เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
ฟื้นจิตขึ้นมา
ธาตุขันธ์มันเร่งอาหารเต็มที่ไม่ลืมนะ อายุ ๒๒-๒๓ แหมมันเร่งเต็มที่ที่สุด จนนเจ้าของเองโมโห ให้กินเท่าไรมันก็ไม่พอมันยังไง โมโหจริงๆ ให้เท่าไรๆ ก็ไม่พอ ดื่มตลอด คือท้องเต็มแล้วทางปากยังอยาก ยังไม่ถอย เอาข้าวเปล่าๆ มาให้กิน ข้าวเปล่าๆ หวานนะ ทดลองดู ไม่มีกับมีอะไรก็ตาม เอาข้าวเปล่าๆ มาฉัน ข้าวเปล่าๆ มันหวานนะ ยังหวานได้ โธ้ เราเลยไม่ลืม เวลาฉันกับหมู่เพื่อน องค์นั้นอิ่มองค์นี้อิ่ม ใกล้เข้ามา ทางนี้ก็ยังไม่อิ่ม อายหมู่เพื่อนซิ ไม่อิ่มก็ออก ออกไปแล้วมันก็ไม่อิ่ม
๒๒-๒๓ นี่เต็มเหนี่ยวละ จำได้ชัดเจนสองปีนี้เป็นปีที่ธาตุขันธ์มันเร่งมาก ๒๔ แล้วค่อยลดลงหน่อย ๒๕-๒๖ ไปแล้วก็ค่อยลด แต่เรื่องดื่มมันดื่ม อันนั้นไม่ใช่ดื่มธรรมดานะ ทางนี้เต็มท้องแล้วก็ทางนี้ใส่ย่ามๆ นู่นนะ อายุ ๒๒-๒๓ เราไม่ลืม เวลาธาตุขันธ์มันเร่งมันดีด กำลังก็เต็มที่ตรงนั้น ได้สังเกตดูกำลังมันเต็มที่ พอ ๒๖ ไปแล้วค่อยเบาๆ แต่เรื่องดื่มก็ดื่มธรรมดาของมัน ไม่ดื่มเร่งและบีบบังคับเราเหมือน ๒๒-๒๓ นี่เต็มที่ละ จากนั้นแล้วก็ธรรมดา ดูดดื่มธรรมดาๆ
เดินทางจากนี้ไปอุดรแต่ก่อนไม่มีรถ เราเดินทางไปอุดร รถไม่มี เดินไปพอไปถึงสะพานบ้านวังปลาฝา ได้หนึ่งชั่วโมงจากนี้ไป ถึงสะพานปั๊บพอดีหนึ่งชั่วโมง พออายุ ๔๖ กำลังลดนะ เริ่มลด ยังไม่ถึงสะพานห่างอยู่ประมาณเท่านี้ได้ชั่วโมงแล้ว ครั้นต่อมาห่างออกได้ชั่วโมงแล้ว เอาสะพานนั้นละเป็นที่กำหนด เรื่องเดินนี่มันเสมอของมัน ไปถึงไหนเคยได้เท่าไรได้เท่านั้น ถ้าไม่หยุดไม่ยืนคุยกับใครๆ นี้ เดินธรรมดานี้เหมือนนาฬิกาแหละ ตรงเป๋งๆ เลย พอ ๔๖ เริ่มลด รู้ตัวว่าเริ่มลด จากนั้นมาก็ลดๆ แล้วต่อจากนั้นมันก็มีรถมีราเลยไม่กำหนด หากพอทราบว่าอายุ ๔๖ เริ่มลดกำลังลงพอให้ทราบ เอาสะพานนั้นละเป็นเกณฑ์ แต่ก่อนพอถึงสะพานปั๊บดูนาฬิกา หนึ่งชั่วโมงพอดีๆ ครั้นต่อมายังไม่ถึงสะพานหนึ่งชั่วโมงแล้ว เอ้อ ลด แล้วลดไปๆ จะเป็นถึงขนาด ๑ เส้นนะทาง นั่นสะพาน พอมาถึงที่นี่ได้ชั่วโมงแล้ว ยังไม่ถึงสะพานประมาณ ๑ เส้น จากนั้นมามีรถมีราก็เลยไม่กำหนด มันลดของมันเองนะเราสังเกตดู
เวลาธาตุขันธ์มันเร่งมันมีกำลังเต็มที่ อายุ ๒๒-๒๓ นี่เด่นชัดมาก เด่นมากกำลัง เหมือนจะแบกช้างได้ทั้งตัวนะกำลังเวลานั้น กินไม่รู้จักอิ่ม ท้องเต็มแล้วทางปากยังอยาก ท้องนี้เต็มจนไม่มีอะไรใส่ นอกจากจะตัดย่ามสะพายไว้สองนี้ ใส่ย่ามนี้ๆ ท้องเต็ม เอาข้าวเปล่าๆ มาให้มันกิน มันหวานนะข้าวเปล่าๆ โห ไม่ถอยขนาดนี้นะเราได้พิจารณา จนกระทั่งโมโหเจ้าของ ตอนมันเร่งมากๆ ลองดัดมันดูมันเป็นยังไง ไม่ฉัน โอ๊ย ตัวสั่น วันหนึ่งไม่ฉันนี้ตัวสั่นเชียว ลักษณะเหมือนตัวสั่น มันกำลังเร่ง เราดัดมันลองดูมันเป็นยังไง มันหากเป็นอย่างนั้นนิสัยเรา มันเร่งเต็มที่มันจะเร่งไปถึงไหน จะหยุดสักหน่อยมันเป็นยังไง หยุดสักวันหนึ่ง โธ้ เหมือนตัวสั่นเลยเชียวนะ นี่ละตอนอายุที่ว่านี่เราดัดมันดู
เวลาออกภาวนานี้มีแต่ดัด ออกภาวนาอายุ ๒๗ สอบเปรียญได้แล้วสอบมหาได้แล้วออกละ มีแต่ดัด ดัดเรื่อยๆ ให้มันกินอิ่มๆ เต็มที่สมมันอยากกินนี้ไม่ได้เลย เวลาออกปฏิบัติมีแต่ดัดเรื่อยไป ถึง ๓๖ ที่อดอาหาร ตั้งแต่พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ เป็นเวลา ๙ ปี นี้เป็นเวลาดัดธาตุขันธ์เพื่อธรรม ดัดธาตุดัดขันธ์เพื่อธรรมๆ จึงไม่ค่อยได้กินอิ่มละ ระยะ ๙ ปีนี้จะมีอิ่มบ้างเป็นบางกาล เช่นเขานิมนต์ไปฉันที่บ้านเขา อนุโลมเขาก็เลยอนุโลมธาตุขันธ์ด้วย จะฉันให้อิ่มเป็นบางกาล คือไปเที่ยวมันหากมีเขานิมนต์ให้ไปฉัน จำเป็นจริงๆ เราก็ให้ นั่นละฉันพอรู้สึกอิ่มก็มี นอกจากนั้นมีแต่ดัด ดัดตลอด
การฝึกที่ธาตุขันธ์ได้รับความกระทบกระเทือนด้วย ก็คือธาตุขันธ์เป็นเครื่องเสริมกิเลส ถ้ามีกำลังมากก็เท่ากับเสริมกิเลสให้มีกำลังมาก ทรมานยาก ถ้าลดลงๆ การฝึกทรมานค่อยง่ายขึ้นๆ เอาตรงไหนเป็นเครื่องหมาย เอาสติ จับให้ดีนะ เอาสติเป็นเครื่องหมาย เช่นอย่างเราอดอาหาร อดไปหลายวันเท่าไรสติดีขึ้นๆ จนกระทั่งตื่นนอนถึงหลับไม่เคยเผลอเลย นี่คุณค่าของการอดอาหารทำให้มีสติได้อย่างนี้ ทีนี้จะอดไปเรื่อยๆ มันก็ตายได้คนเรา ก็ต้องมีสู้บ้าง พักเครื่องบ้างไปเรื่อยๆ แต่ถือการสู้นี้เป็นสำคัญไว้ พักเครื่องก็พักเพื่อจะสู้ ธาตุขันธ์จึงไม่ได้ฉันอิ่ม สำหรับเราเองเป็นอย่างนั้น องค์อื่นเราไม่ได้สนใจ ก็เราฝึกทรมานเรา เราถึงได้รู้เรื่องกิเลสกับธาตุกับขันธ์มันเกี่ยวพันกันยังไงๆ รู้ได้ชัดนะ
อดอาหารไปหลายวันเท่าไร สตินี้ติดแนบกันไปเลย ไม่ค่อยเผลอๆ ต่อไปก็ไม่เผลอ นั่น ทั้งวันไม่เผลอ พอมาฉันจังหันเข้าไปนี้มันจะมีส่วนลดของมัน สังเกตดูขนาดนั้นละ พอเรามาฉันแล้วส่วนลดของสตินี้จะมี มีนิดๆ พอฉันไปแล้วลดลง เราจึงได้สอนถึงเรื่องสติ ที่ว่าจิตเจริญแล้วเสื่อมๆ จิตตกๆ ปีกับ ๕ เดือน ตั้งแต่เดือนพฤศจิกาถึงเดือนเมษาปีต่อไป เรียกว่าปีกับ ๕ เดือน จิตเสื่อม เจริญแล้วเสื่อมๆ เราก็จับต้นเหตุมันไม่ได้
เรามาพิจารณาทบทวนดูเหตุดูผลทุกอย่าง จึงได้เอาคำบริกรรมเข้าไปติด แต่ก่อนกำหนดแต่ความรู้ กำหนดพยายามขนาดไหนมันก็เจริญ พอไปถึงจุดที่สงบเย็น รวมไม่ต่ำกว่า ๑๔-๑๕ วันมันจะขึ้นถึงนั้นทีหนึ่ง พอไปอยู่นั้นได้ประมาณสักสองคืนเท่านั้น ทีนี้เอาอะไรมาห้ามไม่อยู่นะ มันไหลของมันลง เหมือนเรากลิ้งครกกลิ้งอะไรไสขึ้นไปๆ บทเวลาปล่อยมันผึงลง มันเร็วอย่างนั้น ปีกับ ๕ เดือน โห ทนทุกข์ทรมานมากนะ จิตเสื่อมไม่ใช่ของเล่น มันเป็นในเราเอง ก็จิตมันเคยเจริญๆ จนกระทั่งถึงสมาธิแน่นปึ๋งเทียวนะ เราก็ไม่เคยรู้เคยเห็นจึงไม่รู้จักวิธีรักษา นึกว่ามันจะไม่เสื่อม ทีนี้บทเวลามันเสื่อม มาทำกลดหลังหนึ่งยังไม่เสร็จเลย
พอรู้ว่าเข้าสมาธิได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก่อนเข้าพับนี้ปึ๋งเลย แน่นปึ๋งเลย พอเข้าได้บ้างไม่ได้บ้าง เอ๊ะ ชอบกลจิตเรา ก็รีบทำกลดให้เรียบร้อย ยังไม่เรียบร้อยทางนี้มันก็หมุนแล้ว ออกไปเสื่อมหมดเลย โห มันจำได้ชัดเจนมากนะ เพราะเป็นทุกข์ทรมานมากที่สุด จิตเสื่อมไม่ใช่เล่นๆ เราเองเป็น ไปอยู่ที่ไหนๆ ไม่มีอะไรดีเลยในโลกอันนี้ มีแต่ความทุกข์ความทรมาน เพราะเสียดายจิตดวงนั้น ดวงที่เป็นมา แต่มันดีอันหนึ่งที่ว่าจิตมันไม่ถอย ถึงจะเสื่อมเจริญๆ มันก็ไม่ถอย เสื่อมลงไปแล้วเอาอีก ขึ้นอีก ทีนี้เมื่อมันนานเข้าไป มันเป็นเพราะเหตุไรจึงเป็นอย่างนี้
คือเรากำหนดเอาผู้รู้เฉยๆ สติเผลอได้ เราจึงมาทบทวนดู อาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้ใช้คำบริกรรมกำกับใจและให้สติบังคับคำบริกรรมอีกทีหนึ่ง มันถึงเสื่อมได้อย่างนี้ ทีนี้เราจะเอาอย่างนี้ พิจารณาทบทวนไปไหนก็ไม่มีทางออกไม่มีทางไป ก็มีเท่านี้แหละ มีคำบริกรรมกับสติติดกันไป นิสัยเราชอบพุทโธ พอลงใจแล้ว แต่นิสัยเราไม่ค่อยเหมือนใครง่ายๆ พูดตรงๆ เลย ว่าอะไรเป็นอย่างนั้นจริงๆ ขาดสะบั้นไปเลย นิสัยอันนี้ใจอันนี้
ทีนี้พอพิจารณาทบทวนเรียบร้อยแล้ว ลงใจละที่นี่ ลงใจว่าจะเอาคำบริกรรมติดกับใจ แล้วมีสติติด ทีนี้จะทดสอบกันตรงนี้ มันจะเจริญก็ตามจะเสื่อมก็ตามไม่เสียดาย เพราะเสียดายมาพอแล้ว สร้างกองทุกข์มากมายทีเดียว คราวนี้เราจะเอาแต่คำบริกรรมกับสติให้ติดแนบกันอยู่นั้นไม่ให้เผลอ เอ้า มันจะเสื่อมไปไหนจะเจริญไปไหนให้รู้คราวนี้แหละ ส่วนที่กลัวมันจะเสื่อมจะเจริญไม่ต้องกลัว เราเคยกลัวพอแล้ว มันไม่ได้อยู่กับความกลัวเราละมันเสื่อมของมัน นี้พูดให้บรรดานักภาวนาทั้งหลายทราบให้เป็นคติ สำหรับพระนี้มีหน้าที่อันเดียว ฆราวาสก็มีแย็บโน้นแย็บนี้มันจะทำให้เผลอเสีย แต่อย่างไรสติตั้งพยายามอยู่เสมอยังดีนะ ดีกว่าปล่อยตัวไปเลย
พอลงใจแล้วทีนี้ไม่มีทางไปละ ลงจุดนี้ละที่นี่ เอาละ นั่นฟังซิ ลงว่าเอาละที่นี่จะเอาละนะนั่น เหมือนนักมวยขึ้นต่อยกัน จ้ออยู่ พอระฆังเป๋งก็พุ่งเลยเชียว นี่ก็พอว่าเอาละนะ ระฆังดังแล้วนะนั่น เป๋งแล้วนั่น ซัดกัน พุทโธกับสติติดแนบไม่ยอมให้คิดอะไร โลกนี้เหมือนไม่มี ให้มีแต่คำบริกรรมคือพุทโธกับสตินี้เท่านั้น แล้วมันสละจริงๆ นะ โลกไม่สนใจเลย สนใจไม่ได้ บังคับกันขนาดนั้นแล้วเผลอไม่ได้ว่างั้นเถอะ ตั้งแต่ตื่นนอนฟาดยันค่ำ ไม่ให้เผลอแม้ขณะหนึ่งเลย ทุกข์ไหมพิจารณาซิ
นี่ละเวลาที่จะฟื้นจิตขึ้นมาฟื้นแบบนี้ พิจารณาทบทวนไปมาทำยังไง ถึงนั้นแล้วมันก็เสื่อมลงมาๆ อยู่อย่างนี้เป็นเวลาปีกับ ๕ เดือน เราไม่ลืม จึงได้ลงในจุดนี้ พอลงจุดนี้แล้ว เอาละที่นี่เป็นที่แน่ใจ เป็นยังไงก็จะให้รู้กันจุดนี้ จะเสื่อมจะเจริญก็ให้เสื่อมไปเจริญไป แต่คำบริกรรมพุทโธกับสตินี้จะไม่ยอมปล่อยกัน พอว่า เอาละนะ คำว่า เอาละนะ หมายถึงว่าระฆังดังเป๋ง จับปุ๊บเลย ทีนี้เผลอไม่ได้เลยตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ไม่ให้เผลอแม้ขณะหนึ่ง เผลอไปไหนไม่ได้เลย นี่ทุกข์มากนะ บังคับจิตตอนนี้ทุกข์มากที่สุด ทุกข์ขนาดไหนก็ไม่ยอมปล่อย
เอ้า เจริญก็ให้เจริญไป เอ้า เสื่อมเสื่อมไปไม่เสียดาย แต่อันนี้จะปล่อยไม่ได้ วันแรกนี้แหม เหมือนอกจะแตก คือความคิดปรุงมันอยากคิดอยากปรุง ตัวนี้ละตัวทำให้จิตเสื่อม ปรุงทางกิเลสเพื่อความฟุ้งซ่านสั่งสมกิเลสขึ้นมา แต่ปรุงด้วยบทธรรมนี้ต่างกัน ปรุงด้วยธรรม ความคิดเหมือนกันแต่คิดด้วยธรรม เช่น พุทโธๆ ผิดกันนะ สติจับปั๊บเข้าตรงนั้นเลย ก็พอดีเป็นจังหวะที่เหมาะสม ตอนนั้นพ่อแม่ครูจารย์ไปเผาศพหลวงปู่เสาร์ ท่านบอกว่า เอ้อ ท่านมหาเฝ้าวัดอยู่นี่ละ จะกลับมาหา ท่านว่างั้น ให้ไปเผาศพก่อน เราอยู่คนเดียวด้วยนั่นซิมันถึงไม่มีอะไร
พุทโธกับสติติด เหมือนว่านักโทษครุโทษ โทษหนักมาก ปล่อยไม่ได้เลยมัดคอตลอด วันแรกเหมือนอกจะแตกมันอยากปรุง อยากปรุงไม่ให้ปรุง ปรุงพุทโธแทน ปิดช่องมันออก เอาพุทโธปิดไว้เลยเต็มเหนี่ยวทั้งวัน โห เหมือนอกจะแตก บังคับกันทั้งวันไม่ให้เผลอเป็นยังไง เราเป็นไปได้แล้วเราทำแล้ว พอตื่นนอนพับก็พุทโธติดอีกๆ ๓ วันเต็มที่เราจับได้ถนัดชัดเจนว่าไม่มีเผลอเลยในสามวัน ทีนี้ความมันผลักดันขึ้นค่อยอ่อนลงๆ พุทโธไม่ยอมปล่อยเรื่อยๆ ไป ความดันที่ปรุงนั้นค่อยเบาลง ทีนี้ความสงบของใจค่อยสงบเย็นเข้าไป แต่ไม่ยอมปล่อยพุทโธ
จนกระทั่งถึงจิตเข้าขั้นละเอียด พุทโธไม่ยอมปล่อย จิตเข้าขั้นละเอียด พอไปถึงจุดของมันแล้ว พุทโธๆ ตลอด สติจับกันตลอดๆ พอหมดนั้นแล้วมันเข้าสู่ความละเอียดของมัน มันไม่ทำงานนะ เราคิดพุทโธๆ นี้ไม่มี หมด นึกก็ไม่ออก นี่เรียกว่าคำบริกรรมหมดจริงๆ มันรู้ด้วยสติอย่างนี้มันจับได้ถนัด สติไม่ปล่อย มันบริกรรมไม่ได้ก็มีงงนิดหน่อย เอ๊ ทำไมทีนี้เราก็บริกรรมมาไม่ได้พลั้งได้เผลอไปไหน แล้วทำไมทีนี้บริกรรมไม่ได้ นึกคำบริกรรมไม่ออก แต่สติจับอยู่นั้นนะไม่ให้ถอย คือไม่ให้เผลอ มันจะสงสัยก็อยู่กับสติครอบอยู่
เอ้า มันบริกรรมไม่ได้ก็เอาที่ความละเอียดนั้น เอาสติจับไว้ที่ความละเอียดนั้น จิตมันนิ่งแล้วมันหยุดมันสงบตัวไม่ทำงาน สติจับไว้นั้นเลย เอา จะเป็นยังไงให้รู้ ทีนี้พอได้จังหวะก็คือเหมือนกับว่าจิตสงบแล้วถอนตัวออกมานั่นเอง พอมันคลี่คลายออกมา บริกรรมได้ปั๊บก็จับปุ๊บเข้าอีกๆ ต่อไปก็รู้ พอได้จังหวะของมันมันเต็มเหนี่ยวของมันมันเข้าอีกเหมือนกันนั่นแหละ นึกคำบริกรรมไม่ออก นึกยังไงก็ไม่มี แต่สติไม่ให้เผลอ จิตก็ค่อยเย็นเข้าไปๆ ค่อยเจริญ เจริญขึ้นไปถึงที่มันเคยเจริญแล้วเสื่อม เอ้าถึงนี้แล้วมันจะเสื่อมให้เสื่อมไปไม่เสียดาย แต่คำบริกรรมนี้จะไม่ปล่อย พอไปถึงนั้นแล้วไม่เสื่อมนะที่นี่ บังคับอยู่ตลอดแล้วค่อยสูงขึ้นๆ ละเอียดๆ ละเอียดกว่าเดิมเข้าไปอีก เบาไปหมดที่นี่ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ยอมปล่อยเรื่อยมา
พอพ่อแม่ครูจารย์ไปเผาศพกลับมาแล้ว ภาระธุรังอะไรก็ค่อยเบาลง ทีนี้ก็เร่งใหญ่ พอจิตไม่เสื่อมแล้วทีนี้ก็ก้าวเข้าสู่นั่งหามรุ่งหามค่ำต่อกันไปเลย นั่งตลอดรุ่งๆ ได้เก้าคืนสิบคืน แต่ไม่ได้ติดกันทุกคืน เว้นสองคืนบ้าง สามคืนบ้าง บางครั้งถึงหกคืนค่อยนั่งตลอดรุ่งก็มี ดูจิตของตัวเอง จิตพอถึงขั้นนั่งตลอดรุ่งนี้มันทุกข์มากนะ คือเรานั่งอยู่นี้เหมือนกันกับไฟเผาเรา รอบตัวของเรา ที่เรานั่งนี้เหมือนหัวตอ ทุกขเวทนาเหมือนไฟไหม้หัวตอ นี่ละที่นี่สติปัญญามันถึงได้หมุนของมันเต็มเหนี่ยว เราจะทนทุกข์อยู่เฉยๆ ไม่ได้ไม่ถูก
ทุกข์มากเท่าไรสติปัญญายิ่งแยกธาตุแยกขันธ์ แยกทุกข์ แยกอวัยวะส่วนต่างๆ เจ็บปวดที่ตรงไหนมากพิจารณาเข้าไปตรงนั้น ถ้าว่าเข่าปวด คนตายแล้วมีเข่าไหม เอาไปเผาไฟเขาเจ็บไหม ไม่เจ็บ เดี๋ยวนี้มันเป็นขึ้นกับใครที่ว่ามันปวดเข่า ปวดตรงนั้นตรงนี้ จับเข้าไปพิจารณาแยกเข้าไป ทุกข์มากเท่าไรยิ่งหมุนอยู่ในนั้น สุดท้ายจิตก็ลงผึงเลย ที่นี่ได้แล้ว เมื่อพิจารณารอบแล้วจิตลงผึงเลย ร่างกายเงียบไปเลย บางทีร่างกายหายหมดเลย ลงถึงขั้นละเอียดสุดขีดแล้วสักแต่ว่านะ สักแต่ว่าปรากฏ จะไปว่าอะไรอีกไม่ได้ไม่ตรงความจริง มันเคลื่อน จะทราบได้แต่ว่าสักแต่ว่าปรากฏ คือปรากฏจิตที่ละเอียดสุดยอดนั่นละ ปรากฏเท่านั้น นอกนั้นหมดไม่มีอะไรเหลือเลย
พอมันลงอย่างนั้นแล้ว ทราบชัดในคืนวันนั้นละคืนวันนั่งตลอดรุ่งวันแรก ขึ้นถึงหนองอ้อ เอ้อ ที่นี่ไม่เสื่อม จิตพุ่งลงถึงที่แล้ว พอจิตถอนขึ้นมาแล้ว ทีนี้ไม่เสื่อม ถึงจะไม่เสื่อมขนาดไหนก็ตาม เรื่องความระมัดระวังไม่ได้ถอยนะ หากเป็นที่ชัดเจนว่าไม่เสื่อม หนุนเข้าเรื่อย นั่งตลอดรุ่งๆ พอมันเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์อะไรอยู่ในจิตเต็มกำลังแล้ว ตอนเช้าหลังจังหันแล้วก็ขึ้นไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น โหย แต่ก่อนไปเหมือนผ้าพับไว้นะ ลูกศิษย์ลูกหาขึ้นหาครูหาอาจารย์ ความเคารพนบน้อมเหมือนผ้าพับไว้ๆ เราก็เหมือนพระทั้งหลาย
แต่วันนั้นไม่เหมือนนะ พอขึ้นไปนี้ก็กราบเรียนท่าน กำลังใจไม่ใช่อะไร ขึ้นใส่ผึงเลยเชียว มันเป็นยังไง พิจารณายังไงๆ มันพุ่งๆ พิจารณา ท่านก็นั่งนิ่งเฉยนะ เราก็เล่าถวายอย่างขึงขังตึงตัง กิริยาอย่างนี้แต่ก่อนเราไม่เคยใช้ วันนี้ออกแล้วด้วยพลังของจิต ออกพิจารณาเรื่องทุกขเวทนาเป็นยังไงๆ เล่าถวายท่าน ถึงขั้นมันรอบแล้วจิตลงผึง เล่าให้ท่านฟัง จนกระทั่งจบเรื่องราวของเราเสร็จแล้วเราก็นั่งหมอบคอยฟัง เราไม่ลืม นี้เป็นคืนแรก พอจบแล้วนั่งหมอบ ท่านขึ้นก็ขึ้นแบบเดียวกันนะ มันต้องอย่างนั้น เอาละที่นี่ได้หลักแล้ว เอ้าฟาดกันไปเลยเต็มเหนี่ยว เอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลย อัตภาพเดียวนี้มันไม่ได้ตายถึงห้าหน มันตายเพียงหนเดียวเท่านั้นละ
เอ้าๆ ฟาดลงไปทีนี้ได้หลักแล้ว โอ๋ย ก็ยิ่งได้กำลังใจใหญ่โต เดินออกมาจากท่านแล้วเห็นใบไม้ร่วงนึกว่าข้าศึก จะต่อยกันแล้ว เป็นอย่างนั้นนะมันได้กำลังใจ เห็นใบไม้ร่วงนึกว่าข้าศึกจะต่อยกับข้าศึก เห่าเรื่อยไปเหมือนหมา ก็ท่านยอหมานี่วะ เราเป็นเหมือนหมาตัวหนึ่ง ได้กำลังใจออกมานี่คึกคักตึงตัง ทีนี้เห็นอะไรสู้ทั้งนั้น แม้ที่สุดใบไม้ร่วงก็นึกว่าคู่ต่อสู้ เอาใหญ่ เล่าให้ท่านฟัง พอถึงสามคืนล่วงไปแล้วท่านไม่ค่อยพูดอะไรมากนัก คืนแรกสำคัญมาก ขึงขังตึงตังซัดใหญ่เลย หมาตัวนี้ก็ทั้งจะเห่าจะกัดเลยเทียว พอจากนั้นไปแล้ว เราไม่ได้รู้ตัวนี่ พอเห็นได้กำลังใจแล้วก็มีแต่จะหมุนเรื่อยไป จนขนาดก้นแตกฟังซิ นั่งเก้าคืนสิบคืน แต่ไม่ได้ติดกันนะ เว้นสองคืนสามคืนนั่ง
ทีแรกมันออกร้อนก้นเหมือนไฟเผาเทียวนะ ไม่แตก มันออกร้อนคือมันร้อนจริงๆ ก้นเราท่า ออกจากนั้นมามันก็พอง ก้นพองเลย นั่งไม่ถอยนี่ เว้นสองคืนสามคืนนั่งๆ ออกจากพองมันแตก ก้นแตกเลย ออกจากแตกก็เลอะ จิตมันไม่ได้ถอยนะ เอ้า แตกๆ ไปถ้ากิเลสไม่แตกไม่ถอย แน่ะมันไปนู่นนะ ถ้ากิเลสไม่แตกไม่ถอย ถึงคืนสุดท้ายพอไปนั่งปั๊บกราบท่าน ท่านก็ว่า กิเลสมันไม่ได้อยู่ที่กายนะ กิเลสมันอยู่ที่ใจ มันไม่ได้อยู่ที่กายนะ จากนั้นท่านก็ยกข้อเปรียบเทียบขึ้นมา สารถีฝึกม้า ถ้าม้าตัวไหนมันคึกมันคะนองผาดโผนโจนทะยานมากไม่ฟังเสียงเจ้าของ เขาต้องทรมานอย่างหนัก ไม่ควรให้กินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรให้กินน้ำไม่ให้กิน แต่การฝึกทรมานเอาอย่างหนักตลอด เมื่อม้ามันลดพยศลงมาๆ การฝึกเขาก็ลดลงตามส่วน จนกระทั่งม้าใช้การใช้งานได้แล้ว ไม่พยศแล้ว เขาก็ปฏิบัติต่อม้าตามปรกติของเขา ท่านพูดเพียงเท่านั้นหยุดนะ
เรามันยังเสียดายอยู่ อยากให้ย้อนมาว่า หมาตัวนี้มันฝึกยังไง อยากให้ท่านว่าอย่างนั้น มันจะเพิ่มกำลังได้ดี เขาฝึกม้าเขาฝึกอย่างนั้น ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกยังไงมันถึงไม่รู้กำหนดกฎเกณฑ์ ไม่ได้มีประมาณ ความหมายก็ว่า จิตลงถึงขนาดนั้นแล้ว พอเป็นพอไปแล้ว ไม่ดีดไม่ดิ้นมากนัก การที่จะฝึกทรมานอย่างนั้นก็ควรลดลงไป ความหมายว่างั้น แต่ท่านไม่พูดนะ ท่านบอกเท่านั้นแหละ แต่เรามันเสียดายที่ว่า ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกยังไง แต่ท่านไม่รู้นะว่าเราก้นแตก มันฝึกอะไรถึงเอาหนักเอาหนา ท่านไม่เคยพูด มีแต่บอกว่าม้าพอมันยอมรับเจ้าของแล้ว ใช้การใช้งานได้แล้ว เขาก็ปฏิบัติธรรมดา
ตั้งแต่นั้นมาเราก็ไม่เคยนั่งตลอดรุ่งอีก ไม่งั้นจะเอาอีกนะมันถอยเมื่อไร เข้าใจไหมล่ะ มันต้องมีครูมีอาจารย์ ไม่อย่างงั้นจะเอาอีก เช่นอย่างติดสมาธิก็เหมือนกัน ท่านลากออก เถียงกันเสียจนแหลกเลย ออกจากสมาธิลากออกไปทางปัญญา ยอมรับท่านทางสมาธิแล้วออกทางด้านปัญญา มันก็ผึงเลย ก็เพราะสมาธิมันเต็มกำลังแล้ว มันอิ่มอารมณ์หมดแล้ว คือมีสมาธิแล้วใช้ปัญญา สมาธิคือจิตอิ่มอารมณ์ ไม่คิดวอกแวกคลอนแคลนไปหาอารมณ์นั้นอารมณ์นี้ ให้ทำงานทำการ เพราะจิตสงบให้ทำอะไรมันก็ทำ ใช้ทางด้านปัญญามันก็ออกทางด้านปัญญา ทีนี้ออกก็แบบเดียวกันอีก เพราะพร้อมแล้วทางสมาธิ พอออกทางด้านปัญญามันก็ผึงเลยทันที
เอาอีกแหละ มันออกอย่างรวดเร็วนะเรา เพราะสมาธิเต็มภูมิแล้ว พอออกทางด้านปัญญามันก็ผึงๆ เลย ทีนี้ฟาดเสียไม่ได้หลับได้นอนอีกแหละ มันไม่พอดีนะเรา กลางคืนนอนไม่หลับ คือปัญญามันหมุนของมันออก แม้กลางวันคนจะตายแล้วมันยังไม่ยอมนอน มันหมุนกันตลอด พอเห็นเป็นอย่างนั้น นี่มันก็จะตายแล้วทำไง จิตทำงานไม่หยุดจะทำไง ไปหาท่าน นั่นเห็นไหมล่ะ พอไปก็เล่าให้ท่านฟัง ที่พ่อแม่ครูจารย์บอกให้ออกทางด้านปัญญา เวลานี้มันออกแล้วนะ มันออกยังไง ท่านว่า ก็มันไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน บอกตรงๆ เลยเรา
มันออกทำงานทางด้านปัญญาหมุนติ้วเลย มันยิ่งรุนแรงกว่าสมาธิ มันยังมาตำหนิสมาธิว่านอนตายอยู่เฉยๆ ปัญญาต่างหากแก้กิเลส สมาธิไม่ได้แก้กิเลส เป็นแต่เพียงตีกิเลสตะล่อมเข้ามาเท่านั้น ปัญญาเป็นผู้คลี่คลายสังหารกิเลสต่างหากไม่ใช่สมาธิ ทีนี้เมื่อมันเห็นคุณค่าของปัญญามันก็ไปใหญ่เลย เห็นโทษของสมาธิ จะไม่เข้ากระทั่งสมาธิ กลางคืนไม่ได้หลับตลอดรุ่ง มันหมุนของมันตลอด และกลางวันยังจะไม่นอนอีก
ทีนี้เวลาเราจะให้พัก เราต้องเอาคำบริกรรมพุทโธกลับมาอีกนะ เอาคำบริกรรมพุทโธติดๆ ไม่งั้นเผลอแพล็บมันออกทางด้านปัญญา เพราะกำลังของปัญญามันรุนแรงมาก มันเห็นคุณค่าของปัญญา แก้กิเลสด้วยปัญญาต่างหาก ไม่ได้แก้ด้วยสมาธิ มันรู้ในตัวเอง เอากันไม่หยุดไม่ถอย พอไปกราบเรียนท่านว่า เวลานี้ปัญญามันออกแล้วนะ มันออกยังไง มันไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืน หมุนตลอดเวลา นั่นละมันหลงสังขาร เห็นไหมท่านว่า ทางนี้ก็ตอบอีก ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ นั่นละบ้าหลงสังขาร ขึ้นเลยคราวนี้ บ้าหลงสังขาร ทีแรกว่า นั่นละมันหลงสังขาร พอเราเถียงท่านตามความมั่นใจของเรา ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่เกิดปัญญาไม่เฉลียวฉลาดร นั่นละบ้าหลงสังขาร ทีนี้ไม่ตอบนะ มันจะถูกของท่านละ แต่มันยังไม่ลงนะ มันยังจะหมุนของมันอยู่
เวลาฟาดไปสุดขีดแล้วมันจะตายจริงๆ เอาคำบริกรรมคือพุทโธมาบริกรรม ถ้าแยกพุทโธปั๊บมันจะออกทางด้านปัญญา เพราะรุนแรงมาก เหมือนว่า เรากำลังให้น้ำ คู่ต่อสู้มายืนจังก้าคอยจะต่อยเราอยู่ ทางนี้ให้น้ำแล้วไม่แล้วก็จะต่อยกัน ลักษณะอย่างนั้นแหละ หมุนติ้วๆ มันจะตายจริงๆ เอาพุทโธมาบริกรรม ถ้าว่าเผลอเราไม่อยากพูดนะ รามือค่อยยังชั่ว พอรามือปั๊บมันจะออกทางด้านปัญญา บังคับเอาไว้ พุทโธๆ ถี่ยิบไม่ให้มีเวลาจะออกเลย ทีนี้พอจิตลงสมาธิแน่นปึ๋งเลยเทียวนะ ก็มันเคยเป็นสมาธิมาพอแล้วนี่ แต่เวลามันเพลินกับทางปัญญามันไม่สนใจสมาธิต่างหาก ทีนี้พอมันจะเป็นจะตายจริงๆ หาทางออกไม่ได้มันก็จะเข้าพัก
เข้าพักก็ต้องเอาคำบริกรรมติดปั๊บเลย พุทโธๆ ๆ ถี่ยิบ จิตก็ลงแน่วปึ๋ง ทีนี้เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามนะ ความทุกข์ทั้งหลายในการต่อสู้ทางด้านปัญญานั้น กับความสุขความสบายเวลานี้ อันนี้รู้สึกว่ามีความสุขมากทีเดียว แต่เผลอไม่ได้นะถ้าพูดว่าเผลอ รามือไม่ได้มันจะออกทางด้านปัญญาทันที ถึงขนาดนั้นมันยังไม่อยู่นะ รสชาติมันสู้ปัญญาไม่ได้ รสชาติของสมาธิสู้ปัญญาไม่ได้ พอรามือปั๊บโดดผึงแล้วนี่ บังคับ จนกระทั่งจิตมีกำลังเต็มที่แล้ว ต้องรอจังหวะอยู่นั้นให้แน่วอยู่นั้น สติจับไม่ให้มันออก ไม่ให้มันคิดมันปรุงทางด้านปัญญาใดๆ ทั้งสิ้น ให้มีแต่ความรู้เด่นอยู่นั้นเป็นสมาธิล้วนๆ
จนกระทั่งได้กำลังวังชาแน่นหนามั่นคงแน่แล้วค่อยปล่อย เรียกว่าได้กำลังแล้ว พอปล่อยมันก็พรึบเลยทีเดียว นี่เห็นชัด เวลาจิตมีกำลังได้พักตัวทางด้านสมาธิแล้วออกนี้ มีดเล่มนั้นแหละ คนๆ นี้แหละที่ไปฟันไม้ ไม้ท่อนนั้นแหละ ฟันนี้ขาดสะบั้นไปเลย เพราะร่างกายก็มีกำลังได้พักผ่อน มีดก็เท่ากับได้ลับหินเรียบร้อยแล้ว ฟันไม้ท่อนนั้นขาดๆ แต่ก่อนไม่ทราบเอาสันลงเอาคมลงฟันไม่หยุด เจ้าของเป็นผู้จะตาย มันไม่ถอยง่ายๆ นะ ถ้าไม่จะตายจริงๆ มันไม่เข้านะเข้าสมาธิ เพราะมันเพลินทางด้านปัญญา นั่นละปัญญาทำให้เพลินได้ขนาดนั้น มันแก้กิเลสเป็นลำดับลำดามันก็เพลินละซิ
เหมือนเขาต่อยกัน ต่อยที่ไหนก็ถูกที่หมายๆ มันก็เพลินในการต่อยใช่ไหมล่ะ อันนี้ก็เหมือนกัน กิเลสอ่อนลงๆ เป็นอย่างนี้มาตลอดนะ เวลามันจะตายจริงๆ มันถึงจะพัก ไม่ใช่พักเป็นจังหวะจะโคน ไม่มี คือเอาจนกระทั่งจะตายจริงๆ เป็นข้อบังคับ แล้วก็เข้าพัก เข้าพักได้กำลังแล้วออกๆ ทำอย่างนั้นเรื่อยๆ กิเลสก็อ่อนลงๆ ละเอียดลงๆ สติปัญญานี้เป็นอัตโนมัตินะ ที่ว่าพิจารณาทั้งวันทั้งคืนไม่ถอยมันเป็นอัตโนมัติของมันแล้วนะนั่น คำว่าความเพียรไม่ต้องพูดนอกจากว่าเพียงเพื่อพ้นทุกข์ แต่เพียรในประโยคพยายามนี้ไม่มี ได้รั้งเอาไว้ๆ ความเพียร อันนี้มันเป็นอัตโนมัติของมัน
ทีนี้พอทำไปสติปัญญาอัตโนมัตินี้ละเอียดเข้าๆ เข้าไปเชื่อมกันกับมหาสติมหาปัญญา เชื่อมเข้าไปๆ กิเลสละเอียดเข้าไปๆ สติปัญญาละเอียดเข้าไปตามกันๆ เชื้อมีน้อยไฟก็ไหม้น้อย เชื้อมีมากไฟไหม้มาก เชื้อเป็นขอนไม้ขอนซุงไฟมันก็ส่งเปลวขึ้นเมฆนู่น จดเมฆ แล้วอ่อนลงๆ เช่นอย่างเป็นขี้ฝุ่นขี้ฝอยมันก็ไหม้เหมือนไฟไหม้กองแกลบนั่นละ มันก็ค่อยไหม้ของมัน สติปัญญาไหม้กิเลสเผากิเลสอย่างละเอียดก็เหมือนไฟไหม้กองแกลบ แกลบเป็นยังไงถูกไฟไหม้ มันไม่ได้แสดงเปลวนะ มันไหม้สุมอยู่ สติปัญญาที่ละเอียดมันก็เผาของมันอยู่อย่างละเอียดๆ ตลอด ความเผลอไม่ต้องถาม ตั้งแต่สติปัญญาอัตโนมัติมันก็ไม่เผลอแล้ว ยิ่งเข้ามหาสติมหาปัญญานี้ซึมไปเลย ให้เห็นประจักษ์ในหัวใจมันพูดได้คนเรา
ทีนี้เรื่องกิเลสนี้โผล่ขึ้นมาไม่ได้เลย ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้วโผล่ขึ้นมาเป็นขาดสะบั้นๆ เลย มันรวดเร็ว สติปัญญารวดเร็ว จากนั้นก็ซึมเข้าไป คือกิเลสก็แบบซึมออกมานะ ให้จับได้เผาเรื่อย ซึมออกมาเผาเรื่อยๆ การภาวนาเป็นอย่างนั้น พอเข้าถึงจุดจุดนั้นแล้วมันก็ไล่เข้าไปๆ มันไม่ไปที่ไหนนะ อะไรมันพิจารณาหมดรอบหมดแล้วปล่อยวางหมดโดยประการทั้งปวง สามโลกธาตุมันปล่อยหมดแล้ว แต่มันไม่ได้ปล่อยที่จิต ทำงานอยู่ในนั้น มันหมุนมันเวียนอยู่ในจิตกับอารมณ์ของจิตที่คิดปรุงดีปรุงชั่วเกิดดับๆ สติปัญญาก็ตามต้อนกันอยู่ในนั้น พอหมดสภาพนี้แล้วมันก็ขาดสะบั้นลงไปเลย
สติปัญญาเป็นอัตโนมัติและมหาสติมหาปัญญานี้เป็นมรรค เป็นเครื่องมือทำงานฆ่ากิเลส พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปสติปัญญาประเภทนี้ก็ปล่อยตัวเองไปเป็นหลักธรรมชาติ ไม่ต้องบังคับให้หยุด หากเป็นหลักธรรมชาติ สติปัญญาที่หมุนตัวเป็นเกลียวเหมือนจะไม่มีพักผ่อนเลย พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปปุ๊บอันนี้ก็เหมือนกับว่าเครื่องมือของเราวางมือได้ ปล่อยเลย เป็นอย่างนั้นนะ พอกิเลสหมดโดยสิ้นเชิง สติปัญญาประเภทนี้ก็เรียกว่าหยุดไปตามกันพักไปตาม หายหน้าไปเลย เหลือแต่สติปัญญาในหลักธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากนั้น แต่ไม่หมายถึงว่าจะแก้กิเลสตัวใดไม่มี เป็นความคิดเพื่อทำประโยชน์เท่านั้นเอง ความคิดรอบคอบในตัวเองระหว่างขันธ์กับจิตเท่านั้น นี่การพิจารณาทางด้านปัญญา
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าถ้าผู้ปฏิบัติมี อย่างนี้ละมรรคผลนิพพานมีอยู่กับผู้ปฏิบัติ ไม่ได้มีอยู่กับดินฟ้าอากาศที่ไหน อย่าให้กิเลสมาหลอก ศาสนาล่วงเท่านั้นเท่านี้ มรรคผลนิพพานไม่มีๆ ชีวิตของเจ้าของมันล่วงไปเท่าไรๆ ไม่ดูเจ้าของ มันจะตายแล้วนะไม่เห็นดู ว่าศาสนาล่วงไปเท่านั้นเท่านี้ไปดูลมๆ แล้งๆ ดูเจ้าของนั่นน่ะ วันหนึ่งมันล่วงไปเท่าไร ๒๔ ชั่วโมงๆ วันหนึ่งๆ มันล่วงไป ได้ดูหรือเปล่า จิตใจของเราความดีของเราได้ดูหรือเปล่า ได้สร้างความดีไว้มากเพียงไร ลมหายใจเข้าหายใจออกขาดไปเรื่อยๆ อย่างนั้น แล้วเจ้าของเป็นยังไงได้ความดีมากน้อยเพียงไร ให้หมุนออกมาอย่างนี้ซิ มันก็รู้ได้อรรถได้ธรรม
ทีนี้การปฏิบัติก็แบบเดียวกัน มรรคผลนิพพานไม่ได้อยู่กับดินฟ้าอากาศ อยู่กับผู้ปฏิบัติ กิเลสอยู่ที่นี่เป็น อกาลิโก มีตลอดกิเลส ถ้าไม่ฆ่ามันมีตลอด ธรรมะก็ อกาลิโก ถ้านำไปฆ่ากิเลสฆ่าได้ตลอด กิเลสประเภทเดียวกัน ธรรมะประเภทเดียวกันสังหารกันได้ไม่สงสัย ให้นำอันนี้เข้ามาปฏิบัติต่อตัวเอง ผางๆ ขึ้นเลยละเรื่องมรรคผลนิพพานไม่ต้องไปถาม ไอ้ผู้ที่มันมาพูดโอ้พูดอวดมันหลับตาพูด มันจะตายแล้วก็พูดไปอย่างนั้นนะ มรรคผลนิพพานอย่างนั้นอย่างนี้ มันเก่งกว่าศาสดา ศาสดาท่านว่า อกาลิโก ธรรมของท่านฆ่ากิเลสได้ตลอดเวลา แต่กิเลสมันก็มาพองตัวขึ้นทั้งๆ ที่มืดหนาสาโหดไม่มีอะไรเกินกิเลส มันว่าศาสนาล่วงเท่านั้นเท่านี้ แล้วบาปบุญจะไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี มรรคผลนิพพานไม่มีไปแล้ว นั่นเห็นไหมกิเลสมันหลอก พากันจำเอา
นี่มีแต่พวกศาสนาล่วงไปเท่านั้นวันเท่านี้วันแล้วความเพียรไม่มี มีแต่ความขี้เกียจพวกนี้มันจะเป็นอย่างนั้นนะ ความเพียรไม่มี ลดลงๆ ความขี้เกียจจนคับกุฏิ กุฏิต้องได้ขยายย้ายใหม่ นี่ได้ทราบว่าใครไปขนไม้มาจากไหนนอกกำแพงเข้ามาปลูกกุฏิข้างใน ใครอย่ามาทำนะ เดี๋ยวถูกไล่ออกจากวัด ถ้าจะทำมากน้อยเราทำแล้ว เห็นไหมเราทำนั้น มันเลยออกไปอย่างนี้ละ
นี่ละการประกอบความเพียร ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานเป็น อกาลิโก อยู่ตลอด อย่าให้กิเลสมาตบหูตบตาว่ามรรคผลนิพพานไม่มีๆ ตัวหัวมันไม่เคยทำมันจะเอาอะไรมามี เกิดจนกระทั่งถึงวันตายมีแต่ลมหายใจ มรรคผลนิพพานจะมียังไงก็มันไม่ได้ทำ มันอวดเฉยๆ กิเลสมันอวด ไปหาลบล้างมรรคผลนิพพานคือกิเลสนั้นแหละ ผู้ที่ลบล้างกิเลสคือผู้บำเพ็ญเพียรตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า พวกนี้พวกลบล้างกิเลส ไอ้พวกขี้เกียจขี้คร้านมีแต่พวกลบล้างอรรถธรรมทั้งหลาย ตลอดมรรคผลนิพพานจะไม่มีติดตัว ก็มีตั้งแต่ขอนซุงละกลิ้งอยู่ตามวัดป่าบ้านตาดเต็มไปหมด
มันกำลังปลูกสร้างกุฏิขึ้นอีก เอาขอนซุงเข้าไปใส่ในนั้นอีกนะนั่น ใครอย่ามายุ่งนะ มาทำอะไร ตั้งแต่อยู่ข้างในมันก็ทะเลาะกันพอแล้ว การปกครองผู้ชายกับปกครองผู้หญิงต่างกันมากนะ เราเป็นผู้ปกครองเอง พระเณรเราอยู่นี้ตั้งแต่สร้างวัดมาไม่เคยมีเรื่องมีราวอะไรจนกระทั่งป่านนี้ละ แต่ทางผู้ย่าผู้หญิงมันยังไง เดี๋ยวได้ยินเรื่องนั้นเดี๋ยวได้ยินเรื่องนี้ขึ้นมา มันน่าพูดต้องพูดน่าว่าต้องว่าซิเราเป็นผู้ปกครอง แต่ก่อนไม่มีก็บอกไม่มี อย่างพระนี้เรายกสรรเสริญท่านเลย ตั้งแต่เริ่มสร้างวัดทีแรกองค์ไหนมาก็เหมือนผ้าพับไว้ๆ ไม่ว่าฝรั่งมังค่ามาเหมือนกันหมด เข้าแบบหลักธรรมวินัยแล้วสงบตามๆ กันไปหมด
อันนี้มันเข้าแบบไหนนี่ มันถึงได้หาทะเลาะเบาะแว้งกัน มีเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันเก่งมากนะผู้หญิง มันเก่งกว่าครูกว่าอาจารย์ไปแล้ว ให้พิจารณาให้ดีทำไมจึงเป็นอย่างนั้นคนด้วยกัน พระท่านอยู่ทางนี้ท่านเป็นอย่างนั้น เราไม่เคยได้เป็นภาระในการชำระสะสางเหตุการณ์ต่างๆ กับพระกับเณร ไม่มี เรียบตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มสร้างวัดจนกระทั่งป่านนี้ นี้มันเป็นยังไง มันมีมาตลอดๆ ให้ยุ่งหัวใจเราตลอด มันอวดดีอวดเด่น อวดดีอวดเด่นอะไรอวดความชั่วช้าลามกของเจ้าของ อวดมูตรอวดคูถที่เต็มอยู่ในหัวใจระบายออกมาทางปาก ปากก็ปากมูตร กิริยาที่ทำก็เป็นมูตรเป็นคูถ ตีมูตรตีคูถแตกกระจัดกระจายไปทะเลาะกันน่ะซิ จำเอานะ เอาละพอเหนื่อยแล้ว
ผู้กำกับ พระท่านไปกรุงเทพฯฮะ เอาหนังสือไปให้คุณสนธิกับนายกฯทักษิณ (เอ้าๆ ว่าไปซิ นี่เทศน์จบแล้ว เดี๋ยวอาจจะได้เทศน์อีก เอ้าว่ามา) ขึ้นต้นว่าพระป่า ๖๐๐ รูปให้กำลังใจสนธิ อวยพรใช้ธรรมะ ปัญญาชนะอุปสรรค พระป่าเกือบ ๖๐๐ รูป และลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ให้กำลังใจสนธิ ลิ้มทองกุล พร้อมยื่นหนังสือ จากเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด เชิญให้ไปร่วมหาทางออกแก้ปัญหาของบ้านเมืองร่วมกับทักษิณ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ พฤศจิกายนนี้ ขณะที่ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ใช้ธรรมนำหน้าในการต่อสู้ ไม่หวั่นภัยอันตราย ไม่ตระบัดสัตย์ รวมทั้งไม่คิดล้มล้างรัฐบาล เพียงแต่รัฐบาลกำลังล้มตัวเองด้วยการปิดกั้นปัญญาของสังคมและประชาชน
รายละเอียดผมจะย่อเลยนะครับ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกา เมื่อวานนี้นะครับ เวลาประมาณ ๕ โมงเช้า เขาก็รายงานว่าพระทางภาคอีสานเกือบ ๖๐๐ รูป ซึ่งเป็นพระลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เดินทางมาให้กำลังใจนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินการรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ และเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ การให้กำลังใจ พระป่าได้ยื่นหนังสือของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ให้นายสนธิ เพื่อให้หาทางออกเกี่ยวกับแก้ปัญหาของบ้านเมืองในขณะนี้ โดยให้ไปพบที่วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๒๔ พฤศจิกายนนี้ แต่พร้อมนี้ก็มีหนังสืออีกหนึ่งฉบับ ไปยื่นให้นายกฯทักษิณ ชินวัตร และพระท่านจะได้เอาไปมอบต่อไป
คุณสนธิบอก ลูกยึดมั่นในธรรมของพระพุทธองค์และขององค์หลวงตามหาบัว ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทำให้ไม่กลัว ลูกจะตายหรือไม่ก็ไม่ได้หวั่น เพราะลูกเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับกรรมที่ตัวเองทำมา จุดยืนของตัวเองคือต้องการให้ประชาชนได้มีช่องทางในการรับรู้ข่าวสาร เพื่อให้ประชาชนสามารถตัดสินใจเองว่า สิ่งไหนถูกหรือผิดโดยใช้ปัญญาตัดสิน
ไม่ได้มีความคิดจะล้มล้างรัฐบาล รัฐบาลจะล้มก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลล้มตัวเอง ลูกทำก็เพื่อความถูกต้อง ถ้ารัฐบาลเห็นว่าสิ่งไหนไม่ถูกต้องก็แก้ไขด้วยปัญญา ถ้าสิ่งไหนที่รัฐบาลกำลังทำเป็นการทำลายสังคม ทำลายสติของประชาชน เพราะการมีสติก็จะมีศีลธรรมตามมา สังคมก็จะสงบสุขเพราะไม่มีอะไรเหนือธรรม อันนี้นายสนธิกล่าว
ต่อจากนั้นพระสงฆ์ซึ่งเป็นตัวแทนก็อวยพรให้นายสนธิ ใช้ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกอย่างเป็นอุปสรรคแต่ทำให้เกิดปัญญา เกิดความคิด ความถูกต้อง แก้ไขปัญหา ตัวแทนของพระภิกษุกล่าวกับนายสนธิในที่สุด
จากนั้นพระป่าจำนวน ๑๓ รูป นำโดยพระครูอรรถกิจนันทคุณ เจ้าอาวาสวัดป่าดอยลับงา จังหวัดกำแพงเพชร เดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือและซีดีคำเทศนาของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน มอบให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีรับทราบคำเชิญของหลวงตามหาบัว แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะไปได้หรือเปล่า
โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี กล่าวกับตัวแทนซึ่งเป็นพระภิกษุสงฆ์ ๑๓ รูปที่ไปยื่นหนังสือว่า ขณะนี้นายกรัฐมนตรีรับทราบเรื่องดังกล่าวแล้ว ได้แสดงความขอบคุณต่อองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แต่ไม่มั่นใจว่าจะสามารถเดินทางไปเจรจากับผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ในวันที่ ๒๔ นี้ได้หรือไม่ เนื่องจากขณะนี้นายกรัฐมนตรีมีภารกิจมาก อย่างไรก็ตามหากมีโอกาสนายกรัฐมนตรี จะเดินทางไปขอบคุณองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ด้วยตนเองอย่างแน่นอน อีกทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จำเป็นที่จะใช้เวลาในการสร้างความเข้าใจให้ตรงกัน
(หมดแล้วนะ) ยังครับมีอีกนิดหนึ่ง อันนี้ก็ ส.ส.ทรท. รำคาญพระป่าอัดยับ (ไหนว่าไงอักษรย่อว่าไงน่ะ) ส.ส. ทรท.รำคาญพระป่า (หมายความว่ายังไง ส.ส. ทรท. นี่) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคไทยรักไทย (มีแต่อักษรย่อ ครั้นบัดเวลาแกงในหม้อมามันไม่เห็นย่อ ฟาดเอาพุงกางเลย อันนี้มีแต่อักษรย่อ เอ้าว่าไป)
ส.ส. ทรท. รำคาญพระป่าอัดยับสร้างปัญหาบ้านเมือง จี้สอบสวน คนนี้เขาชื่อ ร้อยโทกุเทพ ใสกระจ่าง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทย เขาเป็นประธานคณะกรรมาธิการศาสนาศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่พระป่าจำนวน ๖๐๐ รูป เดินทางมาให้กำลังใจนายสนธิ ลิ้มทองกุล พิธีกรรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ และผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการว่า ในขณะนี้ปัญหาของนายสนธิเป็นเรื่องการเมือง การที่พระสงฆ์จะไปแสดงท่าทีสนับสนุนต้องระมัดระวัง เพราะถือกันว่าพระสงฆ์เป็นกลางทางการเมือง การที่ไปให้กำลังใจเช่นนี้จะถูกมองว่าฝักใฝ่การเมือง ในฐานะที่ตนเป็นประธานคณะกรรมาธิการศาสนาฯ เห็นว่าการดำเนินการเช่นนี้ของพระป่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง แต่ก็จะขอติดตามดูก่อน
หลวงตา พระท่านมาสนับสนุนในความถูกต้องของผู้ทำโดยถูกต้อง เพื่อหัวใจประชาชนทั้งชาติ ถ้าหากว่ารัฐบาลทำตนด้วยความถูกต้องแล้วท่านจะมาให้กำลังใจเหมือนกัน เข้าใจหรือ ท่านเอนไปไหนท่านไม่ได้เอน ใครทำถูกต้องท่านจะอนุโมทนาด้วยกันทั้งนั้น เข้าใจเหรอ
ผู้กำกับ ต่อนะครับ ผู้ที่เป็นพระสงฆ์นั้น เราต้องถือว่าเป็นผู้ทรงศีล รู้ผิดรู้ถูก ยิ่งเป็นพระสายวัดป่าด้วยแล้ว ยิ่งต้องคำนึงถึงปัญหาที่จะทำลายความสงบสุข ต้องระมัดระวัง อย่าแสดงออกถึงความไม่สมดุล
หลวงตา นี่พินิจพิจารณาเรียบร้อยแล้วจึงได้ไป ไม่ได้ไปด้วยเอาหัวชนฝานะ เอ้าว่าไป
ผู้กำกับ อย่าแสดงถึงความไม่สมดุล โอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง
หลวงตา ถ้ารัฐบาลทำดีจะไปทันที หลวงตาบัวดีไม่ดีหลวงตาบัวเป็นหัวหน้าไปให้กำลังใจให้ทำดีต่อไปประชาชนจะได้ร่มเย็น เข้าใจไหม เอ้า ต่อกันไปเป็นระยะๆ อย่างนี้ เราจะตอบ เราจะตอบเป็นระยะๆ ไป เอ้าว่าไป
ผู้กำกับ เห็นชัดว่าพระในเมืองไทยในขณะนี้มี ๒ พวก (มีอะไร) เขาบอกมี ๒ พวก เป็นความคิดเห็นส่วนตัวเขา
หลวงตา ๑๐ พวกก็ช่างเถอะ ถ้าเป็นพระดี ๑๐๐ พวกก็ได้ รวมกันแล้วเป็นพวกเดียวกันเข้าใจไหม
ผู้กำกับ เขาบอกมี ๒ พวก พวกที่ยึดติดกฎหมายบ้านเมือง และเคารพคำสั่งของเถรสมาคม
หลวงตา พวกหนึ่งยึดหลักธรรมหลักวินัยเป็นเกณฑ์ เอาพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอก พวกนั้นเป็นผู้ที่ตั้งบัญญัติมานั้นพวกคลังกิเลส พระพุทธเจ้าไม่ใช่คลังกิเลสเข้าใจไหม ท่านยึดหลักธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เอ้าว่าไป
ผู้กำกับ กับพระป่าที่ระยะหลังไม่ยอมรับกฎหมายของคณะสงฆ์
หลวงตา ถ้าเป็นกฎหมอยไม่ยอมรับ ถ้าเป็นกฎหมายยอมรับมานานแล้ว พระเหล่านี้เคยยอมรับมานานแล้ว ถ้าเป็นกฎหมอยไม่ยอมรับ กฎหมัดไม่ยอมรับ กฎหมาไม่ยอมรับ กดขี่บังคับไม่ยอมรับเข้าใจไหม การตั้งมามันตั้งแบบเพื่อเข้าตัวเสมอ พวกตั้งกฎหมายมันกลายเป็นกฎหมอยไปนี่
ผู้กำกับ เขาบอกว่า ผมห่วงว่าพระพวกหลังนี้จะตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง จึงอยากจะเรียกร้องให้พระผู้ใหญ่ที่ดูแลพระป่าเหล่านี้เคารพกฎหมายบ้านเมือง
หลวงตา พวกไหนจะดูแล ให้พวกไหนมาดู (เขาบอกพระผู้ใหญ่) พระผู้ใหญ่ใครเป็นใหญ่ ใครเป็นใหญ่เหนือพระพุทธเจ้า เอ้าว่ามา อันนี้เดินตามหลักพระพุทธเจ้า ใครเป็นใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า เอ้า แสดงตัวออกมา เราจะฟังเสียงเข้าใจเหรอ เอ้าว่าไปเป็นพักๆ
ผู้กำกับ เขาบอกว่า อยากให้ผู้ใหญ่มาดูแลพระป่าเหล่านี้ ให้เคารพกฎหมายบ้านเมือง (นั่นซิ ผู้ใหญ่มันคือใครน่ะ ถ้าผู้ใหญ่แบบมหาโจรทางนี้ก็ไม่ฟัง ถ้าเป็นมหาโจรไม่ฟัง) ถ้าผมตีความหมายตามกุเทพ ใสกระจ่างนี้ฮะ ผมว่าเอาหมายถึงอาจารย์เขาเทวทัตละครับ (อาจารย์เขาเทวทัต) ผมตีปัญหาเอง
หลวงตา เราไม่เข้าใจ เอ้าว่าไปเสียก่อน ตรงไหนเข้าใจตอบกันทันที ไอ้นี้มันจะมายุให้พระแตกอีกนะ ไม่แตก หลักธรรมวินัยไม่แตก พระไม่แตก ศาสดาองค์เอกคือหลักธรรมวินัยเป็นองค์แทนศาสดา ปฏิบัติตามนี้ไม่แตก ถ้าแยกออกจากนี้มีเท่าไรแตกทั้งนั้นๆ ที่เกิดเรื่องเกิดราวนี้ก็คือแยกออกจากหลักธรรมหลักวินัยพระพุทธเจ้านั่นเอง แฉลบออกไปเป็นกาฝากมหาภัยต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เวลานี้คือพวกนี้เอง
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |