เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
ถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วทำความชั่วไม่ลง
ก่อนจังหัน
วันเสาร์ วันอาทิตย์ วันพระวันโกน เป็นวันว่างสำหรับอบรมศีลธรรม ในศาสนาของเราๆ หรือของใครเขาก็บำเพ็ญของเขา คือศาสนาเราวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ ส่วนเสาร์อาทิตย์เป็นศาสนาอื่นก็เป็นวันว่างของพุทธศาสนาเราเช่นเดียวกัน เอาวันว่างมาบำเพ็ญความดีงามทั้งหลาย ไอ้วันวุ่นมันวุ่นทั่วโลกทั่วสงสาร อย่างที่เขาดิ้นกันเราพูดจริงๆ สลดสังเวชจริงๆ นะดูโลกกำลังหมุนติ้วเป็นบ้ากันด้วยลาภด้วยยศ ด้วยความสรรเสริญเยินยออะไรๆ มีแต่ลมๆ แล้งๆ เอาไฟเผาหัวอกตลอดเวลา ดิ้นเท่าไรยิ่งร้อนๆ ให้ไปนั่งอยู่กองสมบัติเงินทอง ก็ไปเป็นไฟเผาอยู่ในกองสมบัติเงินทองแหละ นี่ละกิเลสพาหาความสุข จะมีแต่ฟืนแต่ไฟ ถ้าธรรมพาหาความสุขแล้วเย็นนะ เย็นที่สุดเลย
ธรรมมีในใจลบล้างหมดบรรดาสิ่งทั้งหลายที่โลกปรารถนาและดีดดิ้นกัน ธรรมเข้าสู่ใจเท่าไรลบล้างหมดเลย นั่นละธรรมเลิศหรือไม่เลิศ ให้พากันเสาะแสวงหานะ เราพูดแบบชาวพุทธ ลูกศิษย์กับอาจารย์ พูดอย่างตรงไปตรงมา ที่จะพูดแบบอ้อมค้อมเหมือนกิเลสเหมือนโลกเขาพูดทั่วๆ ไปนั้นพูดไม่ได้ ภาษาธรรมตรงเป๋งๆ เลย ภาษากิเลสนี้อ้อมแอ้มๆ เลียแข้งเลียขากัน ยกยอสรรเสริญเท่านั้นก็เป็นบ้าไปเลย นั่นเห็นไหมกิเลสยอกิเลส แล้วกิเลสก็เป็นบ้าไป ธรรมท่านไม่เป็น ท่านไม่ตื่นโลก ท่านจึงทรงความสุขไว้ทั้งๆ ที่โลกนี้ยุ่งเหยิงวุ่นวายที่สุด หาความสุขไม่ได้ภายในใจ แต่ธรรมที่บำเพ็ญลงไปภายในใจนี้เย็นตลอดๆ
ยกตัวอย่างเช่นพระท่านอยู่ในป่าในเขา นั่นละท่านครองอรรถครองธรรม มรรคผลนิพพานเต็มหัวใจท่าน ท่านสบายไปหมด ท่านไม่มีอะไรละมีแต่บริขาร ๘ อยู่ในป่า แต่ความสุขเต็มหัวใจๆ อยู่ในท่ามกลางโลกที่วุ่นวายที่สุด ในท่ามกลางสมบัติมากๆ นั้นแหละทุกข์มากที่สุด นี่เอาธรรมมาเปิดให้ท่านทั้งหลายฟัง ให้รู้ว่าคำว่าธรรมเป็นยังไง มันมีแต่ความดีดความดิ้นเต็มโลกเต็มสงสาร ธรรมที่จะมาชะล้างสิ่งสกปรกโสมมอันเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้หัวใจนั้นไม่มีนะ แล้วจะไปหาความสุขจากที่ไหน หาความสุขจากสมบัติเงินทองข้าวของ นี้เป็นเรื่องของธาตุของขันธ์ เพียงอาศัยไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น ความสุขอันแท้จริงจิตไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้นะ
นามธรรม บาปและบุญนั่นละเป็นคู่กันกับจิต จิตเข้าสนิทได้ทั้งบาปทั้งบุญ ใครสร้างบาปก็ติดอยู่กับหัวใจคนนั้น ใครสร้างบุญก็ติดอยู่ในหัวใจคนนี้ อันนี้ละที่จะพาไปดีไปชั่ว ใครชอบสร้างบาปมากๆ คนนั้นก็เรียกว่าเหมานรกอเวจีตลอด ใครสร้างคุณงามความดีบุญกุศลมากๆ มีการให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ผู้นั้นเรียกว่าสั่งสมความดีเข้าสู่ใจๆ ท่านทั้งหลายเกิดมาพบพุทธศาสนานี้เป็นของเล่นเมื่อไร เป็นเรื่องที่เลิศเลอที่สุดพุทธศาสนา เราพูดตรงๆ พุทธศาสนาเป็นพ่อเป็นแม่ของเรา เรารักเราเทิดทูนพ่อแม่ของเรา ส่วนพ่อแม่ของใครๆ ใครก็รักของใครนั้นแหละ แต่ชาวพุทธเรารักพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ให้ปฏิบัติตาม ไม่ผิดหวัง
