เพลินกับธรรมไม่มีพิษมีภัย
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2548 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๘

เพลินกับธรรมไม่มีพิษมีภัย

ก่อนจังหัน

พระเปลี่ยนหน้ามาเรื่อยนะ พระที่เปลี่ยนหน้าเข้ามาให้สังเกตให้ดี ตา หู ฟังให้ถึงใจทุกอย่าง อย่ามาเร่ๆ ร่อนๆ แล้วก็เอาวัดป่าบ้านตาดไปขายกิน นี่ออกมาจากอาจารย์มหาบัว แพรวพราว ใครอยากให้ทดลองเครื่องก็มา มันบ้าขนาดนั้นนะเดี๋ยวนี้ ให้ตั้งใจปฏิบัตินะพระ อย่ามองโลก มองดูโลกคือกิเลสในหัวใจตัวเองซิ มองตรงนี้ด้วยสติๆ ถ้าสติมีอยู่แล้วกิเลสจะไม่เกิด เผลอเมื่อไรกิเลสเป็นเกิดๆ เผาเจ้าของตลอดไป คำนี้จำให้ดีให้ถึงใจ

สติเป็นสำคัญมาก ถ้ามีสติแล้วไม่ว่าทำหน้าที่การงานอะไรไม่ค่อยผิดพลาด ยิ่งเข้ามาแก้กิเลสนี้เหมาะสมมากทีเดียว สติตั้งแต่พื้นๆ ถึงมหาสติมหาปัญญา ก้าวเข้าสู่นิพพานว่างั้นเถอะ นิพพานสดๆ ในหัวใจเรานี่ ไม่พ้นจากสติไปได้ อย่าไปสนใจดูใครยิ่งกว่าดูตัวเอง ให้ดูหัวใจความเคลื่อนไหวของตัวเอง มันออกจากนั้นละมหาเหตุ คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้มันหยุดเมื่อไร พอตื่นนอนไม่ทราบมันติดเครื่องเมื่อไร ติดเครื่องวุ่น คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ๆ อยู่ตลอดเวลา เอาเวลาหลับเป็นเวลาดับเครื่อง ถ้าไม่มีหลับแล้วตายมนุษย์เรา

ความคิดความปรุงนี้โลกทั้งหลายใครมองเห็นเมื่อไร ไม่มีใครมอง ธรรมมองจ้าหมดเลย ตัวความคิดความปรุงนี้เป็นไฟเผาโลกอยู่เวลานี้ กิเลสอวิชชามันอยู่ภายใน กองไฟใหญ่อยู่นั้น มันผลักดันออกมาๆ ให้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสอะไร กิเลสออกทำงานๆ ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจึงให้ดูหัวใจ มหาเหตุอยู่ที่ใจ ถ้าสติจ่ออยู่นั้นแล้วกิเลสจะไม่เกิด มันจะหนายิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกก็เกิดไม่ได้กิเลส ตีๆ อยู่ตลอดนะ มันปรุงแพล็บออกมานั่นละคือกิเลสออกแล้ว อวิชชาดันออกมาเป็นสังขารสมุทัยให้คิดให้ปรุง โลกทั้งหลายเป็นบ้ากับความคิดปรุงนี้ละ

เพลินนั้นเพลินนี้มีอะไร ตัวสังขารนี่ละคิดนั้นคาดนี้ คิดว่าที่นั่นจะสนุก ที่นี่จะสะดวกสบายรื่นเริง อยากไปดูที่นั่นอยากไปชมที่นี่ มีตั้งแต่ตัวสังขารหลอกเจ้าของ ดึงไปตลอดเวลา พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วมีแต่สังขารความคิดปรุงเป็นขันธ์ล้วนๆ ไม่เป็นภัย อยู่ไหนสบายหมดๆ

พระเราให้ตั้งใจปฏิบัติให้ดีนะ เอาให้จริงให้จัง อย่าเหลาะๆ แหละๆ เรื่องความพร้อมเพรียงสามัคคีเป็นพื้นฐานของวัดนี้มาดั้งเดิมแล้ว จึงไม่ค่อยได้เตือนเพราะดีทุกอย่างแล้วความพร้อมเพรียงสามัคคี ข้อวัตรปฏิบัติปัดกวาดเช็ดถู ทำความสะอาดในที่นั่นที่นี่ พระวัดนี้ทำได้เป็นอย่างดีไม่มีที่ต้องติตลอดมา เราจึงไม่ค่อยได้เตือนตรงนี้ เตือนตั้งแต่เรื่องความเพียรที่จะดูหัวใจเจ้าของ ใครสติดีผู้นั้นจะตั้งรากฐานได้ สติจับอยู่กับจิต กิเลสจะเกิดไม่ได้ กิเลสทำลายใจไม่ได้ถ้ามีสติ ถ้าไม่มีสติแล้วเอาเถอะว่างั้นเลย ลงทั้งนั้นไม่มีขึ้น เรื่องสติเป็นของสำคัญมาก อยู่ที่ไหนๆ อย่าเผลอสติ ทำงานการอะไรๆ เช่นเรามาจัดนั้นจัดนี้จะขบจะฉัน สติให้ติดแนบอยู่กับตัว เป็นสัมปชัญญะ รู้รอบตัวๆ ตลอดเวลา กิเลสเกิดไม่ได้ ถ้าลงสติได้รักษาใจอยู่แล้วกิเลสเกิดไม่ได้ เผลอสติเมื่อไรกิเลสเกิดทันที เอาไฟเผาตัวเองตลอดเวลา

ผมเป็นห่วงเป็นใยหมู่เพื่อน ยิ่งแก่เข้ามาเท่าไร แทนที่จะมาห่วงเจ้าของ ผมบอกตรงๆ บอกไม่มี ไม่มีเลยสำหรับตัวของผมเอง จะห่วงเป็นห่วงตายก็ไม่มี ความเป็นความตายเกิดมาจากร่างกายอันเดียวนี้ เรียนจบแล้ว ไม่เคยตื่นเต้นกับมันเรื่องเป็นเรื่องตาย นี่ละเรียนธรรมจบ เรียนโลกจบ จบอยู่ที่นี่ไม่ได้จบที่ไหน เรียนนู้นเรียนนี้ จบเมืองนั้นเมืองนี้ มีแต่จบเรื่องกิเลสเอาไฟมาเผาตัวและส่วนรวมนั่นแหละ ถ้าเรียนธรรมปฏิบัติธรรมแล้วเย็นไปหมด ได้ชั้นไหนๆ จะรู้อยู่ภายในจิตใจของตัวเอง

ธรรมอยู่ที่ไหนเย็นที่นั่น ธรรมจะเย็นที่ใจ กิเลสเผาที่หัวใจ โลกอันนี้กว้างแสนกว้างอย่าเข้าใจว่ากองทุกข์อยู่ที่ไหน อยู่ที่หัวใจเป็นตัวคิดตัวปรุง ต้นไม้ภูเขาเขามีมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว แต่หัวใจเราที่คิดอยู่กับตัวของเรากวนตัวเองตลอดเวลา คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันอยู่เฉยๆ ไม่ได้ความคิดความปรุงนี่ ตัวอวิชชา นั่น อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ลากไปเรื่อยๆ ให้พิจารณา ให้มีสติให้ดีพระเรา

อย่าไปมองดูใครยิ่งกว่ามองดูหัวใจตัวเอง ผิดถูกชั่วดีเป็นเรื่องของคนนั้นๆ ของเขาๆ ผิดถูกชั่วดีจริงๆ เป็นเรื่องของเรา เราจะเป็นผู้รับเคราะห์รับกรรมอันนี้แหละ ส่วนมากมีแต่คิดผิดๆ คิดถูกไม่ค่อยมี ถ้าไม่ใช่นักภาวนาจริงๆ จะไม่ค่อยเห็นความคิดถูกของตัวเอง จะมีแต่ความคิดผิดๆ อยู่ภายในใจ เพราะฉะนั้นจึงให้เอาสติจับให้ดี

ธรรมเหล่านี้มีใครมาสอนท่านทั้งหลาย ฟังซิน่ะ นี่ถอดออกมาจากหัวใจ ปฏิบัติมาได้รู้ได้เห็นอย่างนี้แล้ว กิเลสหมอบราบลงมาตั้งแต่นั้นแล้วหาความทุกข์ไม่มีเลยในหัวใจ มีก็มีตั้งแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์เจ็บปวดแสบร้อนในสังขารร่างกาย มันก็มีอยู่เพียงธาตุเพียงขันธ์ไม่ได้เข้าถึงใจ ลงใจหมดภัยคือกิเลสแล้ว ไม่มีอะไรเป็นภัยในโลกนี้ มีกิเลสเท่านั้นเป็นภัยสำหรับสัตว์โลก ฆ่ากิเลสตัวนี้ออกแล้ว แสนสบายอยู่ที่นี่ กองทุกข์จริงๆ อยู่ที่หัวใจ ความสุขจริงๆ จนเป็นบรมสุขเลิศเลออยู่ที่หัวใจ ถ้าใจได้รับการบำรุงรักษาด้วยดีแล้ว ไม่มีอะไรในโลกจะเด่นยิ่งกว่าหัวใจที่เลิศเลอด้วยความสุขความอัศจรรย์ในตัวเอง

สิ่งเหล่านั้น ต้นไม้ภูเขา เขามีอัศจรรย์อะไร ดีเลวที่ไหน เขาไม่ไปตกนรกอเวจี ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมที่ไหนนะสิ่งเหล่านั้น ตัวใจนี้คือตัวคึกตัวคะนอง ถ้าไปในทางที่ผิดก็จมเรื่อยๆ ถ้าไปในทางที่ถูกก็ดีดขึ้นไปเรื่อยๆ ให้ไปในทางที่ถูก บังคับตัวเองให้ดี กิเลสมันฝืนเรา เราต้องฝืนกิเลส การทำความพากเพียรก็ฝืนกิเลสนั่นแหละจะเป็นอะไรไป ให้กิเลสอ่อนลงๆ ธรรมก็ดีดขึ้นๆ มีความรื่นเริงบันเทิง จิตใจสว่างไสวออกไปๆ ฟาดเสียให้จิตสว่างจ้าหมดแล้ว โลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าใจ ใจครอบโลกธาตุ

ความทุกข์เวลากิเลสมันสั่งสมมากๆ ความทุกข์อยู่ที่หัวใจนะ ไม่ได้มีอยู่ที่อื่นใดทั้งหมด นักภาวนาต้องดูหัวใจซึ่งเป็นมหาเหตุ ถ้าเราบำรุงรักษาจริงๆ เราจะเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นที่หัวใจ ไม่มีที่อื่นใดแหละ มีที่หัวใจ จำให้ดี เอาละให้พร

หลังจังหัน

         พ่อแม่ครูจารย์เทศน์ขบขันนะ ท่านเฉย ผู้ฟังอดหัวเราะไม่ได้กลั้นไว้จะตาย ท่านเทศน์ขบขันดีท่านเทศน์สอนพระ ท่านพูดเฉย ไอ้ผู้ฟังมันจะตาย เรามันนิสัยอย่างนี้ด้วย นิสัยชอบหัวเราะด้วย ท่านใส่มาหมัดไหนนี้ ท่านพูดเฉย ไอ้เราฟังนี้จะตาย ไปที่ไหนท่านว่าอย่างนั้น ถ้ามีศรัทธาญาติโยมเขาหิ้วหม้อแกงใหญ่ๆ มา ปิ่นโตเป็นแถวมา ที่นี่อากาศดีนะโยม ปลอดโปร่งหมดนะโยม ถ้าที่ไหนไม่มีปิ่นโต แห้งๆ แล้ว โอ๊ย ที่นี่อยู่ไม่ได้ละโยม อากาศทึบ ท่านพูดเฉย เราจะตายซิท่านพูดขบขัน เราไม่ลืม ท่านพูดเฉย ผู้ฟังมันจะตายซิ อากาศปลอดโปร่ง อากาศทึบไม่สบายไม่สะดวก ท่านตีพระท่านสอนพระ

หลักธรรมชาติก็คือ ท่านฝึกท่านทรมานท่านมาพอแล้ว ใครจะสมบุกสมบันได้รับความทุกข์ความทรมานยิ่งกว่าพ่อแม่ครูจารย์มั่น เป็นคติตัวอย่างได้เป็นอย่างดีทั้งภายนอกภายในทุกอย่างไม่มีบกพร่องเลย พ่อแม่ครูจารย์มั่น ความทุกข์ความทรมานอยู่กับท่านหมด ไปที่ไหนๆ เวลาท่านเล่า ท่านก็เล่าแบบเฉยๆ เหมือนกัน ท่านเล่าอะไรท่านเฉยไปเรื่อย

ไปบิณฑบาตเขาว่า พระธรรมกรรมฐานท่านฉันแต่ถั่วแต่งา ท่านไม่ฉันเนื้อฉันปลา ท่านฉันแต่ถั่วแต่งา ทีนี้เขาใส่บาตรเขาก็ใส่แต่ข้าวเปล่าๆ กับอะไรๆ เขาไม่ให้ ทีนี้ถั่วงาเขาไม่มี เขารู้เฉยๆ ว่าฉันแต่ถั่วแต่งา เขาไม่มีถั่วมีงาเขาก็เอาแต่ข้าวเปล่าๆ มาให้ฉัน ถั่วงาเขาไม่มี เขาว่าพระท่านฉันถั่วฉันงาเขาว่าเอาเฉยๆ ถั่วงาเขาไม่มีเขาก็ไม่ให้ซิ สิ่งที่มีก็คือข้าวเปล่าๆ ท่านว่างั้น ฉันไปอย่างนั้นแหละ เพราะจิตมุ่งอยู่ในธรรมไม่ได้เป็นกังวลกับสิ่งเหล่านี้ จะทุกข์ยากลำบากขนาดไหนทางการฝึกจิตนี้ยิ่งคล่องตัวๆ อาหารการบริโภคเพียงเยียวยาๆ ถ้าอาหารปรนปรือมากๆ อย่างวัดป่าบ้านตาดนี่ ใครไม่ฉลาดมันตายแหละ ที่อาหารขาดแคลน อย่างที่ว่าเห็นผักกระโดนอะไรผ่านมานี้ นี่เคยอยู่ในภูเขา เราเคยฉันมาพอแล้ว เห็นนี้สะดุดใจกึ๊กๆ พวกผักหนามพวกผักอะไรที่อยู่ในป่าในเขา อาศัยฉันอย่างนั้นแหละ

เรื่องความทุกข์ความลำบากลำบนในการอยู่การกินนี้ พระกรรมฐานผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมทุกข์มากที่สุด แต่ใจท่านเจริญรุ่งเรืองในสถานที่เช่นนั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ยอมหนีไปไหน ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนท่านอยู่ที่นั่นเพื่ออรรถเพื่อธรรม ถ้าไปที่ไหนสมบูรณ์พูนผลแล้วภาวนาไม่ได้เรื่อง เพราะฉะนั้นท่านเป็นผู้มุ่งหาธรรมอยู่แล้ว ท่านจึงเสาะแสวงหาแต่ที่เช่นนั้นๆ

เราวิตกวิจารณ์กับบรรดาพระทั้งหลาย พระลูกพระหลาน ทุกวันนี้สถานที่ไม่อำนวยเหมือนแต่ก่อน ไปที่ไหนมีแต่บ้านผู้บ้านคน มีแต่ไร่แต่สวนเขา หาที่ภาวนาไม่ค่อยมี ที่เป็นความสะดวกสบายไม่ค่อยมี เรายังดีนะสมัยที่เรากำลังบำเพ็ญอยู่ รู้สึกว่าสมบูรณ์ทุกอย่าง สถานที่อำนวยทุกอย่างเลย มาหลังๆ นี้ไม่อำนวยนะ สถานที่ภาวนาตามสะดวกสบายเหมือนแต่ก่อนไม่มีทุกวันนี้ ไปที่ไหนมีแต่ที่เป็นกรรมสิทธิ์ๆ เขาหมดเลย แต่ก่อนไม่มี ที่เป็นที่แผ่นดินไทยเท่านั้นพอ ไม่มีใครจะสงวนอะไรๆ การซื้อการขายไม่มี การวิ่งเต้นขวนขวายดีดดิ้นจึงไม่มี หาอยู่หากินที่ไหนพอเป็นไปเท่านั้นพอ การซื้อขายไม่มีมันจะดีดดิ้นไปไหนคนเรา อยู่กินวันหนึ่งๆ ไปแล้วพอๆ

ไปภาวนาออกจากนี่ปั๊บเป็นที่ทำเลดีแล้ว แยกออกจากนี้จากทาง มีแต่ทำเลที่เหมาะสมๆ ทั้งนั้น ไม่มีใครถือกรรมสิทธิ์ อยู่ที่ไหนสะดวกสบายๆ การภาวนาสะดวกมากอย่างนั้น ทุกวันนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น สถานที่เช่นนั้นไม่มีแล้วเดี๋ยวนี้ หมดไปๆ คิดดูอย่างที่ว่าดงศรีชมพู อันนี้ดงใหญ่ดงโตจริงๆ กว้างขวางมากทีเดียว เดี๋ยวนี้ไม่มีเลย มีแต่ชื่อนะ ชื่อว่าดงศรีชมพู ถ้าว่าทุ่งศรีชมพูถูกต้องแล้ว เดี๋ยวนี้ทุ่งศรีชมพูไปแทนดงศรีชมพู ดงป่าไม่มีเลย เราไปเที่ยวหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถึงได้ทราบ เวลาไปย้อนหลังนี้ โอ๋ มันเป็นแต่ไร่แต่สวนเขา มันสูงๆ เป็นไร่เป็นสวน พวกมันสำปะหลงปะหลัง พวกอ้อยพวกอะไรเต็มไปหมด นั่นมันว่างแล้วนี่เป็นดงที่ไหน

แต่ก่อนที่เราเที่ยวอยู่โน้นมันเป็นดงล้วนๆ ก้าวเข้าไปตั้งแต่อำเภอศรีสงคราม นี่ก้าวเข้าดงแล้ว เข้าอำเภอศรีสงคราม ไปทางสามผง ดงน้อย เข้าไปเป็นดงทั้งนั้นเลย เดินไปไม่ค่อยได้เจอหมู่บ้านง่ายๆ แหละ บ้านไม่ค่อยมี มีแต่ดงแต่ป่า พวกสัตว์เสือเนื้อ โอ๊ย อดอยากเมื่อไร บางแห่งมันไม่รู้จักกลัวคน คือเขาไม่เคยเห็นคน คนไม่ค่อยมี แต่สัตว์ต่างๆ เต็มไปหมด เราเคยไปแล้วแต่ก่อน ถึงมาเทียบทุกวันนี้ได้ถูกต้อง ทุกวันนี้ไม่มีแล้วอย่างนี้ หมดไป มันเปลี่ยนเอาจริงๆ นะ เปลี่ยนจนเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์เลยเทียวกับที่ว่าป่าดง แต่ก่อนป่าดงหนา โอ๊ย รกชัฏเทียว เดี๋ยวนี้มีแต่ไร่แต่สวนเขาหมดเลย คำว่าดงๆ มีแต่ชื่อ

แต่ก่อนเป็นดงจริงๆ เราก็ได้ไปเที่ยวแล้ว ทีนี้กลับมาเป็นไร่เป็นสวนโล่งไปหมด เราก็ได้ไปเห็นแล้วปัจจุบันนี้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นพระกรรมฐานที่จะออกเที่ยวให้เป็นความสะดวกเหมือนแต่ก่อน รู้สึกว่าหายากมากนะ ถ้าไปก็จะไปตามกุฏิเสีย ถ้าไปพักตามลำพังเจ้าของเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ มันโล่งไปหมดไม่เป็นป่า พอดี๊พอดีเรา พอเหมาะนะ ตอนมาสร้างวัดป่าบ้านตาด เหล่านี้ดงทั้งหมด ถึงอำเภอหนองแสง เป็นดงใหญ่ทั้งนั้น ตั้งแต่บ้านตาดขึ้นถึงอำเภอหนองแสง เป็นดงทั้งหมด พวกป่าช้างป่าเสือ พวกเนื้อ กระทิง วัวแดง มีทุกประเภทของสัตว์ สวนสัตว์บ้านสัตว์อยู่นี้แหละ

เรามาตั้งวัดทีแรกยังดีอยู่ ดงรอบหมด ชะนีมันร้องอยู่ในวัด เรามาพักปักกลดอยู่นั้น พวกชะนี บ่าง ค่าง ลิง เต็ม ชะนีร้องนี้ โถ เสียงมันแหลมมาก เราอยู่ข้างล่างมันร้องอยู่ข้างบน เต็มไปหมดแต่ก่อน พอสัก ๙ ปี ๑๐ ปี ตั้งวัดนี้ประมาณ ๙ ปี ๑๐ ปี มองเห็นคนผ่านเข้าผ่านออก เป็นทางล้อทางเกวียนนะ ทางรถไม่มี ทางเป็นด่านๆ เขาออกจากบ้านตาดนี่ไป เห็นคนผ่านไปผ่านมา นี่เขาไปดูทำเลเขาจะปลูกบ้านปลูกเรือน เห็นไหมล่ะ เราก็ดู เอ๊ คนเพ่นพ่านเข้ามาเรื่อยๆ จะมาปลูกบ้านปลูกเรือนแถวนี้แล้ว เพราะนี้เป็นดง ต่อจากนี้ก็จะเป็นสถานที่บ้านเรือนของคน เรานึกเฉยๆ

เข้า ๑๐ ปีนะ สร้างวัดได้ประมาณ ๑๐ ปี เห็นคนผ่านไปผ่านมา จากนั้นก็ขึ้นบ้านสุขสมบูรณ์ก่อน เป็นดงนะนี่ ทีนี้ทางโน้นรุกเข้ามาทางนี้รุกเข้ามา เลยกลายเป็นอำเภอหนองแสงไปเลยเห็นไหมล่ะ นี่ละดงใหญ่  มันรุกเข้ามาเป็นบ้านเป็นอำเภอแล้วเดี๋ยวนี้ แล้วจะหาที่ภาวนาที่ไหนล่ะ เรายังดีอยู่ตอนสมัยเรายังเที่ยว ทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์ การซื้อการขายไม่มี หาอยู่หากินพอปากพอท้องในบ้านหนึ่งๆ เท่านั้น เขาไม่ต้องไปหาไกล หาอยู่หากินรอบๆ พวกสัตว์พวกเนื้อเต็มอยู่ในป่า เพราะไม่มีการซื้อการขาย หากินพอปากพอท้องเท่านั้นพอ

ทุกวันนี้ไม่เป็นอย่างนั้น หามาซื้อมาขายมากกว่าหามากินนะ ทีนี้มันก็หมด อะไรๆ เป็นราค่ำราคาเป็นเงินเป็นทองไปหมด เป็นสินค้าไปหมดเลย คนก็หมุนติ้ว ต้นไม้อะไรๆ เหลือเมื่อไร พวกสัตว์พวกอะไรหมด นี่สะดวกอยู่วัดนี้ ๑๐ ปี จากนั้นเห็นคนผ่านไปผ่านมาแล้วก็ตั้งบ้านขึ้นมา แล้วรุกเข้ามาๆ เลยกลายเป็นอำเภอหนองแสง เป็นอย่างนั้นนะ

พอดีบ้านนี่เป็นบ้านอีตาบัว อีตาบัวเป็นคนป่าคนเขา อยู่ในป่าในเขา พอทำไร่ทำนาเสร็จแล้วเขาสนุกสนานนะ คือไม่มีหาเงินหาทอง แต่ก่อนไม่มี ทำไร่ทำนาพออยู่พอกินเท่านั้นแหละ ตอนหน้าแล้งเขาสนุกสนานของเขา หาอยู่หากินเที่ยวธรรมดาสบายๆ รถราไม่ต้องถามไม่มี ทางก็เป็นด่านๆ วัดนี้ที่เราสร้างทีแรก เสือโคร่ง จำได้ว่าแถวนี้มีเสือ ๓ ตัว เพราะเหตุไรจึงว่ามีเสือ ก็มันผ่านเข้ามาในวัดนี่ พระอยู่ในวัดนี่ เสือโคร่งมันผ่านมากลางคืน รอยมันมาขนาดต่างกัน เสือโคร่งใหญ่รอยใหญ่รอยเล็กลดลงไป มีเสือ ๓ ตัวที่ผ่านไปผ่านมา หมายถึงเสือโคร่งนะ เสือดาวมีอยู่ทั่วไป ในวัดนี้มันก็แอบเข้ามาหากินหมา กลางคืนมันมา เห็นรอยมันตอนเช้า เอ๊ นี่เสือมันมา มันเข้าไปในครัวไปหากินหมา

เสือโคร่งมี ๓ ตัว เดี๋ยวนี้หมดเลยไม่เหลือ มีหมีตัวหนึ่งหมีใหญ่ มีตัวหนึ่งมันผ่านไป ทางนี้ก็ดงทั้งหมดนี่ มันผ่านข้างๆ วัด มันจะข้ามวัดไปแต่มันมาไม่ได้ เห็นพระเต็มอยู่นี้ มันมานี้แล้วมันกลับไปนี้ออกทางนี้ มาเจอพระ ไปนั้นออกนั้นเจอพระ เสียงมันโครมครามๆ กลางคืนประมาณตี ๓ หมีใหญ่ เดือนหงายด้วย เห็นตัวมัน มันออกมา กุฏิเรามันก็มา เสียงมันโครมครามๆ สักเดี๋ยวกลับคืนไปทางโน้น โครมครามๆ ออกมานี้ก็มาเจอกุฏิพระ กระต๊อบนะไม่ใช่กุฏิ แล้วมันก็ถอยออกไป มาแถวนี้แล้วอ้อมไปโน้นเลย เป็นดง คงตายแล้วละหายเงียบที่ว่าเสือ ๓ ตัว ไม่มีละทุกวันนี้หมดเลย หมีตัวหนึ่งที่ใหญ่ที่สุด

ดงเรานี้ก็ดูเอาซิมีที่ไหน หมด  กระรอกดูเหมือนมีสามตัวอยู่ในวัดนี้ ไก่มีสองพวก พวกหนึ่งทางนี้ พวกหนึ่งทางโน้น ได้ยินเสียงขันทางไหนจะตีกันนะ ไปรบกัน ไก่ทางโน้นได้ยินเสียงทางนี้ขันก็มาตีกันทางนี้ ทางนี้ได้ยินทางโน้นขันก็ไปตีกันทางโน้น มีสองพวกไก่ป่า เดี๋ยวนี้เป็นยังไงไก่นะ ทีแรกเป็นไก่ป่าล้วนๆ ครั้นต่อมาเขาเอาไก่บ้านมาโยนที่หน้าวัด โยนเข้ามาผสมกัน จากไก่ป่าแล้วก็เป็นไก่บ้าน ทีนี้จากไก่บ้านแล้วก็เป็นไก่บ้า เดี๋ยวนี้เป็นไก่บ้าทั้งวัดเลย ไม่ทราบว่าไก่บ้านไก่ป่าที่ไหน ไม่มีละเดี๋ยวนี้ มันอยู่ลึกๆ คล่องตัวนะ กิริยาของไก่ป่าคล่องตัว มันอยู่ลึกๆ แถวนี้มีแต่ไก่บ้าทั้งนั้นแหละ

นี่เราพูดถึงความเปลี่ยนแปลงของสถานที่ที่สำหรับพระท่านภาวนา เดี๋ยวนี้หายาก ต้องไป เช่นอย่างไปเขาลูกนั้นลูกนี้ ทำเลเช่นอย่างภูวัวไปได้หมดแถวนั้น ไปเป็นที่เป็นฐาน แต่ก่อนไปที่ไหนไปได้ทั้งนั้น ไปบิณฑบาตกับเขาอาศัยเขาวันหนึ่งๆ สำหรับพระกรรมฐานต้องสละตัวเอง อดอยากขาดแคลนไม่เป็นกังวล เอาธรรมเป็นเข็มทิศหรือเป็นแม่เหล็กดึงดูดใส่กับธรรม ไปอยู่ที่ไหนก็ตามขอให้ได้สะดวกในการภาวนาเป็นที่พอใจ ส่วนอาหารการขบการฉันพอยังอัตภาพให้เป็นไปวันหนึ่งๆ เท่านั้นพอ นี่ท่านหาธรรมแต่ก่อนท่านหาอย่างนั้น

มาเจอกันปั๊บนี้มีแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องภาวนา ไปอยู่ที่นั่นเป็นยังไง ไปอยู่ที่นี่เป็นยังไง ถามแต่เรื่องภาวนา รื่นเริง พูดอย่างนี้เราก็ระลึกได้ ท่านสิงห์ทองท่านไปเที่ยวทางนู้น จากเราไปเป็นปีนั่นแหละไปเที่ยวแล้วกลับมา เรามาสร้างวัดใหม่ มีศาลาหลังเล็กๆ อยู่ที่นั่น มาคุยกันตั้งแต่สองทุ่มสองต่อสองกับท่านสิงห์ทองที่ศาลาหลังเล็กนั่น คุยกันตั้งแต่สองทุ่มฟาดจนกระท่งถึงตี ๔ นานไหมล่ะ คุยกันเพลิน ป่านั้นป่านี้ จนกระทั่งตี ๔ เราดูนาฬิกา อ้าว นี่มันตี ๔ แล้วมันจะสว่างแล้วนะ ไปเลิก ลุกไปเลย

พอไปแล้วมันขบขันเรื่องเรา พอท่านสิงห์ทองไปแล้ว เราก็คิดว่าจะเดินจงกรม มันจะสว่างแล้ว ขึ้นไปที่แคร่เล็กๆ ไปเหยียดเส้นยืดเส้นที่นี่นะ ดัดเส้น เพราะเราเคยดัดเส้นเป็นอนามัยประจำ ดัดเส้นเรียบร้อยแล้วถึงจะลงเดินจงกรมเพราะมันจะสว่างแล้ว เข้าไปข้างในเอาย่ามไปวางแล้วก็ดัดเส้นท่านั้นท่านี้ พอถึงท่านอนหงายแผ่สองสลึงเลยหลับเลยนะ หลับเอาจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา จนกระทั่งท่านสิงห์ทองท่านไปบิณฑบาตกลับมา เรายังหลับอยู่นะนั่น นั่นเห็นไหมเวลามันดัดเรา เราไม่ลืม ท่านสิงห์ทองไปสะกิดนิ้วเท้า เรานอนอยู่ คึกคักลุกขึ้น หือ พระไปบิณฑบาตกันแล้วเหรอ บิณฑ์อะไรบิณฑบาตกลับมาแล้ว โฮ้ ตาย ท่านไปปลุกมาฉันข้าว อย่างนั้นละเราก็ไม่ลืม

ท่านสิงห์ทองละคุยกัน ท่านออกจากนั้นท่านไปบิณฑบาตกลับมา แล้วไปปลุกเรา เรานอนหลับ ว่ายืดเส้นเสียก่อนแล้วจะลงเดินจงกรม เห็นไหมล่ะ มันเอาปั๊บเดียวเท่านั้น ไม่รู้ตัวนะ หลับสนิทเลย เราก็ไม่ลืม นี้คุยธรรมะกันเพลิน ตั้งแต่สองทุ่มจนกระทั่งตี ๔ เพลินอย่างนั้นละคุยธรรมะกัน ท่านไปแล้วเราก็คิดว่าจะไปดัดเส้นอะไรเรียบร้อยแล้วก็จะลงเดินจงกรม ดัดเส้นมันเลยดัดเราอยู่นั้นเสีย จนกระทั่งหมู่เพื่อนบิณฑบาตกลับมาแล้วได้ไปปลุกฉันข้าว

เรื่องธรรมท่านเพลินในธรรมเป็นอย่างนั้นละ พระกรรมฐานท่านเพลินในธรรม เรื่องโลกเรื่องสงสารไม่มีในวงกรรมฐานที่หาอรรถหาธรรม บอกว่าไม่มีเลย มีแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรม ป่านั้นเขาลูกนี้ แล้วพูดถึงเรื่องความรู้ความเห็นภายในจิตใจ คนหนึ่งรู้ทางหนึ่ง คนหนึ่งรู้ไปอย่างหนึ่งๆ คุยกันมันเพลิน เป็นเครื่องปลุกใจ ส่งเสริมใจให้มีกำลังใจมากขึ้น อย่างนั้นละพระกรรมฐานท่านคุยกัน ไม่มีเรื่องโลกเลย มีแต่เรื่องธรรมล้วนๆ

ทีนี้ใครหาอะไรมันก็เห็นอันนั้น หากิเลสก็มีแต่กิเลสมีแต่ฟืนแต่ไฟ ไฟเป็นผลของกิเลส กิเลสเป็นตัวเหตุสร้างฟืนสร้างไฟขึ้นมาเผาจิตใจ ส่วนธรรมนี้ดับไฟที่มีในหัวใจด้วยสมาธิภาวนา ดับลงๆ ไฟนี้สงบลงใจก็สงบสบาย เย็นไปๆ จากนั้นก็เป็นความสว่างไสวภายในใจ นี่ละใจ ในโลกอันนี้ใจเป็นสำคัญ แต่เวลานี้ใจของเราถูกกิเลสบีบบี้สีไฟ เป็นบ๋อยของกิเลสทั้งหมด ใจจึงไม่มีสง่าราศีเลย เป็นบ๋อยของกิเลสทั้งนั้นทั่วโลกเลย ที่จะเป็นนายกิเลสไม่มี ผู้ภาวนาเท่านั้น เอาให้ชัดๆ เลย ผู้ภาวนาชำระสิ่งที่เป็นภัยแก่ตัวเองคือกิเลสนี้ออกเรื่อยๆ อันนั้นค่อยสงบลง ธรรมก็ค่อยสว่างไสวขึ้นมาๆ สงบร่มเย็น จากนั้นก็สว่างไสวจ้าๆ กว้างออกๆ จิตใจเบาลงไปๆ กิเลสเบาบาง ธรรมหนาแน่นขึ้นเท่าไรยิ่งมีความสงบร่มเย็น จ้าๆ ขึ้นเรื่อยๆ นั่นละท่านเพลินอย่างนั้น

ท่านอยู่ในป่าในเขาองค์เดียวก็ตาม ท่านเพลินอยู่ในหัวใจของท่านกับธรรม ท่านไม่ได้เพลินกับโลกกับสงสาร ทีนี้ก็มีตั้งแต่อรรถแต่ธรรมหล่อเลี้ยงจิตใจ เป็นความสะดวกสบายเย็นไปหมด อยู่ที่ไหนอยู่ในป่าในเขาพวกสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน พวกสัตว์กับพระกรรมฐานเข้ากันได้สนิทนะ พวกหมูพวกเก้งพวกสัตว์ต่างๆ จะแอบเข้ามาอยู่กับพระ พระกรรมฐานไปที่ไหนพวกนี้จะมา สัตว์เหล่านี้เขาเคยบวชมาตั้งแต่กาลไหนๆ แล้ว เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติมา ทีนี้พอมาเห็นพระ ความรู้สึกของเขาภายในใจตั้งแต่ดั้งเดิมมามันเข้ากันได้สนิท พระอยู่ที่ไหนพวกนี้แอบเข้ามา

