เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
รัฐบาลกำลังเมาหมัด
(พระธรรมทูตจากออสเตรเลียมากราบเยี่ยม: มารับพัดครับ เขาให้เป็นชั้นราชครับผม) อย่าเป็นบ้านะ ได้พัดแล้วเป็นบ้า ถ้าอยู่ธรรมดาไม่เป็นไร พอได้พัดเข้ามาเป็นบ้าเลยนะเรา หลวงตาบัวจึงเอาไว้ข้างบน ถ้าอยู่ด้วยกันมันจะเป็นบ้า ต้องแยกกันอยู่ นี่ท่านอยู่ออสเตรเลีย มารับพัดชั้นราชฯ ว่างั้นนะ จึงว่าให้ระวังเป็นบ้าพัดนะ เพราะฉะนั้นเราจึงเอาไว้คนละแห่ง พัดเจ้าคุณบัวอยู่ข้างบน หลวงตาบัวอยู่ข้างล่าง ไม่ให้มาคละเคล้ากันมันจะเป็นบ้า เข้าใจไหม ให้แยกกันอยู่
มันก็แปลกนะล่ะ แต่ถ้าตามอัธยาศัยนี้เป็นธรรมดา เช่นอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านพระราชทานพัดหรือยศให้พระ ก็เป็นพระราชอัธยาศัยของท่าน ไม่เสียความงาม งามหูงามตาน่าเคารพบูชา ไอ้ดีดดิ้นเสนอขอยศนี่ซิ แหมอุจาดมากพระเรา เสนอไปเรื่อยๆ ไปถึงเจ้าคณะนั้นคณะนี้ ขอยศนั้นยศนี้ โฮ้ เราทุเรศจริงๆ นะพระด้วยกัน มองเห็นกัน เราก็พระ นั่นก็พระ สะดุดทันที หากเป็นตามอัธยาศัยก็ไม่เป็นไร
ต้นเหตุก็เป็นมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าทรงตั้งเอตทัคคะ คือเลิศคนละทางๆ แก่บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ๘๐ องค์ องค์นี้เลิศทางนี้ๆ ล้วนเป็นพระอรหันต์แล้วนะ องค์นี้เลิศทางปัญญา องค์นี้เลิศทางฤทธาศักดานุภาพ เลิศคนละทิศละทาง ถึง ๘๐ องค์ คงจะไปคว้าเอานั้นแหละมา ยศของท่านท่านส่งเสริมว่าเลิศคนละทางๆ จากนั้นมาก็มาตั้งพระยศนั้นยศนี้ไปเรื่อย เราจึงเตือนพวกเราเอง เราก็เคยพูดนี่นะพอได้ชั้นธรรมแล้ว เพราะข้ามขั้นนี่เรา ทีแรกตั้งพระครูให้เรา เราไม่เอา ส่งคืน ฟาดทีหลังนี่ใส่ชั้นราชเลย ชั้นสามัญธรรมดาไม่เอา ขึ้นชั้นราชเลย
ตั้งทีหลังนี่เทพไม่อยู่ ฟาดขึ้นชั้นธรรมเลย พอมาถึงชั้นธรรมเอาละนะเรา เราพูดจริงๆ นะ ไม่ได้นะ ว่ากับผู้ใหญ่นั่นแหละ ทีนี้ต่อไปอย่ามาตั้งอีกนะ รับนี่เพราะเห็นแก่ทั้งสองพระองค์นะ เราว่า แต่นี้ต่อไปอย่ามาตั้งอีกนะ ชั้นธรรมแล้วรองสมเด็จ นี่มันเคยข้ามแล้วมันจะโดดขึ้นสมเด็จนะ ตั้งเพียงนี้ยุ่งพอแล้ว บอกตรงๆ บอกตรงๆ กับผู้ใหญ่ ชี้ขาดเลยอย่ามาทำอีกนะ มันจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่ทราบแหละ ตั้งเจ้าคุณบัวเป็นชั้นธรรมมานี้กี่ปีมาแล้ว ใครทราบบ้างกี่ปี แต่ก็เอาแน่นอนไม่ได้แหละ เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานเอง เมื่อไรท่านตั้งของท่านได้สบายๆ ถ้าเป็นพระราชอัธยาศัย ท่านตั้งของท่านได้สบาย
นี่พูดตรงๆ ไม่เอา ธรรมในหัวใจพอแล้ว ความดีประพฤติปฏิบัติตัวเต็มตัวๆ ศีล สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุตติหลุดพ้น นี่คุณธรรมของพระ ยศของพระอยู่ที่นี่หมด ไม่ได้ไปอยู่ที่ไหน ความปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ศีลสมบัติ สมบัติของพระคือศีลบริสุทธิ์ สมาธิสมบัติ สมาธิมีความแน่นหนามั่นคงเป็นลำดับลำดาไป จากนั้นก็ปัญญาสมบัติ สมบัติของท่านคือปัญญา ปัญญาเป็นชั้นๆ จนกระทั่งวิมุตติสมบัติ ความหลุดพ้นเป็นสมบัติอันล้นค่าประจำใจท่าน นี่ความดีความชอบสำหรับพระปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ต้องไปหาที่ไหนๆ พระพุทธเจ้าประทานให้แล้วโดยสมบูรณ์ แต่มันไม่อยากเอาซิอันนั้น หาแฉลบไปอย่างนั้น
เรื่องศีลเรื่องธรรมมันไม่สนใจ เป็นบ้าไปกับโลกกับสงสารกับมูตรกับคูถไปหมด เรื่องศีลเรื่องธรรมเรื่องเลิศเรื่องเลอไม่สนใจ เวลานี้เป็นอย่างนั้น กำลังยกยอกิเลสขึ้นเป็นทองคำทั้งแท่ง เหยียบทองคำคือธรรมชาติที่เลิศเลอแห่งธรรมทั้งหลายนั้นลง ยกมูตรยกคูถขึ้นให้เป็นของดิบของดี มันจะดีได้ยังไงยกมูตรยกคูถ ยกขึ้นมาถึงจมูกก็เหม็นที่จมูก ยกขึ้นไปไหนเหม็นไปเรื่อยๆ เหม็นคลุ้งไปทั่วโลกธาตุ ของไม่ดีเหม็นไปหมด แต่ของดีอยู่ที่ไหนหอมหวน ท่านว่า สีลคนฺโธ อนุตฺตโร ศีลหอมหวนทั่วทุกทิศทุกทาง
เราจึงได้เตือนพวกเดียวกัน ผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมให้มุ่งแต่ธรรม อย่าไปยุ่งเรื่องโลกเรื่องสงสาร เราเคยคลุกเคล้ากับโลกกับสงสารมาตั้งแต่วันเกิดแล้ว เฉพาะชาตินี้เรื่องการเกิดตายทับถมกันมาตลอดนั้นตั้งกัปตั้งกัลป์ไม่ต้องนับ เรานับปัจจุบันนี้เลย ตั้งแต่วันเกิดคลุกเคล้ากับสิ่งเหล่านี้มาแล้ว มาบวชเพื่อจะออกจากสิ่งเหล่านี้ถึงความสะอาดปราดเปรื่องและเลิศเลอนี้ มันกลับโดดลงไป มันไม่ขึ้นนะ จึงได้เตือนพระเพื่อนฝูงอยู่เสมอ ที่เราสนิทสนมและตายใจก็คือวงกรรมฐาน เราไม่ได้เหยียบได้ยกใครโดยหาเหตุผลไม่ได้ เรายกด้วยเหตุด้วยผล ยกตามหลักความจริง ตำหนิติเตียนก็ตำหนิตามหลักความจริง ไม่ได้หาเรื่องมาตำหนิ
พอตายใจได้อยู่บ้างก็คือวงกรรมฐานสายพ่อแม่ครูจารย์มั่น อันนี้ตายใจได้ เข้าถึงกันสนิทเลยๆ เพราะหลักศีลหลักธรรมความดีงามทั้งหลาย ต่างคนต่างมุ่งมั่น ต่างคนต่างปฏิบัติประดับตนอยู่ตลอดเวลา ท่านไม่ได้เหินห่างจากธรรม ความพากความเพียรของท่านเพื่อมุ่งอรรถมุ่งธรรม ท่านมีของท่านอยู่ในป่าในเขา ทีนี้เมื่อมีอย่างนั้นแล้วก็เบิกทางเพื่อมรรคผลนิพพานอยู่ด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของตน ก้าวเดินอยู่ด้วยความพากความเพียรเพื่อมรรคผลนิพพานทำไมจะไม่ถึง พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วธรรมของเรา ทางนี้เป็นทางที่ชอบแล้ว จากจุดนี้ถึงจุดนั้น เอ้า ก้าวไป ถ้าไม่ปลีกไม่แวะถึงจุดนั้น บ้านนั้นๆ
นี่จุดสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ก้าวไปตามนี้ด้วยศีลด้วยธรรมถึงเลย เรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ทางนี้เป็นทางที่ชอบเพื่อมรรคเพื่อผล เพื่อความพ้นทุกข์แล้ว ให้พากันก้าวเดิน ความหมายว่างั้นที่ท่านสอนไว้ แล้วก็ อกาลิโก มรรคผลนิพพานท้าทายตลอดเวลา ผู้ปฏิบัติตามอรรถตามธรรม เป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน
อันนี้มันเลอะเทอะจนดูไม่ได้ เราเอาธรรมออกกาง เราอย่าไปยกตัวเราว่าสูงกว่าคนนั้นสูงกว่าคนนี้ไม่ได้ไม่ถูก เราต้องเอาธรรมขึ้นกาง กางเอาไว้ ใครปฏิบัติดีปฏิบัติชอบขนาดไหน ความชมเชยก็ชมเชย หนุนกันไปๆ ทางดี ทางชั่วปัดออกๆ ศาสนาเดี๋ยวนี้จนจะไม่มีเหลือแล้วนะ มีแต่กองมูตรกองคูถเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสาร มันชอบกันหมดถ้าว่ามูตรคูถ ใครจะว่าเรียนสูงเรียนต่ำมาจากไหนก็ตาม มูตรคูถคือความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา อันนี้เหมือนมูตรเหมือนคูถในสายตาของธรรม แล้วพวกนี้มันชอบอย่างนี้จะว่าไง ธรรมมันไม่ชอบ มันมาชอบเอาสิ่งเหล่านี้มันถึงเลอะเทอะสกปรก
ถ้าตั้งใจปฏิบัติจริงๆ แล้ว อะไรจะสวยงาม อะไรจะสงบร่มเย็นยิ่งกว่าผู้ปฏิบัติธรรมไม่มี ในโลกนี้เอามาแข่งกันเลย ถ้าปฏิบัติธรรมใจเป็นธรรมแล้วชุ่มเย็นไปหมด ถ้าเป็นโลกเมื่อไรเอาละ เป็นโลกก็เป็นโลภนั่นละ มันโลภ ไม่ได้อย่างใจก็เคียดแค้นฆ่าฟันรันแทงกันแหลกเหลวไปหมด ตัวราคะตัณหาเป็นตัวสำคัญมากทีเดียว ตัวนี้กินไม่อิ่มกินไม่พอ ไม่มีคำว่าพอตัวราคะตัณหานี่ ตัวนี้รุนแรง เป็นรากเหง้าสำคัญที่จะผลักดันความประพฤติของเราให้ดิ้นให้ดีดไปตาม ตัวนี้ตัวสำคัญมาก ทีนี้ได้มาเท่าไรก็ไม่พอ มันก็เข้าหาความโลภละที่นี่ ได้เท่าไรไม่พอๆ ไม่มีคำว่าพอ เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น
เราพูดจริงๆ เราสอนโลกด้วยใจที่บริสุทธิ์ เปิดโล่งเลย ความบริสุทธิ์ของใจได้มาจากไหน ได้มาจากการประพฤติปฏิบัติตามทางของศาสดาที่สอนไว้แล้วว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว เอา เดินให้ชอบ นั่น เดินให้ชอบก็ถึงที่ชอบ ตั้งแต่ต้นถึงอวสานได้แก่นิพพาน จะพ้นจากสายทางคือธรรมที่แสดงไว้แล้วนี้ไม่ได้เลย ท่านสอนไว้อย่างนั้น พวกเรามันแฉลบๆ พระเราแทนที่จะเข้าศีลเข้าธรรม ปฏิบัติตนให้เป็นระเบียบเรียบร้อย จิตใจมุ่งมั่นต่ออรรถต่อธรรม มันไม่ได้มุ่งมั่นนะ มันวิ่งหาโลกหาสงสาร
บวชเข้ามาพอออกจากโบสถ์แล้ว ให้เขาตั้งเป็นพระครูให้เลยมันชอบ นี่เขาเก่งนะ พอออกจากโบสถ์มาแล้วได้เป็นพระครูแล้ว พอไปถึงกุฏิฟาดเป็นเจ้าคุณแล้ว พอเข้าห้องนอนฟาดเป็นสมเด็จแล้ว เข้าใจไหมล่ะ มันเป็นบ้ายศอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้พระเรา มันไม่ได้มุ่งอรรถมุ่งธรรม พูดให้ตรงไปตรงมาตามหลักธรรม ไม่เหยียบย่ำทำลาย ยกยอใครถ้าผิดทาง เป็นอย่างนั้นนะ มันสมบัติอะไรก็ลมปากเฉยๆ เขายกยอเท่านั้นก็เป็นบ้าขึ้นเลย
มันน่าคิดอยู่นะ คือหมามันก็ชอบยอ ทำไมคนเป็นเจ้าของหมาจะไม่ชอบยอล่ะ เราไปฉันที่บ้านเขาในกรุงเทพ หมาตัวนั้นน่ารักนะ อ้วนๆ เตี้ยๆ หูตูบ เขาบอกว่าหมาตัวนี้มันรู้ภาษาคน เราพูดอะไรเขารู้หมด ทีนี้บ้านเขามีสระน้ำเล็กๆ อยู่นั้น เราบอกให้เขาลงสระก็ได้ ไปหาปลาก็ได้ พอว่า เขาลุกคึกคักขึ้นเลยนะเขาจะลงสระ โอ๊ย พูดเฉยๆ ไม่ให้ลงสระละ กลับคืนมาเสีย เขาก็กลับคืนมา นี่มันรู้ภาษาอย่างนั้นนะ มันชอบยอ หมาตัวนี้ชอบยอ พอจบลงสุดท้าย ทีนี้ความตำหนินะ พอยกยออะไรไปแล้วเขาพอใจเต็มที่ ถ้าไม่ใช่หูตูบหูมันจะผึ่งออกมาอย่างนี้เลย แต่นี้มันหูตูบมันกางไม่ขึ้นมันก็เลยตูบอยู่อย่างนั้น พอใจอยู่ทั้งๆ ที่หูตูบ พอจบลงแล้วคำที่เขาตำหนินี้เขาไม่ได้พูดดังนะ พอจบลงปั๊บเขาว่า ไอ้บ้า ว่าอย่างนั้นนะ เห่อๆ ขึ้นเลย เขาโมโห เห่อๆ ขึ้นเลย หมาตัวนั้นละพอพูดยกยอเขาเสร็จเรียบร้อยลงไปแล้ว เขาก็สรุปความลงว่า ไอ้บ้า ไม่ได้พูดดังนะ เห่อๆ ขึ้นเลย เขาไม่ชอบความตำหนิ
แม้แต่หมาก็ไม่ชอบ ถ้าความชมนี้ชอบหมด นับแต่คนลงไป พวกเรานี่พวกเห่อๆ ถ้ายอแล้วหูผึ่งเลย พอตำหนิไอ้บ้าเท่านั้นเห่อๆ ขึ้นเลย ไม่ชอบคำตำหนิ เอ๊ ชอบกล นี่เป็นหลักธรรมชาติของกิเลสกับธรรม ติดอยู่ในหัวใจของคนแต่ละคน เรื่องของคนที่มีกิเลสทั้งหลายชอบยอทั้งนั้นๆ ชอบเป็นลำดับลำดา ชอบมากชอบน้อย ถ้ามีธรรมมากน้อยเพียงไรความชอบก็มีมากน้อยเพียงนั้น ชอบไปทางโลกธรรม ๘
ทีนี้พอเต็มที่แล้ว ไม่ว่าชมเชยสรรเสริญ ไม่ว่าตำหนิติเตียน มันเหมือนน้ำเต็มแก้ว เอาน้ำที่ไหนมาเทก็ล้นออกหมดไม่อยู่ได้ละ เต็มแก้วเต็มด้วยธรรม ธรรมเต็มหัวใจแล้วความชมเชย ความสรรเสริญนี้เป็นส่วนเกิน พอตกเข้ามาปั๊บไหลออก เหมือนกับน้ำตกลงบนใบบัว พอตกลงปั๊บมันจะกลิ้งของมันลงไปเลย ใบบัวก็ไม่ตั้งใจว่าจะป้องกันน้ำไม่ให้ซึม น้ำก็ไม่ต้องการจะต่อสู้กับใบบัว จะพยายามซึมใบบัว แต่ต่างอันต่างเป็นหลักความจริง พอน้ำตกลงบนใบบัวมันจะกลิ้งของมันไปเองไม่ติด นี่ละจิตของท่านผู้บริสุทธิ์พอทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เป็นจิตที่เหมือนน้ำบนใบบัว
ความคิดความปรุงเป็นเรื่องของสมมุติ เรียกว่ากิเลสก็ได้ ท่านบอกว่า กิเลสตั้งอยู่ในจิตพระอรหันต์ ย่อมไม่ตั้งอยู่ได้นาน ย่อมกลิ้งตกไป ก็เป็นปัญหาถามกันละซิ อ้าว ว่ากิเลสสิ้นไปแล้ว แล้วอะไรไปตกอยู่ในจิตพระอรหันต์ ก็คือกิริยาของจิตที่คิดปรุงนั้นนี้นั่นละ จิตของท่านบริสุทธิ์แล้วคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ พอคิดปั๊บมันดับพร้อมๆ ไม่ซึมซาบถึงจิต
โลกนี้ชอบยอ พูดถึงเรื่องพัดนะ เลยต่อไปเรื่อยๆ จนถึงไอ้หูตูบ ยอมันก็ชอบไอ้หูตูบ พอตำหนิ ตำหนิเบาๆ นะ มันหูดีนะหมา พอว่าไอ้บ้าเท่านั้น โหย เห่อๆ ขึ้นเลย เขาโมโห ชอบกลอยู่ น่ารักเสียด้วยหมาตัวนั้น
ธรรมสอนโลก ให้ธรรมที่เราเรียนมาจดจำมามาสอนโลก ใจเราก็เป็นเหมือนโลก ธรรมแม้จะสะอาดเลิศเลอขนาดไหน เมื่อมาคลุกเคล้ากับใจที่ไม่สะอาด ธรรมก็เลยกลายเป็นธรรมที่มัวหมองไปด้วย เช่นอย่างอาหารของเราที่ควรแก่การรับประทานแล้ว ปรุงมาเรียบร้อยแล้วควรแก่การรับประทาน แต่พลาดตกลงไปถูกฝุ่นถูกขี้ฝอยซึ่งเป็นของสกปรกแล้วน่ารับประทานไหมล่ะ อาหารที่ควรแก่การรับประทานแล้ว พอไปคลุกเคล้ากับสิ่งสกปรกก็ไม่น่ารับประทาน ธรรมพระพุทธเจ้าจะเลิศเลอขนาดไหนก็ตาม เมื่ออยู่ในจิตของปุถุชนแล้วก็ถูกคลุกเคล้าไป จิตไม่มีอำนาจมาก ธรรมไม่มีอำนาจมากเพราะถูกกิเลสซึม กิเลสตัวลดอำนาจ ตัวบั่นทอนอำนาจมันแทรกซึมอยู่นั้น
การเทศนาว่าการเทศน์ไหนก็เทศน์ เรียนมาจบพระไตรปิฎกก็ตาม ใจมีกิเลสอยู่นั้นความสกปรกอยู่นั้น เรียนอะไรมาก็มาคลุกเคล้ากับกิเลสที่อยู่ในใจ การเทศนาว่าการก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่เต็มอรรถเต็มธรรม เพราะจิตใจมีกิเลสข้อสงสัยอะไรทุกอย่าง ความไม่แน่นอนไม่แน่ใจอยู่ในนั้น เจ้าของเทศน์ไปก็ไม่เคยทราบว่าสวรรค์นิพพานอยู่ที่ไหน ตำรับตำราท่านบอกสวรรค์นิพพาน ก็ว่าไปตามสวรรค์นิพพานเป็นนกขุนทองไป นี่พูดถึงภาคความจำไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เรียนจบพระไตรปิฎกมาก็มีแต่ชื่อ จำได้แต่ชื่อ ธรรมแท้ไม่มี
เช่นว่านิพพานๆ เรียนมาจำได้ แต่หัวใจยังไม่เป็นนิพพาน หัวใจเป็นคลังกิเลส ว่านิพพานวันยังค่ำมันก็สงสัยอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ การเทศนาว่าการของผู้มีกิเลสทั้งหลายกับท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วต่างกันมากราวฟ้ากับดิน ท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วท่านรู้หมดแล้วนี่ บรรจุธรรมเต็มหัวใจ ออกไปเป็นฤทธิ์เป็นเดชเป็นอรรถเป็นธรรมล้วนๆ ถึงจิตถึงใจ ไม่มีคำว่าจืดจางหรือจืดชืดในพระอรหันต์ที่ท่านเทศนาว่าการในธรรมทั้งหลาย เพราะใจของท่านทรงไว้แล้วซึ่งรสชาติอันอัศจรรย์ ธรรมะออกจากนั้นแล้วก็เป็นรสเป็นชาติตลอดไป ไม่มีคำว่าจืดว่าชืด โอ้ นี่ได้ฟังแล้วไม่มีนะ ถ้าเป็นปริยัติเรา พอเทศน์แล้ว โอ้ นี่ก็ได้ฟังแล้ว มันจืดแล้วนะ ถ้าพูดเรื่องอรรถเรื่องธรรมออกจากใจล้วนๆ สดๆ ร้อนๆ ตลอดไปเลย มันต่างกัน ผิดกันมากนะ
ธรรมะออกจากใจเทศน์ไปนี้ไม่มีคำว่าจืดว่าจาง เป็นรสเป็นชาติสดๆ ร้อนๆ ตลอดไปเลย เพราะใจของท่านเป็นรสเป็นชาติตลอดอนันตกาล นิพพานเที่ยงก็คือใจบริสุทธิ์นี้ละเที่ยงจะเป็นอะไรไป เที่ยงตลอดเวลา พูดอย่างนี้เราพูดได้ชัดเจน เพราะเราก็เรียนเหมือนกัน เรียนได้มากน้อยเพียงไรก็ได้ความจำมา ความจริงยังไม่ได้ ได้แต่ความจำมา ไปเทศนาว่าการที่ไหน เจ้าของก็สงสัยมรรคผลนิพพาน แล้วจะเอาความแน่ใจให้มีรสมีชาติได้ยังไง ไม่มี จืดๆ ชืดๆ ฟังไป เลยกลายเป็นพิธีไป ฟังเทศน์ฟังธรรมอะไรเป็นพิธีหมด เรียนมาก็เป็น
เราไม่ได้โอ้ได้อวด เราไม่ได้เหยียบได้ย่ำตัวเอง เราจะพูดตามความจริงเราเป็นมาแล้วเรียนหนังสือ ท่านบอกถึงมรรคผลนิพพาน มันยังไปตั้งเวทีตีกับนิพพานจนได้ เอ๊ นิพพานมีจริงๆ เหรอ ส่วนใหญ่ของจิตมุ่งต่อมรรคผลนิพพาน อยากไปนิพพาน แต่ยังไม่สนิทใจว่า นิพพานมีจริงๆ หรือมีแต่อยากเฉยๆ นิพพานไม่มีแต่อยากเฉยๆ มันสงสัยอยู่งั้นละ เรียนไป นิพพานมีจริงๆ เหรอ มีจริงๆ เหรอ นั่น เพราะฉะนั้นจึงได้พูดออกมาเลยว่า ขอให้ท่านผู้ใดก็ตามมาชี้แจงตามหลักความเป็นจริงให้เราทราบ เราจะกราบไหว้ท่านผู้นั้น ครูบาอาจารย์องค์นั้นอย่างถึงใจ แล้วเราจะเอาตายเข้าว่าเลย การปฏิบัติของเราเพื่อมรรคผลนิพพานเอาตายเข้าว่าเลย จะให้ได้มรรคผลนิพพาน ว่างั้นนะ
นี่เวลาเรียนอยู่มันอยากไปนะส่วนใหญ่ อยากไปนิพพาน แต่ข้อสงสัยมันตีเข้าไปอย่างนี้ นิพพานมีจริงๆ เหรอ หรือจะอยากลมๆ แล้งๆ นะ นั่นเห็นไหมล่ะ พอออกไปฟังเทศน์หลวงปู่มั่นเท่านั้น ก็ท่านกางเรดาร์ไว้แล้วนี่เห็นไหมล่ะ ไปหาท่านเพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงจริงๆ สงสัยเราก็บอกสงสัยภายในใจ จะไปปลงลงที่ตรงไหน ก็มีพ่อแม่ครูจารย์มั่นเท่านั้น เอาละไป พอไปถึงท่านกางเรดาร์ไว้แล้ว หือ ท่านมาอะไร ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส กิเลสแท้มรรคผลนิพพานแท้ธรรมแท้อยู่ที่ใจ นั่นท่านชี้ลงนี้นะ เอา ปฏิบัติ เวลานี้จิตใจถูกกิเลสปกคลุมหุ้มห่อไว้ไม่สามารถมองเห็นมรรคผลนิพพานที่อยู่กับตัวได้ เอา ให้ปฏิบัติ ตั้งใจปฏิบัติ
จิตตภาวนาเป็นสำคัญ ชี้ลงในจิตตภาวนา จิตตภาวนาจะเบิกกว้าง ถอดถอนจอกแหนคือกิเลสทั้งหลายออกจากใจได้ โห ถึงใจนะเวลาท่านเทศน์ เพราะเราไปมุ่งจริงๆ ท่านก็เทศน์เปรี้ยงๆ เลย ท่านปฏิเสธหมด สิ่งทั้งหลายในโลกนี้ไม่ใช่บาปไม่ใช่บุญ ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส กิเลสแท้ๆ อยู่ที่นี่ๆ ชี้ลงไปนี้ ธรรมแท้อยู่ที่นี่ กิเลสแท้ๆ อยู่ที่นี่ เอาเบิกออกด้วยจิตตภาวนา ท่านว่างั้น โหย ฟังแล้วเหมือนตัวพองไปเลย จิตใจมันซาบซึ้ง หมายความว่าสมความมุ่งหมายแล้วที่เราตั้งมา จะมาปลดปลงที่พ่อแม่ครูจารย์มั่น คราวนี้สมมักสมหมายแล้ว หายสงสัยเรื่องมรรคผลนิพพาน
กลับมาถามเจ้าของ ทีนี้เราจะจริงไหม เราหามรรคผลนิพพาน มาถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านแสดงว่ายังไง เราถึงใจแล้ว ทีนี้จะจริงไหม ทางนี้ตอบทันทีเลย จริงๆ ถ้าไม่จริงให้ตายเสียเท่านั้น นั่นเห็นไหม คำว่าถ้าไม่จริงให้ตาย คือเอาให้เต็มเหนี่ยวเลย ตายก็ตายเพื่อมรรคผลนิพพาน เพราะฉะนั้นความเพียรของเราจึงเร่งผิดปรกติ พูดถึงเรื่องความเพียรนี้ไม่อยากมีใครเชื่อนะ ก็เราทำของเราอย่างนั้นจะว่าไง ไม่อยากมีใครเชื่อเพราะไม่มีใครทำอย่างเรา มีน้อยมาก เราไม่อยากว่ามีแหละ ปัจจุบันนี้มีน้อยมากนะ นี่มันเอาจริงเอาจัง
พอลงใจแล้วเท่านั้น ทีนี้เอาเลย ปึ๋งเลยที่นี่นะ ตายก็ตาย ยังไงต้องให้ถึงนิพพานในชาตินี้ ยังไงต้องให้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ มันสดๆ ร้อนๆ ขึ้นในใจนะ ทีนี้ความสดๆ ร้อนๆ ในหัวใจเพื่อมรรคผลนิพพานเต็มหัวใจอยู่แล้วนี้มันจะอ่อนแอได้ยังไง มันก็พุ่งๆ ๆ ประกอบความพากเพียรๆ ฟาดถึงขนาดนั้น ๙ ปีเห็นไหมล่ะ นี่ตกนรกทั้งเป็นที่เราออกปฏิบัติ หลังจากได้รับโอวาทของพ่อแม่ครูจารย์มั่นอย่างถึงใจแล้วเท่านั้น การปฏิบัติก็ถึงใจเลยเทียวนะ ผางๆ เลย เอา เป็นก็เป็น ตายก็ตาย
แต่จิตใจนี้เกาะคำว่านิพพานไม่ถอย คำว่าอรหันต์เกาะติดๆ ไม่ถอย อะไรจะอ่อนแออันนี้ไม่อ่อน เกาะติดๆ ทุกข์ยากลำบากอะไร ความมุ่งมั่นต่อมรรคผลนิพพานมันไม่ได้จืดนี่ พุ่งๆ เลย ฟาดเสียจนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็เคยพูดให้บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายฟังแล้ว เราหาของดีได้มากน้อยเพียงไร เราก็บอกว่าได้เท่านั้นเท่านี้ เหมือนเราไปหาเงินหาทองได้มากน้อยเพียงไร เราก็บอกได้เท่านั้นบาทเท่านี้บาท ก็บอกตามเรื่องผลประโยชน์ที่ได้มาจากความขวนขวายของเรา
อันนี้การขวนขวายในธรรมทั้งหลายมีนิพพานเป็นสุดยอด เราก็พยายามตั้งตัวมาด้วยการปฏิบัติ พอได้รับกำลังใจจากพ่อแม่ครูจารย์แล้วผึงเลยนะความเพียร เป็นกับตายไม่สนใจเลย ก็ฟังซิว่าไปอยู่ในหมู่บ้านเขา ส่วนมากเราอยู่ในป่าในเขานะ บ้านใหญ่ๆ เราไม่ไป คือคนมาเกี่ยวข้องมากไม่ได้ภาวนา เสียเวลา ถ้าไปพักอยู่นอกบ้านเขารุมออกมา โอ๊ย บ้านนี้ไม่เป็นท่า คำว่าไม่เป็นท่าคือเขาจะมากวน เข้าใจไหม ไม่ใช่อะไรนะ ต้องไปหาอยู่ในป่าในเขา ๓-๔ หลังคาเรือน ๕ หลังคาเรือน
ในป่าเรามองไปเห็นภูเขาอย่าเข้าใจว่าจะไม่มีบ้านคนนะ มีเป็นหย่อมๆ ไปอาศัยเขาอย่างนั้นละ อยากกินก็กิน ไม่อยากกินก็ไม่กิน กี่วันช่างมัน แต่เรื่องมรรคผลนิพพานไม่มีถอยเลย อดอาหาร อดหลายวันเท่าไรสติยิ่งดี ความเพียรยิ่งดี สติเป็นพื้นฐานแห่งความเพียรจนกระทั่งถึงนิพพาน ปราศจากไม่ได้นะสติ อย่างพระท่านอดอาหารนี่ก็คือว่า อดไปเท่าไรสติยิ่งดีๆ ความเพียรก็เด่น สติดีกิเลสไม่เกิด ถ้าลงสติดีแล้วกิเลสไม่เกิด พอเผลอเมื่อไรกิเลสเกิดเมื่อนั้นๆ เป็นอย่างนั้นนะ
สรุปเอาเลยเราก็เอาตั้งแต่นั้นละเป็นต้นมา เรื่องอดอาหารก็เป็นตัวอย่างของพระเณรทั้งหลาย ที่ท่านทำอยู่เดี๋ยวนี้เราก็บอกว่า คำนี้ไม่ใช่เป็นคำสั่ง ไม่ใช่เป็นคำสอน แต่เป็นคำบอกเล่า ตามแต่ท่านผู้ใดจะถูกกับจริตนิสัยของตนก็นำไปปฏิบัติได้ สำหรับเราเองเราชอบอดอาหาร เรื่องอดอาหารในคัมภีร์ก็มี แต่พระองค์ไม่ได้บอกว่าให้อดอาหารนะ หากทรงอนุญาต เช่น การอดอาหารถ้าอดเพื่ออวดตนอวดตัวอย่างนี้ ปรับอาบัติทุกความเคลื่อนไหว นั่นฟังซิ ถ้าอดเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อความพากความเพียร เพื่อมรรคผลนิพพาน อดเถิดเราตถาคตอนุญาต นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ในคัมภีร์มี
ทีนี้นิสัยของเรามันก็ไปชอบอันนี้ พออดอาหารไปเท่าไรสตินี่ติดแนบๆ ตั้งแต่ต้นนะ จนกระทั่งถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ ทีนี้ไม่ต้องบังคับละ มันเป็นของมันเองอัตโนมัติ สติปัญญาหมุนเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ถึงความเพียรขั้นสูงขั้นละเอียด จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญา กิเลสโผล่มาไม่ได้เลย ขาดสะบั้นๆ นี่ธรรมมีกำลังมันเป็นอัตโนมัติเองฆ่ากิเลส ถึงอัตโนมัติของการฆ่ากิเลสไม่ถอย เหมือนกิเลสทำลายหัวใจสัตว์โลกเป็นอัตโนมัติด้วยกันหมดในหัวใจของสัตว์โลก กิเลสทำงานโดยอัตโนมัติ แย็บๆ ออกมานี้เป็นกิเลสทั้งหมด ธรรมไม่มี นี่กิเลสทำงานของมันโดยอัตโนมัติเพื่อวัฏวนของสัตว์
ที่นี้ธรรมเมื่อมีกำลังแล้ว ธรรมก็ทำงานเพื่อฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน อยู่ที่ไหนๆ มีแต่ฆ่า สมมุติว่าเรานั่งฉันจังหันนะ ปากนี่เคี้ยวไปกลืนไปๆ แต่จิตไม่อยู่นี้นะ มันอยู่กับสนามรบภายใน ระหว่างกิเลสกับจิตฟัดกันอยู่ภายในลึกๆ เป็นเอง นี่ละที่ว่าเป็นอัตโนมัติ เราทำอะไรๆ ก็ตาม อันนี้มันจะหมุนของมันตลอดๆ นี่เรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ ไม่เผลอ ลงถึงขั้นนี้แล้วไม่มีเผลอเลย ตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับๆ ไม่เผลอ ไม่ต้องบังคับให้มีสตินะ ไม่ต้องบังคับกัน เป็นอัตโนมัติแล้วเป็นเองๆ ทีนี้ปัญญาก็เหมือนกันหมุนเป็นอันเดียวกันไปเลย
นี่พูดถึงเรื่องความเพียรที่ได้ปฏิบัติมา เวลาเรียนหนังสือเรียนถึงนิพพาน มันก็ไปตั้งเวทีอยู่นิพพานนั่นละ เอ๊ นิพพานมีจริงๆ เหรอ มีจริงๆ เหรอ ทีนี้พอมาปฏิบัติแล้วมันรู้จริงๆ นี่ ธรรมพระพุทธเจ้าสอนให้รู้จริงเห็นจริง หลอกโลกเมื่อไร พระพุทธเจ้าไม่เคยหลอกโลก เวลาปฏิบัติเข้ามันรู้ภายในซิที่นี่ พอรู้ขึ้นที่ตรงไหนแม่นยำๆ แน่ใจๆ ดูดดื่มๆ นั่น ปฏิบัติธรรมรู้เข้าไปเรื่อยเห็นเข้าไปเรื่อย เห็นธรรมเห็นแปลกๆ ต่างๆ ไม่ต้องไปถามใครละ ธรรมกับจิตซึ่งเป็นความสัมผัสกัน กิเลสกับธรรมสัมผัสกันกับความรู้ มันจะรู้ของมันๆ แก้ของมัน อะไรขาดไปๆ มันก็รู้ของมันโดยลำดับลำดา นี่เรียกว่าธรรมทำงาน
ทีนี้ทำไปเมื่อมีกำลังแก่กล้าแล้วธรรมเลยเป็นอัตโนมัติ สติก็เป็นอัตโนมัติ ปัญญาเป็นอัตโนมัติหมุนไปเรื่อยๆ จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญาจากภาคปฏิบัติ ทีนี้คำว่ามรรคผลนิพพานสงสัยหรือไม่สงสัยมันไม่สนใจนะ มีแต่มุ่ง สุดท้ายก็นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ แต่ก่อนว่านิพพานมีหรือไม่มีนะไม่สนใจเลย นิพพานกลายเป็นอยู่ชั่วเอื้อมๆ ด้วยความมุ่งมั่นหมุนติ้วๆ ใส่เสียจนผางลงทีเดียวเลยเห็นไหมล่ะ รู้มาเป็นลำดับแน่ใจเป็นลำดับลำดาไม่สงสัย รู้ภายในใจไม่สงสัยไม่เหมือนรู้ปริยัตินะ รู้ทางปริยัติรู้ไปตรงไหนๆ สงสัยตรงนั้นๆ ท่านว่าบาปว่าบุญสงสัยไปเรื่อย นรกสวรรค์สงสัยไปเรื่อย จนกระทั่งนิพพานสงสัยไปตลอด
พอปฏิบัติทีนี้รื้อออกนะความสงสัย ความจริงทับเข้าไป พอรู้ขึ้นมาตรงไหนมันจริงๆ ก็ทับเข้าไป ความสงสัยตกออกๆ สุดท้ายก็นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ นั่นละมันจะเป็นจะตายตอนนี้ ตอนนิพพานอยู่ชั่วเอื้อม มันจะไม่หลับไม่นอน ต้องบังคับให้นอน ไม่บังคับไม่ได้ มันจะหมุนของมันทำงานของมันฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติๆ อยู่นั้น นี่ละเราต้องบังคับให้นอน บังคับให้เข้าสู่สมาธิ ไม่อย่างนั้นมันทำงานเพลินด้วยสติปัญญาที่ฆ่ากิเลสเป็นลำดับลำดาไป นี่เรียกว่าเพลินเป็นอัตโนมัติแล้วที่นี่ ได้รั้งเอาไว้นะ
แต่ก่อนความพากเพียรเราต้องหนุนต้องไสเข้าไป ไม่งั้นมันขี้เกียจ ทีนี้พอถึงขั้นนั้นแล้วได้รั้งเอาไว้มันจะเลยเถิด พิจารณา ไม่หลับไม่นอน ฟาดเสีย เอา ทีนี้พูดเลย จนกระทั่งถึงกิเลสขาดสะบั้นลงจากหัวใจไม่มีอะไรเหลือเลย จ้าลงไป นิพพานอยู่ที่ไหนถามหาอะไร นั่น นรกอยู่ที่ไหน สวรรค์อยู่ที่ไหน พรหมโลกอยู่ที่ไหนถามหาอะไร มันจ้าไปหมดแล้ว ทั่วถึงหมดแล้ว ถามหาอะไร นี่ละพระพุทธเจ้าท่านรู้อย่างนี้ ท่านไม่ถามใคร ตรัสรู้ขึ้นมาท่านไม่ต้องไปถามใคร ท่านแน่ในพระทัยหมดแล้ว สอนโลกตามความสัตย์ความจริง บาปมีท่านรู้แล้วเห็นแล้ว ท่านไม่ได้เอาป่าๆ ดงๆ มาสอนเรานะ บาปมีบุญมีนรกมีสวรรค์มีจ้าอยู่ในหัวใจท่านหมดแล้ว ท่านเอาสิ่งที่มีที่เป็นมาสอนโลกนี่นะ ท่านไม่ได้ไปลูบๆ คลำๆ ที่ไหนมาสอนโลก เพราะฉะนั้นจึงแม่นยำเรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วด้วยความเห็นชอบทุกอย่างของพระองค์เอง
นั่นละที่นี่เวลามันเข้าสู่ใจแล้ว ทีนี้เรื่องปริยัติกับปฏิบัติ ปริยัติมันวิ่งเข้ามาหัวใจนี้นะ มาแน่นอนๆ ในนี้ ผางเลย นิพพานอยู่ที่ไหนถามหาอะไรเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นการสอนโลกนี้ เวลาเรียนเราก็บอกอย่างนี้ละสงสัยตลอด พอมาภาคปฏิบัติรู้ตรงไหนหายสงสัยๆ รู้เต็มสัดเต็มส่วนหายสงสัยโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือเลย แล้วสิ่งที่พระองค์แสดงไว้แล้วนั้นไม่มีผิดมีเพี้ยนเลย มีแต่พวกคนตาบอดมันไปเที่ยวลบล้างๆ ว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มีไปอย่างนั้นละ ทีนี้มันก็ทำตั้งแต่บาปแต่กรรมโดนแต่นรกๆ ทั้งนั้น ทีว่าไม่มีๆ ก็ผู้ตาสว่างคือ โลกวิทู พระพุทธเจ้าทรงเห็นแล้วบอกแล้วมันยังไม่ฟังมันก็ไปโดนเอาน่ะซิ พวกที่มันจะไปโดนก็พวกดื้อๆ พวกเรานี้ละ ไม่ยอมฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ฟังแต่เสียงกิเลสลากมันไปตกนรกหมกไหม้
นี่เราพูดเรื่องธรรมท้าทายอยู่ตลอดเวลาความจริงของธรรม เหมือนกิเลสออกท้าทายอยู่เวลานี้ กิเลสนี้ออกท้าทายมากทีเดียว โลกทั้งหลายเป็นบ้ากับกิเลส จนกระทั่งจะไม่มีป่าช้า มันเพลินจนเกินเนื้อเกินตัวเป็นบ้าไปเลย จนไม่มีป่าช้าทั้งๆ ที่จะตายเหมือนโลกเขานั้นแหละ แต่มันไม่ได้สนใจในความตาย มีแต่จะให้ได้อย่างนั้นให้ได้อย่างนี้ให้ได้สมใจ เป็นเรื่องของกิเลสให้ได้ทั้งนั้นนะ แต่มันไม่ได้ กิเลสหลอกไปอย่างไรก็ตกเหวตกบ่อไปหมดนั่นละ คนมั่งคนมีดีเด่นขนาดไหนกิเลสมันชมกันนะ โอ๊ย เขาดีอย่างนั้นเขามั่งมีอย่างนี้ เขามียศถาบรรดาศักดิ์อย่างนั้นอย่างนี้ พวกที่ไม่ได้ก็ดิ้นไปตามเขาๆ นี่ละกิเลสหลอกกิเลสเป็นอย่างนั้น สายตาของธรรมดูจ้าเห็นหมดเลย พวกนี้พวกบ้าขยี้ขยำมูตรคูถ พวกลาภพวกยศสรรเสริญเยินยออะไร มีแต่พวกมูตรพวกคูถเป็นอาหารอันโอชะของกิเลสหลอกคน สายตาของธรรมดูแล้วก็เหมือนเราดูสัตว์ที่มันกินมูตรกินคูถนั้นแหละดูเอา นั่นละสายตาของธรรม ท่านจึงสลดสังเวชนะ
พอพูดมาสมัยปัจจุบันนี้แล้วมันก็อดไม่ได้เรา เขาจะตัดคอเราตัดไป.เพราะเราเอาความจริงออกพูด รู้จริงเห็นจริงตามนี้เราพูด เวลานี้กำลังเป็นบ้าโลกสงสารเรา เฉพาะอย่างยิ่งผู้ปกครองบ้านเมืองตั้งแต่ขั้นสูงลงมาคือตั้งแต่รัฐบาลลงมา เวลานี้รัฐบาลของเรานี้กำลังเป็นบ้าหนัก ฟังนะรัฐบาลฟัง มันกำลังเป็นบ้าหนักบ้าเมาหมัด รัฐบาลเมาหมัด ถูกกิเลสมันตีเอาๆ ความโลภตีเอา ความโกรธตีเอา ราคะตัณหาตีเอา มันเมาหมัด มันก็ดิ้นมันอยากได้อันนั้นให้ได้อันนี้ ใครมาผ่านหน้าไม่ได้ เรียกว่ามันเก็บหมด สังหารหมดฆ่าหมด ใครไปพูดอะไรถ้าไปเฉียดกิเลสตัวใหญ่ๆ โตๆ ด้วยแล้ว อย่างน้อยมันหาเรื่องฟ้อง ฟ้องเรื่องนั้นฟ้องเรื่องนี้เข้าใจไหม แล้วจะปรับเท่านั้นล้านเท่านี้ล้าน นี่เห็นไหมกิเลสไปผ่านมัน
ธรรมไปผ่านไม่ได้นะ ใครพูดเป็นธรรมมามันจะถือผู้เป็นธรรมนั้นว่า เป็นข้าศึกต่อมันคือกิเลสเข้าใจไหม เวลานี้กำลังเป็นบ้ารัฐบาลเรา เอ้า เอาหลวงตาบัวไปฆ่า ธรรมของพระพุทธเจ้าสอนโลกมาตั้งกัปตั้งกัลป์ เรานำมาสอนโลกด้วยความจริงของเรา จะผิดไปไหน เพราะฉะนั้นเราจึงบอกอย่าเมาหมัดนะรัฐบาลเรา เวลานี้รัฐบาลเรากำลังเมาหมัดนะ กิเลสต่อยเอาๆ ความโลภต่อยเอา ความโกรธต่อยเอา ราคะตัณหาต่อยเอา บ้ายศบ้าลาภต่อยเอา มันกำลังเป็นบ้ายศบ้าลาภมันเมาหมัดเข้าใจไหม พวกเหล่านี้ตีเอาๆ มันไม่รู้ตัวนะ ยังเมาหมัดอยู่นั่นละ เพลินกับเมาหมัดเดี๋ยวนี้น่ะ ธรรมดูมันรู้หมดนี่จะว่าไง
ประชาชนเดือดร้อนวุ่นวายทั่วประเทศไทย เพราะรัฐบาลเมาหมัด เวลานี้รัฐบาลกำลังเมาหมัดทีเดียวนะ ใครสอดเข้ามาไม่ได้ เขาพูดตามหลักความจริงเพื่อบ้านเพื่อเมืองด้วยกันแล้วหาเรื่องใส่เขาทันที หาเรื่องนั้นเรื่องนี้ อย่างน้อยฟ้อง จะปรับเท่านั้นล้านเท่านี้ล้านปรับเงินนะ อย่างหนึ่งพอเก็บแง่ไหนเก็บเลย พวกนี้พวกเปรตพวกเมาหมัด มันฆ่าประชาชนราษฎรตาดำๆ ที่เขาพูดเป็นธรรมมันไปตามฆ่าหมดละพวกนี้น่ะ หมัดลับหมัดแจ้ง ฆ่าที่ลับที่แจ้ง อุบายต่างๆ ร้อยสันพันคมไม่มีใครเกินรัฐบาลเมาหมัด ถ้าไม่เมารัฐบาลตั้งมากี่ตั้งรัฐบาลแล้วไม่เห็นเป็น เขาปกครองบ้านเมืองไป จะมีตำหนิติเตียนบ้างก็เป็นธรรมดาดีกับชั่วแฝงกัน แต่นี่มันมีแต่ชั่วล่ะซิ จะเหยียบคนทั้งประเทศให้อยู่ในเงื้อมมือของตัวเองเพียงคนเดียว นี่ละเรียกว่ารัฐบาลเมาหมัดเข้าใจไหม
เราขอบิณฑบาตนะรัฐบาลเรา ใครเป็นหัวหน้ารัฐบาล คุณทักษิณ คุณทักษิณก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงตาบัวมันฟังหลวงตาบัวเมื่อไรเดี๋ยวนี้ มันจะฟาดหลวงตาบัวให้เมาหมัด ดีไม่ดีมันเมาหมัดมันจะตกนรกนะ เราสงสารทักษิณเรา กลัวมันจะตกนรกทั้งเป็น เราจึงเตือนไว้อย่าเมาหมัดเกินไปนะ ได้มาเท่าไรๆ ก็ประสากระดาษไอ้หลังลาย มีเท่าไรๆ ก็กระดาษเสกสรรขึ้นมาเป็นไอ้หลังลาย มันก็มาเป็นข้าศึกต่อโลก เดี๋ยวนี้รัฐบาลเราที่กำลังเป็นฟืนเป็นไฟต่อโลกทั้งหลายนี้ก็คือไอ้หลังลายนี้ตัวใหญ่ๆ เข้าใจไหม มันไปหาจ้างหาวานเงินหว่านล้อมไปหมดเลย ไปที่ไหนถ้าพวกปลาตัวโง่ละจะกินไอ้หลังลายที่มันไปหว่านล้อม จ้างคนนั้นจ้างคนนี้ราชการหน่วยราชการต่างๆ มันเอาเงินไปโปะๆ ให้ไปตามอำนาจของมัน ไอ้หลังลายตัวสำคัญมากนะ เสริมไอ้เมาหมัดได้ดีเข้าใจไหม ตัวเมาหมัดกับไอ้หลังลายเข้ากันได้ดี
นี่เราเตือนรัฐบาลของเรา เราไม่ชมเวลานี้นะรัฐบาลเรา เพราะหาสิ่งที่จะชมมีน้อยมาก สิ่งที่จะเป็นภัยต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นี้เต็มในรัฐบาลชุดนี้ทีเดียว ฟังซิใครพูดออกมา เรามีหูฟังด้วยอรรถด้วยธรรม มีตาเราก็ดูกิริยาท่าทางแสดงออกยังไงๆ เราฟัง สายตาของธรรมเป็นสายตาที่ไม่ลำเอียง พูดตามสิ่งที่มีที่เป็นไม่หาเรื่องหาราว นี่หนาหูหนาตาประเทศไทยร้อนทั้งประเทศ ก็เพราะรัฐบาลทำอย่างนั้นรัฐบาลทำอย่างนี้ นี่ก็กำลังฟ้องพวกคนตาดำๆ ก็ลูกรัฐบาลนั้นแหละประชาชนทั้งแผ่นดิน มันบัดซบเอานักหรือรัฐบาลไปหาฟ้องลูกของตัวเอง ฟ้องคนนั้นจะปรับเท่านั้นล้านเท่านี้ล้าน ฟ้องคนนี้ปรับเท่านี้ล้าน ถ้าพอเก็บได้มันเก็บเลยนะ ไม่พอเก็บมันก็ฟ้อง หาอุบายวิธีทรมาน อย่าให้ปริปากออกมาพูดได้
รัฐบาลนี้เก่งเลยโลกไปแล้วเข้าใจไหม เหนือเรือนจำเหนือตะรางเหนือบาปเหนือกรรมไปหมดแล้ว ใครอย่ามาแหยมถ้าไม่อยากตายว่างั้นพูดง่ายๆ นี่จึงเรียกว่ารัฐบาลเมาหมัดเข้าใจไหม ถ้าธรรมจับเข้า ให้รู้ตัวบ้างนะ ประชาชนทั้งประเทศเขามีหัวใจเหมือนกัน ผิดถูกชั่วดีปิดไม่อยู่ เจ้าของเองเป็นผู้ทำปิดได้ยังไงก็รู้อยู่ว่าตัวทำ กระเทือนผู้ใดเขาก็ทราบทั่วหน้ากัน จึงควรพิจารณา วันนี้เราขอบิณฑบาตรัฐบาล อย่าเตลิดเปิดเปิงรัฐบาลของเมืองไทย ให้เห็นใจพี่น้องชาวไทยเราที่เขาไปหย่อนบัตรทั่วประเทศเขตแดน ต้องถูกบังคับบัญชาให้ไปหย่อนบัตร หย่อนบัตรหาคนดีเขาก็หย่อนบัตรให้ได้คนดี
หย่อนบัตรไปโดนใครเข้าล่ะ เขาเข้าใจว่าเป็นคนดีคุณทักษิณ ชินวัตร นี่นะ เขายกขึ้นให้เป็นรัฐบาล แต่เวลานี้คุณทักษิณ ชินวัตร นี้ถูกตำหนิติเตียนทั่วโลกทั่วสงสารในแดนไทยเรา ไม่ค่อยมีใครที่จะชมเลย ทำแหวกแนว รัฐบาลไหนไม่ทำ รัฐบาลนี้ทำได้ๆ อย่างหน้าด้านหน้าหนา มันหน้าหนาแล้วรัฐบาลเรา แล้วคุณทักษิณนี้เป็นลูกศิษย์หลวงตาบัวด้วย หลวงตาบัวก็เลยกลายเป็นคนหน้าหนาเหมือนกัน จึงรีบเตือนลูกศิษย์เราอย่าหน้าหนานะ อาจารย์ก็จะได้หน้าบางไปบ้าง เดี๋ยวนี้อาจารย์ก็หน้าหนาทนเขาตำหนิติเตียน เขาตำหนิติเตียนลูกศิษย์ก็มาโดนอาจารย์ หลวงตาบัวก็หน้าหนาไปด้วยเลวไปด้วย หลวงตาบัวก็เมาหมัดไปด้วย
เอาละพูดเพียงเท่านี้ เตือนทางรัฐบาลเรา อย่าคอยฟังให้เขามาต่อสู้เพื่อเอาชัยชนะของเขาไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย มีแต่ความล่มจมทั้งนั้น ให้เราชนะหัวใจของโลกด้วยความเป็นธรรม อันนี้เป็นสง่าราศีมาก แต่เอาชนะเขาด้วยกำลังวังชา ศาสตราอาวุธ อำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ นี้ใช้ไม่ได้อย่านำมาใช้นะรัฐบาล ได้ยินหรือยังรัฐบาล ทักษิณลูกศิษย์หลวงตาบัวน่ะ ได้ยินหรือยัง อย่าเอามาใช้อย่างนี้นะ เอาละพอ
เมื่อวานคุณสนธิพูดก็ฟังดี เราก็มาฟังนี่ละ ฟังดีเป็นประโยชน์ นี่ละเขาพูดเพื่อชาติจริงๆ เขาพูดด้วยตามหลักความเป็นจริงอย่างนี้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นภัยสำหรับเขาเองด้วย พวกเปรตพวกผีมันเมาหมัดเข้าใจไหม มันตีดะไปเลยละคนเมาหมัด ตีดะฆ่าดะไปเลยละเมาหมัด จึงเรียกว่าคนเมาหมัด เอาละเลิกกัน วันนี้ไม่พูดอะไรล่ะ คุณสนธิพูดเรียบร้อยแล้วเมื่อวาน เขาพูดด้วยความถูกต้องทุกอย่างไม่มีที่ต้องติเลยละ พูดในนามพี่น้องทั่วประเทศละ ถูกต้อง เขาพูดเอาหลักเอาเกณฑ์มาพูดเลย เขาไม่หาสุ่มสี่สุ่มห้าพูดนี่นะ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|