ใครปฏิบัติตามยิ่งเข้าทางจิตตภาวนานั้นแหละจะได้เห็นชัดเจน องค์ศาสดาอยู่ที่ตรงนั้น พอจิตสว่างจ้าขึ้นมาเท่านี้ก็แสดงให้เห็นแล้วรัศมีถึงกันกับพระพุทธเจ้าแล้ว ฟาดเสียจิตให้หลุดพ้นจ้าเท่านั้น พระพุทธเจ้าครอบโลกธาตุไปหมดเลย นี่ละความดีงาม อย่าพากันเที่ยวเตร็ดเตร่เร่ร่อน วันว่างวันเสาร์วันอาทิตย์เที่ยวเพ่นพ่านๆ สนุกสนาน อารมณ์คิดนั้นคิดนี้ ไปเที่ยวดูนั้นดูนี้ ได้ความสุขเพียงดูนั้นดูนี้ ชมนั้นชมนี้ หัวใจแห้งผากนี่ซิสำคัญ
ให้ท่านทั้งหลายลองไปภาวนาดูสักหน่อยนะ ท่านทั้งหลายจะเห็นความอัศจรรย์ของพุทธศาสนา จะจ้าขึ้นที่ใจ พอจ้าขึ้นนี้แล้วสิ่งทั้งหลายในโลกธาตุนี้หมดความหมายทันที เพราะอันนี้มีอำนาจ มีคุณภาพมากเกินกว่าเราจะไปยึดไปเกาะเหล่านั้น เหล่านี้อาศัยเป็นวันๆ เท่านั้นนะ ถึงเวลาของธาตุของขันธ์แล้วก็พังๆ ธาตุขันธ์เราไม่พัง สิ่งทั้งหลายที่อาศัยก็พัง อยู่ด้วยกันด้วยความเสี่ยงทายนะไม่ได้จริงจังอะไร ถ้าจิตกับธรรมความดีงามเข้าสู่ใจแล้วแน่ๆ ตลอดเวลา ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้นะ
เราจวนจะตายเท่าไร ยิ่งเป็นห่วงเป็นใยกับพี่น้องลูกหลานทั้งหลายมากทีเดียว แทนที่จะมาห่วงเราเราบอกตรงๆ เลยว่าเราไม่มี เราพอทุกอย่างแล้วจากการบำเพ็ญคุณงามความดีในแดนพุทธศาสนาของเรา ถึงขั้นพอแล้วด้วยความเลิศเลอ จึงได้นำมาสั่งสอนท่านทั้งหลาย ไอ้เรื่องหมาอมขี้ ปากอมขี้มันก็เห่าว้อกๆ ให้มันเห่าไป ปากอมธรรมคือศาสดาองค์เอก สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นี้ปากท่านอมธรรม พ่นไปที่ไหนเย็นไปหมด ปากอมขี้นี้พ่นไปที่ไหนเหม็นคลุ้งทั่วดินแดน ให้เลือกเอานะที่ว่านี่
นี่ได้ปฏิบัติมาเต็มกำลังความสามารถ จึงได้มาพูดเทศนาว่าการให้พี่น้องทั้งหลายด้วยความประจักษ์หัวใจ และไม่เคยสะทกสะท้าน สามแดนโลกธาตุนี้เราไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งใด ไม่ฝากเป็นฝากตายกับสิ่งใด มีจิตกับธรรมอันเดียวกันนี้เท่านั้นที่เต็มอยู่ในหัวใจ พอแล้วด้วยความเลิศเลอ จำเอานะ พระพุทธเจ้าเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้วสอนโลกไม่ผิดพลาด นอกนั้นคลังกิเลสสอนก็เป็นแบบกิเลสไปเรื่อยๆ ผู้ปฏิบัติตามกิเลสก็เป็นไฟเผากันสืบต่อกันไปเรื่อยๆ ให้พากันจำ
พระก็ให้ตั้งใจปฏิบัติ ให้เอาจริงเอาจัง เคยพูดเสมอสติเป็นสำคัญ ตั้งให้ดีตั้งสติ ถ้าสติดีแล้วพื้นฐานของจิตใจนี้จะมีขึ้นโดยไม่ต้องสงสัย สตินี้ตั้งแต่พื้นถึงวิมุตติหลุดพ้น พ้นจากสติไปไม่ได้เลย ให้จำให้ดี อย่าเร่ๆ ร่อนๆ พระเรานี้เลวมากเดี๋ยวนี้ ขั้นเลวมากพระเรา แทนที่จะนำบรรดาประชาชนทั้งหลายให้เป็นที่ชุ่มเย็นจิตใจ กลับเห็นแล้วสะดุดตาสะดุดใจสลดสังเวชกับความประพฤติของพระเหลวแหลกแหวกแนว เราอย่าให้มีอย่างนั้นนะ ให้ตั้งใจปฏิบัติ เอาละให้พร
หลังจังหัน
(มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต นิมนต์แสดงธรรมวันที่ ๘ ธ.ค.พ.ศ.๒๕๔๘ เวลา ๑๔.๐๐ น.ถึง ๑๖.๐๐ น.หรือตามแต่ที่หลวงตาเห็นสมควร ณ หอพระมหาวิทยาลัย ศูนย์รังสิต) ตามธรรมดาเราไปสวนแสงธรรม ไปกรุงเทพในระยะนี้ต้องวันที่ ๑๐ ธ.ค. ล่วงไปแล้ว อันนี้เขามีงานวันที่ ๘ ตกลงเราก็ย่นเข้ามา จะไปกรุงเทพวันที่ ๗ วันที่ ๘ ก็ไปเทศน์ที่นั่น ย่นเข้ามาเป็นต้นเดือนไปแล้ว จะเป็นครั้งที่สองละมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่รังสิต ที่ท่าพระจันทร์ก็เคยไปเทศน์แล้ว ที่ไหนหมดประเทศไทยนี่ หลวงตาเทศน์เกี่ยวกับเรื่องการช่วยชาตินั่นเอง จึงไปหมดเลย