เวลาแอบเข้ามา พวกนายพรานอะไรนี้เขาไม่เข้ามา เขาเคารพพระ สัตว์ทั้งหลายอยู่นี้เต็มไปหมด อย่างหนองผือนั่น หนองผือที่อื่นหมดนะสัตว์ แต่รอบๆ วัดนั้นมันเป็นดงทั้งหมด และเป็นทำเลพระเดินกรรมฐานเดินจงกรมอยู่ในป่าๆ สัตว์อาศัยอยู่กับพระ อยู่ซอกแซกตามนั้นละพวกสัตว์ เขาไม่ไปไหน จะกลัวจริงๆ ก็ไม่ใช่ จะว่าจะไม่กลัวเห็นเราเขาวิ่งไปเสีย วิ่งไปนี้เขาก็อยู่ที่นั่น ก็อยู่กับพระนั่นแหละ เป็นอย่างนั้นนะ พวกสัตว์กับพระกรรมฐานนี้สนิทกันดี ท่านไปอยู่ที่ไหนพวกสัตว์นี้มาเต็มข้างๆ

ท่านภาวนา ความภาวนานี้ความรู้ความเห็นภายในใจนี้ มันเหมือนความรู้ความเห็นของโลกที่รู้เห็นเป็นบ้ากันอยู่นี้เมื่อไร อันนี้ความรู้เสกสรรคนให้เป็นบ้า ไม่ได้เหมือนธรรมนะ ธรรมพิจารณาเท่าไรเบิกสิ่งเหล่านี้ออก พวกยาบ้าคือกิเลสยาบ้า เบิกออกๆ อรรถธรรมก็ขึ้นสว่างไสว ทีนี้อยู่ที่ไหนโลกนี้เหมือนไม่มี คืออำนาจของจิตใจนี้มีความสง่าผ่าเผยสว่างไสว พร้อมทั้งความสุขความแปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่ในหัวใจนี้มันครอบไปหมด ครอบไปหมดเลย โลกนี้เป็นฟืนเป็นไฟไปหมด อันนี้เป็นน้ำถ้าว่าน้ำเทียบกันนะ เย็นสบาย ต่างกันอย่างนี้นะผู้ภาวนา

กิเลสมีอยู่ ธรรมมีอยู่ เมื่อเสาะแสวงหาธรรมธรรมก็เกิด เสาะแสวงหากิเลสกิเลสก็เกิด ผลของกิเลสก็ให้เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวเอง การเสาะแสวงหาธรรมนี้เป็นต้นเหตุอันดีงาม แล้วผลปรากฏขึ้นเป็นความสงบร่มเย็นภายในใจจนกระทั่งสว่างจ้าครอบไปหมดหัวใจดวงนี้ นี่ละที่นี่ใจดวงนี้เหนือแล้ว แต่ก่อนมีแต่กิเลสครอบหัวใจ ใจนี้เป็นบ๋อยของเขาวิ่งตามกัน โลกอันนี้โลกบ๋อยของกิเลส ใจของท่านผู้มีธรรมนี้จ้าเหนือกิเลสทั้งหมด ต่างกันอย่างนี้นะ พูดอย่างนี้เราก็สลดใจนะ พูดจริงๆ พูดในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ พูดให้กันฟังเป็นคติเครื่องเตือนใจ

เวลามันสว่างไสวจริงๆ จนอัศจรรย์เจ้าของจะว่าไง ถึงขนาดที่ว่าโอ้โห จิตเราทำไมถึงสว่างไสวขนาดนี้อัศจรรย์ขนาดนี้เชียวนา นู่นน่ะฟังซิ มันจ้าครอบไปหมดเลย โลกนี้เหมือนไม่มี มีแต่ความสว่างไสวครอบไปหมดใจดวงนี้ นั่นมันอัศจรรย์ตัวเอง แต่ก่อนเคยมีเมื่อไร มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้นอนจะไม่หลับนู่น แต่เวลาสั่งสมธรรมขึ้นด้วยจิตตภาวนาจนถึงขั้นอัศจรรย์ อัศจรรย์ก็บอกให้ฟังชัดๆ อย่างนี้ มันเป็นขึ้นในตัวเอง มีแต่ความอัศจรรย์เรื่อยๆ ทีนี้จิตเพลินกับธรรมไม่มีพิษมีภัย ถ้าเพลินกับกิเลสเป็นพิษเป็นภัยตลอดเลย เพลินไปมากเท่าไรพิษภัยติดตามกันไปมากเท่านั้น แต่เพลินกับธรรมเท่าไรเพลินเท่าไรความสงบร่มเย็นยิ่งมากขึ้นๆ ต่างกันนะ

เวลาจิตมีอำนาจที่นี่มันครอบโลกธาตุนะ แต่ก่อนกิเลสครอบจิต จิตไม่มีราศีอะไรเลย ความสง่าราศีของจิตไม่มี โลกนี้ไม่มีความสง่าราศีของจิตใจ เอาสิ่งเหล่านั้นมาประดับประดา อันนั้นงามอันนี้สวยนั้นๆ เอานั้นมาประดับประดา เจ้าของเป็นไฟอยู่ในท่ามกลางของสมบัติบริษัทบริวารเงินทองข้าวของ เอามาประดับ แต่ตัวเองเป็นไฟ หัวใจเป็นไฟ ทีนี้เวลาชำระสิ่งเลวร้ายทั้งหลายออกจากใจคือกิเลสนั้นแหละออก ทีนี้เบาไปๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจางไปๆ มีแต่อันนี้กระจ่างขึ้นๆ สุดท้ายครอบโลกธาตุเลย สว่างจ้าไปหมด นี่ละจิตที่สว่างโดยหลักธรรมชาติ โดยที่เราชำระสิ่งมัวหมองคือกิเลสออกหมดแล้วสว่างจ้าครอบโลกธาตุ ที่นี่อำนาจไม่มีอะไรเหนือจิตละ อำนาจของจิตครอบอยู่อย่างนั้น นี่ละการปฏิบัติธรรม

พระพุทธเจ้าจึงเรียกว่าศาสดาองค์เอก ไม่มีใครสอนได้อย่างพระพุทธเจ้านี้เลย ศาสนาใดๆ เขาก็ตั้งกันไปตามกำลังของเขา ตั้งว่าเป็นศาสนาๆ ก็คลังกิเลสนั้นแหละ ผู้เป็นเจ้าของศาสนาเป็นคลังกิเลส แสดงออกไปก็เป็นกิริยาของกิเลสทั้งหมด และสั่งสมทุกข์ขึ้นมาเหมือนกันกับโลกทั่วๆ ไป ว่ากันเฉยๆ ว่าศาสนาๆ ที่แน่จริงก็คือพุทธศาสนาแน่จริง ชำระสิ่งเป็นภัยจริงๆ คือพระพุทธเจ้าชำระๆ ไม่มีใครสอนแบบนี้เลย ผู้ปฏิบัติแบบนี้ชำระได้ๆ แปลกประหลาดอัศจรรย์ในตัวเอง ยอมรับพระพุทธเจ้ากราบราบ นั่นเห็นไหมล่ะ ต่างกันนะ

เวลาถึงขั้นสว่างไสวมันว่างไปหมดแล้ว ต้นไม้ภูเขามีก็ตามแต่สู้ความสว่างไม่ได้ ความสว่างนี้ครอบไปหมดเลย สิ่งเหล่านั้นเหมือนไม่มี อำนาจแห่งความสว่างไสวของใจนี้สูงมาก มันครอบไปหมด สิ่งเหล่านั้นเหมือนไม่มี มีแต่ความสว่างไสวของใจ นั่นละใจที่มีธรรมบำรุงรักษาจนใจกลายเป็นธรรมแล้วเป็นอย่างนั้น ทีนี้เลยจ้าไปหมด พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนพระโมฆราช พระโมฆราชในมานพ ๑๖ คนนั้น พระโมฆราชเป็นผู้ที่จะบรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว พระองค์ก็สอนจ่อลงเลยเทียว นั่นละเมื่อถึงจุดที่จะจ่อจะเอาให้หลุดพ้นเร็วๆ พระองค์ก็จ่อเข้าไปเลยว่า

สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ      โมฆราช สทา สโต

อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ            เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา

เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ            มจฺจุราชา น ปสฺสติ

ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ฟังซิน่ะ ถอนอัตตานุทิฏฐิ ที่เห็นว่าเป็นเขาเป็นเราเสียได้ จะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชจะมองไม่เห็นผู้พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่าอยู่อย่างนี้ นั่นแปล แล้วพระโมฆราชก็บรรลุธรรมปึ๋งขึ้น ทีนี้กลายเป็นโลกนี้ว่างไปหมด เหมือนว่าโลกนี้สูญไปหมด สิ่งที่ไม่สูญก็คือความสว่างไสวของใจนี้ครอบไปหมดเลย อันนี้จ้าทีเดียว สิ่งเหล่านั้นไม่มีฤทธิ์ไม่มีอำนาจ กิเลสที่ตัวเสกสรรปั้นยอมันสิ้นลงไปแล้วใครจะไปเสกสรร อะไรมียังไงมันก็มีของมันอยู่อย่างนั้น ตัวจิตต่างหากไปเที่ยวเสกสรรอันนั้นเป็นนั้นเป็นนี้ๆ ตัวเป็นบ้ากับอารมณ์ของใจตัวเองต่างหาก พอตัวนี้หดเข้ามาแล้วใครจะไปสำคัญอะไรมันอยู่อย่างนี้

เขาว่าเขาเป็นต้นไม้ต้นเสาเป็นภูเขาเลากอที่ไหน เขาไม่ได้ว่า ตัวใจตัวมันคึกมันคะนองไปหาว่าต่างหากนี่นะ พอตัวนี้ถอนเข้ามาเห็นสาระสำคัญอยู่กับตัวนี้ เลิศเลอกว่าสิ่งใดแล้ว อันนี้เป็นตัวตนแล้วนี่ เป็นเนื้อเป็นหนังเต็มตัวแล้ว เป็นอัศจรรย์เต็มตัวแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็เลยว่างไปหมด อันนี้เหนือหมดแล้ว นั่น ท่านว่า สุญญโต โลกํ โลกเป็นของว่าง ว่างอยู่ที่หัวใจนะ ความว่างนี้ครอบวัตถุทั้งหลายที่แน่นหนาอยู่นี้ออกหมดเหมือนไม่มีเลย อำนาจของจิตนี้ว่างขนาดนั้นนะ พากันจำเอา นี้เปิดให้ชัดเจน

คำพูดเหล่านี้ถอดออกมาจากหัวใจนะ มันว่างอย่างนั้นละ ว่างอยู่ตลอดเวลา อกาลิโก ว่างตลอดเวลา เวลามาพูดก็พูดไปตามสมมุตินิยมไปอย่างนั้น พอหยุดปั๊บว่างปุ๊บแสดงเต็มตัว ธรรมชาติก็ว่างอยู่แล้ว แต่เอาสมมุติเข้ามาแทรกก็แทรก ก็เหมือนว่าไม่ว่างกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ พอดับปุ๊บนี้หมดเลยไม่มีอะไรเหลือ เป็นอนันตกาล นิพพานเที่ยงคืออะไร คือธรรมชาตินี้นั่นเอง นี่ละการปฏิบัติธรรม ผู้หาธรรมเห็นธรรม ผู้หากิเลสเห็นกิเลส ใครหาอะไรมีเพราะมันมีด้วยกัน กิเลสก็มีธรรมก็มี หากิเลสเป็นกิเลสวันยังค่ำ เป็นฟืนเป็นไฟตลอดไป หาอรรถหาธรรมเป็นธรรมตลอดไป จนกระทั่งถึงนิพพานดับปุ๊บเรื่องกิเลสความทุกข์ทั้งหลายไม่มีเลย พากันจำเอานะ เอาละพอ วันนี้พูดเพียงเท่านี้ ก็นานอยู่นะ นี่เทศน์อย่างนี้เขาจะออกทางวิทยุกระจายทั่วประเทศไทยทุกเช้าๆ

(ลูกขอกราบประทานอนุญาตหลวงปู่เจ้าค่ะ กราบน้อมถวายทองคำ ๑๒ บาท ๗๓ สตางค์ เพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เนื่องในวาระจวนจะสิ้นปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ คณะศิษย์ขอกราบทำวัตรและกราบอาราธนานิมนต์ ให้องค์หลวงตามีธาตุขันธ์แข็งแรง เพื่ออยู่ดำรงขันธ์เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นที่พึ่งแก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเหล่าพุทธศาสนิกชนทั่วไป ขอให้องค์หลวงตามีอายุยืนถึงหนึ่งกัปด้วยเถิด สาธุ) เอ้อ เราจะอยู่ เอาละๆ พอ อ่านเท่านั้นพอ เราจะอยู่จนสุดเหวี่ยง ลมหายใจหมดเมื่อใดเราถึงจะตายเข้าใจไหม สู้จนถึงตาย เอาละพอใจ

เมื่อวานกับวันนี้ว่าง แขกคนไปหมด เมื่อสามสี่วันล่วงไปแล้วยุ่งมากนะ ยุ่งจริงๆ อะไรๆ ก็เลยมารวมอยู่วัดป่าบ้านตาด สุดท้ายการบ้านการเมืองก็มาอยู่ที่นี่ มันแปลกอยู่นะ การศาสนาก็อยู่ที่นี่ ชำระเรื่องราวโต้ตอบอะไรต่ออะไรเกี่ยวกับเรื่องขัดกับศาสนาของพระพุทธเจ้า เป็นศาสนากาฝากแทรกมา ตีออกๆ เรานั่นแหละ เรื่องการบ้านการเมืองใครผิดใครถูกก็ว่าตามเรื่อง ก็เรานั่นแหละ คนอื่นไม่กล้าพูด ให้พร

เราพูดจริงๆ นะ พ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้เรียกว่าลงสุดขีดเลย ไม่มีอะไรเหลือติดตัวเราแม้เม็ดหินเม็ดทราย มอบถวายท่านหมดเลย ลงขนาดนั้นลงพ่อแม่ครูจารย์มั่น ลงที่สุดในธรรมของท่านที่ใส่ตรงไหนหมอบราบๆ ได้คติทันทีๆ เลยพ่อแม่ครูจารย์มั่น มาตอนท่านป่วยนี่ละที่เอากัน พอเอะอะ ท่านมหาไปไหนอยู่อย่างนั้นตลอดนะ ยิ่งป่วยหนักเข้าเท่าไรลืมตาปั๊บ ท่านมหาไปไหนๆ อยู่งั้น ก็พร้อมกับที่เรามอบทุกอย่างแล้วกับท่าน ไม่ได้มีความเป็นความตายเจ็บปวดแสบร้อนอะไร เราไม่มี มอบกับท่านหมดแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาท่านหลับไป บางทีเราออกไปเดินจงกรมข้างๆ บอกพระด้วยนะ ธรรมดาใครจะไปรู้เราเดินจงกรมที่ไหน แต่ที่นั่นต้องบอกเพราะเกี่ยวกับท่าน ผมจะเดินจงกรมอยู่ตรงนั้นมันเป็นป่า ถ้าท่านตื่นให้รีบไปบอกผม

ไปเดินจงกรมไม่นาน สักเดี๋ยวเห็นพระหรือเณรปุบปับๆ เข้าไป หือ ท่านตื่นแล้วหรือ ปึ๊บออกเลย ปุ๊บเข้ามุ้งเลย อย่างนั้นนะ ทุกอย่างเราทำเต็มหัวใจเราสมกับเรามอบถวายท่านแล้ว เรามอบทุกอย่างเลย ท่านไม่ได้นอนทั้งคืน เราก็ไม่นอนทั้งคืน แทนที่ท่านจะว่า เอ้อ ท่านมหาก็มาดูแลผมอยู่ตลอดทั้งคืน.ควรจะไปพักผ่อนบ้างให้องค์อื่นมาแทน ท่านก็ไม่เคยพูดนะ เราก็ไม่เคยสนใจว่าจะเอาใครมาแทน โง่กับฉลาดเรามอบหมดแล้วนี่ เป็นอะไรเรามอบหมดแล้ว จึงถวายท่านเลย ครั้นเวลาท่านหลับไปบ้างนิดหนึ่งนี้ เราออกไปยืดเส้นของเรานิดหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมา ท่านมหาไปไหน เราขึ้นก่อนอื่นละ ปั๊บเข้ามุ้งเลย คือในมุ้งมีแต่เราคนเดียวอยู่ในนั้นกับท่าน พระเณรท่านล้อมอยู่ข้างนอก มีอะไรๆ เราจัดการเรียบร้อยๆ

เราพูดเรื่องหลวงปู่มั่นนี้เหมือนว่า มันดูดมันดื่มเหลือเกินด้วยความเคารพรักเทิดทูนท่าน จวนตัวเข้าเท่าไรแล้วเหมือนกับว่าเรานี้ห่างไม่ได้เลย พอลืมตาปั๊บท่านมหาไปไหนอยู่งั้น เราเข้าทันทีๆ เลย ท่านจะให้ใครมาทำแทนไม่เคยปรากฏนะ ท่านไม่เคยสั่ง เราก็ไม่เคยสนใจจะเอาใครมาแทน โง่กับฉลาดเรามอบหมดแล้วนี่ว่างั้นเลย เอ้า ท่านจะตำหนิแบบไหนให้ว่ามา เรามอบหมดแล้ว แต่ท่านก็ไม่เคยตำหนิ ทุกอย่างเราจะทำด้วยความรักความสงวน แม้ที่สุดอย่างถ่ายหนักถ่ายเบานี้เราจะทำเองของเราไม่ให้ใครไปเห็นเลย ท่านก็จะเห็นใจเราเหมือนกัน ไม่ให้ใครไปเห็นเลยเราทำคนเดียว

การถ่ายหนักถ่ายเบา แต่ก่อนไม่มีถุงพลาสติกนะ เวลาท่านถ่ายเราก็เอามือรองเลย พอเสร็จแล้วก็ใส่โถนปั๊บรองเรียบร้อยแล้ว เราจัดการล้างเช็ดเรียบร้อยหมดทุกอย่างแล้วยื่นนี้ออกไป พระรออยู่ข้างนอกคอยจับๆ ใครจะมาแตะท่านไม่ได้ มีแต่เราเท่านั้น เอาขนาดนั้น ดูลักษณะท่านก็ไม่สนใจกับใครนะ เราทำสุดหัวใจเราจริงๆ ท่านเป็นวัณโรคด้วยนะ วัณโรคนี้ติดได้ง่าย แต่เราคลอเคลียกับท่านตลอดเวลาไม่สนใจวัณโรคนะแรกอะไรเราไม่เคยสนใจ ธรรมดาติดจริงๆ ละ ปากท่านกับปากเรามันคลอเคลียกันอยู่นี้ เอาสำลีห่อนี้กวาดเสมหะมันเหนียว เราเป็นคนเอากวาดออกมาๆ กะละมังสำลีอยู่นี้ เราเอาอันนี้มาพันมือเราแล้วกวาดๆ ออกตลอดเวลา คลอเคลียอยู่นั้นก็ไม่เห็นเป็นอะไรนะ วัณโรคนะเรกไม่มีเราไม่มีเลย เราไม่สนใจ เราสนใจกับท่านองค์เดียวเท่านั้น ตายเราก็มอบกับท่านแล้วนี่นะ

เราจึงว่าสุดหัวใจเราเหมือนกัน ที่เราได้อุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านสุดหัวใจเรา เรียกว่ามอบเลยทุกอย่าง ไม่มีคำว่าหนักเบาเจ็บนั้นปวดนี้ เราไม่มี มอบกับท่านหมดเลย เราก็พอใจที่เราได้อุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านเต็มหัวใจเรา สุดท้ายก็มีแต่เรากับท่านอยู่ด้วยกันภายในๆ พระเณรท่านก็อยู่วงนอกอยู่นอกมุ้ง เวลากลางวันอย่างนี้ท่านพอสะดวกบ้างมีพระเณรนั้น เราก็ห่างออกไปเท่านั้นละตอนกลางวัน คือกลางวันไม่หนาวไม่ไอ พอตกกลางคืนมามันหนาวมันไอซิ กลางคืนบางคืนไม่ได้นอนเลย เราก็ไม่นอนทั้งคืนเลย เป็นอย่างนั้นนะ เราสุดหัวใจเราที่ได้อุปถัมภ์ปัฏฐากท่าน เรามอบหมดทุกอย่างเลย เราพูดถึงท่านเมื่อไรแล้ว อู๊ย มันถึงใจทุกอย่างนะ ถึงทุกอย่าง การแนะนำสั่งสอนแม่นยำมากทีเดียว ท่านใส่ตูมตรงไหนยอมรับปุ๊บหมอบราบๆ เลย สำคัญท่านให้เราทางด้านธรรมะ เราก็อุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านตามกำลังของเราอย่างนี้ละ เอาละที่นี่เลิกกัน

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz




** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก