ่ง เราคอยฟัง จากนั้นไปแล้วถ้าท่านเห็นสมควรเมื่อไรท่านจะบอกทีหลัง เราเผดียงเพียงเท่านั้น พอเห็นสมควรแล้วท่านจะบอกเมื่อไร ท่านก็บอกมา เออ ท่านมหาอยากไปเที่ยวก็ไปได้ละ ท่านว่าอย่างนั้น
พอท่านว่าอย่างนั้นแล้วเรียกว่าท่านอนุญาตแล้วที่นี่ จะไปก็ได้ จะไปอย่างผลีผลามนี่ โหย ไม่ได้เราเคารพท่านมากที่สุด เพียงเผดียงท่าน ถ้าท่านเห็นสมควรแล้วท่านก็จะบอกเอง ถ้าท่านไม่เห็นสมควรเราก็นิ่งเลย เฉยไปเลย พอท่านพูดอย่างนั้น แล้วท่านก็มีถาม จะไปทางไหนล่ะ คราวนี้คิดว่าจะไปทางนั้นๆ ทางไหนท่านก็เห็นหมดแล้ว ท่านรู้หมด เอ้อ ทางนั้นดีนะ ท่านว่า แล้วจะไปกี่องค์ล่ะ เราก็กราบเรียนตามตรง ไปองค์เดียว นี่ละท่านขึ้นตรงนี้นะ
พอเราว่าจะไปองค์เดียว เอ้อ ท่านมหาต้องไปองค์เดียวนะ ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ส่ายมือไปตามพระที่นั่งฟัง ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านมหาจะไปองค์เดียว แล้วใครจะไปยุ่งก็ร่มโพธิ์ร่มไทรใหญ่อยู่นั้น เราก็ไม่เคยสนใจกับใครว่าจะไปหรือไม่ไป เรามุ่งแต่เราคนเดียว ที่ออกจากท่านไปมุ่งคนเดียว จะเร่งความเพียรให้เต็มสติกำลังความสามารถของเราโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ออกไปก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้เหลาะแหละนะนี่ เวลาขากลับมาหาท่าน ถึงกาลเวลากลับมานี้เหมือนคนแก่อายุได้ ๘๐ ปี หนังห่อกระดูกเท่านั้น เนื้อนี่ไปไหนหมดก็ไม่รู้ มีแต่หนังห่อกระดูกกลับมา ท่านมองดูท่านก็รู้
เราก็มาเป็นระยะๆ ไป แต่เรื่องความเป็นห่วงท่านก็ห่วง สำหรับท่านก็เป็นห่วงไม่อยากให้เราไป ดูแลพระเณรสะดวกสบายท่านก็สบาย เวลาเราไปนี้อาจจะมีละเรื่องพระเรื่องเณรองค์ใดองค์หนึ่ง ไประเกะระกะให้ขวางหูขวางตาท่าน นี่ละที่เราเป็นห่วงพระเณรเกี่ยวกับเรื่องจะไปรบกวนท่านแบบต่างๆ ที่ไม่มีเจตนา แต่เป็นความเซ่อพาให้เป็น อย่างนั้นเป็นได้นะ
พอไปแล้วก็เอาละ เอาให้สุดกำลังเลย ถ้าลงได้ไปแล้วไม่ได้ถอย เพราะฉะนั้นจึงไม่ให้ใครไปด้วยเลย อยู่คนเดียว อยากฉันเมื่อไรก็ฉัน ไม่อยากฉันก็อยู่เลย เพราะคนเดียว จะอยู่กี่วันก็แล้วแต่ เราดูธาตุขันธ์เรา มันพอจะไหวแค่ไหนก็เอาถึงแค่นั้นละ อย่างนี้เป็นประจำๆ ความเพียรนี่เรียกว่าไม่ละฝีก้าวเลยแหละ หมุนติ้วๆ ตลอดเวลา นี่ละการฆ่ากิเลส พูดถึงเรื่องความทุกข์นี่เราทุกข์มาก แต่เรื่องความทุกข์นี้ไม่มีน้ำหนักเท่าความมุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์ อันนั้นมีน้ำหนักมาก ถึงจะทุกข์ขนาดไหนมันก็ไม่ค่อยเห็นมีน้ำหนักอะไรยิ่งกว่าความมุ่งหวังให้สมใจ เรื่องมรรคเรื่องผลจิตมันอยู่ที่นู่นเสีย ความทุกข์มากน้อยก็ไม่ไปอยู่ มันอยู่ที่นู่น ทุกข์ขนาดไหนมันก็ไม่ค่อยเป็นอารมณ์
พูดให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาฟัง ทีนี้เวลายิ่งจิตมีความละเอียดลออเข้าไปเท่าไร นั่นละที่นี่จิตกับธรรมจะไม่พรากจากกันเลย หมุนติ้วๆ ทั้งวัน ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ อยู่อย่างนั้นตลอดๆ เมื่อเรามีการรบราฆ่าฟันกันอยู่แล้ว ข้าศึกมันจะมีกำลังมาจากไหนมากนักล่ะ มันก็ต้องอ่อนลง เพราะทางนี้สู้ไม่ถอยตลอด จิตใจก็ค่อยสง่างามขึ้น สง่างามขึ้น ร่างกายมันจะอ่อนจะเพลียเพียงไรก็ตาม เช่นเราจะเป็นจะตายเวลาไปบิณฑบาต บางครั้งไม่ถึงหมู่บ้านนะ เรากะว่าวันพรุ่งนี้พอจะไปถึงบ้านเขาแหละ บิณฑบาตถึงหมู่บ้าน ถึงขนาดนั้นไปถึงแค่ครึ่งทางหมดกำลังแล้วไปไม่ไหว นั่งพักเสียก่อน พอได้กำลังแล้วก็ค่อยไปอีก ถึงหมู่บ้านเขา
