เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
สภาธรรมเกิดโลกสงบเย็น
ก่อนจังหัน
พระเรามากันเรื่อยๆ เปลี่ยนหน้ากันมาเรื่อยๆ ให้ตั้งใจศึกษานะ มาตาดูให้เป็นธรรมเป็นวินัย ดูเทียบเคียงกับหลักธรรมหลักวินัย เห็นอะไรได้ยินอะไร ความเคลื่อนไหวของตัวให้เทียบเคียงกับหลักธรรมหลักวินัยเสมอ นั่นละชื่อว่าผู้มีศาสดาประจำตน พากันตั้งใจปฏิบัติ เราไม่ให้ยุ่งอะไรนะสำหรับวัดป่าบ้านตาด งานภายนอกไม่ให้ยุ่ง ให้ยุ่งแต่งานภายในคือการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เพื่อชำระจิตใจ ใจเศร้าหมองมากเท่าไรความทุกข์มากเท่านั้นๆ อบรมจิตใจด้วยการภาวนาซักฟอกสิ่งเป็นฟืนเป็นไฟออกมากน้อยเพียงใด จิตใจจะสง่างาม ความสงบร่มเย็นจะปรากฏขึ้น
ไม่ต้องไปหาที่ไหนละไอ้เรื่องความสุข หาที่ใจ ความทุกข์ก็อยู่ที่ใจเพราะกิเลสบีบบี้สีไฟอยู่ที่ใจ ธรรมะชำระล้างใจก็สะอาดขึ้นมาและสงบร่มเย็นผ่องใสสง่างาม พระเรามีหน้าที่อย่างนี้นะให้จำ นี่ละหลักพุทธศาสนาจริงๆ งานของพระเราคือการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ด้วยความมีสติประจำตนตลอดไปเลย สติพรากไม่ได้นะ จากนั้นก็ปัญญาแย็บๆ แนบกันไป แต่สตินี้ติดแนบตลอดเวลา นี่ละงานของพระ
ท่านผู้ทรงมรรคผลนิพพาน เช่น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา เป็นพระที่มีสติ เป็นพระที่มีความสำรวม ตั้งแต่สำรวมใจลงไป ใจคิดเรื่องอะไรถ้าไม่ดีตีปั๊บๆ ไม่ให้คิด นั่นท่านระวังท่าน ความเคลื่อนไหวที่ไหนๆ ให้มีสติติดๆ แล้วจะได้เหตุได้ผลมาทุกระยะที่สัมผัสสิ่งต่างๆ ถ้าไม่มีสติแล้วจะไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร จำให้ดีนะคำนี้
เราไม่ได้โอ้ได้อวด เราผ่านมาแล้วทั้งนั้นที่ได้มาสอนนี้ และได้ผลเป็นที่พอใจมาจากวิธีการเหล่านี้แหละ จึงได้นำมาสอนพระลูกพระหลานทั้งหลาย อย่าสักแต่ว่าไปสักแต่ว่ามาใช้ไม่ได้นะ เวลานี้พระเราเลอะเทอะมาก รวมไปหมดทั้งประเทศไทยของเรา ไม่ว่าท่านว่าเราพอๆ กัน ดูตัวเองก็หาสาระไม่ได้ กิริยาที่แสดงออกไปมีแต่การทำลายตัวเองด้วยความไม่มีสติปัญญา จากนั้นเป็นความคึกคะนองภายในจิตใจ เป็นกิเลสล้วนๆ ออกแสดงตีตลาดแล้วดูไม่ได้นะพระเรา
ในตลาดเขามีแต่กระดูกหมูกระดูกวัว เขาไม่ได้มีกระดูกพระที่เซ่อซ่าๆ ไม่เอาไหน เลวที่สุดแล้วเขาเอาไปเข้าตลาด ไม่มีใครซื้อนะกระดูกพระเราที่ปฏิบัติตัวเลวร้ายๆ ไปเข้าตลาดไม่มีใครซื้อ ไม่เหมือนกระดูกหมูกระดูกวัวนะ ไปที่ไหนเขาซื้อขายกันทั่วตลาดๆ แต่กระดูกพระที่ทำตัวเหลวแหลกแหวกแนว เอาไปขายที่ตลาดไม่มีใครซื้อ ให้ดูตัวเองให้มีคุณค่าซิ พระเรามีคุณค่าอยู่กับศีลสมบัติ ศีลบริสุทธิ์เต็มที่ สมาธิสมบัติ ความสำรวมระวังตนจนเป็นความสงบแน่นหนามั่นคงทางด้านจิตใจ จิตไม่หวั่นไหวยอกแยกคลอนแคลน นั่นเรียกว่าจิตมีสมาธิสมบัติ จากนั้นก็เป็นปัญญาสมบัติ พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ภายในภายนอกตลอดทั่วถึง ด้วยความเป็นอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนตฺตา นี่ติดอยู่กับใจ นี่ละงานของใจให้พากันพิจารณาเอานะ
งานตั้งสติเป็นงานพื้นฐาน งานจะทำใจให้สงบมีสติเป็นสำคัญ สงบร่มเย็นภายในใจ จิตเป็นสมาธิ จากนั้นก็เป็นปัญญา งานของปัญญานี้จะคลี่คลายสิ่งต่างๆ ให้รู้แจ้งกระจายไปหมด เรื่องปัญญาไม่มีสิ้นสุด ขอให้ปัญญาได้ก้าวเดินเถอะ เวลานี้มันหมอบคลานนะ ให้ปัญญาพาก้าวเดิน พอปัญญาก้าวเดินอะไรมันจะซอกแซกๆ รู้เห็นไปๆ กิเลสภายในก็ขาดออกไปๆ เรื่อย ภายนอกก็เป็นธรรมๆ ไปหมด ให้จำให้ดีนะคำพูดเหล่านี้ ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ
อย่าไปสนใจกับอะไรโลกอันนี้ โลกสกปรกโสมม ตัวเราก็สกปรกโสมม ร่างกายของเรามันมีสะอาดที่ไหนทั้งเขาทั้งเรา ให้สะอาดอยู่กับจิตใจ จิตใจอยู่ภายในสง่างาม อยู่ในท่ามกลางแห่งความสกปรก นั่นละสง่างามอยู่ภายใน เอาอันนี้ให้ดีนะ ศีลสมบัติ สมาธิสมบัติ ปัญญาสมบัติ จากนั้นก็วิมุตติสมบัติเรื่อยไปเลย นี่งานของพระ ผลที่จะได้ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุตติ อยู่ที่ใจของพระเรา ให้ตั้งใจปฏิบัติ อย่าให้มีแต่ผ้าเหลืองคลุมหัวโล้นเฉยๆ ดูไม่ได้นะ เอาผ้าเหลืองพระพุทธเจ้ามาจำหน่ายขายกินว่าตัวเป็นพระๆ ภายในมันคืออะไร มันมีแต่มูตรแต่คูถหาความดีงามไม่มี อย่าให้มีสิ่งเหล่านี้ภายในใจ ให้มีแต่อรรถแต่ธรรม ตั้งใจปฏิบัติให้ดี
