เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
เข้าสมาธิภาวนาระงับขันธ์
พระวัดนี้กำลังออกปฏิบัติ จะออกไปไหนมาไหนได้จี้กันเสียก่อนนะ จะไปทางไหน ถ้าไม่มีทิศมีทางไปหาอะไร ไปโกโรโกโส ถ้าไม่มีทิศมีทางแล้วโกโรโกโสไป จะไปทางนั้นมีจุดมุ่งหมายปุ๊บๆ ส่วนมากพระวัดนี้ไปทางภาคเหนือมาก เอ้อๆ ให้ทันทีเรา จับก้นไสไปด้วย ก็ทางภาคเหนือมีแต่ที่สงบสงัดนี่นะ เราก็เคยไปมาแล้วด้วย แล้วพ่อแม่ครูจารย์ว่าไงล่ะที่เชียงใหม่ ภาคเหนือ พระที่เพชรน้ำหนึ่งสำเร็จมาจากภาคเหนือน้อยเมื่อไร หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว หลวงปู่มั่น ออกจากภาคเหนือทั้งนั้นนะ เพราะป่าเขาลำเนาไพรเป็นที่สะดวกสบาย ส่งเสริมได้เป็นอย่างดี
นอกนั้นจะเป็นองค์ไหนบ้าง ที่ทราบชัดๆ ก็คือหลวงปู่ตื้อ นั่นเห็นไหมล่ะ ยิ่งมากขึ้นๆ นะ นี่เพชรน้ำหนึ่งทั้งนั้นที่ว่าเหล่านี้ หลวงปู่ตื้อนี้อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ โอ๋ย เหลืองอร่ามคล้ายกับทองคำนะ เราไปดูเอง หลวงปู่พรหม หลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว หลวงปู่ตื้อ ที่ภาคเหนือ ๕ องค์ ภาคนอกนั้นมีที่ไหน ภาคเหนือเป็นที่หนึ่งเลย เพราะฉะนั้นเวลาพระลาเราจะไปเที่ยว เราต้องถามซิไปทางไหนทิศไหน ส่วนมากวัดนี้ไปทางภาคเหนือ เราบอก เอ้าๆ ไป ว่างั้นเลย
นั่นละพระท่านผู้หาอรรถหาธรรม ท่านจะไปหาที่เหมาะสม สถานที่เหมาะสมในการบำเพ็ญธรรมก็คือในป่าในเขาที่สงบงบเงียบ นั่นเป็นที่สะดวกสบายในการบำเพ็ญธรรม พระที่เป็นเพชรน้ำหนึ่งมาจากภาคเหนือที่จำได้ตั้ง ๕ องค์ ไม่ใช่เล่นๆ นะ แล้วองค์ที่ชื่อเสียงโด่งดังๆ เสียด้วย นอกจากเพชรน้ำหนึ่งแล้วชื่อเสียงท่านโด่งดังขจรไปหมดที่ไหนก็ดี ท่านอาจารย์พรหมก็ดูเหมือนจะอยู่ทางแม่ปั๋ง หลวงปู่ขาว ดงขอด ท่านเล่าให้ฟัง ดงขอดไปทางอำเภอแม่แตงละมั้ง นี้มีแต่ป่าแต่เขาทั้งนั้นนะ อาจารย์พรหมก็อยู่ทางแม่ปั๋งละท่า
เวลาเราไปกราบเยี่ยมหลวงปู่แหวนนั้น มีฆราวาสเขาชี้บอกสถานที่ท่านอยู่ จากวัดดอยแม่ปั๋งไปทางตะวันออก หลวงปู่พรหมท่านมาพักอยู่ที่นี่ว่างั้น เราก็ดูที่นั่น เป็นป่าทั้งนั้นแหละ หลวงปู่ตื้อก็อยู่ทางเชียงใหม่เป็นประจำ รู้สึกว่าอยู่นานๆ ส่วนหลวงปู่แหวนก็อยู่จนกระทั่งมรณภาพ เพราะเป็นที่สะดวกสบาย อากาศปลอดโปร่งสำหรับธรรม เข้าใจไหม ปลอดโปร่งอย่างพวกเราไม่ได้นะ
พ่อแม่ครูจารย์มั่นพูดนี้ โอ๋ย เราจะทะลักออกมาไอ้เรื่องหัวเราะ มันขบมันขันท่านพูด ท่านพูดเฉยนะ ไอ้เรามันดิ้นตาย ทั้งๆ ที่ท่านสับอยู่มันก็เพลินไปกับคำสับนั้น อู๊ย น่าฟังนะท่านพูดเฉย หาใครจะใช้กิริยาอย่างหลวงปู่มั่นนี่ เราที่ผ่านมารู้สึกว่ายังไม่ปรากฏ ท่านพูดเช่นอย่างที่ว่านี่ ท่านพูดสบาย เฉย ไอ้ผู้ฟังมันจะตาย เหมือนว่าท่านสับลงๆ แต่เฉยท่าน พวกเราผู้ฟังเลยจะตาย ท่านพูดถึงเรื่องกรรมฐานเรา ท่านว่ากรรมฐานอากาศ จะไปที่ไหนมีคนเคารพนับถือมาก ปิ่นโตเป็นเถาๆ มา แกงหม้อใหญ่ๆ มา ที่นี่อากาศดีนะโยม อากาศปลอดโปร่งดี แต่ท่านไม่หัวเราะนะ เรามันจะตายซี อากาศปลอดโปร่งดีนะโยม สะดวกสบายทุกอย่าง ถ้าไปที่ไหนอาหารการขบฉันขาดแคลน อู๊ย ที่นี่อากาศทึบ หายใจไม่สะดวก ว่างั้นนะท่านพูด แต่ท่านพูดเฉย ผู้ฟังมันจะตายซิ
พ่อแม่ครูจารย์มั่นพูดนี้จะไม่มีใครเหมือนนะ กิริยาที่น่าขบขันน่าหัวเราะท่านไม่หัวเราะนะ ท่านพูดเฉย ไอ้เรามันดิ้นตายอยู่ภายใน เรายิ่งเป็นนิสัยลิง ท่านตีทางโน้นทางนี้ยังสนุกดิ้น ดิ้นจะหัวเราะนะ ต้องบังคับจริงๆ ท่านพูดเฉย แต่เนื้ออรรถเนื้อธรรมนี้สับลงยำลง เป็นเครื่องสะดุดใจๆ ให้ตื่นเนื้อตื่นตัว มันต่างกันนะ เรานี่ไม่ได้ถ้าสิ่งที่น่าขบขันมันหัวเราะก่อนแล้ว ยังไม่ได้พูดหัวเราะก่อนแล้ว แต่ท่านพูดเฉย มันขบขัน เท่าที่เราผ่านมานี้หลวงปู่มั่นนี้เป็นอันดับหนึ่งเลย ทุกอย่างการวางตัวกิริยามารยาทสวยงามหมดเลย