แต่จิตใจมันสง่างามตลอดนะ มันอ่อนแต่ธาตุขันธ์ จิตใจไม่ได้อ่อนนะ นี่ที่มันพอฟัดพอเหวี่ยงกันอยู่ก็คือจิตใจของเราสง่างามตลอดเวลา ร่างกายอ่อนเท่าไรจิตใจยิ่งเข้มแข็งมากขึ้น มันไม่ได้อ่อนไปเหมือนธาตุขันธ์นะ นี่ละจึงต้องได้อดได้ทนต่อไป การมีกำลังทางร่างกายนี้มันไม่ยากนะ กำลังทางจิตใจนี้ยากมากทีเดียว เราบิณฑบาตจะไม่ถึงหมู่บ้าน ไปพักตามระยะทางก่อน แล้วไปบิณฑบาต พอออกมาจากบ้านเขาแล้ว มีพวกหินลาดหินดานอะไรที่มีแอ่งน้ำอยู่ตามนั้น เรากำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว มาก็มาฉันที่นั่น
พอฉันเสร็จแล้วก็ล้างบาตรอะไร ก็ฉันแบบกรรมฐาน อาหารนักโทษ พอฉันเสร็จแล้วก็ล้างบาตรอะไรเสร็จ เช็ดบาตร เอาผ้าไปตากหินดาน สักเดี๋ยวมันก็แห้ง เสร็จแล้วสะพายบาตรขึ้นเขา พอฉันเสร็จแล้วกำลังมันขึ้นอย่างรวดเร็วนะ เวลาไปนี้จะเดินไม่ถึงหมู่บ้านเขา มันอ่อนขนาดนั้น พอฉันเสร็จแล้วม้าแข่งสู้ไม่ได้นะ มันดีดผึงเลย นี่กำลังของธาตุขันธ์มันรวดเร็ว กำลังของจิตนี้ช้ามาก ลำบากมาก จึงต้องได้พยุงทางด้านจิตใจให้มากกว่าทางด้านธาตุขันธ์ เอาเมื่อไรก็ได้เรื่องธาตุขันธ์ ไม่ยากอะไร เพราะคนยังหนุ่มอยู่ อ่อนเปียกจนจะไปไม่ได้ พอฉันเสร็จแล้วกำลังวังชามันมาเอง ดีดผึงเลย มันง่ายนะทางธาตุทางขันธ์
พยายามอยู่อย่างนั้นละ อยู่ในป่าในเขา ตามถ้ำ ถ้าเดือนมีนา-เมษามักจะอยู่ในถ้ำ อากาศมันเย็น นอกจากนั้นมักจะอยู่ตามร่มไม้ มีแคร่เล็กๆ อยู่ พอได้อยู่สะดวกสบาย ทีนี้เรื่องความเพียรใครจะมายุ่งล่ะ ทั้งวันไม่ได้เจอใครเลย เจอแต่เราคนเดียว ใครเขาจะมายุ่งกับเรา เขาก็เป็นคนป่าคนเขา หาอยู่หากินพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเขาเท่านั้นเขาก็พอ เขาจะมายุ่งกับเราหาอะไร ก็เราไปหาที่เช่นนั้น ไม่ได้หาที่มีคนยุ่งนี่ บ้านใดสถานที่ใดพอเราไป ก็ไปพักอยู่ข้างบ้านเขานี่ เขารุมออกมา นี่ทราบแล้วนะ บ้านนี้ไม่เป็นท่า นั่น คือเขาจะมากวน ไม่ได้ภาวนา เดี๋ยวคนนั้นเข้าคนนี้ออกมาอยู่เรื่อยๆ ภาวนาก็ขาดวรรคขาดตอน บ้านนี้ไม่เป็นท่าไม่อยู่นะ
ต้องไปหาอยู่ในป่าในเขา ส่วนมากเป็นอย่างนั้น บ้านธรรมดาเราไม่ค่อยไปอยู่แหละเพราะไม่เด่นทางด้านธรรมะภายในใจ ถ้าไปอยู่แบบอาหารนักโทษ บิณฑบาตเขาได้อะไรมาก็เท่านั้น มีแต่ข้าวเปล่าๆ มาก็ฉัน เท่านั้นเองนะ บ้านก็ไม่มีหลายหลังคาเรือน สี่ห้าหลังคาเรือน อยู่ตามภูเขา เรามองเห็นภูเขาดำทะมึนนั้น นึกว่าจะไม่มีบ้านคน มี มีเป็นแห่งๆ แห่งละสี่หลังห้าหลัง ก็อาศัยเขาไป อย่างนั้นแหละ
ทีนี้เมื่อเราไม่ฉันเท่าไรก็เงียบเลย ไม่เจอใคร มีแต่เจ้าของคนเดียว ฟัดกับกิเลส ความเกิดขึ้นของกิเลสมันจะเกิดขึ้นทางสังขารความคิดความปรุง อวิชชารังใหญ่ของมันดันออกมาให้อยากคิดอยากปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ บังคับไม่ให้มันออก เอาความคิดความปรุงของด้านธรรมะแทนเข้าไปๆ ไม่ให้มันทำงานทางกิเลส ให้ทำงานทางด้านธรรมะ บีบบังคับเข้าไปๆ เมื่อใจได้รับการบำรุงรักษา อันตรายคือกิเลสก็ไม่เกิดได้ง่ายๆ ใจก็ค่อยเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปเรื่อยๆ นั่น ดูอย่างนั้นดูเจ้าของ ดูหัวใจที่เป็นมหาเหตุ มันแสดงขึ้นจากความคิดความปรุง ผลักดันออกไป อยากคิดนั้น อยากๆ ตลอดเวลาเราบังคับไม่ให้มันอยาก บังคับใส่ธรรม เอาความคิดของธรรม เอาความรู้ความเห็นของธรรมบังคับกันไว้อย่างนั้น จิตก็ค่อยสงบเย็นๆ
เวลามันสงบพอๆ นี้มันไม่อยากคิดนะที่นี่ ความอยากคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ตามกิเลส เหมือนว่าปิดประตูไว้เลย มันไม่อยาก มีแต่ธรรมทำงานอย่างเดียว คือจิตเป็นสมาธิ ความแน่นหนามั่นคง ความคิดปรุงไม่อยากคิดเลย คิดขึ้นมามันกวนใจ นั่น ความสงบแน่วอยู่อันเดียว มีแต่ความรู้เด่นละเอียดลออ แปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่ในใจนั้น อยู่กันได้ทั้งวันก็อยู่ได้ แล้วมันจะไปยุ่งกับใครล่ะเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว มีแต่ความสง่างามอยู่ภายในจิตใจ โลกธาตุทั้งหมดมารวมอยู่ใจนะ สง่างามอยู่นี้ รู้อยู่นี้ เด่นอยู่นี้ นอกนั้นไม่เห็นมีอะไร
นี่ใจเวลาเราได้รับการอบรมแล้ว ความเด่นดวงของใจจะเกิดขึ้นให้ปรากฏชัดเจน ถ้าปล่อยให้แต่กิเลสย่ำยีตีแหลก ไม่เคยคิดเรื่องอรรถเรื่องธรรมแล้วก็มีแต่อารมณ์ของกิเลสทับใจ ใจก็หาความสง่างามไม่ได้ มีแต่ความว้าวุ่นขุ่นมัว ทับหัวใจๆ ตลอดเวลา นั่นละกิเลสทำงานมันทับหัวใจ ถ้าธรรมทำงานแล้วไม่ได้ทับนะ สง่างามขึ้นไปเรื่อยๆ ทีนี้ก็เพลิน อยู่คนเดียวเท่านั้นๆ ไม่ยุ่งกับใครเลย วันหนึ่งๆ ไม่ยุ่งกับใคร ยุ่งแต่กิเลสภายในใจของเจ้าของด้วยธรรมฟาดกันๆ อยู่ตลอดเวลา นั่นเป็นอย่างนั้น
นี่พูดถึงเรื่องความพากเพียรจะหาความสุข จนกระทั่งเป็นบรมสุข ให้ผู้ฟังทั้งหลายได้ยินได้ฟัง ท่านบังคับท่านฝึกทรมานกันอย่างนั้น ทีนี้เวลาธรรมแก่กล้าขึ้นไป เรื่องความคิดความปรุงที่เป็นเรื่องของกิเลสคอยจะรบกวนเรานั้นมันเบาลงๆ ทางธรรมอารมณ์ของธรรมก็หนักขึ้นๆ เดี๋ยวก็เหยียบหัวกิเลสไป เหยียบไปเรื่อยๆ จิตก็ยิ่งสง่างามขึ้นมา นี่ธรรมครองใจ กิเลสครองใจมีแต่ความบีบบี้สีไฟให้ได้รับความทุกข์ความลำบากตลอดเวลา ทีนี้เวลาธรรมครองใจมีแต่ความสง่างาม คิดเรื่องใดก็เป็นอรรถเป็นธรรมไปเรื่อยๆ ไม่ได้เป็นอันตรายต่อตนเองเหมือนความคิดที่เป็นกิเลส ต่างกันอย่างนั้น
จิตก็เพลิน เมื่อได้รับการบำรุงจิตก็ยิ่งสง่างามขึ้นเรื่อย บำรุงขึ้นเรื่อย สง่างามขึ้นเรื่อย มันก็เพลิน ดูจิตเจ้าของเท่านั้นเพลิน เพลินยิ่งกว่าสิ่งทั้งหลายในสามแดนโลกธาตุ ดูแล้วมีแต่เสื่อมเสีย ทำให้เจ้าของเสียอกเสียใจ บางทีนอนไม่หลับ เพราะคิดปรุงไม่ถอย คิดเรื่องโลกเรื่องสงสาร เรื่องฟืนเรื่องไฟนั้นแหละ มาเผาตัวเอง นอนก็นอนไม่หลับ บางรายเป็นบ้าไปเลยก็มี เพราะกิเลสเข้าย่ำยี ทีนี้จิตไม่มีกิเลสแบบนั้นเข้ามาย่ำยีก็มีความสง่างาม นั่งอยู่ที่ไหนก็สง่างามอยู่ที่นั่น อยู่ร่มไม้อยู่ที่ไหนสบายไปหมด
ความรู้ทั้งหมดมาเด่นอยู่ที่จิตใจ โลกนี้เหมือนไม่มี มีแต่ความสง่างามของใจครอบไปหมดเลย เรื่อยๆ ขึ้นไป จนกระทั่งจิตก้าวเข้าสู่ความเพียรอันแรงกล้าโดยลำดับแล้วนั้นยิ่งเพลิน อารมณ์ของโลกนี้มีมาไม่ได้ ขาดสะบั้นไปทันที มีแต่อารมณ์ของธรรมสง่างาม แล้วก็หมุนติ้วๆ หมุนเพื่อจะแก้กิเลสให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น อยู่ที่ไหนก็เพลินๆ สุดท้ายกลางคืนนอนไม่หลับ เวลาถึงขั้นแก่กล้าแล้ว นี่เข้าด้ายเข้าเข็ม ที่คอยจะหลุดพ้นแล้ว
นอนกลางคืนนี้มันไม่ได้ยอมนอน จิตกับธรรมกับกิเลสทำงานฟัดกันอยู่บนหัวใจ มันก็เพลิน เพลินอยู่ในนั้น จะนอนมันก็ไม่ยอมหลับ มันทำงานไม่ถอยมันจะนอนได้อย่างไร ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันอยู่ตลอด เรานอนอยู่ กิเลสกับธรรมที่ฟัดกันมันไม่ได้นอน มันเป็นอัตโนมัติแล้วนั่น อยู่ที่ไหนมันก็เป็นอย่างนั้น อยู่อย่างนั้น ตั้งแต่ตื่นนอนถึงกระทั่งหลับมันเผลอเมื่อไร ไม่เคยมี นั่น เวลามันแก่กล้าเป็นอย่างนั้นนะ สติ ไม่มีคำว่าเผลอ เป็นเอง เป็นหลักธรรมชาติ เมื่อได้บำรุงให้ถึงหลักธรรมชาตินี้แล้ว สติจะเป็นอัตโนมัติ ปัญญาจะเป็นอัตโนมัติ พิจารณาอะไรหมุนติ้วๆ กิเลสค่อยหมอบลง อ่อนลงๆ
กิเลสอ่อนลงมากเท่าไร ทางด้านความเพียรยิ่งหนักมือเข้าไป ที่จะสังหารกิเลสให้มุดมอดไปในขณะใดก็ได้ มันก็ยิ่งเร่งของมันดูดดื่ม นี่ละที่ว่ามันเพลิน กลางคืนก็เพลิน บางคืนบังคับให้นอน มันไม่หลับเลยตลอดรุ่ง ไม่หลับเลย ตอนกลางวันขึ้นมาก็ยังจะไม่หลับอีก นี่ต้องได้รั้ง รั้งเอาไว้ บังคับ ไม่มีอะไรบังคับก็เอาคำบริกรรมมาบังคับ เช่นพุทโธที่เราเคยบำเพ็ญมานั้น เอาพุทโธเข้ามาบังคับ คือให้จิตอยู่กับพุทโธ มันไม่เผลอ มันไม่เผลอด้วยการเพลิดเพลินกับงานการทั้งหลายที่พิจารณาทางด้านปัญญา แต่นี้บังคับไม่ให้เผลออยู่กับพุทโธ ไม่ให้เผลอกับพุทโธ ไม่ให้ไปคิดเรื่องอื่น ให้อยู่กับพุทโธ กล่อมใจลง
พอมาอยู่พุทโธจุดเดียวแล้วจิตก็ค่อยสงบลงๆ แน่วลง เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบเต็มที่แล้วก็เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม คือการทำงานมันเหมือนรบข้าศึก เหมือนเขาต่อยมวยนั้นแหละ พอหยุดจากนั้นแล้วจิตเข้าสู่ความสงบก็เหมือนว่าได้พักตัวเอง สง่างาม พอได้กำลังแล้ว พอออกอีกก็ฟัดกันกับกิเลส ไม่ต้องบอกละ เพราะมันมีกำลังมากกว่าทางสมาธิ ความสงบใจนี้ว่าดีๆ แต่กำลังของมันสู้ปัญญาไม่ได้ที่มันจะหมุนออกไปฆ่ากิเลส มันก็หมุนออกไปละที่นี่ เรื่อยๆ
นี่ละการอบรมทางด้านจิตใจ เมื่อถึงขั้นนี้แล้วไม่มีรอละ นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆเลย หวุดหวิดๆ มันก็บืนเรื่อย คำว่าถอยไม่มี เป็นกับตายก็พุ่งกันเลยตลอดเวลา มันละเอียดเข้าไปๆ บางทีกิเลสมันเงียบไปเลย เห็นแต่ความสว่างจ้าอยู่ภายในจิตใจ กิเลสตัวหนึ่งที่จะมาแสดงขึ้นให้เห็นไม่มีเลย บางทีมันก็พูดเหมือนกัน แต่เป็นอยู่ในใจนะ ไม่ได้พูดออกมาทางคำพูดคำจา กำหนดไปเงียบไปหมด ไม่มีอะไรเหลือ เห็นแต่ความสว่างกระจ่างแจ้งของใจโดยถ่ายเดียวเท่านั้น อ้าว มันไปไหนหมด กิเลสมันไปไหนหมดกันนี่ ไม่เห็นมีอะไรปรากฏเลย มองดูอะไรก็ไม่เกิด ไม่มี คุ้ยเขี่ยขุดค้นหาก็ไม่เจอ อ้าว นี่มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ แต่มันไม่ได้สำคัญตนนะ พูดเฉยๆ เวลากิเลสมันว่างตัว มันไม่แสดงก็เหมือนกับว่าเป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมา แต่ไม่ได้มีความสำคัญ พูดเฉยๆ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่ากิเลสยังไม่หมด
จากนั้นมาก็เอาอีกแล้วเพราะคุ้ยเขี่ย เวลามันไม่ปรากฏก็คุ้ยเขี่ยหา พอเจอพับดับกันปุ๊บๆ เลย เรื่อยเลย นี่เวลากิเลสมีอำนาจน้อย โผล่ขึ้นมาไม่ได้ อำนาจของธรรม สติธรรม ปัญญาธรรมมันรวดเร็ว ขาดสะบั้นไปเลยๆ ทีนี้ก็มีแต่ความสว่างจ้าๆ นั่นละธรรม ธรรมกับใจกลมกลืนเข้าเป็นอันเดียวกันแล้ว อยู่ที่ไหนสว่างจ้าอยู่ตลอดเวลา ความแปลกประหลาด ความอัศจรรย์หาได้ที่ใจ อย่าไปหาที่ไหนให้เสียเวล่ำเวลาทุกข์เปล่าๆ ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายกองกันอยู่นี้ ไม่มีที่จะเจอความสุขแหละ ถ้าลงมาหาที่ใจด้วยจิตตภาวนาแล้วเจอ ไม่สงสัย ความสุขทั้งหลายหรือความแปลกประหลาดอัศจรรย์ในโลกธาตุไม่มีความหมาย มามีความหมายอยู่ที่ใจดวงเดียวนี้เท่านั้นครอบโลกธาตุๆ แม้จะยังไม่สิ้นกิเลส แต่กิเลสมันละเอียดมากแล้ว มันก็เป็นความรื่นเริงอยู่ในใจตลอดเวลา นี่ละอำนาจของการบำรุงใจ
ทีนี้ฟัดกันไม่หยุดไม่ถอยกิเลสมันจะมาจากไหนล่ะ มีแต่ฆ่าถ่ายเดียวๆ ที่กิเลสจะเกิดขึ้นไม่มี ในระยะสติปัญญาเป็นอัตโนมัติแล้ว กิเลสที่จะสั่งสมตัวเองนั้นไม่มีทาง มีแต่จะมุดมอดๆ โผล่ขึ้นมาทางไหนก็ขาดสะบั้น ค่อยหมดไปๆ มันก็ไม่โผล่ละซิ พอมันมีน้อยลงไปแล้วทางนี้ก็ยิ่งมีกำลังมากทางด้านธรรมะ สติก็แก่กล้าสามารถ ปัญญาก็รวดเร็ว เจออะไรพับขาดสะบั้นไปพร้อมๆ กัน ขุดไม่ถอย ค้นไม่ถอย ฆ่าไม่ถอย ไม่หยุดไม่ถอย ไม่มีวันมีคืน การนอนก็ต้องรั้งเอาไว้ให้นอน บริกรรมด้วยพุทโธ ให้อยู่กับพุทโธ ให้หลับ อย่างหนึ่งลงสงบแน่ว อันหนึ่งถ้าจะให้หลับก็เอาพุทโธนั่นแหละ บังคับไว้ให้หลับกับพุทโธ หลับได้
พอตื่นขึ้นมาพับกับกิเลสนี่เหมือนว่ามันยืนจังก้าคอยอยู่แล้วกิเลส มันก็ซัดกันเลย ไม่ถอยๆ ฆ่าไม่หยุดไม่ถอยกิเลสจะเอาอะไรมาเกิด ธรรมถึงขั้นนี้แล้วกิเลสไม่เกิด ที่มีอยู่เท่าไรก็มีแต่จะดับไป สูญไป ดับไปเท่านั้น จิตก็หมุนเข้าไปเรื่อยๆ สุดท้ายมันก็จ้าขึ้นมา หมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรในโลกนี้ มีแต่จิตนี้สว่างครอบโลกธาตุ จ้าไปหมด เอ้อ โลกอันนี้ มันมีเด่นอยู่กับใจดวงเดียวนี้เท่านั้น นั่นรู้ในเจ้าของ เอ้อ แต่ก่อนไปที่ไหนโลกนี้เหมือนว่ากว้างขวางมากมาย อะไรก็มีแต่เรื่องจะให้คิดให้ปรุงให้ยุ่งให้เหยิงไปหมดครอบโลกธาตุ ความคิดปรุงเรื่องของกิเลสนี้ก็ไม่ถอย อยากคิดอยากปรุง อยากรู้อยากเห็นไม่อิ่มไม่พอเรื่อยๆ
ทีนี้หดตัวเข้ามาๆ ไม่อยากรู้อยากเห็นสิ่งใดยิ่งกว่าอยากรู้อยากเห็นธรรม นั่น ย่นเข้ามาหาธรรมอย่างเดียว เวลาอยู่ปรกติจิตมันก็จ้า จ้าอยู่อย่างนั้น ความรู้อันนี้มันสง่างามครอบไปหมดๆ แล้วโลกทั้งโลกนี้ไม่มีอะไรที่เด่นชัด ยิ่งกว่าจิตที่มีธรรมครองใจ สง่างามครอบโลกธาตุ ทั้งๆ ที่กิเลสยังมีอยู่มันยังครอบได้ตามส่วน ตามกำลังของจิตที่มีธรรมมากนะ ทีนี้เวลาชำระไปๆ จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลยแล้ว นั้นละไม่ต้องถามใคร
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาปึ๋งไม่มีถามใคร สาวกทั้งหลายบรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาไม่ถามใคร สนฺทิฏฺฐิโก ความรู้เองเห็นเองขั้นสุดยอดได้ปรากฏประกาศป้างขึ้นแล้วภายในใจ จะไปถามใครที่จะให้แน่นอนยิ่งกว่าสนฺทิฏฺฐิโก ที่รู้ด้วยตนเองจากผลงานของเราล่ะ นั่นละท่านจึงไม่ไปถามใคร จ้าขึ้นมา หมดโดยสิ้นเชิงเรื่องภพเรื่องชาติ เรื่องกิเลสตัณหาที่จะพาให้ก่อภพก่อชาติขาดสะบั้นลงไปแล้ว อะไรที่จะมาเป็นภพเป็นชาติให้เกิดความทุกข์ความทรมานตายกองกันอยู่ดังที่เคยเป็นมาอีกได้ล่ะ ไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง
ทีนี้วัฏวนที่เคยหมุนกัน ขาดสะบั้นลงไปแล้ว วิวัฏฏะคือความไม่หมุน ความพอตัวสว่างจ้าครอบกันอยู่แล้ว มันเป็นคนละฝั่งแล้ว นั้นคือฝั่งสมมุติ ฝั่งกิเลสพาให้จิตหมุนเพื่อความเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้คือฝั่งวิมุตติหลุดพ้นแล้วจากความหมุนทั้งหลายโดยสิ้นเชิง มันก็รู้ชัดๆ ขึ้นมาภายในใจ ทีนี้หมดละงาน งานของจิตคือการแก้กิเลส ตัวพาหมุนพาเวียนตลอดเวลา แล้วยังพาเกิด แก่ เจ็บ ตายในภพน้อยภพใหญ่อีก ขาดสะบั้นลงไปหมด สิ่งเหล่านั้นก็ขาดไปพร้อมๆ กัน ที่จะไปเกิดในภพใดๆ อีกไม่มีแล้ว เมื่อกิเลสตัวก่อภพก่อชาติได้สิ้นซากลงไปก็ไม่มีอะไรเหลือ
นั่นละท่านว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ พรหมจรรย์คือการฆ่ากิเลสนี้ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว งานที่ควรจะทำได้ทำสำเร็จแล้ว คืองานแก้กิเลส เป็นงานที่ควรทำ ได้ทำสำเร็จแล้ว งานอื่นที่จะทำให้ยิ่งกว่านี้ไม่มี เพราะรู้รอบขอบชิด หมดโดยสิ้นเชิงแล้ว นั่นละที่ว่าท่านบรรลุธรรม ท่านตรัสรู้ คือคว่ำภพชาติทั้งหลายที่เคยเกิดตายมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ได้รับความทุกข์ความทรมานมากต่อมากได้ขาดสะบั้นลงไปในขณะนั้นแล้ว ไม่มีอะไรติดต่อสืบเนื่องกันอีกเลย เป็นคนละฝั่งแล้ว นี่คือวิมุตติ นั้นคือสมมุติ สมมุติได้ขาดลงไปหมดแล้ว เหลือแต่ธรรมชาติที่ไม่หมุนนี้ เป็นนิพพานเที่ยงขึ้นมาภายในใจ ด้วยสนฺทิฏฺฐิโกสุดยอด หายสงสัย นั่น หมด ตั้งแต่นั้นแล้ว จนกระทั่งวันท่านนิพพานกิเลสตัวใดที่จะมาแทรกอีก ไม่มีเลย จึงเรียกว่าท่านสิ้น
กิริยาอาการที่แสดงออกหนักเบามากน้อยนั้น กลายเป็นเรื่องกิริยาของธรรมไปเสียหมด การพูด พูดเรียบๆ พูดธรรมดา เทศนาว่าการไปธรรมดา นิ่มนวลอ่อนหวานก็ได้ ธรรมดาไปธรรมดา ควรจะเด็ดเผ็ดร้อน ดุเดือดเหมือนจะกัดจะฉีกก็เป็นอาการของธรรม กระแสของธรรม พลังของธรรมออกมาเสียทั้งหมด กิเลสไม่มีเอาอะไรมาแสดง จะมาแฝงให้เกิดความโมโหโทโส เสียงมันจะแผดอยู่เหมือนฟ้าผ่านี้ก็ตามเถอะ มันก็คือเสียงอรรถเสียงธรรมไปเสีย ไม่มีเสียงกิเลส เพราะกิเลสสิ้นซากไปแล้ว ไปหามาจากไหนมาเป็นความโกรธล่ะ ถ้าหาเจออยู่จะเรียกว่าสิ้นกิเลสได้อย่างไร มันก็มีแต่กิริยาของธรรม พลังของธรรมแสดงออกเต็มเม็ดเต็มหน่วยอยู่ภายในจิตใจเท่านั้นเอง ท่านทราบชัดอย่างนั้นแหละ
นี่ละธรรมะที่กล่าวมาทั้งหมดนี้อยู่ในหัวใจของเราทุกคนทุกท่าน กิเลสมีเต็มหัวใจฉันใด ธรรมะเมื่อบำเพ็ญให้มีเต็มหัวใจก็เต็มได้ฉันเดียวกัน ไม่ได้ผิดกันเลย เราอย่าไปให้กิเลสมันหลอกลวงว่าบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี หรือมรรคผลนิพพานไม่มี สิ้นเขตสิ้นสมัยแล้ว นั้นคือกิเลสหลอกสัตว์โลก เพื่อจะพาให้ตายกองกันต่อไปอีกไม่มีสิ้นสุด อันนี้เป็นกิเลสหลอกลวงสัตว์โลกให้ตายกองกันไม่มีวันจบสิ้นลงได้ มรรคผลนิพพานใครเป็นคนสอน ศาสดาองค์เอกผู้สิ้นภพสิ้นชาติแล้วสอนด้วยความแจ่มแจ้งชัดเจน จะผิดไปไหน นั่น
ท่านรู้แล้วท่านถึงมาสอน ไม่ใช่มาสอนแบบลูบๆ คลำๆ ท่านเอาจากของจริงที่ท่านรู้แล้วเห็นแล้วมาสอนจะผิดไปไหน บรรดาสาวกรู้แบบเดียวกัน ท่านสอนจะผิดไปที่ไหน ไม่มีผิด ตรงแน่วๆ ผู้ปฏิบัติตามเชื่ออรรถเชื่อธรรมตามที่ท่านสอนไว้แล้วนี้ จะค่อยก้าวเดินไปได้โดยลำดับ จนกระทั่งถึงมรรคผลนิพพานได้ด้วยกัน ไม่สงสัย ความดีความชั่วไม่นิยมเพศวัยอะไร มันมีขึ้นกับใจ หมุนไปทางชั่วเป็นชั่วทันที หมุนไปทางดีเป็นทางดีทันที เมื่อหมุนไปทางดีเต็มสัดเต็มส่วนแล้ว ก็หลุดพ้นได้โดยถ่ายเดียวเหมือนกันหมด ไม่ว่าหญิงว่าชาย นักบวช ฆราวาส เป็นได้ เพราะจิตไม่มีเพศ กิเลสอยู่กับใจ กิเลสก็ไม่มีเพศ ธรรมะก็ไม่มีเพศ เข้ากันได้กับใจดวงนี้ ที่ควรจะอบรมซักฟอกให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใสเข้าไปเป็นลำดับ
นี่เราพูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมตั้งแต่ต้นมาจนกระทั่งป่านนี้ พูดจากหัวใจ ขอให้ใจได้รู้เถอะ ถ้าลงใจได้รู้แล้วไม่มีคำว่าจนตรอกจนมุม ความจนตรอกจนมุมคือกิเลสต่างหาก มาปิดกั้นตนเองให้หาทางเดินไม่ได้ เกรงเขาเกรงเรา กลัวเขากลัวเรา ก็คือกิเลสพาให้เกรงให้กลัว กลัวเขากลัวเรา กิเลสสิ้นซากไปแล้วกลัวอะไร กล้ากับอะไร ไม่มี ความกล้าก็ดี ความกลัวก็ดี เป็นเรื่องของกิเลสแสดงตัวออกเป็นอุปสรรคต่อเราต่างหาก จะพูดอะไรก็เกรงเขาเกรงเรา มันก็พูดไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะกิเลสกีดขวางอยู่ เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วธรรมล้วนๆ พุ่งๆ ไปเลย ไม่ได้มีอัดมีอั้น ไม่มีข้องมีคาที่ตรงไหน ธรรมแท้เป็นอย่างนั้น
ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ ให้ประพฤติปฏิบัติ เราได้แค่ไหนก็เป็นสมบัติของเรา ได้ห้าได้สิบ ได้ร้อยได้พัน ได้หมื่นได้แสน จากการขวนขวายของเราทั้งนั้นนะ ได้ห้าได้สิบก็เป็นเงินเป็นทอง ได้ร้อยได้พันหมื่นแสนก็เป็นเงินเป็นทองเหมือนกัน นี้ได้อรรถได้ธรรมได้เท่าไรก็เป็นอรรถเป็นธรรม เป็นบุญเป็นกุศลของเราด้วยกันทั้งนั้น เพิ่มเข้าๆ ตำแหน่งมหาเศรษฐีจะขึ้นภายในใจของเรา ขึ้นภายในใจตำแหน่งมหาเศรษฐี มหาเศรษฐีธรรมซิ คำว่าความสุขก็เป็นมหาเศรษฐี เป็นบรมสุข ใครจะไปวัดไปเหวี่ยง ไปเทียบเคียงหรือไปแข่งขันได้ ไม่มี จิตถ้าหลุดพ้นไปแล้วไม่มีอะไรเทียบเคียงได้ เป็นธรรมชาติที่เลิศเลออยู่โดยหลักธรรมชาติของตนนั้นแล เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ ให้พากันจดจำเอา ไม่ได้เอวังละ เพราะไม่ได้ตั้งนะโม จบพอ เหนื่อยแล้ว
หลังให้พร :
โยม ลูกศิษย์บังเอิญได้เปิดวิทยุ ได้ฟังธรรมของหลวงตามาตั้งแต่เข้าพรรษา ตัวลูกเองนั่งคิดอยู่ว่าในปัจจุบันลูกจะได้ฟังธรรมที่ไหนที่จะลึกซึ้ง อย่างหลวงตานี่หาไม่มี ลูกท้อใจไปแล้วนะคะ พอได้ฟังธรรมจากหลวงตามันรู้สึกว่าปีติลึกๆ ธรรมของหลวงตาเมื่อได้ฟังแล้ว รู้สึกว่าจิตมันเบา มันลอยตัว คิดว่าอยากฟังธรรมแกงหม้อจิ๋วของหลวงตานี่ ไม่ทราบหาได้ที่ไหน เพราะเปิดวิทยุทีไรไม่ค่อยได้เจอ
หลวงตา ธรรมะประเภทนี้เป็นธรรมะตอนดึกๆ เขานั่งภาวนาฟังธรรมะแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วนี้ มีทุกขั้น ธรรมะเราเราพูดจริงๆ ว่ามีทุกขั้นเลย ตั้งแต่พื้นถึงพระนิพพาน พูดตรงๆ เลย ส่วนมากเขาจะเปิดตามเวลาของคนที่ได้ธรรมะประเภทใด กับคนประเภทใด ธรรมะแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วนี้ส่วนมากจะมีตอนดึกๆ ตอนเงียบๆ
โยม จะถามหลวงตาอีกข้อหนึ่งนะคะว่า ถ้าเราปฏิบัติที่ว่าจิตหมุนติ้วๆ นะคะ มันมีวันหยุดของมันไหมคะ
หลวงตา กิเลสขาดสะบั้นลงไปเมื่อไรหยุดเลย ไม่ต้องบอก ฟังไหมล่ะ ฟัง เราเคยพูดเวลามันหมุนของมันนี้ จนกระทั่งเจ้าของ เอ๊ะมันอย่างไร เราเริ่มภาวนาทีแรก มันถูมันไถ คืบคลานกันไป ก็ปลอบเจ้าของ เอ้อเวลาเบื้องต้นนี้มันก็ลำบากอย่างนี้แหละ ถูไถกันไปอย่างนี้แหละ เวลาจิตใจมีความละเอียดแล้วงานการทั้งหลายเหล่านี้มันจะค่อยเบาลงๆ จะละเอียดลงไปเรื่อย สบายไปเรื่อย สบายไปเรื่อยแหละ จนถึงที่สุดสบายเลย
ทีนี้เวลาปฏิบัติเจ้าของงงเจ้าของเองนะ เวลานี้ถูไถเป็นอย่างนี้ บทเวลาเข้าถึงขั้นเข้าด้ายเข้าเข็ม หมุนติ้วเป็นอัตโนมัติ ทีนี้ยิ่งกว่านี้อีก มันหมุนตลอดเวลา อ้าว มันอย่างไรกันนี่ นึกว่ามันจะเบาไปๆ มันเบาอะไร นี่มันยิ่งหนัก หนัก มันพุ่งของมันตลอดเวลา จนกระทั่งกลางคืนนอนไม่หลับทั้งคืน มันหมุนของมันตลอด เป็นอัตโนมัติ เข้าใจไหม นี่ละธรรมเมื่อเวลามีกำลังแล้วเป็นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสอยู่อัตโนมัติตลอด จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว ที่หมุนติ้วๆ นั้นหยุดเองไม่ต้องบอก เหมือนกับเราเอาเครื่องมือทำงาน ทำงานพอเสร็จแล้วมันก็ปล่อยเครื่องมือเอง อันนี้เป็นเครื่องมือทำงาน
สติปัญญาตั้งแต่สติปัญญาธรรมดา เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ เข้าถึงมหาสติมหาปัญญานี้หมุนติ้วๆ ทั้งนั้น พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วมันหยุดเอง ทีแรกเจ้าของก็งงเจ้าของ มันเป็นอย่างไร แต่ก่อนก็ว่าจิตใจละเอียดลออเท่าไรยิ่งจะเบาไปๆ มันเบาอย่างไร มันยิ่งหนัก งงเจ้าของ แต่เวลามันถึงขั้นของมันแล้ว พอกิเลสมันขาดสะบั้นออกหมดแล้วไม่ต้องบอก มหาสติมหาปัญญาหายไปเลย หายโดยอัตโนมัตินะ ไม่ต้องได้บังคับ เป็นไปเอง ก็จะฆ่าอะไรมันหมดแล้วนี่สิ่งที่จะฆ่า เข้าใจแล้วหรือ
โยม ขอบคุณหลวงตามากเจ้าค่ะ
หลวงตา ขอบไม่ขอบก็ทำเจ้าของให้ขอบคุณเจ้าของนั่นเถอะ หลวงตาไม่ขอบก็ได้ละ ขอบเจ้าของ แหม วันนี้ภาวนาดี
โยม ขอบคุณหลวงตาที่ชี้แนะให้เจ้าของเกิดความเข้าใจด้วยค่ะ
หลวงตา อยู่จังหวัดไหนล่ะ
โยม อยู่ที่บางมดนี่เองค่ะ
หลวงตา มันเป็นอย่างไร มดปิดไว้หรือแต่ก่อนจึงไม่ได้ยิน ปัดมดออกนะ บางมด ปัดมดออกแล้วก็เป็นบางธรรม ขึ้นเลย เข้าใจเหรอ บางธรรมขึ้นแล้วมันจ้าเลยละ เข้าใจแล้วนะ เออ เอาละพอ
เราพูดจริงๆ ธรรมะที่เราเทศน์นี่ ไม่ใช่ธรรมะออกมาจากไหนๆ ออกมาจากปัจจุบันทั้งนั้น ตั้งแต่ธรรมะพื้นๆ จนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติหลุดพ้นเลย ออกจากนี้ล้วนๆ ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงมีรสชาติไปเป็นลำดับ พูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะผู้เทศน์เทศน์ด้วยรสชาติของธรรม ไม่ได้เทศน์แบบจืดๆ จางๆ หาลูบนั้นคลำนี้เอามาพูด เจ้าของเองก็ไม่แน่ใจ คนอื่นจะให้เขาแน่ใจได้อย่างไร เมื่อเจ้าของเป็นธรรมชาติ ออกมาจากธรรมชาตินี้แล้วมันก็เป็นรสเป็นชาติไปทุกขั้นของธรรม ยิ่งสูงเท่าไรมันยิ่งหมุนติ้วๆ พุ่งทะลุเลย เข้าใจแล้วหรือ เทศน์นึกว่าจบแล้วมันไม่จบ มันหากมีผู้มาแหย่อยู่นั้นแหละ
เราแน่ใจเรื่องธรรมะของเราที่พูดนี้ แน่ใจตลอด เพราะฉะนั้นการเทศน์มันจึงเป็นไปตามความแน่ใจนี้ เทศน์ออกมาด้วยรสชาติจากธรรมนี้ ผู้ฟังจะไม่มีรสชาติอย่างไร ถ้าเทศน์แบบกำดำกำขาวเราก็ไม่แน่ผู้เทศน์ว่าไป ตามองหากล้วยหอมกล้วยไข่ มันก็ไม่ได้เรื่อง มันไปมีรสชาติอยู่กับกล้วยหอมกล้วยไข่ อันนี้มันไม่ได้สนใจกล้วยหอมกล้วยไข่นะ พุ่งเลย สนใจกับหัวใจคนอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้นมันจึงพุ่งๆ ๆ นั่นแหละ มรรคผลนิพพานมีหรือไม่มีให้พิจารณานะ การเทศน์นี่ถอดออกมาจากหัวใจ มรรคผลนิพพานมีหรือไม่มีก็ฟังซิ
ธรรมะเรานี้ก็ออกทั่วประเทศแล้วเดี๋ยวนี้ ใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวนี้ออกทั่วประเทศทางวิทยุนะ มิหนำซ้ำอินเตอร์เน็ตด้วย ออกทั่วโลกไปด้วย ออกไปไหนก็ออกไปเถอะ ธรรมะนี้ออกจากความแน่ใจทั้งหมดแล้ว ไม่มีสงสัย
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน
FM 103.25 MHz
|