เย็นด้วยอำนาจเมตตาธรรม
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๘

เย็นด้วยอำนาจเมตตาธรรม

         ทองคำที่หลอมแล้วและยังไม่ได้หลอม ๑๘๘ กิโล ๕ บาท ๗๑ สตางค์ ถ้ารวมกับ ๓๗ กิโลครึ่งที่มอบคลังหลวงแล้วนั้นเป็น ๒๒๕ กิโล ๓๘ บาท ๖๐ สตางค์  หากเราไม่มีประเภทน้ำไหลซึมนี้ก็ ๑๑ ตัน ๓๗ กิโลครึ่งเท่านั้นตายตัวไปเลย หยุดเท่านั้น แต่นี้พอมีประเภทซึมเข้ามานี้ก็ เดี๋ยวนี้เป็น ๑๘๘ กิโล ๕ บาท ๗๑ สตางค์แล้วนี่ เพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ เราเป็นห่วงคลังหลวงของพี่น้องลูกหลานไทยเรา เป็นโอกาสที่ควรจะได้ในระยะนี้เราก็อยากให้ได้ ไม่มากก็ให้ได้ น้อยก็เอา เรียกว่าเป็นประเภทน้ำไหลซึม เอาใหญ่ไม่ได้เอาซึม เอาจนได้ นี่ก็ ๑๘๐ กว่าแล้วเห็นไหมล่ะ ไหลเข้ามาซึมเข้ามาเรื่อย

โลกเขาถือกันที่ทองคำ ประเทศไหนที่มีทองคำมากประเทศนั้นพวกเงินอะไรๆ สูงทั้งนั้น ถ้าทองคำมีน้อยเงินก็น้อย ค่าลดลงๆ เพราะฉะนั้นเราจึงพยายามอยากให้ได้ทองคำมากๆ เพื่อชาติไทยของเราจะได้แข็งขึ้นเรื่อยๆ เช่นเงินดอลลาร์กับเงินไทย ถ้าเรามีทองคำมากขึ้นๆ ดอลลาร์ต้องลดลงมา เงินไทยแข็งขึ้น เป็นอย่างนั้นนะ เขาถือทองคำเป็นหลัก สมบัติของโลกวัดกันที่ทองคำ เอาทองคำเป็นหลักเลย ได้ตั้ง ๑๑ ตันเป็นของง่ายเมื่อไร ได้ตั้ง ๑๑,๐๐๐ กิโลทองคำ

เรายังพูดตอนเราตายนี่ ในพินัยกรรมมีเราไม่ได้อ่านดูอีก อยู่ในตู้นะ พินัยกรรมที่เราเขียนไว้เรียบร้อยเอามาอ่านในงานศพของเราว่า เงินที่ได้จากท่านผู้บริจาคในงานศพของเรามีเท่าไรๆ คำพูดของเราดูว่าจะเอาไปซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงว่างั้นนะ แต่นี้ยังสงสัยว่าหรือจะนำเข้าสู่คลังหลวง เพราะว่านำเข้าสู่คลังหลวงทองคำก็ได้เงินก็ได้ใช่ไหมล่ะ มีอยู่สองแง่ แต่ยังไงก็เข้าคลังหลวง เราคิดอย่างนั้น เราช่วยโลกช่วยจนหมด เรียกว่ามอบหมดทั้งตัวเลย ตายแล้วก็มอบ เงินที่เขามาบริจาคทานเราไม่ให้ไปสร้างสุรุ่ยสุร่ายประดับประดาศพหลวงตาบัว เสียเงินไปเท่าไรเกิดประโยชน์อะไร หรูหราฟู่ฟ่าไม่เกิดประโยชน์ หลักธรรมเป็นอย่างนั้นนะ ท่านไม่ฟู่ฟ่า ท่านจะเล็งผลเล็งประโยชน์