หลวงปู่ฝั้นนี้นุ่มนวล เหมือนช้างเดินลงทุ่งนา ท่านอาจารย์ฝั้นกิริยาอาการของท่านนุ่มนวล สำหรับพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ไปอีกแบบหนึ่งที่ไม่มีใครเหมือน ที่ท่านจะพูดมีตลกขบขันอะไรนี้ไม่มีนะ แต่มีคนพูดตลกขบขันท่านก็หัวเราะด้วยเหมือนกัน แต่ท่านไม่หาพูดเรื่องขบขัน นอกจากอากาศโปร่งสบายดี ก็มีเท่านั้นละท่านตีพระ ครั้นเวลาสรุปลงแล้ว มันไม่ได้สะแตก เห็นไหมล่ะ หยาบไหมท่านพูด คำว่าสะแตกนี้เป็นน้ำหนักของธรรมตีกิเลส เข้าใจเหรอ ถ้าที่ไหนมีคนเคารพนับถือมาก ปิ่นโตเป็นเถาๆ มา แกงหม้อใหญ่ๆ มา โห ที่นี่ดีนะโยม อากาศปลอดโปร่งดี ถ้าที่ไหนอาหารบกพร่องขาดแคลน ที่นั่นอากาศทึบ หายใจไม่สะดวก เวลาท่านสรุปมานั้น มันไม่ได้สะแตก นั่นเห็นไหมล่ะ จะว่าท่านพูดหยาบหรือนั่น มันไม่ได้สะแตก คือท่านพูดให้ถึงใจ คือธรรมถึงใจ ตีกิเลสให้ถึงกิเลส เข้าใจไหมล่ะ
ท่านไม่ได้ไปเล็งนะว่าพูดหยาบคายเหมือนอย่างโลกถือกัน กิเลสมันสงวนตัวมัน กิเลสตัวหยาบคายที่สุด เวลาพูดออกไปกลัวจะไปโดนมัน มันก็หาว่าพูดหยาบคายอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นละจอมปราชญ์พูดเห็นไหมล่ะ เอาตัวอย่างมาอย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้ เวลาท่านสรุปลงมา มันไม่ได้สะแตก ท่านว่า คำว่าสะแตกคือว่าเป็นน้ำหนักของธรรมตีกิเลสตัวเห็นแก่ปากแก่ท้อง ท่านไม่ได้ไปคิดถึงเรื่องความหยาบโลน หรือเอาเจตนาหยาบโลนมาพูดเหมือนประชาชน เหมือนโลกทั่วๆ ไป มันต่างกัน
หลวงปู่แหวนนี้เราไม่ได้ไปพักกับท่านนาน ไปพักก็พักค้างคืนเท่านั้น ไปกราบเยี่ยมท่านไปพักค้างคืน อู๊ย ท่านรื่นเริงมากนะล่ะ รู้สึกท่านรื่นเริง ตอนสุดท้ายนี้แหละต่อจากนั้นดูเราไม่ได้ไปอีกนะ งานถวายเพลิงท่านเราดูว่าไปก่อนวันถวายเพลิง เพราะตอนนั้นคนจะมาก เราไปก่อน ไปหาท่านตอนที่ว่าเอากันถึงพริกถึงขิงนั้น นี่ละตอนที่หายสงสัยเกี่ยวกับท่าน ท่านปรากฏชื่อลือนามทางด้านอรรถด้านธรรมมานาน เราจะว่าทิฐิสูงก็สูงจรดเมฆนู่นน่ะ ถ้ายังไม่เข้าถึงกันเสียก่อนยังไม่ลงง่ายๆ นะ ถ้าว่าเชื่อก็ไม่เชื่อง่าย เอาเหตุเอาผลจับกันเลย ถ้าลงเจอกันอย่างจังๆ แล้ว ลงๆ ตลอดเลยที่นี่
อย่างหลวงปู่แหวนนี่ขึ้นไป ไปทีไรคนรุมๆ พอเราไปปั๊บนี้ยิ่งเป็นโอกาสของเขาที่เขาจะได้เข้ากราบเยี่ยมท่าน เพราะเราไปแล้วได้เข้าเลยนี่ ทีนี้ก็เลยไม่มีโอกาสที่จะพูดธรรมะอันลึกลับนั่นซี ก็พูดทั่วๆ ไปเสีย เวลาท่านเทศน์ก็เทศน์ทั่วๆ ไปเสีย วันนั้นจะเอาเพราะพยายามมันผิดพลาดมาสองหน หนที่สามจะเอาให้ได้ พอไปประชาชนเขามารถบัสใหญ่ๆ จอดอยู่ โหยไม่ทราบว่ากี่คัน เต็ม เขาเข้าไม่ได้ อีตาหนูตัวเสือโคร่งใหญ่เสือเทวทัตมันขวางกั้นอยู่นั้น มันต้องเป็นผู้ชี้ขาด จะเข้าหาท่านได้ไม่ได้อยู่กับมันคนเดียว ถ้าเราไปแล้ว โอ๋ย มันไม่ได้มาขวางแหละ มันกลัวมากอยู่นะ อีตาหนูกลัวเรามากจริงๆ จะทำอะไรจะเป็นคนจัดแจงให้เรียบร้อยๆ อย่างหนึ่งไม่เข้ามาใกล้เลย เรามาเราก็บึ่งเข้าเลย แต่ถ้าพบกับเราก็ต้องเป็นผู้บริการเราตลอด การเข้าหาท่าน
วันที่จะได้เอากันจังๆ ก็คือเวลาญาติโยม พอเราไปปั๊บเขารู้แล้วเขาก็รุมมาเลย เอาอย่างนี้นะเราชี้แจงให้เขาทราบ ให้อาตมาไปหาท่านเสียก่อน เข้าไปกราบท่านในกุฏิไม่นาน แล้วออกมาอาตมาจะให้สัญญาณแล้วค่อยเข้ามากราบเยี่ยมท่าน จะได้กราบเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัยแหละ แต่ระยะนี้ขอเวลาสักหน่อยก่อน อาตมาจะเข้าไปก่อน ออกมาจะให้สัญญาณแล้วค่อยมากราบท่าน โอ๋ย เขาพอใจ พอว่าอย่างนั้นแล้วก็พรึบกลับเลย เราก็เข้าปุ๊บเลย พอเข้าก็ใส่เปรี้ยงเลยเพราะเตรียมพร้อมมานานแล้ว มันผิดพลาดไปหลายหน ชื่อเสียงท่านโด่งดังขนาดไหน ดูเหมือนตั้งแต่เรายังไม่เกิด หรือยังเป็นเด็กก็ไม่ทราบ พอเข้าไปก็ใส่ปุ๊บเลยปัญหา เรียกว่าไม่ยกครูแหละ ใส่ปั๊วะเลย ท่านก็ผางออกมาเลยเทียว
เทียบเหมือนกับถังน้ำใหญ่ๆ นั่นแหละ องค์ท่านเองธรรมของท่านเองเหมือนกับถังน้ำใหญ่ๆ ที่บรรจุด้วยน้ำที่สะอาดสุดยอด ว่างั้นเถอะ แต่น้ำนั้นไม่ได้เอาไปใช้ที่ไหน เป็นน้ำที่สำคัญมาก จะเอาไปใช้สุ่มสี่สุ่มห้า ชะล้างอะไรสุ่มสี่สุ่มห้านี่ไม่เหมาะๆ ท่านจึงเก็บของท่านไว้ ธรรมอยู่ภายในใจของท่านเป็นธรรมที่สะอาดสุดยอดแล้ว ผู้ไปหาท่านก็สะเปะสะปะไปตามภาษีภาษา ท่านก็ต้อนรับแบบสะเปะสะปะไปอย่างนั้นแหละ วันหนึ่งๆ ผ่านไปแบบเดียวกันหมด ส่วนธรรมที่แท้จริงท่านไม่ได้นำมาแสดง อยู่ถังใหญ่ภายในใจ เก็บไว้อย่างนั้นแหละ ไม่ใช่ตั้งหน้าจะเก็บนะ ความพอดีหากมีอยู่ภายในใจของท่านเอง ควรจะออกมากน้อยเพียงไร ธรรมะจะออกๆ ไม่ควรออกจะออกหาอะไร น้ำเรียกว่าธรรม สมควรจะชะล้างอะไรกับน้ำอันนี้ สมควรกันหรือไม่
วันนั้นไปก็ใส่ปั๊วะกันเลยเทียวนะ พอเข้าไปกราบท่านแล้วปัญหาแรกขึ้นปึ๋งเลยเทียว พอขึ้นปั๊บท่านตอบมาเลยทันที นั่นเห็นไหมล่ะ คือปัญหานี้ได้ทั้งสองทางเลย ปัญหานี้ถ้าไม่รู้ถามไม่ได้ และถ้าไม่รู้ก็ตอบไม่ได้ นั่นฟังซิ เราจะไปหาในพระไตรปิฎกไม่มี แต่หาในจิตจากภาคปฏิบัติมี อรหัตอรหันต์ท่านมีอย่างนี้ทั้งนั้น พอกราบเรียนถามประโยคแรกใส่ปั๊วะเลย ท่านตอบมาผางเลย ๑๐ นาที เราเอานาฬิกาวางจับเวลาไว้ ใส่เปรี้ยงๆ ๑๐ นาที เราหายสงสัยแล้วนะ ท่านตอบมาเราหายสงสัยแล้ว พอท่านหยุดสงบนิดหนึ่ง ได้โอกาส เพราะปัญหาข้อนี้เราหายสงสัยแล้ว ท่านตอบได้ถูกต้องแล้ว ข้อที่สองก็ขึ้นเลย ผาง ข้อที่สองสุดยอดนะใส่กัน
โอ๊ย อันนี้พิลึกนะ เรียกว่าคว่ำถังใส่กันเลย ใส่เปรี้ยงเลย ๔๕ นาทีฟังซิ ปัญหาแรกท่านตอบมา ๑๐ นาที เราก็หายสงสัยแล้ว พอท่านสงบนิดหนึ่งเราก็ขึ้นใหม่เลยปัญหาข้อใหม่ ข้อที่สองนี่ละเอากันอย่างหนัก ท่านก็เปรี้ยงๆ จากนั้นต่อกันเรื่อย พุ่งๆ เราไม่ลืม ๔๕ นาที ตอนจะจบท่านบอกว่า เอ้า ที่พูดมาทั้งหมดนี่ ถ้าท่านมหาเห็นว่าที่ไหนผิดไม่ถูกต้อง เอ้า ค้านมา ท่านว่างี้ ตัวแดงนะ อำนาจของธรรม นี่ละธรรม อำนาจของธรรมแสดงออกทางผิวพรรณวรรณะ วันนั้นท่านพอใจอย่างยิ่ง ธรรมะถึงใจท่าน ถังน้ำเรียกว่าเปิดหมดเลยไม่มีเหลือละวันนั้น เอ้า เห็นว่าไม่ถูกต้องที่ตรงไหนให้ท่านมหาค้านมา ขึ้นเลยนะตอนจะจบ พอท่านว่าอย่างนั้นเราก็ว่า กระผมไม่ค้าน กระผมหาธรรมอย่างนี้แหละ ท่านหัวเราะฮ่าๆๆ
แล้วยังมีอีกนะนั่น ท่านยังถามครูบาอาจารย์ ระบุชื่อเสียด้วยนะ แล้วองค์นั้นล่ะได้คุยกับท่านแล้วยัง องค์นั้นล่ะๆ องค์ไหนที่คุยแล้วเราก็บอกว่าได้คุยแล้วๆ เป็นที่น่าพอใจๆ เรื่อยไปละ รู้สึกว่าท่านรื่นเริงเอามากวันนั้น เพราะธรรมะประเภทนี้ท่านไม่ได้แสดงแก่ใครง่ายๆ เหมือนว่าถังน้ำนี้ไม่ได้เปิดใช้เลย กักไว้กี่ปีกี่เดือนตั้งแต่ท่านบรรลุธรรมมาไม่ได้ใช้นะ ใครไปก็สะเปะสะปะๆ ก็เอาน้ำสะเปะสะปะชะล้างกันไป เอาน้ำขี้ตมขี้โคลนมาชะล้างกัน น้ำจริงๆ ท่านไม่เอามา วันนั้นไปเราไขก๊อกใหญ่เลย คว่ำหมดทั้งถังเลยวันนั้น เปรี้ยงๆ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้พูดกันอีก
ถ้าลงเป็นอย่างนั้นนะ นี่เข้าถึงเต็มที่แล้ว สมมุติว่ามีใครไปฟ้องร้องท่านว่า ท่านเป็นสังฆาฯปาราชิกนี้เราเฉยเลย ไม่สนใจนะ นั่นถ้าลงลงอย่างนั้น ลงถึงความจริงกัน แม้ท่านจะถูกฟ้องร้องเป็นสังฆาฯปาราชิกด้วยเหตุผลกลไกอะไร เราเฉยเลย ถ้าเข้าถึงเป็นอย่างนั้น ธรรมภาคปฏิบัติเป็นอย่างนั้น ธรรมภาคปฏิบัติไม่เหมือนภาคปริยัติ ภาคปริยัติมีแต่ความจำล้วนๆ เรียนไปเท่าไรๆ จำไปได้เท่านั้นๆ แล้วก็หลงลืมไปได้ๆ ส่วนภาคปฏิบัตินี้เวลารู้ที่ตรงไหนมันแน่ใจๆ ไม่เหมือนปริยัติ ปริยัติเราเรียนไปตรงไหน ความสงสัยมันแอบไปตามกัน บาปมีหรือไม่มี บุญมีหรือไม่มี นรกสวรรค์มีหรือไม่มี นิพพานมีหรือไม่มีน้าๆ แอบอยู่นั้น ส่วนใหญ่เราเชื่อ แต่ส่วนย่อยมันไปแบ่งกินอยู่นะ มีหรือไม่มีน้า นั่นส่วนย่อยมันแอบ
บางรายยกไปหมดเลย ไม่เชื่อเลยหมดตัว คนนั้นจม ผู้ที่ส่วนใหญ่มีความเชื่อ แต่ส่วนย่อยคือกิเลสมันแอบ มีหรือไม่มีน้า ส่วนใหญ่เชื่อแล้วนะ แต่ส่วนย่อยมันไปแบ่งกิน บาปมีหรือไม่มีน้า นรกสวรรค์มีหรือไม่มีน้า ส่วนใหญ่เชื่อแล้วนะ แต่ส่วนย่อยมันก็ไปแบ่งกิน จากนั้นก็นิพพานมีหรือไม่มีน้า ส่วนใหญ่เชื่อแล้วว่านิพพานมี แต่ส่วนย่อยมันไปแบ่งให้น้ำหนักการเชื่อพระนิพพานเบาลง ทีนี้พอรู้ภาคปฏิบัตินี้เต็มเหนี่ยวๆ เลย ไม่ว่าบาปบุญ นรกสวรรค์ พรหมโลก จนกระทั่งถึงนิพพาน จ้าไปหมดเลย หายสงสัย นี่เกิดจากภาคปฏิบัตินะ
ท่านจึงสอนไว้ว่า ศาสนาที่จะให้สมบูรณ์แบบ เป็นศาสนาที่สมบูรณ์แบบ ต้องมีปริยัติคือการศึกษาเล่าเรียน การศึกษาอบรมจากครูบาอาจารย์ก็มีปริยัติด้วย มีปฏิบัติอยู่ในนั้นด้วย ถ้าเรียนเพื่อความจดจำจริงๆ ก็มีแต่ปริยัติล้วนๆ เรียนมาแล้วออกปฏิบัติ อย่างเราไปฟังธรรมครูบาอาจารย์ทางภาคปฏิบัติอย่างหลวงปู่มั่นนี้ มันศึกษาในนั้นอบรมในนั้น เป็นภาคปฏิบัติในนั้นไปในตัว ปริยัติได้แก่การศึกษาเล่าเรียน แบบแปลนแผนผัง อย่างที่ว่าพระไตรปิฎกท่านจดจารึกมา ๓ ปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎก จบทั้งสามนี้เรียกว่าเรียนจบพระไตรปิฎก พระสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์ นี่เรียกว่าปริยัติ
ทีนี้นำธรรมที่เรียนนั้นออกไปปฏิบัติ ยึดธรรมที่เรียนมาเป็นแถวทางเดินก้าวไปตามนั้น ผลก็ปรากฏขึ้นมาๆ ที่นี่ปฏิบัติเป็นผลขึ้นมาแล้ว พอเป็นผลปรากฏขึ้นมาก็เป็นปฏิเวธแล้วนั่น คือดำเนินตามปริยัติเรียกว่าปฏิบัติ ผลที่เกิดจากการปฏิบัติเรียกว่าปฏิเวธ คือรู้แจ้งเป็นลำดับลำดาไป จนกระทั่งรู้แจ้งแทงทะลุหมดถึงนิพพาน เรียกว่าปฏิเวธ นี่ละศาสนาให้สมบูรณ์แบบ ต้องมีทั้งปริยัติ มีทั้งปฏิบัติ ปฏิเวธไม่ต้องบอก เป็นเงาเทียมตัว เพราะเป็นผลที่จะเกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติโดยแท้
ศาสนาที่จะให้สมบูรณ์แบบต้องมีทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้ามีแต่เรียนเฉยๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เด็กก็เรียนได้ ผู้ใหญ่เรียนได้ ผู้หญิงผู้ชายเรียนได้จำได้เหมือนกัน แต่กิเลสไม่ได้ถลอกปอกเปิก เพียงจำเฉยๆ เรียนด้วยปฏิบัติด้วย กิเลสจะออกได้ในเวลาภาคปฏิบัติ ปฏิบัติไปๆ กิเลสถลอกปอกเปิก ปฏิเวธๆ คือความรู้แจ้งเป็นลำดับลำดาต่อกันไปเรื่อยๆ
นี้เอาจากหัวใจเราที่เรียนปริยัติ ส่วนใหญ่เราเชื่อมรรคผลนิพพาน ทีนี้ส่วนย่อยมันมาแบ่งกินซิ เอ๊ มรรคผลนิพพานมีหรือไม่มีนา นั่น ส่วนใหญ่เราเชื่อ ส่วนย่อยมันไปดึงออกมา ทีนี้ความเชื่อมรรคผลนิพพานก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยซิ เพราะความสงสัยไปดึงออกมา ความสงสัยคือกิเลส เพราะฉะนั้นเราถึงได้พูดว่า หลักใหญ่เราเชื่อมรรคผลนิพพานอยู่แล้ว แต่จะให้สมบูรณ์ยังไม่สมบูรณ์ มันยังสงสัยอยู่เล็กน้อยๆ เพราะฉะนั้นจึงว่ามีท่านผู้ใดก็ตามมาชี้บอกเราตามเรื่องแห่งธรรมทั้งหลาย มีมรรคผลนิพพานเป็นที่สุด ว่ายังมีอยู่โดยสมบูรณ์แล้ว เราจะกราบบูชาท่านอย่างถึงใจ แล้วเจ้าของจะเอาตายเข้าว่าเลย ให้ได้สำเร็จมรรคผลนิพพาน ถ้าเชื่ออย่างนั้นแล้ว เอา ตายเลย ต้องสำเร็จ ไม่สำเร็จตายเท่านั้น สู้กันถึงขั้นตาย
มาหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น เวลามาหาท่านก็เหมือนท่านมีเรดาร์จับนั้นแหละ มาท่านจี้เลยซิ เพราะเรามุ่งจุดนี้เรื่องมรรคผลนิพพาน ให้สมบูรณ์แบบในความเชื่อของเราว่ามรรคผลนิพพานมีจริงๆ เต็มเหนี่ยวจากการได้ยินได้ฟังกับครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จึงมุ่งเข้าไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านก็ใส่เปรี้ยงมาเลยเทียว เหมือนท่านเอาเรดาร์จับไว้แล้ว ใส่เปรี้ยงๆ เราก็ไม่เคยคาดคิด มีแต่สงสัยว่ามรรคผลนิพพานมีหรือไม่มีน้า ครั้นเวลาท่านแสดง ท่านแสดงที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟัง ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ จากนั้นก็ไล่ไปเลย ต้นไม้ภูเขาฟ้าแดดดินลมไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ทั่วแดนโลกธาตุนี้ ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่กิเลส กิเลสแท้ มรรคผลนิพพานแท้อยู่ที่ใจ ลงตรงนี้นะท่านสอน
ท่านจะไปหามรรคผลนิพพานที่ไหนไม่มี กิเลสก็ไม่มี มีอยู่ที่ใจของเรา เอา หาลงตรงนี้ ให้ภาวนา กำหนดจิตตภาวนาฟาดลงตรงนี้ ท่านจะเจอทั้งกิเลสทั้งมรรคผลนิพพาน นั่นท่านใส่เอาอย่างนี้ ทีนี้เมื่อท่านเทศน์เต็มเหนี่ยวแล้วมันก็ลงเต็มที่ นั่นละออกมาจากท่านแล้วเดินไปยังไม่ถึงกุฏิเลย เพราะฟังอย่างถึงใจ เมื่อถึงใจแล้วเดินไปกุฏิก็ตั้งปัญหาถามเจ้าของทันทีเลย ทีนี้จะจริงไหม เราไปฟังธรรมะท่านจริงถึงใจเต็มที่แล้ว สำหรับตัวเราเองจะจริงไหมที่นี่ ทางนี้ตอบทันทีเลยเชียว ต้องจริง ไม่จริงตายเท่านั้น นั่นเห็นไหมล่ะ ไม่จริงตายเท่านั้น เพราะฉะนั้นความเพียรมันจึงหนัก
เมื่อเชื่อมรรคผลนิพพานอย่างเต็มเหนี่ยวแล้ว การก้าวเดินด้วยความพากเพียรของเราต้องหนักเต็มเหนี่ยวๆ เพราะมุ่งต่อแดนพ้นทุกข์ซึ่งเป็นของมีอยู่แล้ว สุดท้ายปฏิบัติไปธรรมะละเอียดเข้าไปๆ ถึงขั้นธรรมะเป็นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติแล้ว พระนิพพานประหนึ่งว่าอยู่ชั่วเอื้อมๆ ทีนี้มรรคผลนิพพานมีหรือไม่มีไม่สนใจเลย อยู่ชั่วเอื้อมๆ นั่นมันบืนใส่กัน กลางวันกลางคืนไม่ได้หลับได้นอน จนต้องได้บังคับให้นอนเวลามันเร่ง นี่ละธรรมะออกทำงาน เมื่อธรรมะมีกำลังฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติเหมือนกันนะ แต่ก่อนมีแต่กิเลสทำลายสัตว์โลกเป็นอัตโนมัติทุกหัวใจ แย็บออกมาตรงไหนมีแต่กิเลสออกทำงานก่อนหมดโดยอัตโนมัติของมัน โลกหารู้ไม่ เราเองก็ไม่รู้ แต่ก่อนไม่คิดนะ
ทั้งๆ ที่กิเลสเต็มหัวใจเรานั้นแหละ แต่เราไม่รู้ว่ากิเลสทำงานบนหัวใจเราเป็นอัตโนมัติ แต่เวลาได้ธรรมประเภทนี้ขึ้นมา ธรรมประเภทนี้ถึงขั้นอัตโนมัติ สติปัญญาอัตโนมัติ ความเพียรเป็นอัตโนมัติหมุนตัวไปเอง ทีนี้เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วมันก็รู้ อ๋อ นี่ที่แต่ก่อนกิเลสเป็นอัตโนมัติ ทีนี้ธรรมะเป็นอัตโนมัติแล้วแก้กิเลสเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน มารับกันปึ๋งทันที ก็รู้ขึ้นมาจากภาคปฏิบัตินั่นแหละ ทีนี้นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ คว้าผิดคว้าถูกอยู่นั้น ความเพียรหมุนติ้วๆ นี่ละเป็นอัตโนมัติ
ถึงขั้นนี้แล้วไม่ยอมรับยอมนอนง่ายๆ นะมันเพลิน ลงเดินจงกรม พอก้าวเดินจงกรมเท่านั้นไม่มีเวล่ำเวลาเช้าสายบ่ายเย็น ไม่สนใจ หิวกระหายอะไรไม่สนใจ มีแต่เข้าวงในฟัดกันเหมือนนักมวยเข้าวงใน หมุนกับกิเลสอยู่บนหัวใจ ถ้าลงได้เข้าทางจงกรมแล้วเท่านั้น ไม่มีที่จะดื่มน้ำดื่มท่า อะไรต่ออะไรไม่มี หมากพลูบุหรี่อย่ามายุ่งว่างั้นเลย ไม่มี มีแต่หมุนอยู่งั้น บทเวลาออกมาจากที่นั่นแล้ว เหตุที่จะออกก็คือมันก้าวขาไม่ออก มันเพลียเสียพอ ก้าวขาไม่ออก ก็เดินตลอดนี่ ถึงจะเดินช้าเดินเร็วมันก็เดินอยู่อย่างนั้นจะให้ว่าไง
ทีนี้วันนี้ก็เดินวันไหนก็เดิน กลางคืนก็เดินกลางวันก็เดินมันก็เพลียซิ เวลาเดินจงกรมกลางวันมันเพลียแล้วก็มาพัก นี่ละเรื่องธรรมทำงานโดยอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติเป็นอย่างนี้แหละ เดินจงกรมไม่ได้ตรงไปตามทางนะ คือตาของเราถ้าจิตไม่ออกเสียอย่างเดียว ตาก็ฝ้าฟางไปหมด มืดมัวไปหมด ก้าวไปอย่างนั้นละ เดี๋ยวโครมครามเข้าป่า เอ้าถอยออกมาแล้วเดิน คือจิตมันไม่ยอมถอยมันอยู่ภายใน ทีนี้ตาก็ฝ้าก็ฟาง เดินก็สะเปะสะปะไป โครมคราม
ถ้ามีคนไปดูเขาจะว่าพระองค์นี้มันเป็นบ้าหรือไง เขาจะว่าละ ตัวที่มันว่าเป็นบ้าละคือตัวบ้าใหญ่เข้าใจไหมล่ะ ทางนี้หมุนอยู่ฆ่ากิเลสอยู่ภายใน เดินไปๆ โครมคราม กลางวันแสกๆ นี้เอาผ้าคลุม เอาผ้าอาบน้ำคลุมหัวมัดติดคาง ไม่สนใจกับแดดกับฝนอะไรละ แต่ฝนนั้นสนใจอยู่ แดดไม่สนใจ ถ้าฝนตกทีไรเห็นวิ่งเข้าร่มทุกทีไม่เห็นตากฝนเดินจงกรมวะ แต่แดดนี้สู้ตลอด จนกระทั่งมาถึงที่พัก มองเห็นกาน้ำนี้โถมันจะตาย เอาน้ำมาดื่มนี้กลืนไม่ทันนี้สำลักกั๊กๆ ขนาดนั้นนะ ตอนนั้นมันไม่มีอะไรเข้าไปยุ่ง ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันเท่านั้นเอง มีเท่านั้น จิตมันคิดไปทางไหนไม่มี มีแต่หมุนฆ่ากันตลอด นี่เรียกว่าธรรมฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ ถึงขั้นเป็นอัตโนมัตเป็นอย่างนี้เอง เหมือนกิเลสทำลายสัตว์โดยอัตโนมัติของมัน ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์อะไรกิเลสทำงานหมดเลย ธรรมไม่ได้ทำงาน ทีนี้เวลาถึงขั้นธรรมทำงานโดยอัตโนมัติแล้ว สัมผัสอะไรไม่สัมผัสอะไรเป็นอัตโนมัติของธรรมตลอดเวลา ฆ่ากิเลสไปอยู่อย่างนั้นตลอด ลืมวันลืมคืนลืมมืดลืมแจ้งไปเลย ไม่ได้ออกนะ
ทีนี้เวลามาเข้าที่พักมันจะก้าวขาไม่ออก มาเข้าที่พัก ร่างกายทั้งหมดก็อ่อนเพลีย ฝ่าเท้านี้ออกร้อนเหมือนไฟลน มันเดินอยู่ทั้งวันทั้งคืนเดินอยู่ตลอดมันจะไม่บางยังไงฝ่าเท้า มันก็บางเข้าไปๆ ท่านว่าพระโสณะท่านเดินจงกรมฝ่าเท้าแตก แต่ก่อนเราก็ฟังธรรมดาไม่ถึงใจ เวลาเรียนปริยัติเห็นพระโสณะท่านประกอบความเพียรจนกระทั่งฝ่าเท้าแตก เราก็ฟังธรรมดา แต่พอมาถึงขั้นของเรานี้มันรับกันทันที ฝ่าเท้าของเรานี้มันออกร้อนเหมือนไฟลน นั่นมันจะแตกคือมันจะทะลุนะ ที่ให้มันแตกนี้มันไม่แตกละมันทะลุบางเข้าไปๆ ก็ไปถึงเนื้อ เรียกว่าฝ่าเท้าแตก
เวลาเรามานั่งอยู่นี้ฝ่าเท้ามันออกร้อนเหมือนไฟลน เราก็ เอ๊ะ ฝ่าเท้านี่มันแตกเหรอ แล้วมาดูจริงๆ นะ เอาฝ่าเท้ามาดูจริงๆ ที่ไหนเอ๊ะ มันก็ไม่แตกมันเป็นยังไง พอเอามือลูบอย่างนี้นะ โอ๋ย มันเสียว เสียวเจ็บนะ ถ้าจากนี้แล้วมันจะทะลุถึงเนื้อ เรายังไม่แตก ส่วนพระโสณะท่านฝ่าเท้าแตก ลงกันทันทียอมรับ อ๋อ ความเพียรฝ่าเท้าแตกเป็นความเพียรประเภทนี้เอง คือไม่มีหยุด หมุนติ้วๆ เป็นอัตโนมัติ ฝ่าเท้าต้องแตกได้ นี่ยอมรับเลย แต่ของเรายังไม่แตก หากว่าเลยกว่านั้นไปอีกจะแตกเหมือนกัน มันเห็นชัดๆ แล้วมันจะไม่ยอมรับกันยังไงคนเรา เช่นว่าท่านเดินจงกรมฝ่าเท้าแตกเราเชื่อทันที ความเพียรประเภทนี้ฝ่าเท้าแตกแน่ ถ้ากิเลสไม่แตกก่อนฝ่าเท้าต้องแตก เพราะมันจะสู้อยู่ตลอดเวลา
พอกิเลสขาดสะบั้นไปแล้วมันก็หยุดใช่ไหมล่ะ ความเพียรประเภทฝ่าเท้าแตกก็ไม่เป็น ฆ่าอะไร สู้กับอะไร กิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว นั่น ไม่แตก นี่พูดจริงๆ ฝ่าเท้าเป็นแต่เพียงว่าเสียวๆ เท่านั้น เราลูบคลำดูฝ่าเท้าเราเสียวเจ็บ ยังไม่แตก แต่จะแตก คือมันจะทะลุถึงเนื้อ แล้วกิเลสแตกเสียก่อน พอกิเลสแตกแล้วฝ่าเท้าก็เลยไม่แตก ถ้าหากว่ารอไปกว่านั้นอีกแตกแน่ๆ ไม่สงสัย เพราะถ้าลงได้เดินไม่ยุ่งเวล่ำเวลาจนจะก้าวขาไม่ออกมันถึงจะหยุด ไม่ว่านั่งว่าเดินว่าอะไร ไม่มีเวล่ำเวลาเข้ามายุ่ง มีแต่กิเลสกับธรรมฟัดกันอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นไปหมดแล้วหมด ทีนี้ไม่มีอะไรมายุ่งกวนเลย หมด
ท่านว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว คือการประพฤติพรหมจรรย์ด้วยการฆ่ากิเลสได้สิ้นสุดลงแล้ว เพราะกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว กิจที่ควรทำก็คือการฆ่ากิเลสได้ทำเรียบร้อยแล้ว กิจอื่นที่จะทำให้ยิ่งกว่านี้ไม่มี หมด ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ปรากฏว่าท่านได้ละกิเลสตัวใดอีก พระอรหันต์พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปเท่านั้นไม่มีจนกระทั่งวันนิพพาน ท่านไม่มีกิเลสตัวใดจะมาแฝงอีกเลย จึงเรียกว่ากิเลสหมด ถึงการเทศนาว่าการเหมือนกัน ควรหนัก หนัก ควรเบา เบา บางทีเหมือนฟ้าถล่มเสียงอรรถเสียงธรรมที่ออก คนทั้งหลายที่คลังกิเลสฟังนี้ว่าท่านเทศน์ดุเทศน์ด่าเทศน์อะไรมันต้องไปอย่างนั้น เพราะแถวทางเดินของกิเลสต้องไปแบบนั้น ส่วนธรรมท่านไม่ได้เป็น เป็นพลังของธรรมทั้งนั้นออกพุ่งๆ พุ่งออกหมดเลย เหมือนกับฟ้าดินถล่ม เหมือนจะกัดจะฉีกกันเลยเทียว นั่นละพลังของธรรม มันต่างกัน จะเอากิเลสตัวไหนให้มาหงุดหงิดให้มาโกรธให้มาเคียดแค้น ถ้ายังมีอยู่นั้นจะเรียกว่าสิ้นได้ยังไง ทำยังไงก็ไม่มี แต่เรื่องของธรรมนี้พุ่งๆ เลย นี่ละการปฏิบัติธรรม
ขอให้ท่านทั้งหลายได้ตั้งใจปฏิบัติ ให้ดูจิตตัวเองนะ ในโลกอันนี้ไม่มีอะไรยิ่งกว่าจิต จิตนี้เป็นธรรมชาติที่เด่นทีเดียว ถ้าว่าทุกข์ก็มารวมอยู่ที่จิตถึงขนาดนอนไม่หลับเป็นบ้าไปก็มี เพราะทุกข์มาก ทีนี้มีความสุขการบำเพ็ญธรรมจิตสงบลงๆ จนอัศจรรย์ตัวเองก็มี ถึงขั้นที่ว่าอัศจรรย์เลยโลกเลยสงสารก็เป็นขึ้นมาในหัวใจดวงนั้น ที่เราไม่เคยคาดเคยคิด แต่มันเป็นขึ้นมาอย่างจังๆ จะไม่สอนใครเลย โลกอันนี้ไม่มีใครจะรู้ได้เห็นได้ในธรรมประเภทนี้ แล้วก็ท้อใจที่จะสั่งสอนใครต่อใคร เพราะไม่มีใครรู้ได้ มันความคาดนั่น เข้าใจว่ารู้แต่เราคนเดียว แต่เวลาพิจารณาถึงปฏิปทาการดำเนินมามันก็ยอมรับกัน ก็รู้ได้เห็นได้อย่างเดียวกันหมด นี่ละขอให้ปฏิบัติ
ให้ดูจิตใจ ภาวนาให้ดูความดีดดิ้นของใจ ความดีดดิ้นนั่นคือกิเลสมันดิ้น พอธรรมจับเข้าไปสติจับเข้าไปกิเลสจะไม่ดีดดิ้น บังคับ มันอยากดีดอยากดิ้นอยากคิดอยากปรุง สติติดเข้าไปมันก็คิดไม่ได้เพราะสติ ถ้าลงสติมีอยู่กับตัวแล้วกิเลสจะออกไม่ได้ ถ้าเผลอแพล็บออกแล้วนะกิเลสออกแล้ว เพราะฉะนั้นจึงตั้งสติให้ดี ความคิดความปรุงนั้นแลคือกิเลส สังขาร อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาดันออกให้เกิดสังขารสมุทัยออกไปไม่หยุดไม่ถอยไม่มีวันอิ่มพอ คิดปรุงจนกระทั่งหลับ ถ้าไม่หลับตายมนุษย์เรา เพราะอำนาจของกิเลสมันผลักดันให้คิดให้ปรุงต่างๆ
ทีนี้เวลา อวิชฺชาปจฺจยา ดับไปแล้ว ตัวไหนจะมาดันให้คิดให้ปรุงไม่มี หมด คิดก็เป็นขันธ์ล้วนๆ คิดธรรมดาๆ คิดแล้วเกิดแล้วดับๆ ไม่มีเงื่อนต่อ กิเลสเป็นเงื่อนต่อ กิเลสเป็นธรรมชาติที่ผลักดันให้คิดไปเรื่อยๆ เมื่อกิเลสสิ้นลงไปแล้วไม่มีอะไรผลักดัน ขันธ์ของพระอรหันต์เช่นสังขารขันธ์ก็เป็นขันธ์ล้วนๆ ใช้ไปในเวลามีชีวิตอยู่เท่านั้นเอง ทุกอย่างท่านใช้พอประมาณๆ ระงับเมื่อไรก็ได้ เช่นอย่างเข้าที่ภาวนานั่งสมาธิภาวนา นั่นละท่านระงับขันธ์ จิตนี้บริสุทธิ์ล้วนๆ แล้วไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่ความรับผิดชอบระหว่างขันธ์กับจิตยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นเมื่อเวลาขันธ์ทำงานอะไรพอประมาณแล้วท่านก็ระงับ เช่นเข้าสมาธิภาวนานั่นละระงับขันธ์ ไม่ให้มันคิดมันปรุงเรื่องอะไร นั่นเรียกว่าระงับขันธ์ เป็นวิหารธรรม ความอยู่ผาสุกสบายในระหว่างที่มีชีวิตอยู่ของพระอรหันต์ท่าน ท่านเป็นอย่างนั้นนะ
มันเห็นอย่างจังในใจนี้ไม่สงสัย จะสงสัยอะไร พระพุทธเจ้าก็จ้าอยู่ในหัวใจนี้แล้วเป็นอันเดียวกันแล้วอย่างนี้ จะไปหาพระพุทธเจ้าที่ไหน มันจ้าอยู่นี้เป็นอันเดียวกันแล้ว เป็นเหมือนน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงดังเคยพูดแล้ว มันจะไหลมาจากที่ไหนคลองใดๆ ก็ตาม ก็ชื่อว่าน้ำนี้ไหลมาจากคลองนั้นๆ แต่พอถึงน้ำมหาสมุทรแล้วเป็นมหาสมุทรอันเดียวกันหมด ไม่มีว่าคลองนั้นคลองนี้อีกเลย นี้จิตของผู้สร้างบารมีก็เหมือนกัน สร้างคุณงามความดีนี่ไหลเข้าไปละนะนั่น จะไหลเข้าสู่มรรคผลนิพพาน ทำบุญให้ทานรักษาศีลเจริญเมตตาภาวนาไม่หยุดไม่ถอย มันก็ค่อยไหลเข้าไปๆ หามหาวิมุตติมหานิพพานน่ะซิ พอเต็มที่แล้วก็เข้าผึงที่นั่นเลย
พอถึงมหาวิมุตตินิพพานนี้จ้ามันแบบเดียวกัน เป็นน้ำมหาสมุทรเหมือนกันหมด นี้ก็เป็นน้ำมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกันหมด ท่านจะสงสัยกันยังไงพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านไม่ได้สงสัยกัน เป็นอันเดียวกันแล้ว นตฺถิ เสยฺโยว ปพฺปาปิโย ไม่มีความยิ่งหย่อนต่างกันเลยคือความบริสุทธิ์ นอกจากนั้นก็เป็นไปตามอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภาร หนักเบากว้างแคบลึกตื้นหยาบละเอียดก็เป็นไปตามวาสนาของตน อันนั้นไม่ได้นับเข้าในความบริสุทธิ์ เป็นปลีกย่อยเป็นกิ่งก้านสาขาดอกใบไปเท่านั้น
ให้พากันพิจารณานะจิตนี่สำคัญมาก พาเกิดพาตายกองกันอยู่นี้คือจิตดวงนี้เอง ความทุกข์เหลือล้นพ้นประมาณ ไม่ล้นที่ไหนไม่มีภูเขาลูกไหนไปแบกกองทุกข์ ดินฟ้าอากาศตรงไหนไม่ไปแบกกองทุกข์ คือหัวใจเท่านั้นเป็นผู้แบกกองทุกข์ เวลาทุกข์มากๆ มารวมอยู่ที่หัวใจ เวลาเบิกกิเลสตัวสร้างทุกข์นี้ขึ้นมา ออกมาได้มากน้อยๆ ความสุขความเจริญความสว่างไสวจะเกิดขึ้นที่จิต จะปรากฏขึ้นๆ ต่อไปก็จ้าขึ้นมา จ้าขึ้นมาเรื่อยจนอัศจรรย์ตัวเอง ทีนี้สุขทั้งหลายไม่มีอยู่ในที่ใด ไม่มีภูเขาลูกไหนจะไปรับความสุขเป็นคลังของความสุข ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศ ท้องฟ้ามหาสมุทรไม่มีที่รับสุขรับทุกข์ได้ มีใจดวงเดียว ใจเป็นผู้รับสุขแล้วรับหมดเลยที่นี่ ทีนี้มันก็ครอบโลกธาตุ เมื่อถึงขั้นที่จิตได้ครอบโลกธาตุคือเลยสมมุติไปหมดแล้วมันจ้าครอบไปหมดเลย นี่จิตที่ได้รับการฝึกฝนอบรมแล้ว ถ้าไม่ฝึกปล่อยให้เป็นไปตามบุญตามกรรมก็อย่างนี้แหละ
เวลานี้ชาวพุทธเรากำลังเป็นบ้ากับกิเลสตัณหานะ เป็นบ้ายศบ้าลาภบ้าสรรเสริญเยินยอ บ้าได้ไม่พอ บ้าอำนาจก็พิลึกพิลั่นทุกอย่าง ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา บ้าใหญ่ๆ สามตัวนี้หมุนหัวใจสัตว์โลก เป็นผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งมีความทุกข์มากเท่านั้น เอาธรรมจับปุ๊บรู้กันเลย ไม่มีอะไรที่จะมองเห็นกิเลสว่าเป็นความทุกข์ขนาดไหนอยู่ในหัวใจสัตว์ มีธรรมเท่านั้นมองเห็นหมด ใครจะใหญ่โตขนาดไหนก็มีแต่เสกสรรปั้นยอลมๆ แล้งๆ ไม่ใช่หลักความจริงคือธรรมครองใจ ถ้าธรรมได้ครองใจแล้วจ้าอยู่นี้หมด ใครจะเสกสรรปั้นยอไม่เสกสรรปั้นยอพอแล้วทุกอย่าง เป็นส่วนเกินทั้งหมดไม่รับๆ ให้พากันจำเอานะ ให้ฝึกจิตนะ ฝึกให้ดีภาวนา พวกอยู่ในครัวนี้เราก็อนุโลมจนอกจะแตกแล้วนะ มาอยู่นี้มากมายก่ายกอง มาทุกแบบทุกฉบับ เราก็ทนเอาๆ เพราะแก่แล้วไม่อยากเล่นกับอะไรแล้วนี่ปล่อยไป ถ้าทนไม่ไหวก็ว้ากเสียทีหนึ่ง ถ้าพอทนได้ก็ทนไปหูหนวกตาบอดไปอย่างนั้นละ พากันตั้งใจนะ เอาละหยุดเทศน์
ผู้กำกับ มีการ์ตูนครับ (เอ้อ เอ้าการ์ตูนว่ามา) เป็นโจรปรึกษากันจะไปปล้นครับ เพื่อนก็บอกว่า ลงมือปล้นวันนี้เลยดีกว่า ภาพที่สองบอกว่า ใจเย็นๆ ต้องรอวันศุกร์ (วันศุกร์มันเป็นไง) เพื่อนเขาถามว่า ถือฤกษ์ถือยามด้วยเหรอ เพื่อนอีกคนก็เลยตอบว่า เปล่า วันศุกร์ตำรวจแห่ไปสวนลุมฯกันหมด (แห่ไปทำไมสวนลุม) ก็ไปอารักขาที่คุณสนธิไปพูดที่สวนลุมพินีละครับ (ไปอารักขาคุณสนธิหรือไปอารักขาใคร) ไปตามคำสั่งเจ้านายเขานั่นละครับ
อันนี้ก็ที่ทำงานของใครไม่รู้ละครับ บอกว่า งบกลางเราร่อยหรอลงไปน่ากลัว ถ้าไม่กู้มาเพิ่มเราแย่แน่ ที่ทำงานเขาพูดกัน ที่บ้าน นี่ภรรยา นี่สามี ที่บ้าน ทรัพย์สินเราเพิ่มขึ้นจนน่ากลัว ถ้าไม่รีบใช้เร็วกว่านี้ เราแย่แน่ (เข้าท่าดีนะ ทีแรกว่าอะไรทรัพย์สินมัน เอ้าว่าใหม่อีก) งบกลางเราร่อยหรอลงอย่างน่ากลัว ถ้าไม่กู้มาเพิ่ม เราแย่แน่ ต้องไปกู้ฮะ พอที่บ้าน ทรัพย์สินเราเพิ่มขึ้นจนน่ากลัว ถ้าเราไม่รีบใช้เร็วกว่านี้ เราแย่แน่
หลวงตา ไป ไปนี่พากันรีบใช้นะ ไม่งั้นจะแย่นะพวกนี้ ให้พากันรีบใช้เลยนะ ไม่งั้นแย่ เข้าท่าดีเว้ย (นี้คุณทองก้อนโทรมา) ให้บอกไป ให้ตอบไปประสาขี้เราก็มีกลัวมันอะไรว่างี้ เข้าใจไหม ให้ตอบไปอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าจะตอบก็ตอบว่า ประสาขี้ที่เขาปามานั้นมันไกลมันอยู่ห่างตัวเรา ขี้อยู่ในเรามันมากกว่านั้น ชนะมันได้สบายเข้าใจไหม เอาอย่างนั้นละ จะไปกลัวขี้เขาเขาเอาขี้มาปา ขี้ของเรามันยังมีอยู่นี่ ต่อสู้กันได้แพ้ราบเลยเข้าใจไหม สู้ขี้เราไม่ได้เรามีทุกคนขี้อยู่นี้ใช่ไหม ไอ้ขี้นั้นมาเป็นก้อนเท่ากอบเท่ากำเท่านั้น ขี้เราเต็มทุกคนๆ ใส่มันหัวแบนไปเลยเข้าใจไหม ได้ยินว่ากลุ่มชายฉกรรจ์มันเอาขี้ไปปาที่ทำงาน แล้วทางนี้ก็ตอบไปว่า อย่าไปกลัวขี้มันมันอยู่นอกๆ ขี้เราเต็มท้องเรานี้จะไปกลัวมันทำไม มีทุกคน ไปกลัวขี้มันทำไมอยู่นอกๆ ถ้ากลัวให้กลัวขี้เรานี้ซิเข้าใจไหม มันเปื้อนก็เปื้อนเรานี่เข้าใจ เข้าใจแล้วนะ เอาละทีนี้จะให้พร
เมื่อวานนี้ที่เขามา เหรียญมันไปออกกันยังไง ล็อกเกตล็อกแก็ตนั่นน่ะ ที่เขามาเกิดเรื่องอยู่นี้เมื่อวาน เขามาอ่านผางๆ ขึ้นเลย เข้าใจไหมล่ะ ว่าเขาเป็นคนถูก พวกนี้มาแย่งหรืออะไรว่าเป็นคนผิด เวลาเราตัดสิน ให้เลิก มันผิดทั้งสองคนเลย ได้ยินไหมเมื่อวานนี้ นั่นละเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมเราพูดนี่ ก็เราไม่ได้อนุญาตมันขโมยไปทำ แล้วจะตั้งตัวเป็นเจ้าของ ไปปรับโทษคนอื่นว่าเขามาแย่งอะไรนี้ มันผิดทั้งสอง ให้เลิกกันทั้งสองเลย ก็มันผิดจริงๆ เราไม่ได้อนุญาตนี่นะ ของขลังนั้นของขลังนี้ ให้มันขลังอยู่ในนี้ซิ ขลังอยู่ในนี้แล้วไปที่ไหนโล่งไปหมด
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|