อันดับหนึ่งก็คือสนามหลวง สนามหลวงนี้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พร้อมหมดเลย ชาติก็นายกรัฐมนตรีพร้อมกับรัฐมนตรีมาฟังเทศน์วันนั้น ศาสนาก็พระเป็นพันเต็ม พระมหากษัตริย์ก็ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์เสด็จมา พอพูดเรื่องนี้ก็ นี่ท่านจะถวายทองคำนะ ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ถวายทองคำอยู่เรื่อยๆ พอเทศน์จบลงแล้ว คือธรรมดาที่ประทับท่านจะประทับชั่วระยะ พอเราขึ้นธรรมาสน์ปั๊บท่านจะเสด็จปุ๊บมานั่งนี้เลย เป็นอย่างนั้นทุกแห่งนะ ปั๊บมานั่งข้างธรรมาสน์
วันนั้นก็เหมือนกัน เราใช้เวลาเทศน์ชั่วโมง ๒๓ นาทีเราไม่ลืมนะ ตั้งแต่เริ่มเทศน์ มันจะเป็นนิสัยเป็นอะไรไม่ทราบ พอเริ่มขึ้นแล้วจะติดต่อเรื่อยไปเลยไม่มีหยุด หยุดแต่หายใจๆ ไม่ว่าเทศน์ที่ไหนเหมือนกันหมด เราเป็นอย่างนั้น เทศน์ถึงชั่วโมง ๒๓ นาที พอจบลงเรียบร้อยแล้วฟ้าหญิงนิมนต์ลงไปรับ ท่านจะถวายทองคำถวายอะไรอีก เราก็ลงไป เราก็รับเฉพาะที่ควรรับ ส่วนทองคำก็อยู่นั้นละ เราก็เลยถาม เป็นยังไงล่ะฟังเทศน์ หูย วันนี้อัศจรรย์มาก ว่างั้นนะ พอเทศน์ไปๆ นี้จิตมันหดเข้ามา เทศน์เหมือนว่ากล่อมลงไป ลงแน่วเลย จนกายไม่รู้สึกเลย นั่นฟังซิท่านฟัง รู้สึกว่าอัศจรรย์อยู่ภายใน เทศน์จบลงแล้วยังอยากจะฟังต่อไปอีก ผู้เทศน์จะตายไม่เห็นพูดนะ ว่าเทศน์จบลงแล้วยังอยากจะฟังต่อไปอีก มันรื่นเริงเหลือเกิน และอัศจรรย์เวลาเทศน์ คราวนี้ได้รับความอัศจรรย์มาก ท่านว่า เวลาท่านพูดโดยเฉพาะนะ
เพราะฉะนั้นเราไปเทศน์ที่ไหนท่านจะปั๊บเข้ามาข้างๆ เลย เบื้องต้นเราถามว่าเป็นยังไงล่ะฟังเทศน์ โอ๋ ท่านพ่อเทศน์ดีมีตลกด้วย ครั้นต่อมานี้คำว่าตลกไม่มี ทั้งๆ มันก็มีอยู่งั้นแหละ เทศน์สนามหลวงสุดท้ายก็มีจนได้ ให้ศีลให้พรในสิ่งที่ควร แต่ขอบิณฑบาตอันหนึ่งว่าอย่าไปหาหลายเมียนะ ตีเข้าไปตรงนี้ จบตรงนั้นแหละ มันมีอยู่จนได้นั่นแหละไม่มากก็น้อย เสือต้องไม่ทิ้งลายว่างั้นเถอะ ที่สนามหลวงก็เอาสุดท้ายตรงนั้น ขอบิณฑบาต อย่าไปหาหลายเมีย ใส่เข้าไป
เรียกว่าเทศน์หมดแหละประเทศไทยเรา หมดเลย สนามหลวงเป็นอันดับหนึ่ง อันนี้ใช้เวลาชั่วโมง ๒๓ นาที นอกนั้นก็อยู่ในย่าน ๒๒ ลงมา อย่างเทศน์กทม. เทศน์สองสามแห่งกทม. ชั่วโมง ๑๕ นาที ๑๒ นาที กทม.เทศน์ถึงสามหน ที่จตุจักร สวนลุม แล้วที่ไหนอีกนะสามหน (สวนจตุจักร ๒ ครั้ง สวนลุม ๑ ครั้ง สนามหลวง ๑ ครั้ง รวมแล้ว ๔ ครั้งครับ) นั่นเป็น ๔ ครั้ง
เรื่องเทศน์นี่มีหลายประเภท ถ้าเทศน์เป็นแกงหม้อใหญ่ก็ไปธรรมดาไม่สูง ให้ได้ประโยชน์ทั่วถึงกัน แกงหม้อใหญ่ เทศน์แต่ ก.ไก่ ก.กาไปเรื่อยถึงประถม มัธยมยังไม่ถึง ก.ไก่ ก.กาไปถึงประถมนี้คือแกงหม้อใหญ่ พอมัธยมนั่นละเริ่มเป็นแกงหม้อเล็กไปแล้ว แกงหม้อเล็กแกงหม้อจิ๋วอันนี้สูง ธรรมะประเภทแกงหม้อเล็กไปนี้ การเทศน์เนื้ออรรถเนื้อธรรมจะไม่เหมือนกัน และการเร่งธรรมะก็เหมือนกัน สำนวนการเทศนาว่าการนี้จะเข้มข้นไปตามๆ กันหมดเลย ถ้าเป็นแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วนี้พุ่งเลยเชียว ถ้าเป็นแกงหม้อใหญ่ไม่ทราบจะตีที่ไหนบ้าง ถ้าจะตีแรงมันมีเด็กอยู่ข้างๆ จะตีแรงไม่ได้เด็กจะเจ็บ แล้วมีผู้เฒ่าอยู่ข้างๆ ตีแรงผู้เฒ่าจะเจ็บ ถ้ามีตั้งแต่ตัวสำคัญนี้ฟาดมันทั้งสองมือเลยตีเข้าใจไหม
มีหลายประเภทการเทศน์ ถ้าเป็นแกงหม้อเล็กนี้อย่างเทศน์บนศาลา เทศน์สอนพระล้วนๆ นี้มีแต่ธรรมะที่พุ่งเลยเชียว ถึงขนาดที่เทศน์นี้เป็นปืนกลเลย ลมหายใจจะหมดเนื้อธรรมยังไม่หมด ลมหายใจจะหมด สูบลมหายใจดังฟิ้วเลยเชียวนะ ฟิ้วพุ่ง พุ่งเลย ฟิ้วๆ นั่นละฟังซิท่านทั้งหลายฟังธรรมของพระพุทธเจ้า เอาออกมาจากนี้เลยนะการเทศนาว่าการ ธรรมสูงเท่าไรมันยิ่งพุ่งๆ เลย เวลามาเปิดเทปฟัง เจ้าของฟังเองแล้ว โถ ขนาดเชียวนะ มันได้ยินสูบลมหายใจในเทปดังฟิ้วๆ คือมันไม่ทันใจ ธรรมะเนื้อธรรมยังไม่หมดลมหายใจหมดแล้วรีบสูบให้ทันกัน พุ่งๆ
ความจำมันไม่เหมือนทุกวันนี้ ความจำมันติดกันตลอดไม่ขาดวรรคขาดตอน สืบเนื่องกันไปเรื่อยๆ ความจำก็ดีอยู่ แต่ทุกวันนี้ไม่ได้ ทั้งเทศน์ไปทั้งตกหายไปเรื่อย ตั้งใหม่ไปเรื่อย เลยไม่ได้เรื่องนะเดี๋ยวนี้ เป็นอย่างนั้นละ นี่ละธรรมฟังให้ดี ธรรมภาคความจำกับธรรมภาคปฏิบัติผิดกันมากทีเดียว ภาคความจำเราก็เรียนมาแล้วจนเป็นมหา นี่ประเภทความจำทั้งนั้นแหละ เรียกว่าความจำ จำตามคัมภีร์ใบลานจำมาๆ เป็นภาคความจำ ถ้าพูดถึงชั้นก็นักธรรมตรี โท เอก เปรียญถึง ๙ ประโยค มีแต่ภาคความจำล้วนๆ จำไว้ๆ ธรรมะนี้เป็นประเภทความจำ แต่ไม่ปรากฏว่าถอดถอนกิเลส ถ้ามีแต่เรื่องความจำล้วนๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าเรียนเพื่อปฏิบัติมีประโยชน์แทรกกันไปด้วย พอออกปฏิบัตแล้วก็เอาเต็มเหนี่ยวละ
ทีนี้ธรรมะภาคปฏิบัตินี้พอเกิดขึ้นมานี้แน่นอนๆ ไม่ลูบไม่คลำ คือภาคปริยัตินี้เรียนไปๆ ฟาดจนกระทั่งถึงนิพพาน มันยังไปตั้งเวทีต่อสู้กับนิพพานจนได้ เอ๊ นิพพานมีจริงๆ เหรอ นั่นเห็นไหมละ นี่ละความจำ มันไม่ได้สิ้นสงสัยนะ เรียนไปมากน้อยเท่าไรความสงสัยคืบคลานไปตามๆ กัน เราเองเรียนมา ทั้งๆ ที่เราเชื่อต่อมรรคผลนิพพานเต็มหัวใจของปุถุชนนั่นแหละ แต่ความสงสัยมันก็ไปแบ่งกินๆ อยู่ในนั้น จนกระทั่งได้ออกมาปฏิบัติแล้วถึงขนาดที่พูดว่า ถ้าท่านผู้ใดมาแนะนำสั่งสอนเราให้เป็นที่แน่ใจว่ามรรคผลนิพพานมีอยู่อย่างนี้ เราจะมอบกายถวายตัวต่อท่านผู้นั้น เอาชีวิตแลกเลย และการปฏิบัติของเรานี้จะพุ่งเลย ไม่มีอะไรสงสัย นี่เราคิดไว้
เพราะฉะนั้นเวลาออกจากนั้นมาก็เข้าหาหลวงปู่มั่นเลย พอเข้าหาท่านเรียกว่าเรดาร์ท่านจับไว้แล้ว พอขึ้นไปก็ผางออกมาเลย หือ ท่านมาหาอะไรเลยทันทีนะ ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศ ไม่ใช่กิเลสไม่ใช่มรรคผลนิพพาน นั่นปัดออกหมด ทั่วแดนโลกธาตุนี้ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ธรรมแท้กิเลสแท้อยู่ที่ใจ นั่นท่านลงที่นี่ ให้หมุนเข้ามาที่ใจซึ่งเป็นที่รวมแห่งมหาเหตุทั้งหลาย อยู่ที่ใจลงที่ใจท่านว่า ท่านซัดลงที่นี่ ทีนี้พอลงถึงที่ใจแล้วก็พุ่งเลย เทศน์เรื่องจิตตภาวนาให้เอาลงที่นี่เราไม่ลืม ไปทีแรกด้วย โอ๋ย จำได้ทุกกิทุกกีเลยท่านว่าอะไร จนเป็นที่ลงใจในกัณฑ์นั้นเลยทีเดียว กัณฑ์เทศน์เรื่องมรรคผลนิพพาน
ท่านไปหาที่ไหน ไปหาอะไรต้นไม้ภูเขามันก็ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน เวลาไล่เข้ามาแล้วกิเลสก็ดี ธรรมหรือมรรคผลนิพพานก็ดีอยู่ที่ใจ ให้ท่านบุกเบิกออกด้วยจิตตภาวนา บุกเบิกกิเลสตัณหาที่มันครอบหัวใจอยู่ให้มืดมิดปิดตาอยู่นั้นออก ด้วยจิตตภาวนา ท่านเอาหนักนะตรงนี้ เพราะท่านเห็นว่าเรานี้มุ่งมั่นอย่างเต็มที่แล้ว มีสงสัยแต่ผู้จะชี้แนวทางให้เป็นที่แน่ใจเท่านั้นมันก็จะลงตูมเลยพูดง่ายๆ พอไปถึงท่านก็แบบลงตูมเลย หายสงสัยเรื่องมรรคผลนิพพานที่นี่
เอาละที่นี่พอเดินออกจากท่านลงไปยังไม่ถึงกุฏิเลย ถามเจ้าของตั้งปัญหาขึ้นแล้ว ทีนี้ฟังธรรมะนี้อย่างถึงใจแล้วทีนี้หายสงสัยทุกอย่างแล้ว แล้วบัดนี้ล่ะเราว่ายังไงตัวของเราเองนี้จะจริงไหม ทางนี้รับขึ้นทันทีผาง จริง ไม่จริงต้องตายเท่านั้น นั่นเห็นไหม คือความเชื่อลงถึงขีดแล้วเราจะปฏิบัติเอาให้ถึงมรรคถึงผล ไม่ถึงก็ตายเท่านั้น เพราะฉะนั้นเวลาออกปฏิบัติจึงเป็นอย่างนั้น การปฏิบัติของเราจึงไม่เหมือนใครง่ายๆ มันหากเป็นของมันเอง ตั้งแต่เริ่มออกปฏิบัติไปคนเดียวทั้งนั้นๆ แล้วใครจะมาตำหนิติเตียนตรงไหนในเรื่องการศึกษามานี้เราก็เรียนมาแล้ว พ่อแม่ครูจารย์ท่านก็ไม่มีข้อตำหนิมีแต่ส่งเลย เอา ถ้าว่าไปองค์เดียวให้ไปองค์เดียวเลยทันที องค์อื่นไม่ได้นะ ถ้าไปองค์เดียวไปทำไหม นั่น แม้แต่สององค์ ไปหาอะไร นั่นเป็นอย่างนั้นนะ สำหรับเรานี้ทุกครั้งเลย จะไปที่ไหน ไปทางนู้นๆ ละ เอ้อ ดีท่านว่า แล้วจะไปกี่องค์ ว่าไปองค์เดียวขึ้นทันทีเลยนะ
พอว่าไปองค์เดียวนี้กิริยาอาการทุกอย่างขึ้นทันที เอ้อ ท่านมหาต้องไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะส่ายมือไปตามพระที่นั่ง ใครอย่าไปรบกวนท่านนะให้ท่านไปองค์เดียว เปรี้ยงๆ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติของเราจึงถนัดตามนิสัยวาสนาน้อยหรือนิสัยหยาบ ไปกับใครไม่ได้ มันเป็นเหมือนน้ำไหลบ่า ถ้าไปสองความรับผิดชอบกันด้วยสัญชาตญาณมันก็มี เป็นน้ำไหลบ่าออกไปแล้ว ๒-๓ ยิ่งไม่เป็นท่าเลยสำหรับเราเองนะ ถ้าไปคนเดียวนี้มอบหมด ชีวิตจิตใจความเป็นตายอยู่กับเราคนเดียวเป็นผู้รับผิดชอบตนโดยเฉพาะ จากนั้นก็เอาละ ไปคนเดียวๆ เดินจงกรมไปเลย จะไปภูเขาลูกนั้นเดินจงกรมไปตลอด จะไปหมู่บ้านนั้นหมู่บ้านนี้การไปตามทางเดินจงกรมไปตลอด ความพากเพียรไม่ละไม่ถอนเลย
นี่ละการปฏิบัติธรรมทางภาคปฏิบัติ การปฏิบัติปฏิบัติอย่างนั้น ทีนี้เวลาธรรมได้ปรากฏขึ้นภายในใจ พอปรากฏขึ้นจุดไหนๆ ที่ปรากฏขึ้นในใจแน่นอนๆ ไม่เหมือนปริยัตินะ ปริยัติเรียนไปเท่าไรความสงสัยคืบคลานไปตามๆ กันตลอด พอภาคปฏิบัตินี้รู้ขึ้นตรงไหนแน่นอนๆ ฝังลึกๆ ไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ความสงบก็เป็นที่แน่ใจ สงบเป็นสมาธิแน่ใจ ทางด้านปัญญาด้วยแล้วยิ่งพุ่งๆ ยิ่งแน่ใจ จนกระทั่งถึงที่สุดในหัวใจเราสุดไม่มีอะไรเลย อันนั้นทีนี้จ้าหายสงสัยหมด พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนไม่ถามเลย รวมเป็นอันเดียวกันเป็นน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงอันเดียวกัน
เมื่อเข้าไปแล้วนั้น แม่น้ำจะไหลมาจากสายใดก็ตามรวมลงๆ ตอนที่ยังไม่ถึงมหาสมุทรก็เรียกแม่น้ำสายนั้นสายนี้ไหลมา พอถึงมหาสมุทรแล้วเป็นน้ำมหาสมุทรอันเดียวกันหมดเลย ทีนี้จิตผู้ดำเนินก็คือผู้สร้างบารมีทั้งหลาย ซึ่งเป็นเหมือนกับน้ำหลายสาย ผู้นั้นมาๆ ระยะใกล้ระยะไกลหนุนเข้ามาด้วยการสร้างบารมี สร้างบารมีก็คือการทำบุญให้ทาน รักษาศีล ภาวนานั้นแหละ ค่อยหนุนเข้าไปๆ ใกล้เข้าไปๆ พอไปถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานแล้ว เป็นเหมือนกับน้ำสายต่างๆ ที่ไหลเข้ามาสู่มหาสมุทร เรียกว่ามหาสมุทรด้วยกันหมด ทีนี้จิตพอเข้าถึงวิมุตติหลุดพ้นแล้ว เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานเหมือนกันหมดเลย นั่นเป็นอย่างนั้น
นี่ละภาคปฏิบัติจึงไม่ได้สงสัย แม่นยำๆ ผิดกันผลที่เกิดจากภาคปฏิบัติ ส่วนภาคปริยัติมีแต่ความจำไม่หายสงสัย เรียนไปไหนสงสัยไปนั้นๆ คืบคลานไปตามความสงสัย ทั้งๆ ที่ใจเราก็หนักแน่นต่อมรรคผลนิพพานอยู่แล้ว มันก็ยังไปแบ่งกิน เหอ มรรคผลนิพพานมีจริงๆ เหรอ ถ้ามีจริงแล้วเอาตายเข้าว่าเลย แต่มันลงตรงนี้ไม่ได้ ยังลงไม่ได้ต้องไปหาครูอาจารย์ พอไปถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้วก็ ทีนี้เอาละที่นี่ตูมเลยลง จากนั้นมาชีวิตจิตใจทุ่มใส่มรรคผลนิพพานทั้งหมด ความพากเพียรจึงหนักมากสำหรับเราเอง ไปแต่คนเดียวๆ ไปที่ไหนบ้านหลายหลังคาเรือน ๓ หลัง ๔ หลังละอยู่ ๕-๖ หรือ ๘ หลัง ๙ หลังอยู่ ไปหาอยู่ตามภูเขา
ภูเขาเราอย่าว่าเข้าใจว่ามีแต่ภูเขานะ บ้านคนมีเป็นหย่อมๆ ๔ หลัง ๕ หลังเขาทำไร่ข้าว ไม่พอกินเขาก็ไปเอาทางข้างล่าง พวกทำไร่ทำนาหาอะไรไปเปลี่ยนไปแลกกันมากิน เราไปหาอยู่อย่างนั้นเรื่อย เพราะฉะนั้นการผู้การคนกับเราจึงไม่มี ไม่ว่าผู้คนหญิงชายใดไม่มีเรื่อยตลอดเลย การปฏิบัติรู้เห็นเข้าไปเท่าไรยิ่งแน่ๆ จิตยิ่งหนักแน่นๆ พุ่งเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงสติปัญญาอัตโนมัติ ถึงขั้นละที่นี่นะ พอขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้วเป็นขั้นไม่อยู่ ขั้นที่จะพุ่งโดยถ่ายเดียว เป็นกับตายทะลุโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ขั้นนี้อะไรจะมารั้งไว้ไม่ได้เลย ขาดสะบั้นไปเลย
ขั้นเห็นภัยในกิเลสทั้งหลายวัฏจักรมาก เห็นคุณแห่งความหลุดพ้นทั้งหลายเท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้นความเพียรจึงเป็นอัตโนมัติ คำว่าที่จะเพียรพยายามไม่มี มีแต่รั้งเอาไว้ๆ คือมันเลยเถิดไม่ได้หลับได้นอน กลางคืนก็นอนไม่หลับ กลางวันยังนอนไม่หลับอีกเพราะจิตมันทำงานเพื่อความพ้นทุกข์เป็นอัตโนมัติหมุนไปเรื่อยๆ นี่ละภาคปฏิบัติเวลาเป็นขึ้นภายในใจมันชัดทุกอย่างๆ ทีนี้กระจายออกไปๆ ความรู้ต่อธรรมล้วนๆ เอ้าๆ นี้พุ่งไปนี้ ทีนี้ความรู้ที่สองฟากทางคืออะไร เหมือนเราเดินจะไปอุดร สิ่งสองฟากทางที่เราจะต้องเห็นตามสายทางนี้มันก็มีติดกันไป ข้างนี้เห็นอันนั้นๆๆ เห็นต้นไม้เห็นอะไร เห็นบ้านผู้บ้านคนเห็นท้องไร่ท้องนาเห็นไปเรื่อยตามสายทาง ส่วนจิตอันหนึ่งมันก็พุ่งต่ออุดรฯ
พอไปถึงอุดรฯสิ่งที่พาดพิงมันก็เห็นไปพร้อมๆ กัน ไม่ว่าบาปบุญนรกสวรรค์ นี่ละที่นี่นะมันพาดพิงไปเรื่องนรกเรื่องสวรรค์ มันจะรู้ของมันไปเรื่อยๆ รู้ตรงไหนหายสงสัย ไม่ใช่รู้แบบลูบๆ คลำๆ ดังที่เราทั้งหลายรู้ ที่เรียนจำมาอย่าเข้าใจว่าจะหายสงสัยเรื่องบาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพานนะ ไม่ได้หายสงสัย นู้นเวลาออกปฏิบัติ ที่หายสงสัยก็เพราะมันเห็นจริงๆ นี่จะว่าไง เมื่อเจอแล้วอ๋อๆ เรื่อย พุ่งๆ ใส่จุดใหญ่ จุดเล็กๆ เหล่านั้นๆ กระจายออกไปๆ รู้ไปตามๆ กันหมด นี่ละท่านเห็นอย่างนั้นแล้วท่านจะไปเชื่อใคร คนสามแดนโลกธาตุไม่มีใครรู้อย่างนั้นท่านรู้คนเดียว
เช่นอย่างมองเห็นนี้ ใครจะปฏิเสธได้ว่าอันนี้คืออะไร มันเห็นอยู่นี่ เชื่อความเห็นของเจ้าของ มีสองอันนี้จะว่าอะไร ว่าสองว่าสามก็เห็นอยู่นี้ ทีนี้เวลามันประจักษ์ในใจจากภาคปฏิบัติแล้วเป็นแบบเดียวกัน มันเห็นพวกเปรตพวกผีพวกอะไรๆ ที่ท่านแสดงไว้ในคัมภีร์เข้ามาจ้าๆ ในหัวใจ หมอบเลยที่นี่ หมอบรับพระพุทธเจ้า ยอมเชื่อเมื่อเห็นอันนี้แล้ว เราเพียงตัวเท่าหนูมันเห็นอย่างนี้ๆ แล้วพระพุทธเจ้าเล่า นั่น ท่านสอนไว้หมดแล้วยอมหมอบกราบราบ นี่ละภาคปฏิบัติไม่ได้เหมือนภาคปริยัตินะ ผิดกันมากทีเดียว เวลารู้ตรงไหนแม่นยำๆ หายสงสัยๆ จนกระทั่งทะลุ ผึงลงไปเลยถึงวิมุตติหลุดพ้นแล้วจ้าไปหมดเลย
แล้วสงสัยอะไร แน่ะ ก็เราเป็นผู้รู้ผู้เห็นเอง ใจเป็นนักรู้ เวลาเปิดออกหมดแล้วมันก็รู้ของมันเต็มสัดเต็มส่วน แต่สำหรับใจที่บริสุทธิ์ได้รู้ได้เห็นสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนโลกนะ โลกที่เรียนมามากน้อยรู้ได้มากน้อยเพียงไร มันมีทิฐิมานะมีความทะนงตนแทรกเข้าไปๆ สำคัญว่าตนเรียนรู้ได้ชั้นนั้นชั้นนี้ไป แล้วก็ทะนงตัวเย่อหยิ่งจองหอง แล้วก็แฉลบเข้าไปทำความชั่ว อาศัยชื่อเสียงนี่ละให้ทำความชั่วได้อย่างลึกลับ เพราะฉะนั้นผู้ที่เรียนมาสูงๆ ถ้าไม่มีธรรมในใจไม่พ้นที่จะเป็นยักษ์เป็นผีกินบ้านกินเมืองว่าให้มันชัดๆ อย่างนี้เลย
อย่างที่เราเคยพูดวงราชการ วงราชการวงไหนก็ตามมียักษ์มีผีกินอยู่ในนั้น กินตับกินปอดประชาชนราษฎร เงินเดือนเขาให้นี้เป็นความบริสุทธิ์ แต่เงินดินนั่นซิ มันอยู่ใต้ดินๆ ใต้โต๊ะเหนือโต๊ะ กินตลอดๆ นี่ละพวกยักษ์พวกผีมันกิน นี่คือไม่มีธรรม เรียนสูงเท่าไรยิ่งกินลึกกินแลบนะ กินทุกสิ่งทุกอย่าง ทีนี้ถ้าธรรมเข้าไปแล้วกินไม่ลงนะ ยกตัวอย่าง เอาเราเป็นเกณฑ์เลย เราช่วยชาติมาได้ ๖-๗ ปีนี้แล้ว บาทหนึ่งเราไม่เคยแตะฟังซิ
คือหัวใจอันนี้พูดให้ชัดเจนว่ามันบริสุทธิ์เต็มส่วน อะไรมลทินจะเข้ามาแย็บเข้ามาผ่านไม่ได้มันปัดของมันเลย ปัดโดยหลักธรรมชาติ ทีนี้ความทุจริตต่อพี่น้องทั้งหลาย ที่เงินได้มามากน้อยนี้ เราจะหยิบไปใช้ยังไงๆ ก็ได้ เพราะเราเป็นผู้รับผิดชอบ ทำไม่ลงนะ จะต้องเป็นไปตามความมุ่งหมายนี้โดยถ่ายเดียว เขามุ่งหมายว่ายังไงเราก็มุ่งหมายว่าอย่างนั้น การแสดงออกก็แสดงออกอย่างนั้น ทีนี้จ่ายไปทางไหนมากน้อยๆ เป็นไปด้วยเหตุด้วยผลล้วนๆ ไปเลย นี่ละเราจึงเชื่อเรื่องธรรม ถ้าลงได้บริสุทธิ์แล้ว ตั้งแต่มีธรรมขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็ดีไปเรื่อยๆ
พอถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วทำความชั่วไม่ลง ความมัวหมองไม่มี แย็บหนึ่งก็ไม่มีความมัวหมอง มันปัดของมันเองปัดเอง จะเอาอันนี้อย่างที่ว่าที่ลับที่แจ้ง หัวใจไม่มีที่ลับที่แจ้ง ควรไม่ควรหัวใจรู้ทันทีๆ ไม่ว่ากลางคืนกลางวัน ผิดถูกชั่วดีรู้ทันทีๆ เลย นตฺถิ โลเก รโห นาม ที่ลับไม่มีในโลก มันอยู่ที่ใจ ใจเป็นผู้ชัดเจนเป็นนักรู้รู้ไปหมด นี่ละที่มาช่วยพี่น้องทั้งหลาย เราจึงพูดได้เต็มปาก ทองคำมีเท่าไรเข้าหมด ส่วนพวกดอลลาร์เงินสดก็เหมือนกัน แบบเดียวกันออกช่วยโลกมาตลอดเวลา สำหรับเราเองเลยกลายเป็นทุคตะเข็ญใจ ทั้งๆ ที่โลกนี้เขาสำคัญมั่นหมายกันทั่วโลกนั่นแหละ ว่าหลวงตาบัวนี้คือเศรษฐีเงิน เป็นมหาเศรษฐีเงินเพราะคนเคารพนับถือมากเขามาให้ แทนที่จะเป็นเศรษฐีเงิน มันกลายเป็นทุคตะเข็ญใจ ติดหนี้ก็มี นั่นเห็นไหม ก็คือไม่เก็บ ความเมตตาสงสารมีกำลังมากกว่าเกินกว่าที่เราจะมาเก็บ การเก็บนี้ไม่มีค่า การให้มีค่ามากกว่า จึงมีแต่ให้ๆ อย่างนั้นเรื่อยไป
นี่ละธรรมถ้ามีอยู่ภายในใจมากน้อย ความดีงามจะมีติดๆ ไปเลย ถ้าบริสุทธิ์เต็มที่แล้วเรียกว่ามลทินไม่มีเลย นี่เราพูดให้ชัดๆ เงินที่พี่น้องทั้งหลายมาบริจาคทุกสัดมุกส่วนเราบอกแม้บาทเดียวเราไม่เคยแตะ ออกเต็มที่ด้วยเหตุด้วยผลทุกอย่างเลย นี่ละธรรมเป็นอย่างนั้น คือเจ้าของรู้อยู่ในเจ้าของจะทำลงได้ยังไง อันนี้ผิด ธรรมชาตินี้ถูกล้วนๆ บริสุทธิ์ล้วนๆ อันนี้ผิดนั่นมัวหมองแล้ว มันปัดของมันเอง ไม่ต้องมีใครมาบอก ปัดเองๆ จะมีแต่ความถูกต้องดีงามเรื่อยพาดำเนิน นี่ละเรื่องธรรม
เราพูดทีแรกเรื่องความจำ เรียนความจำ เรียนไปที่ไหนเรื่องบาป บุญ นรก สวรรค์ไม่หายสงสัย แต่พอภาคปฏิบัติได้รู้ขึ้นมาๆ นี้ ลบออกๆ ที่เคยสงสัยที่ไหนหายไปๆ เราเจอเองๆ ความแน่ใจก็มีขึ้นมาเรื่อยๆ นั่นแหละที่ว่าผลที่เกิดจากปฏิบัตินี้เป็นที่แน่ใจ ไม่ได้ลูบๆ คลำๆ เหมือนภาคปริยัติ ที่นำธรรมมาสอนโลกเวลานี้ ภาคปริยัติเราก็เรียนมา แต่รู้สึกว่าไม่ค่อยไปสนใจนะ เอาเจ้าของเทียบเจ้าของภาคปริยัติ แต่ก่อนที่ธรรมนี้ยังไม่มีภายในใจ การปฏิบัติของเรายังไม่เกิดผลเท่าที่ควรก็อาศัยปริยัติเทศน์กินข้าวต้มขนมเขาไป คือเทศน์เวลาจำเป็นนะไม่ใช่เป็นนักเทศน์
คือไปอยู่ในป่าในเขาหากมีจนได้นั่นแหละ ไปพักข้างบ้านเขาเขามีงานในวัด เขาก็ต้องนิมนต์เราไปเทศน์ บอกว่าเทศน์ไม่เป็น มหานี้ฆ่าเจ้าของนะ บอกว่าเทศน์ไม่เป็น โอ๋ย เป็นถึงขั้นมหาอย่าพูดเลย แน่ะเขาไม่เชื่อนะ ต้องไปเทศน์ให้เขา เอาความจำนั่นละเอามหานั่นละไปเทศน์ เอาข้าวต้มขนมกินในนั่นแล้วจากนั้นโละหมด คือเทศน์ในที่ต่างๆ เขาถวายของมากน้อยไม่เคยสนใจ โละให้วัดนั้นหมด ไปเลยๆ อย่างนี้ เงินก็เหมือนกันนะปัจจัยนี่ไม่เอาทั้งนั้น โละหมดๆ อย่างนี้ตลอดเวลาเราออกภาคปฏิบัติ การเทศนาว่าการนานๆ จะมี ตามความจำเป็นของเขามีได้ เทศน์แล้วโละเลย มอบ เราไม่เคยสนใจกับเงินกับทองอะไรเลย
เป็นเวลา ๙ ปีที่ว่าตกนรกทั้งเป็นนะ ทุกข์มากที่สุด มาจนกระทั่งถึง ๙ ปีเต็มแล้วเรื่องราวทั้งหลายจึงลดฮวบลงหมดเลย ข้อสงสัยมากน้อยลงด้วยกันหมดไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ความจริงสว่างจ้าอยู่ภายในจิตใจเท่านั้น ทีนี้การเทศนาสอนโลกจึงไม่เคยคิดว่าสูงว่าต่ำว่าอะไร ธรรมเหนือกว่าหมดแล้ว ออกไปเทศน์ที่ไหนว่าสังคมนี้เป็นสังคมชั้นสูงชั้นนั้นชั้นนี้ไม่มี ธรรมนี้เหนือหมดแล้วเหนือทุกสิ่ง เทศน์ไปตามหลักความจริง ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูกไปเรื่อยๆ อย่างนั้น จึงเรียกว่าธรรม ถ้ามีอ้อมแอ้มๆ ไม่ใช่ธรรม ไว้ใจไม่ได้ธรรมต้องตรงไปตรงมา อย่างที่เขาว่าเทศน์หยาบเทศน์โลนเทศน์ดุด่าว่ากล่าว เป็นเรื่องของเขา เรื่องของธรรมเป็นเรื่องของธรรม เอาธรรมเป็นประมาณ ไม่เอาโลกเป็นประมาณ ถึงเทศน์ไปอย่างนั้น
ให้พี่น้องทั้งหลายปฏิบัตินะ ธรรมที่เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติคือจิตตภาวนานี้สำคัญมากนะ ปลดเปลื้องได้ทุกอย่าง ความสงสัยสนเท่ห์อะไรลบได้หมด คือธรรมภาคปฏิบัติหายสงสัย ถ้ามีแต่เรียนเฉยๆ ไม่หาย เรียนเท่าไรยิ่งสั่งสมทิฐิมานะเย่อหยิ่งจองหองมากขึ้นๆ นี่กิเลสเข้าแทรกธรรม ที่ว่าเรียนได้มากเท่าไร ก็เลยกลายเป็นเหมือนโลกเขาเรียนมา ได้ชั้นนั้นชั้นนี้ ทิฐิมานะความเย่อหยิ่งจองหองแทรกมาด้วยๆ ทางด้านธรรมะก็เหมือนกันแบบเดียวกัน ถ้าไม่มีใจมุ่งปฏิบัติ ถ้ามีใจมุ่งปฏิบัติแล้วเรียนด้วยปฏิบัติไปด้วยแล้วไม่เป็น จะเป็นธรรมไปเรื่อยๆ พากันเข้าใจนะ
เรื่องความอัศจรรย์ทั้งหลายจะเกิดขึ้นที่ใจของนักภาวนา เราจะได้เห็นพระพุทธเจ้าประจักษ์ใจของเรา เวลาธรรมเกิดขึ้นมากน้อย จะได้เห็นเป็นลำดับ จนกระทั่งจ้าหมดหายสงสัยในพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านั้นพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|