เราตายไปแล้วสมบัติเงินทองที่เขามาบริจาค อันนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ยังมีชีวิตอยู่ เอานำเข้าคลังหลวง อันนี้เป็นประโยชน์ต่อไฟเท่านั้น เอาไฟมาเผาเท่านั้นแหละ เราพูดไว้แล้วนี่ พินัยกรรมเป็นอย่างนั้น จะแยกว่าที่เราเขียนในพินัยกรรม ซื้อทองคำหรือว่าจะมอบเงินนี้เข้าคลังหลวงไม่ทราบนะ ถ้าพินัยกรรมบอกว่าเงินมอบเข้าคลังหลวง ก็ต้องเข้าคลังหลวงเลย ถ้าว่าซื้อทองคำก็ต้องไปซื้อทองคำ เราลืม ไม่ได้อ่านดูอีกพินัยกรรม

เมื่อวานนี้ไปบ้านแพงก็ไปทำประโยชน์ ก็อย่างนั้นแหละ เพราะจวนที่จะไปกรุงเทพ เร่งทำอะไรๆ ให้เรียบร้อย วันนี้วันที่ ๓๐ แล้วนี่ วันที่ ๒ ก็ไปอำนาจเจริญ วันที่ ๓ อยู่ วันที่ ๔ กลับมา วันที่ ๕ ที่ ๖ อยู่ ที่ ๗ ก็ไปกรุงเทพ เราจะรีบไปด่านน้ำหนาวสองด่าน อันนี้เราช่วยมาเป็นประจำดูน่าจะไม่ต่ำกว่า ๘ ปี เราไปสร้างตึกใหญ่ให้โรงพยาบาลหล่มสัก ยาวถึงทางแยกเข้าครัว จากนู้นมานี้ กว้าง ดูเหมือน ๑๕ ล้าน เงินแต่ก่อนแพงกว่าเดี๋ยวนี้นะ คือที่นั่นมันเป็นสระใหญ่ แล้วที่ก็จำกัดเสียด้วย จะออกไปที่ไหนเขาก็ไม่มีขายให้ มีจำกัดและมีสระใหญ่อยู่ ตึกไม่พอกันกับคนไข้จะทำไง เขาก็มาขออยากได้ตึก ได้แล้วจะสร้างที่ไหนล่ะเพราะมันแน่นหมดแล้ว ที่บริเวณเขาก็ไม่ขาย ก็ยังเหลือแต่สระนี้เท่านั้น ตกลงเอา สระก็สระ

ขนดินมานี้ดูจะภูเขาทั้งลูก มันใหญ่จริงๆ นะสระนี้ ถมหมดเลยเต็มเอี๊ยด รถแทร็กเตอร์วิ่งทับแน่นปึ๋งแล้วก็ปลูก นั่นของเล่นเมื่อไร นี่เราทั้งนั้นนะจ่ายทั้งหมดเลย ถมสระนี้เราอยากจะว่าภูเขาทั้งลูกเลย มันสระใหญ่ ถมแล้วก็เอารถแทร็กเตอร์มาทับให้แน่นปึ๋งเหมือนดินธรรมดาเลย เทไปเรื่อยทับไปเรื่อยจนกระทั่งพอ ถ้าไปทับทีเดียวกลัวมันไม่แน่น ทับเป็นระยะแล้วก็เอารถมาไถทับๆ กัน ขนมาๆ แล้วก็ทับ แน่นปึ๋งเลย สร้างจากนี้ถึงโน้นเลย ทั้งหมด ๑๕ ล้าน เราสร้างให้ ๓ ชั้น ชั้นที่ ๓ กลายๆ มีถังอะไรอยู่ข้างบน ที่ใช้จริงๆ มีสองชั้น

นั่นละที่ว่าด่านนั่น เวลาเราไปดูตลอด เห็นพวกผู้ย่าผู้หญิงเขาอยู่ด่านนั่นเขามาขายอะไร เราจอดรถดู ให้ซื้อเขาจากนั้นเสียก่อน เอาแค่นั้นก่อน ซื้อเอาของเล็กน้อยแล้วให้เขาแล้วไป ไปมาดูเรื่อยๆ สุดท้ายซื้อให้เงินแต่ไม่เอาของ จากนั้นมาเลยส่งตั้งแต่นั้นนะ พ.ศ.เท่าไรนาสร้างตึก ตั้งแต่โน้นมาจนกระทั่งป่านนี้ เดือนละหนๆ ส่วนปัจจัยให้ครอบครัวละแต่ก่อน ๖๐๐ เดี๋ยวนี้เพิ่มอีกหนึ่งร้อยเป็น ๗๐๐ ข้าวสาร ๑๒ กิโล ครอบครัวละถุงๆ สองด่านนี้พอดีกับรถเรา รถเราบรรทุกหนักได้อยู่ ตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งป่านนี้เดือนละหนๆ ตลอดเลย

