เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
ไปได้ทั้งนั้นหัวใจดวงนี้
ทองคำได้ ๑ กิโลกับ ๕๒ บาท ๒๘ สตางค์ที่ในงานตั้งแต่วันที่ ๒ มาถึงเช้าวันที่ ๔ ทองคำเราประเภทน้ำไหลซึมได้ ๑๙๐ กิโลแล้ว ถ้าไม่พูดนี่ก็ไม่มีเลย ก็จะมีเฉพาะที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๑๑ ตัน ๓๗ กิโลครึ่ง ก็ได้เท่านั้นแล้วขาดไปเลย อันนี้พอได้ประเภทน้ำไหลซึมค่อยไหลซึมเข้ามานี้ก็ได้ ๑๙๐ กิโล แล้วไม่ใช่เล่นนะ ต่อไปก็จะ ๒๐๐
เราได้พยายามที่สุดแล้วที่ได้ช่วยพี่น้องคราวนี้ เป็นการช่วยอย่างจริงอย่างจัง เต็มไปด้วยความเมตตา เราช่วยจริงๆ สละทุกสิ่งทุกอย่าง ช่วยพี่น้องชาวไทยเรา ท่านทั้งหลายให้ดู ศาสนานำพี่น้องทั้งหลายกับทางบ้านเมืองเขานำต่างกันอย่างไรบ้าง เราไม่คุยไม่แข่ง เอาหลักความจริงมาพูด สมบัติเงินทองข้าวของที่ได้นำพี่น้องทั้งหลายเข้าสู่ส่วนรวมนี้ ไม่ได้หลุดได้ลอยไปไหนแม้บาทหนึ่ง ฟังซิน่ะ เราทำด้วยความบริสุทธิ์ พูดให้เต็มยศ คือใจนี้บริสุทธิ์เต็มส่วนแล้ว อะไรจะมาเป็นมลทินต่อใจไม่ได้นะ สมมุติว่าเราจะทำอันนี้อย่างนี้นะ จิตเป็นจิตที่บริสุทธิ์ คิดออกไปต้องเป็นความบริสุทธิ์รอบตัวๆ ไม่มีสิ่งแปลงปลอมเข้ามาแฝงเลย
จตุปัจจัยทั้งหลายที่ได้มานี้ เราเป็นคนสั่งการเองจึงบริสุทธิ์ตลอดมา บาทหนึ่งไม่ปรากฏในหัวใจเราว่าเป็นมลทินมาแปดเปื้อนจิตที่บริสุทธิ์นี้ เราพูดให้ท่านทั้งหลายฟังอย่างชัดเจน ออกมากออกน้อยเป็นความบริสุทธิ์ทั้งนั้นจากใจที่บริสุทธิ์และครอบด้วยเมตตา จึงไม่มีที่รั่วไหลแตกซึม เราเป็นที่ภูมิใจ ช่วยโลกนี้ช่วยจริงๆ จังๆ มีเท่าไรทุ่มลงหมดๆ สำหรับที่เขาถวายเฉพาะหลวงตานี้ไม่ต้องพูดแหละ ไม่เคยสนใจนะ ได้มาเท่าไรทุ่มลงช่วยโลกทั้งนั้นๆ เลย เราตะเกียกตะกายจะเป็นจะตายทุกวันนี้เราไปหาอะไร เราเองเราพอทุกอย่างแล้วเราไม่หาอะไร พูดจริงๆ เราพอ เพราะฉะนั้นจึงขอให้พี่น้องทั้งหลายบำเพ็ญธรรมเข้าสู่ใจเถอะ จะถึงความพอเป็นระยะๆ ไป
ถ้าเรื่องของกิเลส ความโลภได้ไม่พอๆ อันนี้แล้วเป็นไฟเผาโลกนะ มันหลอกไปได้เท่านี้หลอกเท่านี้ๆ คืบคลานกับมันทุกวันตกเหวตูมเลย นี่ละกิเลสหลอกโลก ได้เท่าไรไม่พอๆ บืนไปๆ เดี๋ยวตกตาย จม ถ้าธรรมแล้วพอเป็นระยะๆ ผิดกัน ศีลเต็มตัวพอ นั่น ไปหาศีลที่ไหนมาเพิ่มอีกไม่หา พอ ศีล อย่างพระท่านบวชมาศีล ๒๒๗ ศีลสมบูรณ์แล้วท่านไม่ต้องหามาเพิ่มอีก เรียกว่าพอ ทีนี้บำเพ็ญทางด้านธรรมะ พวกสมถธรรม วิปัสสนาธรรม ความสงบใจ ความรู้แจ้งเห็นจริงภายในใจๆ เป็นระยะๆ ถึงขั้นสมาธิเต็มภูมิพอ นั่น พอๆ เป็นลำดับลำดา หมุนถึงขั้นปัญญาที่จะเลิกโลกธาตุนี้ออกจากหัวใจ ฟาดเสียเหมือนฟ้าดินถล่มปัญญาหมุนตัวฆ่ากิเลส เวลากิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้วพอ นั่นเห็นไหมล่ะ นี่พอในขั้นสุดยอดของธรรมเป็นชั้นๆ ขึ้นไป ธรรมพอ กิเลสไม่พอ