ผมให้โอกาสตลอดมาสำหรับพระทั้งหลายที่อยู่วัดป่าบ้านตาด ผมไม่ไปแตะต้องนะ ที่จะให้มาทำงานนั้นทำงานนี้ยุ่งนั้นยุ่งนี้ไม่ให้มา นอกจากเป็นงานจำเป็นจริงๆ ก็ให้รวมกันทำสักชั่วระยะกาล จากนั้นก็เข้าสู่ความเพียรอันเป็นงานที่แท้จริงของตน คือ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา การอยู่การกินใช้สอยไม่มีปัญหาอะไรเลยสำหรับผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรม มีอะไรๆ กินได้ใช้ได้ทั้งนั้น ไม่ยุ่ง นี่คือผู้มุ่งธรรม ธรรมอยู่ภายในจิตใจมุ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นของสำคัญมาก จึงไม่ยุ่งกับสิ่งภายนอกอะไรทั้งนั้น พากันตั้งใจปฏิบัติ
การอยู่ด้วยกันอาจมีความกระทบกระเทือนทางสายหูสายตาแล้วก็เข้าสู่ใจ ให้เกิดความหงุดหงิด ไม่พอใจในองค์นั้น ไม่พอใจในองค์นี้ อย่างนี้เป็นกิเลสทั้งนั้น ให้รีบดูตัวใจของเรานี้มันไปคึกไปคะนอง ไปหาเพ่งโทษเพ่งกรณ์เขา โทษของตัวเองเต็มหัวใจไม่ดู ให้ย้อนเข้ามาดูตรงนี้ แล้วต่างองค์จะมีความผาสุกเย็นใจ ถ้าต่างคนต่างดูตัวเองที่เป็นมหาพาลมหาโจรอยู่ในใจ มันออกทางโน้นออกทางนี้ ฉกลักปล้นจี้อยู่กับใจนี้ทั้งนั้น มันฉกมันลักไม่ให้ใครรู้นะ ไปเห็นเขายกโทษเขา ยกโทษยกกรณ์ เจ้าของโทษเต็มตัวมันไม่ดู ให้ดูตรงนี้นะ
นักปฏิบัติต้องดูตัวเอง แล้วจะไม่มีกระทบกระเทือนกับผู้ใด เพราะต่างคนต่างดูตัวเองที่เป็นมหาโจร จะออกฉกออกลัก เพ่งโทษเพ่งกรณ์คนนั้นคนนี้ ตำหนิคนนั้นคนนี้ นี่มหาโจรมันเป็นอยู่ภายใน ให้ระวังให้ดีไม่ว่าทางไหน นี่สอนธรรมสอนโดยตรง ธรรมอยู่ท่ามกลางให้ฟังทุกคน มีหูทุกคน มีใจทุกคน ให้นำไปปฏิบัติ ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่เคยครึไม่เคยล้าสมัยตั้งกัปตั้งกัลป์ใดมาจนกระทั่งป่านนี้ แต่กิเลสนี้ตัวเป็นภัย เรียกว่าตัวครึตัวล้าสมัยที่สุด แต่โลกหมอบกับมันกราบกับมัน เพราะฉะนั้นจึงได้รับความเดือดร้อนตลอดมา เพราะกิเลสไม่เคยทำใครให้มีความสงบร่มเย็นเลย มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ มีมากมีน้อยเผาไหม้ตลอดไป ให้ทุกๆ ท่านจำเอาให้ดี
ตั้งใจมาปฏิบัติให้สังเกตสังกา ความพร้อมเพรียงสามัคคีเป็นพื้นฐานของพระเราด้วย เป็นพื้นฐานของวัดนี้ด้วย ให้ช่วยกันทุกสิ่งทุกอย่าง เรียกว่าความสามัคคีนี้แสดงน้ำใจต่อกัน ให้เป็นความสวยงาม เป็นความสงบร่มเย็น จำให้ดี ความสามัคคี จะทำงานทำการปัดกวาดเช็ดถูอะไรก็ตาม เรียกว่าเป็นงานสามัคคีแล้วให้ต่างคนต่างพร้อมเพรียงกัน อันนี้ก็เคยเรียบร้อยมาตั้งแต่ไหนแต่ไร สำหรับวัดป่าบ้านตาดไม่เคยได้ต้องติ แต่ทีนี้มาใหม่เรื่อยๆ จึงต้องได้แสดงให้ฟัง ถ้าหากว่ามีแต่พระเก่าก็ไม่จำเป็น เพราะท่านเคยของท่านอยู่แล้ว นี่มีพระใหม่มาเก้งๆ ก้างๆ ต้องได้เตือนกันเสมอเรื่องความพร้อมเพรียงสามัคคี ให้ดูตัวอย่างของผู้ที่อยู่ก่อนแล้ว ให้รีบจัดรีบทำทุกสิ่งทุกอย่าง
เคลื่อนไหวไปไหนสติอย่าปล่อยนะ สติเป็นสำคัญ จากนั้นเข้าสู่ความเพียร สติจับติดๆ กับใจ กิเลสจะเกิดไม่ได้ ถ้าลงสติครอบอยู่หัวใจ กิเลสเท่าภูเขาเข้าไม่ได้นะ สติเป็นสำคัญที่จะต้านทานกิเลสได้ พอเผลอสติเมื่อไรกิเลสออกแล้ว ออกไปกว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาตัวเอง วันนี้ภาวนาไม่สงบ จะสงบอะไรมันไปหากินอยู่ข้างนอก มีแต่กินมูตรกินคูถ เอาฟืนเอาไฟมาเผาเจ้าของ มันจะหาความสงบได้ยังไงจิตไม่มีสติ จำให้ดี เอาละให้พร
หลังจังหัน
(ผู้ว่าชัยพรฝันถึงยายที่ตายไปแล้วครับ) จะเป็นอะไร เวลาหลับมันก็เป็นฝัน เวลาหลับเกิดเรื่องเกิดราวอะไร เป็นเรื่องเป็นราวในเวลาหลับ เขาเรียกว่าฝัน ทีนี้ฝันอีกอันหนึ่งนั้นฝันทุกคน อย่างนั่งอยู่นี้ก็ฝัน ต่างคนต่างฝัน นั่งอยู่นี้คิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ยุ่งไปหมด นี่ฝันสด เวลาหลับฝันแห้ง ฝันไปอย่างนั้นละ พอตื่นขึ้นมาเราก็รู้เสียว่าฝันก็หายกังวลไป ถ้าผู้ไปติดกับความฝันแล้วเกิดกังวล ความฝันก็ทำให้เกิดโทษได้ ถ้ารู้ว่าฝันเท่านั้นก็แล้วกันไปเลย ส่วนฝันสดนั่งอยู่นี้ก็ฝันเหล่านี้ ไม่ใช่คนตาย ฝันนั้นฝันนี้จิปาถะอยู่ด้วยกัน คลังฝันอยู่นี้หมด ฝันสดคิดปรุงคิดแต่งเรื่องนั้นเรื่องนี้ นี่ละสังขาร สังขารอันนี้เป็นสมุทัย สังขารของกิเลสมันพาปรุงพาแต่งไปเรื่อยๆ นี่คือกิเลสเอาสังขารนี้ทำงาน ความคิดธรรมดาไม่เป็นกิเลส มีเครื่องหนุนเข้ามาเรียกว่ากิเลสมันคิดปรุง
เป็นรักเป็นชังกับใครกับผู้ใดเรื่องใด มันจะไปติดไปพันไปเสริมตรงนั้นอยู่ตลอด นั่นเรียกว่ากิเลส กิเลสมีแต่คอยเสริม รักก็เสริมให้คิดตลอด ชังก็เสริมให้คิดตลอด โกรธ เคียดแค้น เสริมทั้งนั้น ให้คิดตลอด ไม่ได้เห็นโทษของมันคือกิเลสอยู่ภายใน เป็นอย่างนั้นละ กิเลสให้คิดแล้วเสริมไปเรื่อยๆ นี่ท่านเรียกว่าสังขารที่เป็นสมุทัย ความคิดนี้เป็นกิเลส เพราะกิเลสดันออกมาให้คิด สังขารอันนั้นเป็นเครื่องมือของกิเลสดันให้คิดให้ปรุง
คือได้ดูเรื่องราวเสียพอแล้วมันก็รู้เรื่องกัน ธรรมดาไม่ได้คิดได้ปรุงอยู่ไม่ได้ ต้องคิดต้องปรุง โลกทั้งหลายไปด้วยความคิดความปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันหากชักหากจูงให้อยากไปที่นั่นให้อยากไปที่นี่ ไปดูบ้านนั้นเมืองนี้ ไปชมที่นั่นที่นี่ คือความคิดปรุงดึงไป พาไปๆ นี่เรียกว่าความคิดที่เป็นสมุทัย กิเลสทำงานอย่างนี้ตลอดเวลา เรียกว่าทำงานโดยอัตโนมัติของกิเลส มองเห็นอะไรได้ยินอะไรปั๊บ กิเลสจะปรุงเรื่อยไปเลย และเป็นอารมณ์ไปเรื่อยๆ เรียกว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติของมัน แล้วสัตว์ทั้งหลายก็ไม่รู้ บืนไปตามมัน เพลินไปตามมัน นี่หมายถึงจิตใจทั่วๆ ไป
ทีนี้จิตใจของท่านผู้ชำระซักฟอกจนกระทั่งถึงขั้นบริสุทธิ์ อ่านความคิดนี้ได้หมดเลย รู้เท่าทันหมด ที่มันเคยคิดมายังไงๆ รู้เท่าทันต้นตอของมัน ก็คือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาหนุนให้คิดให้ปรุงตลอดเวลา ทีนี้เวลาอวิชชาดับพรึบลงไปนี้ ความคิดเหล่านี้กลายเป็นขันธ์ล้วนๆ เป็นสังขารล้วนๆ ขันธ์แปลว่ากอง แปลว่าหมวด เลยเป็นขันธ์ล้วนๆ ไปไม่ได้เป็นภัย ท่านจึงเรียกว่าขันธ์ของพระอรหันต์เป็นขันธ์ล้วนๆ มันคิดอะไรเป็นอัตโนมัติของขันธ์เหมือนกันนะ
คือเวลามีกิเลส กิเลสก็พาขันธ์หมุนคิดเป็นอัตโนมัติของกิเลส ทีนี้มีแต่ขันธ์ล้วนๆ มันก็คิดเป็นอัตโนมัติของขันธ์ล้วนๆ เหมือนกัน นั่นเป็นชั้นๆ นะ คิดไปอย่างนั้นละไม่เกิดโทษเกิดภัยอะไร มันหากคิดของมันตามนิสัยของมัน ของขันธ์อันนี้ที่เป็นเรื่องคิดมันก็คิดของมัน เวลามีกิเลสเข้าหนุนก็คิดไปทางกิเลสไปหมด เวลากิเลสสิ้นไปหมดแล้ว ขันธ์เป็นขันธ์ล้วนๆ มันก็คิดของมัน แต่ไม่เป็นภัย ต่างกันอย่างนี้นะ ท่านจึงเรียกว่าขันธ์ล้วนๆ ขันธ์เต็มไปด้วยกิเลสก็มี ขันธ์ล้วนๆ ก็มี มันคิดเหมือนกันแต่ไม่เป็นภัย ขันธ์ของพระอรหันต์ไม่เป็นภัย ความคิดของพระอรหันต์ไม่เป็นภัย คิดธรรมดาๆ ไปอย่างนั้น
อย่างนี้เคยมีใครพูดไหมนี่ ไม่มี บอกตรงๆ เลย นี่อ่านกันตลอดหมดแล้ว รู้ทั่วถึงหมดแล้วถึงนำมาพูด เตสํ วูปสโม สุโข ความระงับดับเสียซึ่งสังขารที่เป็นตัวสมุทัยนั้นแหละเป็นสุขอย่างยิ่ง ท่านว่า เตสํ วูปสโม สุโข การดับสังขารซึ่งเป็นสมุทัยให้สิ้นซากลงไปแล้วเป็นสุขล้วนๆ มีแต่สุข พูดอย่างนี้บรรดาผู้ฟังทั้งหลายไม่เข้าใจนี่ซิ มันลำบากนะการพูด ต้องพูดให้พอดิบพอดีกับผู้ฟังให้ได้เข้าอกเข้าใจ มาฟังนี้ก็ฟังเพื่อเอาความเข้าใจ ความคิดที่มันเป็นอยู่ในตัวของเรา ถ้าไม่มีผู้เตือนก็ไม่รู้ว่าความคิดนี้เป็นภัย ส่วนมากไม่ค่อยเป็นคุณ มักจะเป็นภัยต่อตัวเองเป็นประจำของขันธ์อันนี้ ความคิดของผู้มีธรรมก็เป็นธรรมไปเรื่อยๆ ความคิดของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วก็เป็นความคิดธรรมดา ท่านจะคิดไปทางเป็นประโยชน์อะไรท่านก็คิดไป เช่นไปสงเคราะห์โลกก็ต้องใช้สังขารคิดไปก่อน ไปทำบุญให้ทานที่ไหนๆ สังขารนี้ก็คิดไปธรรมดาๆ นี่เรียกว่าความคิด
สำคัญที่กิเลสเป็นเจ้าตัวการ บังคับบัญชาความคิดให้คิดให้ปรุงนี้เป็นภัยตลอด เป็นภัยอยู่ในตัวของมันเอง สั่งสมในตัวของมันเอง วัฏวนจึงยืดยาวไม่มีเวลาสิ้นสุด ทีนี้พออันนี้ระงับดับลงไปแล้ว ความคิดความปรุงก็สักแต่ว่าคิดว่าปรุงไปธรรมดา คิดแล้วดับพร้อมๆ ไม่มีอะไรเป็นสื่อเป็นทางต่อไป คิดดับๆ สังขารของท่านผู้บริสุทธิ์เป็นอย่างนั้น จะคิดอะไรก็ไม่เป็นภัย เมื่อดับตัวใหญ่ของมันเสร็จแล้วคืออวิชชา ดับโดยสิ้นเชิงแล้วก็มีแต่ขันธ์เป็นขันธ์ล้วนๆ
ทีนี้ธรรมเอาไปใช้ละที่นี่ กิเลสหมดแล้ว กิเลสเคยเป็นเจ้าของของขันธ์ มันยึดเป็นเจ้าของของขันธ์ มันสิ้นสุดลงไปแล้ว กิเลสสิ้นสุดลง อวิชชาดับพรึบลงไปเท่านั้น ทีนี้ขันธ์นี้เป็นขันธ์ล้วนๆ ธรรมะขึ้นแทนกัน ธรรมะเอาขันธ์ออกใช้ ทีนี้ขันธ์นี้เป็นเครื่องมือของธรรมไป คิดเรื่องอะไรๆ นี้จะไม่เป็นภัย สำหรับท่านผู้บริสุทธิ์ไม่มีคำว่าเป็นภัยจากความคิดเจ้าของ ไม่มี เพราะรู้ทันที แล้วความคิดนี้ก็ไม่หมุนไปทางให้เป็นภัย เพราะตัวที่เป็นเจ้าของคือจิตที่บริสุทธิ์แล้ว จะคิดตั้งแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมไปเรื่อยๆ อย่างนั้น ที่จะคิดให้เป็นภัยต่อผู้ใดไม่คิด
เราพูดตรงๆ อย่างที่เราสอนโลกอยู่เวลานี้ ความคิดคำสอนของเราที่สอนออกไปนี้ไม่เป็นภัย เป็นคุณล้วนๆ เพราะใจนี้เป็นคุณตลอดเวลา เป็นคุณเป็นธรรมล้วนๆ สอนลงไปด้วยความเมตตาสงสาร ไม่ถือฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ ฝ่ายนั้นชนะฝ่ายนี้แพ้ อย่างนี้ธรรมไม่มี มีแต่ความเมตตาสงสาร ถ้าอันใดส่วนใดที่เป็นฝ่ายผิดก็เตือนเข้าไป อย่าให้ทำผิด ให้ลดลงหรือให้แก้ไขดัดแปลง ส่วนที่ถูกต้องแล้วก็ให้ส่งเสริมให้ดีขึ้น สอนอย่างนั้นแหละที่สอนโลกอยู่เวลานี้ก็ดี
พระพุทธเจ้าสอนโลกก็สอนแบบเดียวกัน ท่านสอนโลกด้วยความไม่เป็นภัยต่อท่าน และไม่เป็นภัยต่อโลกทั่วๆ ไป เป็นคุณทั้งนั้น ถ้าโลกจะยึดเอาไปเป็นผลเป็นประโยชน์เป็นไปตลอด ถ้าจะตีความหมายไปเป็นทางด้านกิเลส มันก็เห่าฟ่อๆ ขึ้นมา นั่นเรื่องของกิเลสต่อสู้ธรรม ทีนี้ถ้าเชื่ออันนี้ไปมันก็หมุนไปทางกิเลสเรื่อย เรียกว่ามันไม่ยอมฟังเสียงธรรม มันก็เป็นกิเลสเรื่อย เผาตัวเองไปเรื่อยๆ เรื่องสังขารจึงเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว
นี่อ่านจบพูดตรงๆ เราอ่านจบ เรียนโลกจบ ไม่ต้องไปหาเรียนที่ไหนเมืองใด เรียนที่หัวใจ เพราะหัวใจนี้กว้านไปหมดโลกอันนี้ เหมือนอย่างเถาวัลย์ มันเลื้อยไปไกลแสนไกลก็ตาม พอถอนรากมันขึ้นแล้วมันหลุดหมด เหี่ยวแห้งและตายไปเลยเมื่อถอนรากขึ้นมา นี่ถอนอวิชชาปุ๊บขึ้นมาเท่านี้ เรื่องความคิดทั้งหลายที่เคยเป็นสมุทัยดับพรึบหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือเลย ทีนี้ก็เป็นขันธ์ล้วนๆ ธรรมเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ คิดเรื่องความเมตตาสงสารทางโน้นทางนี้ ช่วยนั้นช่วยนี้ มีแต่เรื่องของธรรม เต็มไปด้วยเมตตา
จิตของพระอรหันต์ท่านกับคำว่าอ่อนโยน กับความเมตตา เหมือนประหนึ่งว่าเป็นอันเดียวกัน คือแย็บออกไปทางเมตตากระจายออกไปหมดเลย ธรรมชาตินี้อ่อนนิ่มอยู่แล้ว กิริยาของพระอรหันต์จึงไม่เป็นภัยต่อผู้ใด เพราะท่านหมดภัยแล้วในตัวของท่าน ท่านไม่มี มีแต่คุณ มีแต่ธรรมล้วนๆ ออกไปเป็นธรรม ไม่ว่าจะแสดงกิริยาอาการใดๆ ออกไป ไม่เป็นภัยต่อผู้ใด เป็นคุณล้วนๆ ท่านสอนโลกดังพระพุทธเจ้าสอน
นั่นละคำว่าภัยอยู่ที่ใจ คือกิเลสอยู่ที่ใจ เมื่อดับกิเลสตัวเป็นภัยได้แล้ว ใจก็เป็นคุณล้วนๆ ขึ้นมา ทีนี้แสดงออกอาการใดมีแต่คุณ ไม่มีโทษเลย เรียกว่าธรรม ธรรมถ้าอยู่ในใจเต็มสัดเต็มส่วนแล้ว ความเมตตาสงสาร คืออันนี้มีความสุขล้นพ้นไม่มีประมาณเลยอยู่ในใจ ทีนี้มองไปที่ไหนก็เห็นแต่สิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันอยู่ตลอดเวลา และต้องการความช่วยเหลืออยู่ทั่วดินแดน เมตตาธรรมก็ออกไปเฉลี่ยเผื่อแผ่ไปเรื่อยๆ ไปอย่างนั้น นี่เรียกว่าธรรม เป็นเมตตาธรรม
ใจของเราเมื่อยังแข็งกระด้างอยู่ด้วยกิเลส ธรรมก็ไม่เข้าถึงใจง่ายๆ เข้าถึงใจได้ยาก อยากให้พี่น้องลูกหลานทั้งหลายให้ได้แต่ทานแต่ศีลแต่การอบรมภาวนา เพียงเท่านี้ก็ดีอยู่แล้วละ ดีกว่าเขาที่ไม่เคยสนใจกับอรรถกับธรรม แต่สนใจกับฟืนกับไฟคือกิเลสโดยถ่ายเดียว ดีกว่าพวกนี้เป็นไหนๆ ให้พากันพยายามรักษาตัวให้ดี ถ้ากิเลสไปไหนจะก่อฟืนก่อไฟไปเรื่อยๆ หาความสงบร่มเย็นไม่ได้ ถ้าธรรมไปที่ไหนจะสงบร่มเย็นไปเรื่อยๆ ต่างกัน เหมือนน้ำดับไฟๆ น้ำคือธรรม ดับไฟคือกิเลสตัณหามันก่อกวนขึ้นมาในแง่ต่างๆ ไฟดับลงไปๆ คือธรรม
โลกที่มีแต่ความรุ่มร้อนก็เพราะกิเลสพาออกหน้าออกตา โลกไม่เห็นโทษของกิเลส ถ้าโลกได้เห็นโทษของกิเลส ประชุมโลกขึ้นมาปุ๊บ เห็นโทษของกิเลสแล้วประชุมโลกขึ้นมาทีเดียว สภาโลกสภาธรรมขึ้นในโลก ประกาศกันลั่น เมืองใหญ่มีสภาธรรมใหญ่ เมืองเล็กมีสภาธรรมเล็ก สำหรับเป็นน้ำดับไฟ แต่ละเมืองๆ นี้จะมีความสงบร่มเย็น ตลอดถึงประเทศต่างๆ ที่ประสานเข้าไป ประเทศไหนก็มีสภาคมแห่งธรรมๆ ประกาศก้องอยู่ตลอดเวลาแล้ว กิเลสจะไม่แสดงตัวมากมายดังที่เป็นอยู่นี้
อันนี้ที่ไหนมันมีแต่สภาของกิเลสทั้งหมด ไม่ว่าเขาว่าเรา ไม่ว่าส่วนกว้างส่วนแคบ ตลอดประเทศหรือทั่วโลก มีแต่สภาของกิเลสทั้งนั้น จึงเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ทั่วถึงกันหมด ถ้ามีสภาธรรมประกาศก้องขึ้นมาภายในตัวแล้ว ประกาศก้องออกไปๆ ต่างคนต่างยอมรับธรรมแล้ว สภาธรรมขึ้นมาโลกสงบเย็น นั่นต่างกัน ดังพระพุทธเจ้ามาสอนโลกแต่ละพระองค์นี้ เรียกว่าสภาธรรมเกิดขึ้นแล้วในโลก
ดังท่านแสดงไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ตั้งแต่พวกเทวดาทั้งหลายกระจายขึ้นไปถึงพรหมโลก ประกาศก้องถึงกันๆ สทฺทมนุสฺสาเวสÿ มนุสฺสาเวสÿ เรื่อย ส่งถึงกันไปเรื่อยๆ ชั้นนี้บอกชั้นนี้ๆ ครู่เดียวถึงกันหมดเลย ว่าธรรมเกิดแล้ว พระพุทธเจ้าอุบัติแล้ว ธรรมเกิดขึ้นแล้ว กระจายทั่วกัน จนกระทั่ง ทสสหสฺสี โลกธาตุ หมื่นโลกธาตุกระเทือนถึงกันหมด สงฺกมฺปิ สมฺปกมฺปิ สมฺปเวธิ นี่ละความกระเทือนถึงกันและกัน ข่าวแห่งธรรม พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเพียงเท่านั้น
ทีนี้เมื่อผู้มีนิสัยก็รับกันทันทีๆ ผู้ไม่มีนิสัยก็จมไปตามเดิม ผู้มีนิสัยแล้วก็รับเสียงอรรถเสียงธรรม สนใจนำมาหล่อเลี้ยงจิตใจ ชำระจิตใจ จิตใจก็มีศีลมีธรรมขึ้นมา เมื่อจิตใจมีศีลมีธรรม จิตใจก็ค่อยอ่อนตัวลงในเรื่องกิเลสทั้งหลาย และมีความสุขความสงบเย็นใจปรากฏขึ้น ทางโน้นปรากฏทางนี้ปรากฏ ต่างคนต่างสนใจปรากฏ ก็มีความสงบร่มเย็นปรากฏขึ้นมา สมาคมกันไม่ว่าแห่งหนตำบลใด มีธรรมเข้าเกี่ยวข้องๆ เป็นความสงบร่มเย็น พูดกันรู้เรื่องกัน ถ้าธรรมแล้วพูดกันรู้เรื่องกันง่ายๆ ถ้าเรื่องกิเลสไม่มีที่ว่าจะรู้เรื่องง่ายๆ จะเอาให้ได้ดั่งใจตัวเองๆ อย่างเดียว ผิดถูกชั่วดีไม่คำนึง ขอให้ได้ดั่งใจตัวเองเป็นพอๆ
ที่โลกร้อนอยู่เวลานี้ ใครก็จะให้ได้อย่างใจๆ สุดท้ายก็กัดกัน รบกัน เรื่องกิเลสมีตั้งแต่จับหัวชนเข้าหากัน ชนกันกัดกัน เรื่องของธรรมแยกออกๆ เหตุผลกลไกมีอะไรนำมาใช้ มีมากมีน้อยเหตุกลไกจับเข้าไปๆ ยอมรับกันๆ โลกมีความสงบร่มเย็นทั่วหน้ากันไป นี่ได้เกิดความทะเลาะเบาะแว้ง ตลอดถึงรบราฆ่าฟันหรือรบกันอย่างนี้ สงครามโลกสงครามอะไรเหล่านี้ไม่มี ใจไม่พาให้มีไม่มี ใจเท่านั้นเองที่จะทำให้เป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา
ใจของเราอยู่ลำพังของเรามันก็เป็นของเรา สภาเราสภาใจของเรา ถ้าวันไหนมีอารมณ์มากยุ่งมาก วันนั้นเจ้าของทุกข์มาก วันนี้เกิดเรื่องเกิดราวอะไรขึ้นมา จะนำเรื่องนำราวขึ้นมาเป็นไฟเผาตัวเองอยู่ในหัวอกตลอดเวลาหาความสุขไม่ได้ ภัยเข้าสู่จิตใจไม่มีธรรมเป็นน้ำดับไฟ สุดท้ายก็นอนไม่หลับ ความคิดความปรุงยุ่งเหยิงวุ่นวายเผาตัวเอง ถึงขนาดนอนไม่หลับก็มี เลยจากนั้นก็เป็นบ้า นี่ละอำนาจของกิเลสทำคนให้ถึงขนาดเป็นบ้า หมดค่าหมดราคาของคนทั้งคน ไม่มีค่ามีราคาเลย เพราะกิเลสความลืมเนื้อลืมตัว
เช่นอย่างมีลาภมียศ ถ้ามีลาภมียศธรรมดา ตกแต่งให้กันส่งเสริมกันเพื่อมีกำลังการปฏิบัติหน้าที่การงาน แก่ส่วนรวมทั้งหลายให้ได้ผลประโยชน์มากขึ้น กิเลสมันกลับทะนงตัว พอมียศขึ้นมาแล้วก็พองตัวๆ อึ่งอ่างเท่านั้นละพองขึ้นแข่งกับวัวไปละ อึ่งอ่างก็เหมือนสัตว์โลกที่มีกิเลสเต็มตัว วัวก็คือธรรม ท่านใหญ่ขนาดไหนธรรม แล้วประสาอึ่งอ่างจะไปแข่งธรรม เบ่งพองตัวขึ้นแข่งธรรม ท้องมันก็แตกเห็นไหมล่ะอึ่งอ่างท้องแตก โลกทั้งหลายมีตั้งแต่พวกท้องแตก คือกิเลสมันระเบิดเอาจนท้องแตกฉิบหายวายปวงไปมากต่อมากไม่เกิดประโยชน์อะไร
แข่ง เท่านี้ไหมๆ ถามลูกนะ แม่ถามลูกอึ่งอ่าง ลูกอยู่ในรู แม่ไปเที่ยวหากิน แล้ววัวมันก็หากินของมันไปตามประสาของวัว เดินไปใกล้ๆ ลูก มันกลัววัวละซิตัวใหญ่นี่นะ เหมือนกับว่าหลบนั้นหลีกนี้ วัวหากินผ่านไปแล้ว แม่ไปหากินกลับมา ลูกก็พูดกับแม่ด้วยความตื่นเต้น อู๊ย แม่ไม่ทราบว่าสัตว์อะไรตัวใหญ่มาก เหยียบนั้นเหยียบนี้ ย่ำเข้ามานี้มันจะมาเหยียบหัวหนู หนูกลัวหนูจะตายดิ้นอยู่ในรู ตัวใหญ่มากนะแม่ แม่ก็พองตัวละอึ่งอ่างพองอยู่นั้น เท่านี้ไหม อู๊ย มันใหญ่กว่านี้แม่ เอาเรื่อย ใหญ่กว่านี้แม่ ทางนี้แม่ก็พองขึ้นๆ ซิ มันเท่านี้ไหมๆ สุดท้ายท้องแม่เลยแตก
นี่ละจิตใจที่ได้รับยศถาบรรดาศักดิ์ ตื่นยศตื่นลาภตื่นสมบัติเงินทอง ตื่นทุกอย่าง ตื่นอำนาจตัวเองเป็นบ้าอำนาจตัวเอง หลงอำนาจ มันก็เท่านี้ไหมๆ ไปเรื่อย อะไรก็ไม่พอ ลงกิเลสแล้วไม่พอ พองตัวขึ้นเรื่อยๆ เหมือนอึ่งอ่าง ครั้นพองตัวๆ พองไปเท่าไรท้องอึ่งอ่างละแตกท้องวัวไม่แตก หลักธรรมชาติของธรรมเป็นธรรมทั้งแท่งมาโดยลำดับ ไปทำอะไรให้เสียหายไม่มีเรื่องธรรม จะพองตัวก็ท้องเจ้าของแตก ท้องธรรมไม่มีแตกเลย โลกทั้งหลายที่พองตัวไม่มีสิ้นสุดยุติลงไปได้จนกระทั่งตาย หมดค่าหมดราคา สร้างแต่ความชั่วช้าลามกด้วยความพองตัวทะนงตัว ถือว่าตัวดิบตัวดี ได้บีบบี้สีไฟใครก็ตามทั่วโลก ขอให้เรานี้เบ่งคนเดียวใหญ่คนเดียวก็พอ
มันไม่ใหญ่ละซิ ก็ประสามนุษย์ ท้องก็ท้องมนุษย์ พองก็พองเท่ามนุษย์ จะให้มันเท่าวัวไม่ได้ ทีนี้สุดท้ายโลกก็เผากันๆ ด้วยอำนาจอึ่งอ่างนั่นละ อยากเบ่งอยากดังอยากเด่นอยากดัง อันนี้เราก็ได้เอามาพิจารณา เตือนโลกที่มีกิเลสทั้งหลายซึ่งเท่ากับอึ่งอ่างมักจะพองตัวเสมอๆ ได้ลาภได้ยศมาพองตัวไม่มีคำว่าพอ แล้วดิ้นไปเรื่อยๆ เมื่อพองตัวไปแล้วก็ลืมตัว อะไรมาก็ลืมตัว สุดท้ายโลกทั้งโลกมีเราคนเดียวเด่นกว่าโลก พองตัวขึ้นไป แต่มันไม่เด่น มันสร้างบาปสร้างกรรมเข้าไปสักเท่าไรๆ ท้องระเบิด พอตายแล้วเท่านั้นจมลงในนรกเลย นรกนี้เหมือนกับวัว นั่นละใหญ่โตขนาดนั้น นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เหล่านี้เหมือนกับวัวใหญ่โตมาก ใครจะไปอวดกับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้
นรกก็อวดลงไปซิ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีพระองค์ใดบ้างปฏิเสธ ว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี ไม่มีองค์ใด มีแต่ยอมรับกันหมดๆ มีแต่จอมปราชญ์ทั้งนั้นยอมรับ แต่จอมเซ่อนี้ไม่ยอมรับ บอกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี บาปไม่มี บุญไม่มี ทีนี้อันหนึ่งมันดึงเข้าไปที่จะให้ทำบาปมันไม่รู้ตัวซิ อยากอะไรก็ทำตามความอยากๆ ความอยากนั้นเป็นไปเพื่อความสั่งสมทุกข์ๆ สั่งสมขึ้นทุกวัน ว่าบาปไม่มีสนุกทำบาปที่นี่ บาปก็พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ว่าบาปไม่มี มันพอกพูนขึ้นในหลักธรรมชาติของมันซึ่งเป็นหลักความจริง ไม่ได้เอนเอียงไปกับความเสกสรรปั้นยอความสำคัญมั่นหมายของผู้ใดเลย
ว่าบุญไม่มีก็ไม่สนใจจะทำบุญให้ทาน ว่าบาปไม่มีก็สร้างแต่บาป ตายแล้วผู้นั้นเป็นกองรับเหมาบาปทั้งหมด สุดท้ายก็รับเหมานี้พอก็ลงไปนรก ไปรับเหมาอยู่ในนรกกี่กัปกี่กัลป์กว่าจะพ้นขึ้นมาได้ แล้วใครเป็นคนเสียหาย คนผู้ที่เป็นอึ่งอ่างทะนงตนว่าบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มีนั้นแลเป็นผู้ล่มจม บาปบุญนรกสวรรค์ท่านจะล่มจมที่ไหน ธรรมท่านไม่ได้ล่มจม มันจมจมกับคนสำคัญตนลืมตนนั่นเอง นี่ละตัวสำคัญมากอยู่ตรงนี้ พวกเราชาวไทยก็เป็นลูกชาวพุทธไม่ควรจะพองตนเกินประมาณ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกของโลกทุกๆ พระองค์ยอมรับกันหมด เรื่องบาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เปรตผีประเภทต่างๆ ยอมรับกันหมดว่าธรรมชาติเหล่านี้มี เราจะไปลบล้างหลักธรรมชาตินั้นไม่ได้ มันเป็นความเสกสรรปั้นยอ ความสำคัญมั่นหมายของเราต่างหาก ไม่ใช่ความจริง
ความจริงก็ดังที่ท่านจอมปราชญ์ท่านแสดงไว้แล้ว นั้นคือความจริงใครลบล้างไม่ได้เลย ว่าบาปไม่มี สร้างปั๊บลงไปเป็นบาปแล้วนั่น มีหรือไม่มีเจ้าของสร้างเองเห็นอยู่นั่น สร้างมากสร้างน้อยว่าไม่มีๆ การสร้างนั้นมีทำไมผลจะไม่มีล่ะ การสร้างก็ตัวเองสร้างขึ้นมา ว่าไม่มีๆ แต่สร้างอยู่ไม่ถอย ผลก็ปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ นั่นละบาป การสร้างบุญก็เหมือนกัน ผู้สร้างบุญก็ต้องถือว่าบุญมี แต่ผู้สร้างบาปมันถือว่าบาปไม่มี มันโกยแต่บาปขึ้นมา ผู้สร้างบุญนั้นแน่ใจว่าบุญมีๆ โดยลำดับ จึงสร้างแต่บุญ บุญก็เทิดทูนเข้ามาในหัวใจของเราให้ได้รับความสุขความเจริญเรื่อยไป เมื่อบุญเต็มที่แล้วผ่านพ้นปึ๋งเลยถึงนิพพาน นั่นละผู้สร้างบุญมีที่สุดคือนิพพาน ผู้สร้างบาปที่สุดแห่งนรกอเวจี มหานรก จมอยู่นั้นกี่กัปกี่กัลป์กว่าจะได้ขึ้นมาไม่ใช่ของเล่น
ให้เชื่อจอมปราชญ์นะ เราอย่าไปเชื่อคนพาล ถ้าเชื่อคนพาลโลกนี้เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันหมดนั่นแหละ ถ้าเชื่อจอมปราชญ์โลกนี้จะสงบร่มเย็นไปโดยลำดับ เช่นอย่างเมื่อไทยของเราก็เป็นเมืองพุทธ อย่าทะเลาะเบาะแว้ง อย่าถือดีถือเด่นทั้งๆ ที่ไม่ดีไม่เด่นมีแต่ชั่วเต็มตัว อย่าเอาความชั่วนั้นมาอวดว่าเป็นของดี ไม่มีใครยอมรับ จอมปราชญ์ทั้งหลายทุกพระองค์ท่านไม่มีใครยอมรับ ก็มีแต่อันธพาลยอมรับกัน แล้วก็ไปตายกองกันอยู่ในนรกเท่านั้นเองไม่มีอะไร ให้พากันจำเอา ไม่มีใครเลยจอมปราชญ์ละ พระพุทธเจ้าเป็นจอมปราชญ์สอนโลกไม่มีผิดมีพลาดเลย ว่าอะไรมีมีทั้งนั้น เพราะดูแล้วเห็นแล้วถึงมาบอกว่ามี ไม่ใช่พูดงูๆ ปลาๆ กำดำกำขาว ท่านเห็นแล้วรู้แล้วท่านถึงมาสอน
บาปมีบุญมีเห็นบุญบาปแล้ว ทุกอย่างเห็นหมด นรกอเวจี สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ท่านเห็นหมด แล้วท่านสอนจะผิดไปไหน ไอ้เราไม่เห็นนี่ซิไปหาลบล้างๆ โดยถ่ายเดียว ผู้ที่ไปลบล้างก็มีอยู่ในตัวของตัวเองนั่น ไปลบล้างเหล่านั้นว่าไม่มียังไง ตัวเองผู้ทำมันมี ธรรมชาติที่จะให้ผลมันก็มีมาด้วยกันจะไปลบล้างได้ยังไง พากันตั้งอกตั้งใจนะ
วันเสาร์ วันอาทิตย์ เป็นวันที่ว่างที่เราจะเสาะแสวงหาความดีงามเข้าสู่ใจ ให้เสาะแสวงหา ครั้นเวลาตายแล้วจึงไปเคาะโลงโป๊กๆ รับศีลรับพรไม่ได้นะไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าหากว่าตายแล้วไปเคาะโลงโป๊กๆ ได้บุญได้กุศลไปสวรรค์นิพพานก็ไม่จำเป็นต้องสร้างบุญ คอยไปเคาะโลงกันเลย เคาะโป๊กๆ รับศีลนะพ่อนะแม่นะ ไปสวรรค์นิพพานหมด เคาะโลงเอาเท่านั้นพอ ไม่ยากอะไร ศาสนาก็ไม่มี พระพุทธเจ้าก็ไม่มาตรัสรู้เพื่อสอนโลกให้ทำความดีงามทั้งหลาย ให้ละบาปบำเพ็ญบุญ ไม่จำเป็น เพราะเคาะโลงโป๊กๆ เท่านั้นไปสวรรค์แล้ว เป็นศีลเป็นธรรมขึ้นมาแล้ว
เคาะโลงโป๊กๆ เข้าใจไหมโลงผีน่ะโลงศพ หรือจะคอยให้เขาเคาะโลงหรือพวกเรานี่ เคาะโลงโป๊กๆ รับศีลนะพ่อนะแม่นะ เคาะโลงโป๊กๆ ไปสวรรค์นะพ่อนะแม่นะงั้นเหรอ พวกนี้พวกเคาะโลง เลยไม่สร้างความดีงามคอยแต่เคาะโลงให้กัน ตายเลยจมเลยนะ แล้วก็ไปนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา ส่งไปสวรรค์หมดไม่ยากอะไรเลย ไม่ต้องขวนขวายหาความดีทั้งหลาย สร้างแต่บาปหาบแต่กรรมแล้วไปสวรรค์เลยด้วยการเคาะโลงโป๊กๆ ด้วยพระมา กุสลา ธมฺมา ขึ้นสวรรค์นิพพานกันหมด ใช้ไม่ได้นะ อย่าไปตื่นเงาอย่าไปหลง ให้สร้างความดีซึ่งมีอยู่กับตัวของผู้สร้างทุกคน ถ้าไม่สร้างไม่มี สร้างบาปถึงจะมีบาป สร้างบุญถึงจะมีบุญ อยู่เฉยๆ บาปเกิดไม่ได้ อยู่เฉยๆ บุญเกิดไม่ได้ ต้องสร้างขึ้นมาทั้งบาปทั้งบุญ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ละนะ พอสมควร
(การ์ตูนเขาเอามาให้ว่า ที่นายกฯไปพูดว่าจังหวัดไหนเลือกไทยรักไทย ก็มีสิทธิ์ได้รับการดูแลเป็นพิเศษก่อน จังหวัดไหนไม่ได้เลือกก็ต้องคอยไป แล้วทางนี้เขาก็เลยการ์ตูนมาล้อว่า ฟังไว้หนุ่มๆ นี่คือตัวอย่างการแบ่งแยกดินแดนแบบคลาสสิก ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ ไม่เปลืองกระสุน ได้แผลบาดลึกไปถึงหัวใจชาวบ้าน) ถ้าให้เราตัดสินก็จะว่า ถ้าจังหวัดใดเลือกไทยรักไทย ก็มีสิทธิ์ได้รับการดูแลเป็นพิเศษก่อน จังหวัดไหนที่ไม่ได้เลือกก็ต้องคอยไป นี่นายกฯคนนี้มันจะเป็นบ้าเอานะนี่นะ นายกฯทักษิณนี้เป็นลูกศิษย์ของหลวงตาบัว เราไม่ได้สอนให้ลูกศิษย์เราเป็นบ้า ทำไมนายกฯเราจึงไปเป็นบ้าอย่างนี้ ถ้าใครเลือกไทยรักไทยแล้วจะได้รับอะไรก่อน ใครไม่เลือกไทยรักไทยเขี่ยลงทะเล นั่นเข้าใจไหม นี่นายกฯเรามันจะเป็นบ้าเอานะนี่น่ะ พูดชัดๆ เราเป็นอาจารย์ของนายกฯนี่นะ
ทำไมจึงพูดไปอย่างนั้นนายกฯ ตั้งแต่เด็กมันก็ฟังไม่ได้ นายกฯเป็นผู้นำของชาติไทยทำไมจะมาพูดอย่างนี้ได้ นี้การแบ่งการแยก การทำลายคนทั้งชาติ ไม่ใช่ธรรมดา เราจึงไม่เห็นด้วย ให้แก้ไขเสียใหม่นายกฯเราคุณทักษิณ ชินวัตร ให้แก้ไขเสียใหม่ ความคิดเช่นนี้ฟังไม่ได้เลย คนทั้งประเทศเขาฟังไม่ได้ เราเป็นบ้าแต่คนเดียวคือนายกฯ ว่าเป็นผู้นำของชาตินำยังไงนำแบบนี้ นำแบบเห็นแก่ตัวเกินไป เอาเท่านั้นละลูกศิษย์กับอาจารย์สอนกันต้องสอนหนักๆ อย่างนี้ เข้าใจไหม
นี่รูปอะไรอีก (เขาบอกว่า เขาวาดเป็นถังระเบิดวางเอาไว้ในนี้ อันนี้เป็นผู้ชายก็คงจะหมายถึงนายกฯ บอกว่าภัยของคนภาคใต้ นี่ระเบิด เดินมาระเบิดขึ้นก็เป็นภัย อันนี้บอก ภัยของคนชื่อใต้ ชื่อใต้ก็ชื่อทักษิณ นี่จับระเบิดไว้เลย) เอ้อ เข้าท่า เขามีการ์ตูนมาประกอบด้วย อันนี้เราไม่ค่อยแปลได้อะไรนัก เราแปลได้ตั้งแต่ที่ว่า ใครเลือกไทยรักไทยเราแปลได้ทันทีอันนี้ อันนี้แปลไม่ค่อยได้ แปลว่าไงไม่รู้ โถ มันน่าว่าก็ว่าซิ ทำไมพูดอย่างนั้นได้เราเป็นนายกฯ เอียงโน้นเอียงนี้ใช้ไม่ได้ ผิด นี่ละหลักธรรมพูดอย่างนี้ตรงกลางไปเลย ไม่ได้เข้าใครออกใคร ใครผิดใครถูกบอกว่าผิดว่าถูกตามนั้นเลยทีเดียว ที่ไปพูดเช่นนี้ใช้ไม่ได้เลย เอาละให้พรนะ ให้พรละทีนี่ หมดแล้วนะ หรือมีอะไรอีก
เลือกไหนล่ะเลือกไทยรักไทยเหรอ ถ้าเลือกไทยรักไทยจะรับเป็นพิเศษอันนี้ เอ้ามันก็ต้องอย่างนั้นซิ มันบ้าเอาเหลือเกินทักษิณ ชินวัตร ลูกศิษย์ของเรานี่ละ มันทำไมบ้าขายตัวต่อประชาชนทั้งประเทศ ฟังไม่ได้นะ เป็นลูกศิษย์พระด้วย แล้วลูกศิษย์หลวงตาบัวด้วย แล้วไปขายตัวหลวงตาบัวที่เป็นอาจารย์ไปด้วย กับลูกศิษย์ไปด้วยกันจมเลยเข้าใจไหม คุณทักษิณลูกศิษย์หลวงตาบัวกับหลวงตาบัวไปด้วยกัน ตกทะเลเลยใช้ไม่ได้ ถ้าอยากจะขึ้นทะเลให้พลิกเสียใหม่ ทักษิณพลิก หลวงตาสั่งให้พลิก ไม่อย่างนั้นมันจะจมไปด้วยกัน เอาละพอ นี่ฝ่ายไหน ฝ่ายไทยรักไทยเหรอ จะรับเป็นพิเศษ โถ้ มันพูดฟังไม่ได้เลย เราเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้มาพูดอย่างนี้ฟังไม่ได้ แต่เด็กเขาก็ฟังไม่ได้ ทำไมมาพูดอย่างนี้ นี่ความเห็นแก่ตัวจนลืมชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไปแล้ว เห็นแก่ตัวเหยียบทั้งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไปในตัว กระเทือนไปหมด ทั้งสามพระองค์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คำพูดเช่นนี้ไม่ดีเลย แบ่งแยกไปหมด ให้คนแตกแยกกัน เอาละให้พร เอาละเท่านี้พอ
ฟังซิเท่านี้พอเข้าใจหรือเปล่าพวกนี้ เราจะอธิบายสรุปความ เทศน์มามากๆ แล้วทีนี้เอาละ เอาละๆ เท่านี้พอ ทีนี้เราจะยกนิทานให้ฟัง ฟังให้ดี เปิดหูให้ดี ฟัง เอ้อเปิดไขหูออก มันชื่อไอ้ปึ๊ดกับไอ้ปุ๊ด เขาอยู่วัดสระปทุม ท่านอาจารย์มหาทองสุกท่านมาเล่าให้ฟัง ท่านเล่าเรียบๆ นะ แต่เราผู้ฟังมันไม่เรียบมันคึกคักขึ้นเลย เรามันนิสัยลิง นิสัยท่านอาจารย์มหาทองสุกท่านนิสัยสุภาพ นิสัยสุภาพมาเล่าให้ลิงฟัง ลิงมันก็คึกคักละซิ เอาละๆ เท่านี้พอขึ้นเลย คือนายปึ๊ดกับนายปุ๊ดมันไปเที่ยว มันอยู่วัดสระทุมนั่นละ ทีนี้เวลาขากลับมามันปวดขี้ละซิ มองที่ไหนก็ไม่มีที่ไหน เห็นแต่สามล้อวิ่งมานี้ เรียกสามล้อมานี่ๆ สามล้อเขาก็ปุ๊บเพราะเขาหาเงินใช่ไหม มานี้ก็ขึ้นปุ๊บเลย
พอขึ้นปุ๊บมันปวดขี้มันกำลังจะตาย พอสามล้อเคลื่อนนี้ก็เปิดถังออกมาขี้ใส่ถังสามล้อเขา พอขี้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ เอาละๆ เท่านี้พอ คือมันขี้สุดแล้ว เอาละๆ เท่านี้พอจ่ายเงินเขาไป ไอ้นั้นมันล้างรถสามปีมันจะเสร็จหรือไม่เสร็จ เอาละเท่านี้พอ เข้าใจไหมล่ะ นี่ละไอ้ปึ๊ดกับปุ๊ดไปขี้ใส่รถสามล้อเขา พอรถเขาไปมันเปิดรถออกมาขี้ใส่ถังรถสามล้อเขา พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอาละๆ เท่านี้พอ มันก็จ่ายเงินให้เขาแล้วมันก็ไป ไอ้นั้นล้างรถอยู่สามวันน่าจะไม่เสร็จ เอาละๆ เท่านี้พอ เข้าใจหรือที่นี่ ให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|