อย่างเราจะไปกรุงเทพเราก็รีบไปส่งเขาเสีย พอกลับมาจากกรุงเทพแล้วก็ไปส่งทีหนึ่ง เพราะไปกรุงเทพช่วงนี้ทุกปีมันยืดยาว ร่วมเดือนๆ กว่าจะได้กลับมา เราไปส่งเขาปั๊บตอนนี้แล้วกลับมาก็พอดีส่งอีก เป็นอย่างนั้นเรื่อยมา นี่ละอำนาจแห่งความสงสารพี่น้องทั้งหลายดูเอานะ ความสงสารเป็นอย่างนั้น อำนาจเมตตา อย่างน้อยน่าจะ ๘ ปีแล้วมั้งที่สร้างตึกหลังนั้นมาจนกระทั่งป่านนี้ ส่งทุกเดือนๆ เลยตลอดมา สงสาร

ที่ว่าเขาขายของตามด่าน มีแต่ซื้อไม่เอาของ ทีแรกเอานิดหน่อยแล้วให้เขาเท่านั้นๆ ครั้นต่อมาเลยไม่เอาของ ซื้อๆ ทุกวันนี้ก็เหมือนกัน ดอกไม้มีเท่าไรๆ ให้เขานับ มีกี่พวง เขาขายพวงละเท่าไร ให้พวงละเท่านั้น ดูเป็นพันๆ นะ ดอกไม้เขาเตรียมไว้สำหรับเรา เขาไม่ได้ขายที่ไหนแหละ เขาก็รู้เวลาเราจะไปช่วงไหนๆ เพราะเราไปไม่ค่อยเคลื่อนคลาด พอถึงเดือนปั๊บเป็นเวลาจะไปเขาก็เตรียมดอกไม้ไว้ ดอกไม้บ้าง ข้าวหลามบ้าง ซื้อหมดเลยแต่ไม่เอา อันนี้เท่าไร ดอกไม้จำนวนเท่านั้นให้ตามนั้นๆ ไม่เอาดอกไม้ แล้วข้าวหลามเท่าไร มีกี่บั้ง บั้งละเท่าไรๆ ให้หมดแต่ไม่เอา เขายังจะจับมาใส่รถ ไม่เอา บอกแล้วนี่น่ะ เดี๋ยวปาเข้าป่านะ ดุเอา ก็บอกว่าไม่เอาแล้วเอามาทำไม เขาบอกอยากให้เอาไปฉัน อยู่นี่ก็มีปากเหมือนกัน บทเวลาจะตอบ มีปากแต่เราเหรอเราว่า  ไม่เอาเลย เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้น

แต่ละเที่ยวๆ ดอกไม้หลายๆ พัน สองด่าน ข้าวหลามมีด่านสุดท้ายโน้น ด่านนี้ไม่มี สำหรับดอกไม้มีทั้งสองด่าน ให้อย่างนั้นละ ให้ด้วยความเมตตาตลอด เราอยากให้ท่านทั้งหลายมาดูหัวใจนี้ว่างั้นเลย ไม่ใช่คุยนะ ก็มันจ้าครอบโลกธาตุ นี้พูดให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง เรื่องจะว่ามาโอ้มาอวดอย่ามาคิดนะสิ่งเหล่านั้น เราไม่ได้โอ้อวดต่อผู้ใดทั้งนั้น เราทำด้วยความเมตตาล้วนๆ ตามหลักความจริงไม่ได้เคลื่อนคลาด บอกงั้นเลย เป็นอย่างนั้นละอำนาจความสงสาร มีเท่าไรกวาดออกหมดๆ ที่จะเข้ามานี้ไม่นะ ได้เท่าไรกวาดออกๆ กวาดออกตลอดเวลาเลย

ท่านว่า มหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ พระพุทธเจ้ามีพระเมตตามหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ทำประโยชน์ให้แก่โลกหาประมาณไม่ได้เลย หิตาย สพฺพปาณินํ ทำประโยชน์ให้แก่โลกหาประมาณไม่ได้เลย อำนาจความเมตตานะนั่นไม่ใช่อะไร อ่อนนิ่มไปหมดเลย อย่างกิริยาที่แสดงเหล่านี้นั้น เป็นกิริยาของธรรมทั้งนั้น จะเด็ดจะขาดดุอะไรๆ นี้มีแต่ธรรมออกทั้งนั้น ไม่ได้มีกิเลสแม้เม็ดหินเม็ดทรายจะแทรกออกมาด้วยเลย ไม่มี เราจึงพูดได้ชัดเจนจากหัวใจเรานี้ออกมา กิริยาของเราที่ใช้กับโลกนี้ไม่มีภัยไม่มีพิษ มีแต่คุณล้วนๆ คือเป็นธรรมล้วนๆ ที่ออก ไม่ว่าจะดุด่าว่ากล่าวเด็ดอะไรๆ ก็ตามมีแต่ธรรมล้วนๆ ทั้งนั้น ไม่มีกีเลสมาแฝงเลย เพราะฉะนั้นกิริยานี้จึงไม่เป็นภัยแก่โลก เป็นคุณทั้งหมดเลยที่แสดงออก

เพราะอำนาจของเมตตาธรรมมันอ่อนนิ่มไปหมด ความบริสุทธิ์ของจิตกับเมตตาธรรม ประหนึ่งว่าเป็นอันเดียวกัน มันนิ่มเหมือนกันไปเลย แต่ก่อนเราก็ไม่เคยเป็น บทเวลามันเป็นขึ้นในใจนี้ไม่บอกหรือไม่ถามใคร มันก็รู้อยู่อย่างเต็มหัวใจจะไปถามใครหาอะไร นั่น นี่ละพระพุทธเจ้าไปไหนโลกถึงได้เย็น เย็นด้วยอำนาจเมตตาธรรม แต่พระพุทธเจ้ากับสาวกต่างกัน ภูมิของสาวกกับภูมิของพระพุทธเจ้านั้นต่างกันมาก แต่ยังไงก็ตามเรื่องเมตตาธรรมนี้มีมาพร้อมกันเลย ตามแต่นิสัยวาสนาจะสงเคราะห์ได้มากน้อยเพียงไรเท่านั้น ส่วนมีมีด้วยกัน มีอยู่ภายในใจ แต่ถ้าไม่มีเครื่องแสดงออกเป็นเครื่องสนองความเมตตานั้น ความเมตตาก็มีอยู่นั้นละ

เราทำทุกอย่างต่อโลกเราไม่มีพิษมีภัยเลยนะ ไม่มี จะกิริยาแสดงออกท่าใดแบบใดก็ตามไม่มีภัย การแสดงออก จะเป็นการคัดค้านต้านทานอย่างนี้ก็เหมือนกัน คัดค้านด้วยความถูกต้อง ต้านทานทุกอย่างด้วยความถูกต้อง ไม่ได้ผิด ผู้ที่ฝืนเข้ามาเป็นผู้ผิด แล้วเขาก็หาเรื่อง อย่างทุกวันนี้ก็ได้ยิน แต่เราไม่เคยสนใจกับปากอมขี้นะ เพราะปากนี้ปากอมธรรมมันต่างกัน ปากอมธรรมจะชี้แจงแสดงบอกตั้งแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ปัดออกในสิ่งไม่ดีทั้งหลายเท่านั้น เรียกว่าปากอมธรรม ปากอมขี้หาแต่เรื่องสกปรกรกรุงรังมาใส่ที่สะอาดให้มัวหมองไปตาม สุดท้ายก็คือตัวเองละสร้างฟืนสร้างไฟ สร้างความสกปรกใส่ตัวเองทั้งหมดเลย