อย่าพากันบืนตายนักนะ นี่ธรรมเตือนให้ท่านทั้งหลายจำ ทุกคนทั่วประเทศไทยเราเป็นลูกชาวพุทธ ความโลภอย่าให้มันเหยียบหัวธรรม เท่ากับเหยียบหัวเรานะ ความโลภได้เท่าไรไม่พอๆ มันหลอกเรื่อยๆ พอขึ้นสูงๆ เต็มที่แล้วตูมเดียวหมดเลยไม่มีอะไรเหลือ นี่คนลืมตัวที่จมไปเพราะความโลภไม่พอ ได้เท่านี้ไม่พอๆ บืนไปๆ พอเต็มที่แล้วตูมเลย จม เพราะฉะนั้นจึงให้ได้อยู่ในความพอดีบ้าง ให้มีธรรมแทรก ถ้าไม่มีธรรมแทรกจะไม่พอดี ไม่ว่าอะไรถ้ากิเลสพาก้าวเดินแล้วไม่พอดีทั้งนั้น ไม่พอดีคืออะไร มีแต่บืนเรื่อยๆ สุดท้ายตก จม
ส่วนธรรมมีแทรกแล้ว ถึงจะอยากได้ก็ไม่เอา เพราะความอยากได้นี้จะเป็นเหยื่อล่อให้ล่มจม เอาธรรมสะกัดเอาไว้ให้อยู่พอก็สงบเย็น นั่น ธรรมเป็นเครื่องสะกัดลัดกั้นให้อยู่ในความพอดีๆ นี่ละเรื่องศาสนาเรื่องธรรมพอนะ ท่านบอกว่าพอ พอเป็นระยะๆ ดังที่ได้พูดตะกี้นี้ ว่าศีลเท่านั้นก็พอ เอา ใครรักษาศีล ๕ ให้พออยู่ในศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ให้พออยู่ในระยะนี้ ไม่ไปหาที่ไหนอีกแหละ ๒๒๗ เต็มภูมิ ไม่ไปหาที่ไหนอีก เรียกว่าศีลพอ พอในศีล พอในธรรมก็ธรรมเป็นขั้นๆ ตั้งแต่ขั้นความสงบลงไปจากจิตตภาวนา พอสงบลงไปแล้ว สงบมากๆ แน่นปึ๋งขึ้นไปเลยเป็นภูเขาทั้งลูกย่อมๆ อยู่ในนั้นแหละ สงบเย็น อยู่ที่ไหนยืนเดินนั่งนอนไปที่ไหนอยู่กับความพอของสมาธิของตน เย็นสบายตลอดเวลา
โลกเดือดร้อนวุ่นวาย ร่ำลือกันว่าทางนั้นเป็นเศรษฐี เมืองนั้นเป็นเศรษฐี เป็นเศรษฐีอันดับนั้นอันดับนี้ กิเลสมาอวดธรรม เข้าใจไหม ธรรมอยู่ในหัวใจพอตลอดๆ ไม่พาให้ล่มจม เรื่องเศรษฐีนั้นเศรษฐีนี้ ไอ้พวกที่ตกลงจากตำแหน่งเศรษฐีเป็นทุคตะเข็ญใจลงนรกทั้งเป็นมีเยอะ เอามาพูดบ้างซิ มาพูดตั้งแต่ร่ำลือป่าๆ รกๆ ไปยังไง ว่าเศรษฐีนั้นเศรษฐีนี้ มีแต่ลมๆ แล้งๆ มาปั้นขึ้นให้เป็นก็เป็นได้ เรื่องความเสกสรรปั้นยอของคน กระดาษปั้นขึ้นมาให้เป็นเงินเห็นไหมนั่น ไอ้หลังลายๆ ออกมาจากไหนก็ออกมาจากกระดาษ ถ้าไม่สมมุติว่าเป็นเงินมันก็เป็นกระดาษธรรมดา พอสมมุติขึ้นว่าเป็นเงินไอ้หลังลายนี้ ตาลุกวาวทั่วโลก คนกำลังเป็นบ้ากับไอ้หลังลายเวลานี้
นี่ละเอาธรรมตวาดเสียบ้าง กระตุกเสียบ้าง เหยียบเบรกเสียบ้าง มันจะตายเพราะไอ้หลังลาย ตั้งขึ้นมาแล้วก็เป็นอำนาจเหยียบเจ้าของๆ จนไม่มีที่หลับที่นอนที่อยู่ เพราะความดีดความดิ้นมันหมุนตัวตลอดเวลา นั่นละเราเทียบโลกเทียบธรรม ธรรมมีมากมีน้อยสงบแน่วๆ เรื่อยจนกระทั่งพอเต็มเหนี่ยว ธรรมพอเต็มที่แล้ว คือจิตที่บริสุทธิ์สุดส่วน จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว นั่นละสุดส่วนแล้ว พอด้วยความเลิศเลอ พอก็พอนอกสมมุติไปแล้ว ไม่ได้พอแบบโลก พอแบบโลกพอแล้วก็บกพร่อง สมมุติว่าเรารับประทานตอนเช้านี้อิ่ม พอตอนบ่ายมาหิวอีกแล้ว มันไม่พอมันหิวอีกแล้ว ส่วนธรรมนี้ไม่หิว พอตลอดๆ ตามขั้นๆ เรื่อยไป จนกระทั่งถึงจิตที่บริสุทธิ์เต็มเหนี่ยวแล้วพอสุดยอด
ไม่มีงานอะไรอีกแล้วสำหรับท่านผู้ชำระ งานนี้ก็คืองานของกิเลส งานของวัฏวน มันหมุนอยู่กับหัวใจ ทีนี้พอธรรมกำจัดออกๆ สิ่งเหล่านี้ก็หมุนน้อยลงๆ ละเอียดลง ธรรมะชะล้างๆ จนกระทั่งถึงล้างสะอาดสุดยอดแล้ว กิเลสขาดสะบั้นไปหมดแล้ว นั่นเรียกว่าหมดงาน พระอรหันต์ท่านไม่มีงาน งานที่จะเข้ามาสวนภายในจิตใจให้เกิดความกังวลวุ่นวายดังที่โลกทั้งหลายเป็นกันอยู่ทั่วดินแดนนี้ท่านไม่มี นั่นละท่านว่าเป็นบรมสุข ตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้ว เรื่องความทุกข์แม้เม็ดหินเม็ดทรายจะเข้าไปแทรกในจิตดวงนั้นไม่มี เพราะนั้นเป็นสมมุติทั้งหมด อันนี้เป็นวิมุตติ เข้ากันไม่ได้ คนละฝั่งแล้ว
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าประกาศ เป็นยังไงเราเป็นลูกชาวพุทธ พากันคิดบ้างไหมเกี่ยวกับเรื่องธรรมของพระพุทธเจ้า หรือคิดตั้งแต่เรื่องศาสดาองค์เอกของกิเลสงั้นเหรอ ความโลภก็ศาสดาองค์เอก เอาคนให้จมได้ ความโกรธศาสดาองค์เอก เอาคนให้จมได้ ราคะตัณหาเอาคนให้จมได้ นี้คือเรื่องของกิเลส พาโลกให้หมุนเวียนและพาให้ล่มจมอยู่เวลานี้จะเป็นอะไรไป ธรรมไม่มีที่จะพาโลกให้ล่มจม มีแต่ความสงบร่มเย็นไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นเต็มตัวแล้วดังพระอรหันต์ท่านไม่มี หมดโดยประการทั้งปวง ความพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงอยู่ตามเรื่องของธาตุของขันธ์ มันเป็นสมมุติอันนี้ สมมุติต่อสมมุติมันก็เข้ากันได้ธรรมดา เช่น เจ็บท้อง ปวดศีรษะ เจ็บไข้ได้ป่วย นี้เป็นเรื่องของขันธ์ มันก็เป็นของมันอยู่ในขันธ์นี้ แต่ไม่สามารถที่จะซึมซาบเข้าไปหาจิตดวงที่บริสุทธิ์แล้วนั้นให้กระวนกระวายหรือเป็นทุกข์ด้วยได้เลย
ธรรมนี้เลิศขนาดไหนโลกมันไม่อยากมองนะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วว่าจะสั่งสอนโลก ทรงท้อพระทัย ก็เพราะว่าดึงจะไม่ไหว ดึงไม่ขึ้น มันหนักมาก พระพุทธเจ้าท่านทรงท้อพระทัย พอดีดผึงขึ้นไปแล้วไม่ได้เหมือนอะไรนี่ธรรมชาตินั้น ไม่เหมือน หมดทุกอย่างไม่เหมือนอะไรเลย ทีนี้บรมสุขนี้หมายถึงว่าสุขตลอดไป ท่านเรียกว่านิพพานเที่ยง สุขประเภทนี้เที่ยงตลอดเลย ไม่มีอะไรกังวลตลอดอนันตกาล ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง คือจิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วเที่ยงอยู่ในหัวใจ เวลามีธาตุมีขันธ์อยู่ใจบริสุทธิ์ เช่นใจพระอรหันต์อย่างนี้ พอธาตุขันธ์นี้พังลงไปแล้ว อันนั้นเป็นธรรมธาตุไปเลย เรียกว่าธรรมธาตุ
ธรรมเหล่านี้สดๆ ร้อนๆ ประกาศกังวานอยู่กับหัวใจทุกคนนะ ถ้าจะฟังจะสนใจปฏิบัติ ตลาดแห่งมรรคผลนิพพานอยู่กับหัวใจท่านทั้งหลาย และแดนแห่งนรกก็อยู่กับหัวใจเราคนเดียวนั้นแหละ แล้วแต่จะพลิกไปแดนนรก พลิกไปแดนสวรรค์ นิพพาน ไปได้ทั้งนั้นหัวใจดวงนี้ ขอแต่ได้รับการอบรมในทางที่ถูกที่ดี ไปได้ ถ้ากิเลสได้เสี้ยมสอนจมได้ด้วยกันทั้งนั้น ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ
เราจวนจะตายแล้วก็ยิ่งเป็นความห่วงใยกับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ที่จะมาห่วงใยเรา เราพูดชี้นิ้วเลยไม่มี บอกตรงๆ ถึงจะดีดจะดิ้นกับประชาชนอยู่ทั่วดินแดน อย่างที่พึ่งกลับมาวันนี้แล้วก็จะไปกรุงเทพอีกแล้ว ดิ้นอย่างนี้ก็ตามเราไม่มีอะไรกับโลก ดิ้นมาได้มาก็เพื่อสงเคราะห์โลกทั้งนั้นเราไม่เอาอะไร ดูกิริยาเขาว่าดีดดิ้นมากทุกข์มาก เราไม่ได้ทุกข์ในใจ ไม่มี มีแต่เป็นไปด้วยความเมตตา ได้มามากน้อยก็เฉลี่ยเผื่อแผ่เพื่อโลกสงสาร ให้พออยู่พอบรรเทาทุกข์ไปบ้างๆ อย่างนั้นแหละ ดังที่เราทำอยู่ทุกวันนี้นะ เราไม่เอาอะไรบอกชัดเจน ไม่มีอะไรที่จะเอาอีก ท่านจึงเรียกว่าพอ ไม่มีอะไรที่จะเข้าไปจับติดเลยกับธรรมชาติที่บริสุทธิ์นั้น เป็นส่วนเกินทั้งนั้น เพราะนอกนั้นเป็นสมมุติทั้งหมด ติดเข้าไปปั๊บตกผล็อยๆ
เหมือนน้ำตกลงบนใบบัว น้ำตกลงบนใบบัวแล้วกลิ้งตกไปฉันใด กิเลสตั้งขึ้นในจิตพระอรหันต์กลิ้งตกไปทันทีทันใดเช่นเดียวกัน คำว่าพระอรหันต์สิ้นกิเลสแล้วมีกิเลสตัวใดมาตั้ง กิเลสสมมุติมันแฝงอยู่กับจิต ธาตุขันธ์เป็นส่วนสมมุติ ปรุงแต่งออกมาก็เป็นสมมุติ เกิดแล้วดับพร้อมๆ ไปเลย ท่านไม่เป็นอารมณ์ ไม่กดถ่วงจิตใจท่าน พากันเข้าใจ
ตลาดแห่งมรรคผลนิพพานอยู่กับหัวใจทุกคนนะ เราอย่าไปมองโน้นมองนี้ ผิดทั้งเพ แดนนรกก็ดูที่หัวใจที่มันกำลังหมุน มันจะหมุนไปทางไหนให้ดูใจตัวเอง ถ้าหมุนไปทางชั่วนั้นละมันจะลงนรก ไอ้ที่ว่านรกมีหรือไม่มี ตัวหมุนนี่มันบอกอยู่แล้วจะไม่มีได้ยังไง ทุกข์มากทุกข์น้อยมันเห็นอยู่ในหัวอกเราตั้งแต่ยังไม่ตาย บางคืนนอนไม่หลับ มันหมุนของมันตลอดเรื่องกิเลสหมุนหัวใจคน บางทีจนเป็นบ้าไปเลย มันหมุนจนเป็นบ้า นรกมีหรือไม่มี นี่นรกในหัวอกของมนุษย์เรา ดูอันนี้ก่อน นรกในเมืองผียิ่งเก่งกว่านี้อีกอย่าไปพูดนะ จะให้กิเลสมันหลอกงั้นเหรอ
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ตรัสรู้ขึ้นมาบอกชัดเจนด้วยกันไม่มีคลาดเคลื่อน ว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี เปรตผีประเภทต่างๆ มี นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ทรงรู้แจ้งเห็นจริงแล้วนำมาสอนโลก กิเลสมันหลับหูหลับตาปฏิเสธ ลบล้าง แล้วก็มันนั่นแหละพาให้โลกจม จมลงได้เพราะกิเลสหลอกสัตว์โลก ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ
นี่เราก็สุดความสามารถแล้วที่อุตส่าห์ช่วยโลกมานี้ ได้ทองคำมาแล้วก็ยังไม่จุใจนะ จึงได้รบกวนพี่น้องทั้งหลายบิณฑบาตขอนั้นขอนี้ เดี๋ยวนี้เป็นประเภทน้ำไหลซึม ขอเล็กขอน้อยอยู่งั้น นี่ขอเพื่อหัวใจพี่น้องชาวไทยเราทั้งประเทศนะนี่ ขอนี่เพื่อจะเข้าเป็นจุดศูนย์กลางอยู่ในคลังหลวงของเรา เมื่อสมบัติเฉพาะอย่างยิ่งทองคำมีมากเท่าไร ทุกสิ่งทุกอย่างจะมีค่ามีราคา แข็งตัวขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับทองคำ เราพิจารณาทุกอย่างแล้วที่จะพาพี่น้องทั้งหลายออกก้าวเดิน เราไม่ได้ทำสุ่มสี่สุ่มห้านะทำอะไรก็ดี เราทำด้วยความพินิจพิจารณาเรียบร้อยแล้ว
ดังนำพี่น้องทั้งหลายมานี้ เอา ใครมาติเตียนเราว่าไม่บริสุทธิ์ ติเตียนเราที่ตรงไหนๆ ว่านำชาติบ้านเมืองและทำชาติบ้านเมืองให้จมไปด้วยวิธีการใดบ้าง เอา ให้ว่ามา เราไม่มีเราบอกจริงๆ นี่เราพิจารณาโดยธรรม จะออกทางด้านไหนๆ เราจะเป็นคนแนะคนบอกๆ จากการพิจารณาทางใจเรียบร้อยแล้ว ออกทางด้านไหนๆ แล้วธรรมะที่จะออกสู่โลกจะได้ออกคราวนี้ นั่น คราวที่นำสมบัติเงินทองข้าวของเข้าสู่คลังหลวงของเรา แล้วเฉลี่ยไปทั่วประเทศไทย นี่เป็นฝ่ายวัตถุจะออกในระยะนี้ ในขณะเดียวกันธรรมจะออกไปพร้อมๆ กัน
ธรรมนี้โลกไม่ได้คิด ว่าธรรมจะออกในเวลาช่วยชาติบ้านเมือง เราคิดเต็มหัวใจแล้ว ผิดไหมที่เราพูดนี้คิดนี้ผิดไหม ธรรมนี้จะออกกระจายสู่โลกคราวนี้แหละ คราวที่เรานำพี่น้องทั้งหลายออกช่วยชาติบ้านเมืองซึ่งเป็นด้านวัตถุ คนจะมองแต่วัตถุเขาไม่ได้มองธรรม เรามองธรรมเป็นอันดับหนึ่ง วัตถุเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ธรรมเป็นเรื่องใหญ่โตมากที่จะเข้าสู่หัวใจคน เรามองนั้นต่างหาก
เวลานี้เทศนาว่าการก็ปรากฏว่า วิทยุทั่วประเทศไทยแล้ว มีแต่ธรรมทั้งนั้นออก เมื่อธรรมออกไปแล้ว จิตใจได้รับธรรมก็จะค่อยสงบร่มเย็นๆ เราคิดมาหมดแล้ว ทำมาอย่างนี้ผิดไหมล่ะพิจารณาซิ ไม่ได้ปรึกษาใคร เราจะปรึกษาในหัวใจของเราเอง พิจารณาอยู่ในหัวใจ ถ้าว่าปรึกษาก็ปรึกษาในหัวใจเราเองไม่ปรึกษาใคร การนำพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทยเราไม่เคยไปปรึกษาใครเลย ที่ว่าจะทำวิธีใดๆ เราไม่เคยมี พิจารณาเต็มสัดเต็มส่วนแล้วออกๆ เรื่อยเลย
ตั้งแต่เบื้องต้นเราก็เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เวลาบ้านเมืองเราจะล่มจมปี ๒๕๔๐ นั่น มองไปทางไหนใครจะเป็นผู้นำชาติไทยของเราพอจะฟื้นขึ้นมาได้ มองไปที่ไหน โล่งตรงนี้ปิดตันตรงนั้น มองตรงนี้ทะลุไปนี้ปิดตันตรงนั้นปิดตันตรงนี้รอบตัวเลย แล้วไม่มีทางที่จะไป จึงย้อนเข้ามาพิจารณาเจ้าของ เราจะเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลาย จะปิดตันแบบเดียวกันหรือไม่ พิจารณา ไม่ปิด นั่นเห็นไหมล่ะ ไม่กว้างแต่เป็นช่องทะลุ เหล่านั้นโล่งๆ โล่งปิดตันๆ นี้เป็นคุณนั้นเป็นอันตรายข้างหน้าๆ พิจารณา เราพิจารณาไปนี้มีแต่คุณล้วนๆ ถึงไม่กว้างก็ทะลุ ถึงได้ออกปากว่า เอา เราจะเป็นผู้นำ นั่นเห็นไหมล่ะ เราไม่ได้ปรึกษาใคร ปรึกษาจิตตัวเองก็ว่าได้ไม่ผิด เราพิจารณาในตัวของเราเอง เพราะฉะนั้นงานช่วยชาตินี้เราจึงไม่เคยไปปรึกษาหารือใครว่าจะทำยังไงๆ ไม่มี เราพิจารณาในใจของเรา หรือว่าปรึกษาหัวใจของตนเอง
ตลอดคำเทศนาที่นำมาสอนโลก เราไปปรึกษาใคร เทศน์เรื่อยไปอย่างนี้แหละ เป็นแต่เพียงว่าไม่ตั้ง นโม นโมคือความนึกนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ภายในจิตใจแล้วเทศน์เลย ที่ว่า นโม ก็คือความนอบน้อมแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แปลแล้วว่างั้น นึกน้อมภายในจิตแล้วก็ออกเทศน์เลยๆ มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ธรรมเทศนาที่เรานำมาเทศน์ถอดออกมาจากหัวใจด้วยนะ หัวใจนี้ไม่ต้องพินิจพิจารณา บริสุทธิ์เต็มสัดเต็มส่วน ออกแง่ไหนบริสุทธิ์ทั้งนั้น ถูกต้องทั้งนั้น
การเทศนาว่าการให้พี่น้องชาวไทยเรา เราเปิดหัวอกเลย ไม่ผิด บอกตรงๆ ตั้งแต่ธรรมพื้นๆ ถึงนิพพาน เราเทศน์ถึงขนาดถึงนิพพานเลยนะ บางรายเขาก็ว่าเป็นปาราชิก หลวงตาบัวเป็นปาราชิก ขาดจากภิกษุเพราะอวดอุตริมนุสธรรม จะฟ้องหลวงตาบัวให้ขาดจากพระ เพราะเป็นปาราชิกแล้ว เราไม่มีอะไรจะตอบรับ ก็บอกว่าให้ยกโคตรมาฟ้องเลย มีกี่โคตรให้ยกมาฟ้อง จนป่านนี้มันตายหมดทั้งโคตรแล้วท่าไม่เห็นมาฟ้องเลย ไอ้เราก็เทศน์วากๆ อยู่นี้จะว่าไง ก็มันจ้าอยู่ในนี้แล้วจะให้ว่าไง ไปหาใครมาเป็นพยาน
พระพุทธเจ้าตรัสรู้เพียงพระองค์เดียวเอาใครมาเป็นพยาน เป็นศาสดาสอนโลกได้ทั้งสามโลกธาตุ ธรรมประเภทเดียวกัน ผู้รู้กับธรรมเข้ากันเป็นอันเดียวกันแล้วจ้าได้ด้วยกัน สอนได้ด้วยกัน ทำไมจะสอนโลกไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้เพื่อสอนโลก สาวกทั้งหลายเป็นสาวกพระพุทธเจ้าก็เพื่อสอนโลกเหมือนกัน เราก็นำธรรมอันเดียวกันมา สอนเราได้ทำไมสอนโลกไม่ได้ล่ะ พิจารณาซิ นี้เราบอกว่าเราสอนเราได้ เราหมดเรื่องพยศภายในจิตใจไม่มีเลย หมดโดยสิ้นเชิง ก็มีแต่กิริยาของขันธ์ดีดดิ้นไปเวลายังมีชีวิตอยู่ เอ้อ ดีนะ พอได้ทองคำ เอ้อ พอใจนะ ถ้าได้ถึงสี่บาทห้าบาท เอ้อ เข้ากับหนองกะปาดได้ มันก็ไปของมันอย่างนั้นต่างหาก พากันจำเอานะ
วันนี้เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา ท่านทั้งหลายทำบุญกุศลมากน้อย ให้อุทิศส่วนกุศลถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรานะ ท่านเป็นพ่อของชาติบ้านเมือง ไม่มีใครที่จะให้ความร่มเย็นยิ่งกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา ไม่มีเรื่องมีราวอะไรเลยกับประชาชนทั้งประเทศ ฟังให้ดี เขากราบไหว้บูชาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกันทั้งประเทศในเมืองไทยของเรา เพราะท่านให้แต่ความร่มเย็นโดยถ่ายเดียว ที่เป็นพิษเป็นภัยที่จะทำความเดือดร้อนแก่ประชาชนในขอบเขตของพระองค์ที่ทรงเมตตาปกครองอยู่นั้นไม่มีเลย นั่นฟังซิน่ะ เราจะหาผู้ใดมาให้ความร่มเย็นเป็นสุขยิ่งกว่านี้ อย่างอื่นมีเรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายตลอดนะทางโลก
อย่างตั้งรัฐบาลมา แยกเป็นรัฐบาลเหมือนว่าลูกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มันก็กัดกันเหมือนหมารัฐบาลก็ดี จะไม่เหมือนหมายังไง เวลามันกัดเหมือนหมาก็ต้องบอกเหมือนหมา เวลามันหยุดกัดกันมันเป็นคนก็บอกเป็นคนจะผิดไปไหนใช่ไหม เป็นอย่างนั้นนะ ก่อเรื่องนั้นก่อเรื่องนี้อยู่ไม่หยุดไม่ถอย ประชาชนเลยจะตาย มีแต่ความเดือดร้อนจากเรื่องที่ว่ารัฐบาลปกครองบ้านเมือง มันปกครองยังไงถึงได้เกิดความเดือดร้อนเอานักหนา ประชาชนจนจะเป็นจะตาย ส่วนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้ใด เอามาเทียบเดี๋ยวนี้ซิ หาความจริงซิ อย่าพูดแบบด้นเดาเกาหมัด พิจารณาซิ
วันนี้เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา จึงขออุทิศส่วนกุศลจากท่านทั้งหลายที่บริจาคเรียบร้อยแล้ว ถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พากันจำเอานะ เอาละจบแล้วไม่ต้องเอวัง
ผู้กำกับ การ์ตูนเกี่ยวกับวิษณุ (ฟังๆ การ์ตูน) นี้เป็นหนังสือการ์ตูนนะครับ หลวงตาอนุญาตให้ลูกศิษย์ฟังได้ อันนี้เขาวาดเป็นรูปคนอ้วน แล้วก็ถือหมูหันมา ที่หมูหันเขียนว่า กสช. (กสช. มันแปลว่าไง) กสช. การสื่อสารแห่งชาตินะครับ ที่เขายุบไปแล้วนะครับ เขาก็มาให้คนหน้าเหลี่ยม เป็นเจ้านายนั่งอยู่ แล้วเขาเขียนว่า พอหมูหันมาคนหน้าเหลี่ยมโบกมือคล้ายๆ ว่าเหมือนกับอิ่ม บอกว่า ไม่ใช่เพราะอิ่มวิษณุ กินไม่ได้เพราะมันสว่าง (กินวิษณุอะไร) ก็คนที่มาเนี่ย อ้วนๆ เนี่ยชื่อวิษณุ แล้วบอก ไม่ใช่เพราะอิ่มวิษณุ แต่กินไม่ได้เพราะสว่าง มันกินกลางวันคนเห็นเยอะ ชอบกินมืดๆ (กินมืดๆ พวกนี้ชีวิตมืด กินแจ้งๆ ไม่ได้ ต้องกินมืดๆ ชีวิตอับเฉามากพวกนี้หากินมืดๆ นะ เอ้าว่าไป)
อันนี้เขาบอกว่าดูหน้าทักษิณช่วงนี้แล้วเปลี่ยนไปแยะเลยนะ แล้วเพื่อนบอกว่า เปลี่ยนไปยังไง ไม่เหลี่ยมเหมือนเดิม ปรกติหน้าจะเป็นเหลี่ยมๆ ไม่เหลี่ยมเหมือนเดิม แล้วเพื่อนก็บอกว่า จะให้เหลี่ยมเหมือนเดิมได้ไง โดนสนธิลบเหลี่ยมไปจนหมดแล้ว (เข้าท่าดี แน่ะเขาก็แก้ไปยังงั้น) จบแล้วครับ
หลวงตา ที่พูดอยู่นี้ออกวิทยุทั่วประเทศไทยเลยนะ ออกวิทยุทั่วประเทศไทยประจำๆ ไปอำนาจฯไม่ได้ออกนะ หรือเขาออกทางโน้นอีก (ออกครับ ออกตลอดละครับ) ไปเทศน์โน้นก็ออก (ออกทุกวันละครับตอนนี้) นั่นซิเขาออกแบบไหนน่ะ (เขาออกทางวิทยุนี้เขาเอามาเลยครับ เขาจัดการ เดี๋ยวนี้ทันสมัยครับ ไปที่ไหนออกได้หมดครับ) ยังออกอยู่นะ ไปนี้ก็ยังออกอยู่เรื่อย ก็พิลึกจริงๆ นะล่ะเรา เทศน์ที่ไหนออกตลอดเลยทั่วประเทศๆ
อย่างวันนี้ก็เทศน์แล้วนี่ ก็มีเผ็ดร้อนบ้างนิดหน่อย ออกแล้วทั่วประเทศเหมือนกัน ออกเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของพวกเราพี่น้องชาวไทย เย็นที่สุดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองแผ่นดินไทยของเรา ให้ความร่มเย็นแก่พี่น้องชาวไทย ไม่ปรากฏว่าพระองค์ได้ไปทำความเดือดร้อนแก่ผู้หนึ่งผู้ใด มีแต่พระเมตตาธรรมของท่านกระจายทั่วดินแดนเมืองไทยเรานี้ นั่นพิจารณาซิ ท่านปกครองแบบไหนนั่น นั่นละปกครองแบบธรรมเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าปกครองแบบพุ่งใหญ่ๆ หลวงๆ สะแตกอยู่ทุกแห่งทุกหน กินหมดไม่ว่าที่ลับไม่ว่าที่แจ้ง กินได้กินเอา เป็นบ้ากินบ้ายศบ้าลาภบ้าอำนาจ เป็นอย่างนั้น ร้อนหมดประชาชน
(เมื่อคืนท่านให้พระบรมราโชวาท คล้ายๆ หลวงตาเหมือนกันเรื่องฟ้องร้องอะไรนี้ ท่านว่าท่านไม่ชอบอย่าฟ้องร้องกันเลย ให้สามัคคีกัน) ก็ถูกแล้วนี่นะ (ถูกครับ หลวงตาพูดไว้ล่วงหน้าแล้ว) ที่จะให้คุณทักษิณกับคุณสนธิมานี้ ก็คือจะพูดเรื่องนี้เองละ มันรำคาญเลยจะตายพี่น้องชาวไทยแบกแต่กองทุกข์ พวกนี้สร้างฟืนสร้างไฟมาเผากัน การทะเลาะเบาะแว้งเป็นถ้อยเป็นความเป็นของดีเมื่อไร เป็นฟืนเป็นไฟ เราจึงจดหมายไปถึงนายกฯให้มา แล้วก็คุณสนธิให้มา จะได้พิจารณาให้เต็มเหนี่ยวเวลามาแล้วพูดกันให้เต็มเหนี่ยว แต่นายกฯท่านไม่ได้มา มาแต่คุณสนธิ นี่ก็พูดมาแล้วว่าท่านจะหาโอกาสมาหาเราโดยเฉพาะที่สวนแสงธรรมว่างั้น
ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประทานพระโอวาทนั้นเหรอ นี้ก็ประทานเป็นธรรมล้วนๆ เลย เราก็ธรรมของเราออกมาก็ต้องเป็นแบบเดียวกัน ที่จะไปยุแหย่ก่อกวนทำลายต่างๆ ไม่ใช่ธรรม ธรรมต้องประสับประสานๆ อะไรที่มันร้าวมันอะไรไปให้รีบเยียวยาประสับประสาน ที่ดีใช้กันไป ที่ไม่ดีให้ซ่อมแซม ไม่ได้บอกว่าที่มันร้าวไม่ดีแล้วให้ทับเลยๆ ไม่มีในธรรม แต่เรื่องกิเลสมีตลอดนะเข้าใจไหม (ท่านบอกนักกฎหมายชอบแนะนำให้เขาฟ้องกันขึ้นโรงขึ้นศาล) ก็นั่นแล้วจากนักกฎหมายก็เราก็บอกแล้วเนี่ย กฎหมอย กฎหมัด กฎหมา กดขี่บังคับ
ก็เราออกหมดแล้วนี่ มันเอากฎหมายออกหน้าเท่านั้น กฎหมอยมันล้อมรอบเลย กฎหมอย กฎหมา กฎหมัด กดขี่บังคับมันออกอย่างนั้นนะ นี่เราออกไปแล้ว เราไม่ใช่นักกฎหมายเข้าใจไหม เราก็ออกไปได้แบบนั้น เพราะเราไม่รู้กฎหมายไม่ทราบกฎหมายออกยังไงไม่รู้ เราก็ออกแบบกฎของเราไป กฎของเราเป็นอย่างนั้น กฎของเรามีทั้งกฎหมายมีทั้งกฎหมอย กฎหมา กฎหมัด กดขี่บังคับรอบไปหมดเลย
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|