ไปกล่าวหาท่านอะไรก็มันคนละแบบนี่ แบบหนึ่งแบบดี แบบหนึ่งแบบชั่ว จะเอาเข้ากันได้ยังไง ทำยังไงก็ไม่เข้า แต่ก่อนได้ยิน เขาว่าหลวงตามาเล่นการบ้านการเมือง ทางนี้ก็ตอบผางไปเลย การบ้านการเมืองอะไร การไหนมีแต่ส้วมแต่ถานเต็มบ้านเต็มเมือง เราเอาอรรถเอาธรรมเป็นน้ำที่สะอาดเข้ามาชะล้าง จะเรียกว่ามาเล่นการบ้านการเมืองอะไร การบ้านการเมืองมันวิเศษวิโสมาจากไหน เป็นส้วมเป็นถานทั้งโลกนี่นะ ธรรมนี้เลิศโลกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เอามาชะมาล้างให้สะอาดสะอ้านว่าเป็นเล่นการบ้านการเมืองเหรอ เราก็ว่างั้น จากนั้นมาเลยเงียบเลย ไม่ได้ว่าการบ้านการเมือง

ก็นี้ไม่ได้มีการบ้านการเมือง เรื่องของธรรมล้วนๆ ออกมาสอนโลกสงเคราะห์โลก เราไม่ได้มีความสกปรกจากการแสดงออกของเรา เพราะฉะนั้นจึงจะดึงเราไปหาว่าเล่นการบ้านการเมืองการส้วมการถานไม่ได้ เข้าใจไหมล่ะ มีเท่านั้นละวันนี้ เอ้ามีอะไรว่ามา ต่อไปนี้ก็หยุดแล้ว เทศน์เท่านั้นนะ วันนี้ไม่เทศน์มาก

ผู้กำกับ มีการ์ตูนครับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อก่อนนี้เขามีเป็นรูปตำรวจอุ้มประชาชน แล้วก็มีเด็กเกาะขาตำรวจ ทีนี้หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตอนนี้การ์ตูนเขาเอามาลง กลายเป็นตำรวจหายไป มีเด็กกับประชาชนที่ถูกอุ้มวางอยู่นอนอยู่ นี่ประชาชน เด็กก็เลยพูดขึ้นมาว่า “พ่อ ตำรวจที่อุ้มพ่อหายไปไหน” พ่อก็เลยตอบว่า “ไปฟ้องสนธิ” คือไปแจ้งความฟ้องสนธิเนี่ยฮะ (เขาถามไหมล่ะ ฟ้องสนธิเพราะอะไร) ไม่มีต่อครับ (ถ้ายังงั้นตำรวจนี้ก็ลอยลมละซิ ไปหาฟ้องเขาไม่มีเหตุมีผลอะไร ฟ้องกันหาอะไรเข้าใจไหม) เจ้านายเขาสั่งให้ไปทำ ตำรวจก็ไปทำตามคำสั่งเจ้านาย

(คุณสนธิไปทำอะไรให้ เจ้านายเขาถึงสั่งมาให้จับ) ก็ตามที่เขาไปพูดให้ประชาชนมาฟังกันมากๆ เจ้านายเขาก็ตกใจกลัว เลยไปแจ้งความไว้ก่อน (เอ้อ เขาเคียดแค้นอย่างงั้นนะ เขาจับไม่ให้พูดเรื่องเขา เขานั้นทำได้ทุกอย่างใช่ไหม แต่คนจะพูดถึงเรื่องความผิดพลาดของเขาพูดไม่ได้ เขาจะมาจับคุณสนธิ ถ้าเป็นเราเป็นนายคุณสนธิ เราจะบอกสนธิให้ไปจับพวกเปรตมากๆ นี้ให้หมด บ้านเมืองเราจะสงบร่มเย็น เราจะว่าอย่างงั้นละ เอาละแค่นั้นพอ มันก็มีแง่จะฟัดกันตรงนี้ ออกมามันรู้ทันทีเลย พอแย็บออกมามันรู้ทันทีๆ นอกจากจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น)

ใครจะไปเชียงใหม่เดี๋ยวจะบอกวิธีการไปเครื่องบินฟรีครับ (เอ้าว่าไป) เขาบอกว่า “ฟรีทุกเที่ยวบินจริงๆ อดีตลูกทัพฟ้าอย่างผมยืนยัน บาทเดียวก็ไม่เสียจริงๆ” ลูกทัพฟ้าคือทหารอากาศครับ นี่เขาบอก “เปิดตัวครั้งแรก บินฟรีทุกเที่ยวบิน กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ให้บริการแก่ประชาชนทั่วไป (ที่นามสกุล ชินวัตร)”

หลวงตา เหรอ เอาละขี้เกียจพูด เราก็ฟังไปเหมือนประชาชนทั่วๆ ไปแหละ เอาละพอ เราฟังเหมือนประชาชนทั่วๆ ไปเขาฟังกัน ถ้าฟังแยกออกจากนั้นมาแล้วไม่ได้ มันจะเกิดเหตุ เอาละ มีเท่านั้นละนะ ถ้าทำอะไรไม่ดีเขาก็มาทำประชดให้เห็นอย่างนี้แหละ ไปดูเอา เรื่องการ์ตูนมีแต่เรื่องประชดๆ ให้รู้ตัวๆ นั่นเอง การ์ตูนเขาออกมานี้เป็นการประชดให้รู้เนื้อรู้ตัว ทำผิดอะไรควรจะแก้ไขดัดแปลงความหมายว่างั้น

เอ๊ะ ดูเหมือนเห็นการ์ตูนเรามีบ้างไม่ใช่เหรอ (เมื่อวานนี้ไงฮะ) เวลาไหนก็ตามดูเหมือนเคยมีการ์ตูนเราบ้างไม่ใช่เหรอ (มีครับที่เอาไปประหารนะฮะ) เอ้อ การ์ตูนเขาบอกว่า หลวงตา ว่างั้นนะ ให้เอาไปประหาร คือเอานายวิษณุ เครืองาม ไปประหาร เขาบอก หลวงตา เขียนไว้ข้างบน “เอาไปประหาร” ว่างั้นนะ แล้วทางวิษณุเขาบอกว่า “ประหารแต่ผมคนเดียว หมอนั่นล่ะ” ทางนี้ก็เลยตอบขบขันเป็นการ์ตูนด้วยกัน “รอวันพูก” เราเลยตอบไปเดี๋ยวนั้นเลย บอกว่า “รอวันพูก” เข้าใจไหมวันพูก ถ้าว่ารอวันพรุ่งนี้มันสำนวนธรรมดาไม่ใช่ตลก ต้องรอวันพูกเข้าใจไหม มันก็เข้ากันได้ซิ ก็เท่านั้น มีเท่านั้นหรือ

ผู้กำกับ   อันนี้มาใหม่เอี่ยมครับ ณ. หนูแก้วครับ ขออนุญาตอ่านเลยนะครับ (เราฟังนี้ฟังเพื่อพิจารณาดูเรื่องโลกสงสาร ควรช่วยเหลือแบบไหนเราก็ช่วยนะที่พูดเหล่านี้ เอ้าๆ ว่าไป) อันนี้คอลัมน์วิจารณธรรม ประจำวันพฤหัสบดี ชื่อเรื่องว่า

แกว่งเท้าหาเสี้ยน !

            ท่านผู้ชมคงจำกันได้ เมื่อเร็วๆ นี้ “พระธรรมวิสุทธิมงคล” หรือหลวงตามหาบัว  ญาณสัมปันโน พ่อแม่ครูอาจารย์วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี ได้มีความวิตกกังวลกับการกระทบกระทั่งกัน ระหว่าง “นายสนธิ  ลิ้มทองกุล” ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและนายกรัฐมนตรี “พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร” ที่อาจจะเป็นเวรเป็นภัยต่อกันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และอาจบานปลายกลายเป็นเหตุเดือดร้อนที่จะตกแก่แผ่นดินอันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนา ด้วยเหตุนี้หลวงตาท่านจึงขอบิณฑบาตให้นายกฯสละเวลาไปพบหลวงตามหาบัวพร้อมๆ กับ “นายสนธิ  ลิ้มทองกุล” ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2548 เวลา 15.00 น.

ครับ...ท่านที่ยังไม่เข้าใจก็ขอให้อ่านทวนซ้ำหลายๆ ครั้ง

เมื่ออ่านเข้าใจดีแล้วก็จะเห็นว่า หลวงตาท่านไม่ต้องการที่จะให้ความแตกสามัคคีต่อกันต้องขยายวงกว้างกลายเป็นเรื่องเดือดร้อนขึ้นในแผ่นดิน ท่านต้องการจะหย่าศึก โดยถือเอาความเป็นครูอาจารย์มาวางตรงกลางว่างั้นเถอะ คงไม่ใช่เรื่องพระสงฆ์จะลงไปเล่นการเมือง ดังที่บางคนที่ไม่อยากให้เกิดความสงบขึ้นในแผ่นดินกำลังเที่ยวปลุกกระแสอยู่ในเวลานี้

ขณะที่ท่านนายกรัฐมนตรียังติดภารกิจอยู่หลายประการด้วยกัน จึงไม่อาจเดินทางไปพบกับหลวงตามหาบัวตามเวลาที่กำหนดได้ ก็ได้แต่ฝากให้โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีออกมาแถลงว่า ท่านนายกฯจะเข้าไปพบหลวงตาอย่างแน่นอน แต่จะเป็นวันไหนเวลาใดนั้น ก็ต้องดูวันเวลาที่เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง

ในขณะเดียวกันก็มีพระภิกษุผู้เชิดชู “สมเด็จเกี่ยว” ได้โพสต์ข่าวลงในเว็บไซต์ “ยุวสงฆ์ ดอทคอม” ว่า ยสสีภิกขุ ได้ออกมาให้ความเห็นกับกรณีดังกล่าวว่า

“นายกฯไม่ควรไปพบหลวงตามหาบัว เพราะไม่ใช่ผู้ที่จะไกล่เกลี่ยได้ ทางที่ดีควรเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เพราะเป็นองค์กรที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นตัวแทนของพระสงฆ์ทั้งประเทศอยู่แล้ว”

เขาเรียกว่ามือไม่พายยังเอาเท้าราน้ำ

เรื่องความบาดหมางระหว่างนายสนธิกับท่านนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดเมื่อวันสองวันนี้เมื่อไหร่ ในครั้งแรกการจัดเวที “เมืองไทยรายสัปดาห์ สัญจร” ได้มีผู้เข้าร่วมรับฟังเพียงไม่กี่ร้อยคน พอมาจัดในครั้งที่ 7 ครั้งที่ 8 ก็มีผู้คนเพิ่มขึ้นเป็นเรือนหมื่น และเป็นเรือนแสนตามลำดับ อุณหภูมิความขัดแย้งยิ่งร้อนแรงขึ้นเป็นลำดับแทบจะเกิดกลียุคขึ้นในแผ่นดิน

ในช่วงนั้นทำไมล่ะ เหล่าผู้เชิดชู “สมเด็จเกี่ยว” ทำไมไม่ออกมาเชิญท่านนายกรัฐมนตรีให้เข้าพบเพื่อสยบเรื่องไม่ให้บานปลาย แต่พอหลวงตาท่านออกมาให้เมตตาธรรมเพื่อต้องการจะเคลียร์ปัญหา ทำไมหมู่พวกท่านถึงเพิ่งต้องออกมาแสดงการคัดค้าน ?

ท่านผู้ชมทั้งหลายลองดูเจตนาของพระฝ่ายที่เชิดชู “สมเด็จเกี่ยว” กันบ้างเถอะ ดูซิว่าสงฆ์ฝ่ายไหนที่รับใช้นักการเมือง ขอความกรุณาอ่านทวนสักสองสามครั้งเถอะ

การออกมาไขข่าวเพื่อหวังเปิดศึกชนกับฝ่ายหลวงตามหาบัวในครั้งนี้ “ณ. หนูแก้ว” ได้ขอทราบวัตถุประสงค์จากหลวงพี่ “พระมหาเดวิด” แบบตรงๆ ก็ได้ความมาว่าท่านไม่ได้เขียนข้อความนี้ขึ้นมาเอง แต่เป็นการเขียนของกลุ่มพระซุ้มวัดสระเกศ เมื่อได้ความเช่นนี้แล้วก็อยากจะถามกลับไปว่า ปัจจุบันหลวงพี่มหาเดวิดก็แทบจะหาวัดอยู่จำพรรษาไม่ได้ จะหลบหนีไปอยู่วัดใดที่ไหนพระฝ่ายปกครองก็เที่ยวตามไปรังควานไม่เลิก

ตามล้างตามผลาญกันยังกะในหนัง !!

เมื่อ “พระมหาเดวิด” ท่านได้รับความเดือดร้อนจนถึงขนาดนี้แล้ว มีไหมล่ะที่ “สมเด็จเกี่ยว” ผู้มีอำนาจล้นในสังฆมณฑลจะให้ความยุติธรรมต่อท่านบ้าง แม้พระต่อพระด้วยกันท่านยังไม่คิดจะช่วย แล้วนับประสาอะไรที่จะมาหย่าศึกระหว่างคุณสนธิกับท่านนายกฯ

เรื่องศึกสมเด็จที่ยังไม่จบ แต่ก็นับว่าสงบตามสมควรดีอยู่แล้ว เหล่าผู้เชิดชู “สมเด็จเกี่ยว” อยากจะเปิดศึกกับวัดป่าอีกรอบหรือยังไง ?

ในระหว่างนี้ขอให้ตอบคำถามต่อพระสายเดียวกันให้ได้เสียก่อนเถอะ คำถามในหนังสือ “สมณศักดิ์ : ฐานแห่งอำนาจ” จะตอบสังคมเขาว่าอย่างไร การเลื่อนสมณศักดิ์ให้พระใกล้ตัว ขรัวเจ้าท่านได้ใช้หลักธรรมข้อไหนมาพิจารณาจ๊ะ ??

และในไม่ช้าไม่นานนี้หนังสือประวัติศาสตร์เรื่อง “ศึกสมเด็จ ภาค ก็จะออกมาวางแผงให้ท่านทั้งหลายได้อ่านศึกษา ความเป็นมาเป็นไปของการแย่งชิงบัลลังก์อำนาจ เขาว่ากันว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นหนังสือที่ขายดีเป็นอันดับหนึ่งทุกแผงเลยทีเดียว

ช่วยแปลความคำว่า “สมณะ” ให้ฟังหน่อยซิครับ !!

                                                            ณ. หนูแก้ว

หลวงตา ก็เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไร คือเราให้นายกฯกับคุณสนธิมา ก็คือเป็นผู้นำชาติด้วยกันทั้งสองฝ่าย เราเป็นอาจารย์ของทั้งสองฝ่าย อะไรที่มีความบกพร่อง จะควรส่งเสริมประเภทใดๆ เราก็จะเชิญมาแล้วพิจารณากัน เพื่อจะบำเพ็ญประโยชน์ให้ชาติของเรา ทั้งสองฝ่ายนี้ได้บำเพ็ญเต็มกำลังความสามารถ บ้านเมืองของเราก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นไป เรื่องราวก็มีเท่านั้นละเข้าใจเหรอ ไม่ได้มีที่ว่าท่านทั้งสองนี้ทะเลาะกัน เพราะทั้งสองท่านนี้เป็นผู้นำแผ่นดินไทยด้วยกัน ในฐานะที่เราเป็นอาจารย์ที่เราเชิญมาระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ เชิญมาพบกันมีข้อผิดที่ตรงไหน ก็มีแต่ความเป็นมงคลทั้งนั้นเข้าใจหรือยังล่ะ เอาละพอ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก