นิพพานอยู่กับสติเป็นพื้นฐาน
วันที่ 10 พฤศจิกายน 2548 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๘

นิพพานอยู่กับสติเป็นพื้นฐาน

 

ก่อนจังหัน

พระเปลี่ยนหน้ามาเรื่อยๆ ต้องได้เข้มงวดกวดขันไม่งั้นไม่ได้นะ มามีแต่เลอะเทอะๆ มาส่วนมากมักจะมอมแมมๆ เข้ามา สกปรก ทั้งๆ ที่ตัวก็หยิ่งอยู่นั้น ภูมิใจว่าสะอาด ผู้สะอาดกว่านั้นยังมี ถึงธรรมขั้นสะอาดสุดก็คือบริสุทธิ์ ธรรมบริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ คือจิตพระพุทธเจ้า จิตพระอรหันต์ นั้นจิตบริสุทธิ์ ธรรมอยู่ในนั้นก็เป็นธรรมบริสุทธิ์ ทีนี้ก็ลดลงมาๆ ความประพฤติก็เป็นเหมือนกัน ความประพฤตินี้เรียกว่าหลักธรรมวินัยสอนไว้ยังไง ปฏิบัติให้ตรงเปรี๊ยะๆ นี่เรียกว่าเป็นผู้ปฏิบัติด้วยความบริสุทธิ์ในธรรมและวินัย ลดลงมาๆ สำหรับผู้ที่มีหิริโอตตัปปะ หรือลดลงมาด้วยความสามารถของตนเพียงพอขนาดไหน มันก็ค่อยเป็นไปในองค์ของผู้ปฏิบัติสำหรับพระเรา

แต่อย่างไรเรื่องความจงใจหรือเจตนาร้ายนี้อย่าให้มีในจิตสำหรับพระเรา ต้องมีเจตนาเป็นอรรถเป็นธรรมตลอด ที่จะให้เป็นไปด้วยเจตนาของกิเลสเข้าแทรกนี้หยาบ พระนี้หยาบมาก หยาบมากคือพระลูกศิษย์ตถาคต ความสะอาดในธรรมในวินัยนี้เป็นสิ่งที่ต้องการและปฏิบัติทุกๆ รายไปสำหรับพระเรา ให้ตั้งใจปฏิบัติ มองดูที่ไหนนี้ แต่ก่อนตาก็ตาอันนี้ ใจก็ใจอันนี้ ก็มองแบบท่านแบบเรา ทีนี้เวลาปฏิบัติธรรมเข้าๆ ผลก็เข้าไปสู่ใจ ใจมีความสงบสุขร่มเย็นทุกอย่าง สง่างามไปโดยลำดับ ส่องแสงออกไป ทีนี้ปิดไม่อยู่ สะอาดสกปรกที่ตรงไหนมองไปมันก็รู้ๆ

เดี๋ยวนี้ชาวพุทธเรามันจะมีแต่กิเลสออกตีตลาดนะ กิเลสคือความสกปรกแห่งความคิดความประพฤติทุกอย่าง ทั้งในตัวเองก็สกปรกด้วยความประพฤติของตัว แล้วกระจายออกไปก็เป็นความสกปรกในการประพฤติต่อผู้อื่น เลยสกปรกเลอะเทอะไปหมด เวลานี้มีแต่กิเลสตีตลาดนะ ธรรมไม่ค่อยมี เราพูดเพียงย่อมๆ ว่าไม่ค่อยมี อยากจะพูดให้เต็มยศว่าไม่มี ว่างั้นเลย เพราะมองไปไหนมีแต่กิเลสออกหน้าทัพๆ เพื่อย่ำยีตีแหลกหัวใจสัตว์โลกผู้โง่เขลาอยู่แล้วนั้นแล ให้โง่เขลาเบาปัญญาสกปรก และสั่งสมฟืนไฟเข้ามาเผาหัวใจตนเองขึ้นเป็นลำดับๆ มักจะมองเห็นแต่อย่างนั้น

ผู้ที่จะสนใจในธรรม นำธรรมมาประดับใจและประดับกายวาจาความประพฤติของตนนี้ไม่ค่อยมี ตั้งแต่พื้นๆ จนถึงผู้ปกครองบ้านเมือง ใหญ่เท่าไรก็ยิ่งสกปรกมาก กิเลสยิ่งตัวใหญ่ตัวเป้งๆ อยู่ที่ผู้มีอำนาจบาตรหลวงใหญ่ๆ นั่นละ อำนาจนั้นเป็นอำนาจของกิเลสเสียมากต่อมาก เมื่อมองดูด้วยสายตาของธรรมแล้วมันเป็นกิเลสเสียมาก ลืมเนื้อลืมตัวไปหมด นี่ละกิเลสออกตีตลาด ในวงราชการงานเมืองต่างๆ มีตั้งแต่กิเลสออกหน้า อำนาจบาตรหลวงก็ป่าๆ เถื่อนๆ ของกิเลสไปเสีย ความโลภเป็นกิเลสล้วนๆ ไปละ เรื่อย อำนาจก็ป่าเถื่อน ความโลภก็ป่าเถื่อน เป็นบ้าอำนาจ เป็นบ้ายศไปเสีย เหล่านี้มีแต่กิเลส ทีนี้จะหาความร่มเย็นมาจากไหนโลก

ถ้าเอาธรรมไปเป็นอำนาจเป็นเครื่องประดับแล้วสวยงามหมด มองดูตั้งแต่ผู้ใหญ่ถึงเด็ก สวยงามทั้งนั้นๆ นี่ละธรรม ธรรมคือความสะอาด ความดีงาม ความคิดใดที่จะเป็นประโยชน์แก่ตนและส่วนรวม ให้คิดให้สั่งสมขึ้นมา อันใดที่เป็นภัยต่อตนและส่วนรวม ความคิดเช่นนั้นให้ปัดออกๆ อย่าติดใจกับมัน พยายามปัดออกๆ แล้วสั่งสมแต่ความดีงาม ออกจากตัวเองแล้วก็ออกสู่สังคมสง่างามไปหมด เป็นผู้ใหญ่เท่าไรอำนาจเรียกว่าพระเดชกับพระคุณ พระเดชอำนาจก็เป็นธรรม พระคุณก็คือความดีงามเต็มในตัวเองแล้วแสดงออก ถ้าเป็นพระเดชก็เป็นคุณเสีย พระคุณก็เป็นคุณอยู่แล้ว ก็สวยงามไปหมด

เวลานี้เลอะเทอะมากนะวงราชการเรา เลอะเทอะจริงๆ ในสายตาของธรรม อดไม่ได้ที่จะไม่ให้รู้ ไม่งั้นพระพุทธเจ้าจะได้ทรงนามว่า โลกวิทู รู้แจ้งโลกเหรอ รู้แจ้งจริงๆ พระพุทธเจ้ารู้แจ้งไม่เหมือนคนมีกิเลสรู้แจ้ง แบบงูๆ ปลาๆ ก็เย่อหยิ่งในเจ้าของว่ารู้ ยิ่งไปเรียนมาจากเมืองนอก เข้ามาแล้ว โอ๋ย โอ่อ่า เอาชื่อเมืองนอกนั้นละที่ไปเรียนมา เช่นอย่างเรียนกฎหมาย เป็นต้น ไปเรียนมาแล้ว กฎหมายเลยเข้ามาแปรสภาพในเมืองไทยเรากลายเป็นกฎหมอย กฎหมา กฎหมัด กดขี่บังคับไปเสีย ไม่ใช่เป็นกฎหมายที่เป็นธรรมจริงๆ อันนี้มีนิดหน่อย ที่พวกแอบแฝง กฎหมายกาฝากนี้มีมาก กาฝากเป็นภัยแก่ตัวเองโดยเจ้าตัวไม่รู้ แล้วก็เป็นภัยต่อผู้อื่น

ตั้งกฎเกณฑ์อะไรไม่พ้นที่จะมาเข้าตัวๆ ตั้งกฎอันใดขึ้นมาก็เพื่อตัวเองเป็นอันดับหนึ่ง แล้วกระจายออกไปสู่ภายนอกเหมือนว่าเป็นอรรถเป็นธรรม ความจริงความลี้ลับมันอยู่กับตัวครองกฎหมายกฎหมอยนั่นละไว้ โลกมันจึงสกปรก ปลิ้นปล้อนหลอกลวงไม่มีใครเกินนักกฎหมายนะ ลิ้นนี้ร้อยสันพันคมคือนักกฎหมาย แล้วมันกลายไปเป็นนักกฎหมอย กฎหมัด กฎหมา กดขี่บังคับไปหมดเวลานี้ จะเอาความรู้ดีงามมาปกครองตนเองและบ้านเมืองไม่ค่อยเห็นมี มันมีแต่เอามาอวดเฉยๆ

ไปเรียนมาแล้ว โถ พิลึกนะ ว่าไปเมืองนอกเมืองนา ถือเป็นเกียรติมากนะ เมืองไทยเราใครอยู่ในตุ่มในไหมีไหม พิจารณาซิ มีแต่อยู่นอกตุ่มนอกไหทั้งนั้น ไม่ไปเมืองนอกก็อยู่นอกตุ่มนอกไห ไม่ได้ถูกคุมขังไว้เหมือนปูเหมือนปลาที่เขาขังไว้ในหม้อ เรียนมาแล้วก็มาเย่อหยิ่งจองหองกัน เย่อหยิ่งจองหองความสกปรก สายธรรมดูท่านอิดหนาระอาใจนะ ไอ้พวกกิเลสนี้ภูมิใจตามๆ กัน ดีไม่ดีว่าอัศจรรย์เขา อัศจรรย์ขี้หมามันอะไร มีแต่ความสกปรกเต็มตัว มาพองตัวเฉยๆ ถ้าธรรมดูแล้ว ธรรมไม่มีลำเอียง ธรรมดูตามสภาพความจริงทั้งหลาย จึงเวลาแสดงออก แสดงออกด้วยความเป็นธรรมทั้งนั้น ไม่มีคำว่าสกปรกโสมม

ภาษาของธรรมเป็นภาษาน้ำหนักให้เท่ากันกับความสกปรก ใส่ให้หนักๆ ลงไป ท่านไม่มีเจตนาสกปรกการพูดออกไป แต่กิเลสตัณหานั้นมันรักสงวนตัวของมัน อะไรไปแตะมันบอกว่าเทศน์สกปรก ตัวมันตัวสกปรกไม่ได้ดู มันดูตั้งแต่ภายนอก เช่น น้ำสะอาดสาดเข้าไปหาสิ่งสกปรก มันก็ว่าท่านเทศน์สกปรก เทศน์ดุด่าว่ากล่าว ไอ้กิเลสในหัวใจมันมันเป็นกล้วยหอมกล้วยไข่มาจากไหน พอที่จะให้โลกทั้งหลายหวานลิ้นไปตามๆ กัน และหวานในจิตใจไปตามๆ กัน มันไม่มีนะ

จึงว่าศาสนาจะหมดแล้วนะในเมืองไทยเรา เรื่องเครื่องหมายของศาสนามีเต็มวัดเต็มวา แต่วัดวานั้นกลายเป็นส้วมเป็นถานไปเสียโดยไม่รู้นะ กิเลสมันพองตัวของมัน ปลูกกุฏิกุฏังให้สวยๆ งามๆ ไปแบบกิเลสไปเสียทั้งหมด ความสวยงามภายในจิตใจ ชำระจิตใจให้สะอาดสะอ้านด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา วิชชา วิมุตติ ไม่ค่อยมี หรือจะพูดว่าไม่มีก็น่าจะไม่ผิดไปในวัดหนึ่งๆ เป็นอย่างนั้นนะ มันมีแต่ส้วมแต่ถาน

ส้วมคือสถานที่บรรจุของสกปรก อะไรเป็นของสกปรก ท่านเรียกว่ามูตรคูถ บรรจุอยู่ในส้วมนั้น แล้วพระเณรเราปฏิบัติตัวเป็นแบบมูตรแบบคูถ มันก็กลายเป็นมูตรคูถอยู่ในส้วมในถาน คืออยู่ในวัดในวานั้นไปเสีย แล้วอรรถธรรมที่จะเป็นประโยชน์สง่างามภายในตัวของเรา และออกไปโชว์โดยหลักธรรมชาติให้คนอื่นได้เห็นไม่ค่อยมีนะ ธรรมท่านไม่ต้องการละไอ้เรื่องโชว์นั้นโชว์นี้ เป็นความสะอาดสะอ้านในใจ แปลกประหลาดอัศจรรย์ในใจของท่าน จึงไม่จำเป็นต้องหาอะไรมาส่งเสริม ธรรมไม่ต้องส่งเสริม สวยงามมีคุณค่ามีราคาอยู่กับธรรมนี้ทั้งนั้น พร้อมอยู่นั้นหมด

สิ่งภายนอกมีประดับประดาอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างตั้งให้เป็นยศนั้นยศนี้ เป็นเครื่องประดับเพื่อจะให้การประพฤติปฏิบัติของผู้นั้นดียิ่งขึ้น เพราะกำลังใจที่ได้รับมาจากยศถาบรรดาศักดิ์ แต่นี้มันเอาอันนั้นมาเป็นความเย่อหยิ่งไปเสีย พองตัวในทางเลวร้ายไปเสีย นี่ละกิเลสเอาไปใช้ทั้งนั้นๆ ธรรมะไม่ค่อยได้ใช้ ถ้าธรรมะใช้ไม่มีคำว่าเย่อหยิ่งจองหอง พอตัวอยู่ในธรรม ธรรมคือความพอดี พอดีจนกระทั่งถึงพอดีขั้นเลิศเลอ ธรรมเป็นอย่างนั้น ให้พากันจำเอา

พระเราปฏิบัติเอาให้จริงให้จังนะ อย่าเหลาะๆ แหละๆ นี่มันเบื่อมาพอแล้ว ที่ผมอยู่กับหมู่กับเพื่อนเวลานี้ เรียกว่าอนุโลมจนกระทั่งอกจะแตกแล้วละ แต่ก่อนกับเวลานี้มันเข้ากันไม่ได้ วัดป่าบ้านตาดวัดเดียวนี้ละ แต่มันเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ผู้ที่มาอยู่ในวัด ทำให้ดีก็เป็นเครื่องประดับวัด มักจะมียากนะ แต่เครื่องเหยียบย่ำทำลายวัดลงด้วยความปฏิบัติรู้เท่าไม่ถึงการณ์เป็นอย่างน้อย และความสกปรกภายในจากความขี้เกียจขี้คร้าน ความไม่มีหิริโอตตัปปะ นี้เป็นเครื่องเหยียบย่ำทำลายวัดนะ ทำลายตัวเองแล้วก็ทำลายวัด สุดท้ายวัดก็เลยกลายเป็นส้วมเป็นถานไปได้

นี่เห็นไหมวัดป่าบ้านตาดกว้างขนาดไหน กำแพงมีตั้งสองชั้น บรรจุพวกมูตรพวกคูถ คือพระเณรปฏิบัติเหลวแหลกแหวกแนว ใช้ไม่ได้ วัดนี้เลยกลายเป็นส้วมเป็นถานไปหมด สิ่งที่บรรจุกับส้วมกับถาน คือพระเณรโกโรโกโส ปฏิบัติตนไม่เป็นอรรถเป็นธรรม หิริโอตตัปปะในใจไม่ค่อยมีและไม่มี อันนี้เลวร้ายมาก พากันตั้งอกตั้งใจ ความเพียรสติเป็นพื้นฐาน อย่าปล่อยนะ สติธรรมเป็นเครื่องยืนยันมรรคผลนิพพานตั้งแต่พื้นๆ จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น นอกเหนือจากสตินี้ไปไม่ได้

ตั้งทีแรก สติตั้งลงไปล้มลุกคลุกคลาน ก็ต้านทานกันไว้ ตั้งตัวได้ด้วยสติๆ เป็นลำดับลำดา จนกระทั่งถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ นี่เป็นธรรมที่ก้าวขึ้นจะหลุดพ้นโดยถ่ายเดียว ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้ว เป็นสติปัญญาที่จะพาให้หลุดพ้นจากทุกข์อย่างแน่นอน จากนั้นก็มหาสติมหาปัญญา ไปจากสติปัญญาอัตโนมัตินี้ละเสริมเข้าเป็นกำลังใหญ่ขึ้นมาเป็นมหาสติมหาปัญญา นั้นแน่นอนที่จะหลุดพ้น รอวันเวลาอยู่เท่านั้น

นี่ละการปฏิบัติ สำคัญไปจากสตินะ อย่างอดอาหารการกินนี้ อะไรเป็นเครื่องเด่น ที่เด่นในความเพียรของเราคือสติ เราผ่อนอาหารลงไป อดอาหารลงไปมากน้อยเพียงไร สติจะค่อยเด่นขึ้นๆ ความเพียรจึงอยู่กับสตินะ ท่านทั้งหลายอย่าไปเห็นทางจงกรมว่าเป็นที่เด็ดขาดฆ่ากิเลสโดยถ่ายเดียว ทางจงกรมก็แผ่นดินเรานี่แหละ ถ้าสติปัญญาเป็นเรื่องอรรถเรื่องธรรมไม่เด็ดขาดแล้ว กิเลสขี้ใส่หัวบนทางจงกรมนั้นแหละอยู่ทุกแห่ง นั่งสมาธิก็หลับครอกๆ กิเลสขี้บนหัวอยู่ในนั้น เดินจงกรมก็หลับไปเพลินไป จิตไม่ได้อยู่กับตัว สติไม่มี นั่นละเพลินไปๆ กิเลสขี้รดบนหัวอยู่ในทางจงกรม ที่นั่งสมาธิภาวนา อันนี้สำคัญมากให้ดู

สติตั้งให้ดี สติเป็นของสำคัญ รับรองยืนยันตั้งแต่พื้นถึงมรรคผลนิพพาน พ้นจากสติไปไม่ได้ สตินี้เป็นพื้นฐานตลอด ดังที่ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ฟังซิไม่มีเว้นเลยที่สติจะไม่เข้าแทรกอยู่ สติเป็นสำคัญ ให้พากันยึด ใครมีสติดี ผู้นั้นจะตั้งรากฐาน ตั้งแต่ต้นก็ตั้งรากฐานได้ สติดีเท่าไรๆ ความพากเพียรและฐานของจิตก็จะแน่นหนามั่นคง ออกทางด้านปัญญาก็ไม่พ้นเรื่องสติ จนกระทั่งกลายเป็นมหาสติมหาปัญญา ออกไปจากสตินี้ทั้งนั้น พระนิพพานอยู่กับสติเป็นพื้นฐาน ให้จำเอานะ เอาละให้พร

 

หลังจังหัน

วันที่ ๑๒ เราก็ไปบ้านแพง ค้านคืนหนึ่ง แต่เราจะไปตอนบ่าย ประมาณบ่ายโมงถึงจะออกจากนี้ไป ส่วนสิ่งของให้เขาเอาไปเลยในวันนั้น ส่วนที่เอาไปก่อนแล้วก็มีข้าวสาร ๑,๕๐๐ ถุงๆ ละ ๑๒ กิโล ไปก่อนแล้ว ข้าวสารคงจะให้เท่านั้น ที่ให้ ๑,๕๐๐ นี้ก็จะแบ่งไปทางฝั่งลาว เราจะไปสั่งเองอย่างนั้นทุกปี เพราะทางนั้นจนมากต้องได้อาศัยทางนี้ สิ่งของที่เราเอาไปนี้เราก็แบ่งไปพร้อมๆ จะเอาไปฝั่งลาว พวกผ้าพวกอะไรแบ่งไปทางโน้น ข้าวจะไปจำนวนมากไปฝั่งลาว ทางโน้นก็มาอาศัยอยู่ทางนี้ พวกผ้าก็เหมือนกันแยกส่งไปฝั่งลาวๆ

ผู้กำกับ มี ณ.หนูแก้ว ครับ

หลวงตา ฟังนะพี่น้องทั่วประเทศไทย ผู้ที่อ่านรายการอยู่เวลาแทนเรานี้ เราให้ชื่อว่าท่านผู้กำกับ ใครอย่ามาติดใจกับท่านผู้กำกับนะ ท่านไม่มีอะไร ให้พากันเข้าใจทั่วประเทศไทย ท่านมาเป็นคนอ่านให้ฟัง หลวงตาบัวอ่านหนังสือไม่ออกแล้วเดี๋ยวนี้ ตาก็ฝ้าก็ฟาง พูดอะไรก็ไม่ได้ศัพท์ได้แสง จึงให้ผู้พูดแทนนั้นพูดแทนเรา เพราะผู้พูดแทนนั้นคล่อง เข้าใจไหมล่ะ ใครอย่ามาติดใจกับผู้ทำหน้าที่แทนเรา ไม่มีอะไรผู้นี้ เป็นลูกศิษย์พระ ไม่เป็นภัยต่อผู้ใดทั้งนั้น อย่ามาติดใจกับผู้ที่ทำงานแทนเราซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ นี้ละ คนอาจจะมาติดใจกับผู้กำกับนี้ก็ได้ ว่าผู้กำกับอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าหากว่าอยู่ใกล้ๆ เราจะตีปากเอาปากประเภทนั้น

นี้เป็นคนรับใช้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยตรงไม่เป็นภัยต่อผู้ใด ให้พากันเข้าใจเอาไว้ เราได้ยินยิบแย็บๆ มาอยู่นะ ไอ้ปากบอนนั่นละมันเป็น ผู้ไม่บอนไม่เป็น คือปากบอนหมายความว่ามันคันปาก ไม่ได้พูดอยู่ไม่ได้ บอนมันคันใช่ไหมล่ะ มันติดเข้าปากคนมันก็เป็นปากบอนปากคัน แล้วอะไรจะแก้ตกปากคัน ก็มีแต่ฝ่ามือใส่เปี๊ยะเข้าไปเท่านั้น แก้กันได้ด้วยฝ่ามือตีปากปั๊บเลย

เราไม่มีอะไรกับโลก พูดได้ทุกอย่างขึ้นชื่อว่าความเป็นธรรมแล้วพูดได้ทั้งนั้น ไม่มีว่าสูงว่าต่ำว่าอะไร ใครจะมาวิพากษ์วิจารณ์เราเหลวทั้งนั้น ถ้าวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางอกุศลเรียกว่าเหลวทั้งนั้น เรามีตั้งแต่ฝ่ายความดีงามทั้งนั้นต่อโลก จะหนักจะเบาหรือว่าหยาบละเอียดอะไรตามโลกที่เขาสมมุติเขาว่ากันเขานิยมกัน ธรรมนี้เอาน้ำหนักเป็นเกณฑ์ เช่น ดุด่าว่ากล่าวนี่คือน้ำหนักของธรรมให้พอดีกับความสกปรก เหมือนกับน้ำเทลงไปให้พอดีกับสิ่งที่สกปรก ชะล้างกันลงไปอย่างนั้น สำหรับที่จะไปพูดเป็นความหยาบโลนต่อโลกนี้ธรรมไม่มี ธรรมเป็นของสะอาดสะอ้านมาตลอด ไม่เคยมีความสกปรกในธรรมทั้งหลายเลย พอที่ผู้พูดไปนี้จะเป็นคำพูดสกปรก ถ้าคำพูดตามธรรมแล้วจะไม่มีคำว่าสกปรก ให้พากันเข้าใจเอาไว้

ที่เราเทศน์สอนพี่น้องทั้งหลายมาเป็นเวลา ๕๖ ปีนี้แล้ว ฟังซิไม่ใช่น้อย พวกนี้มันอายุถึง ๕๐ หรือเปล่า ไม่ถึง อย่างมากก็ ๖๐ ปีเท่านั้น นี่ละเราพูดมาขนาดนี้ มีแต่ธรรมน้ำสะอาดมาสอนโลก ใน ๕๖ ปีนี้เรียกว่าธรรมสะอาดทั้งนั้นๆ ออกจากใจที่สะอาด ผ่านลงเวทีมาแล้ว ๕๖ ปี ตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ บอกแล้ว บอกให้ชัดเจน ธรรมเปิดเผยได้จะเป็นไร พระพุทธเจ้าสอนโลกสามแดนโลกธาตุ ไม่พูดเข้าใจได้ยังไง ภาษามนุษย์เราฟังเสียงกันจากคำพูดคำจา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่บอกจะรู้ว่าตรัสรู้ได้ยังไง และสั่งสอนโลก ไม่เอาธรรมสั่งสอนจะเอาอะไรมาสั่งสอน สอนด้วยปากละซี

อันนี้เราก็พูดด้วยปากสั่งสอนโลกเหมือนกัน เป็นธรรมสอนโลก เพราะฉะนั้นใครจะมาถือสีถือสากับธรรมนี้ไม่ได้ ต้องเอาไปวินิจฉัยตัวเอง ที่ว่าท่านเทศน์หยาบโลน สิ่งที่ว่าหยาบโลนมีอยู่ในเราหรือไม่ ต้องไปดูเราซิ ธรรมท่านไม่ได้หยาบโลน เป็นน้ำที่สะอาดเข้าไปชะล้างสิ่งสกปรก ไหนจะไปว่าพูดหยาบพูดโลน พูดอย่างนั้นอย่างนี้ พูดหีพูดหำอะไรอย่างนี้ว่าหยาบโลน มันไม่มีหรือสิ่งเหล่านี้น่ะ ที่มันมาแสดงอุจาดบาดตาอยู่เวลานี้ ถึงขนาดธรรมรำคาญใจภาษาเรางามๆ หน่อยนะ รำคาญใจ ชะล้างกันเสียบ้าง สาดน้ำไปปั๊บ มันว่าท่านชอบพูดสกปรก ตัวสกปรกมันออกมาจุ้นจ้านเห็นไหมล่ะ มันมียางอายที่ไหน

เช่นอย่างการแต่งเนื้อแต่งตัววับๆ แวมๆ จนกระทั่งหมาได้มาสอน มันเลวหรือไม่เลวมนุษย์เรา หมามาสอนยังไง เราก็ยกมาเป็นการ์ตูนแล้วได้ฟังกันหรือเปล่าล่ะ มีผู้หญิงคนหนึ่งนุ่งผ้าซิ่นดำๆ มา ข้างหนึ่งมันผ่ามาจนจะเห็นหีมันนั่นน่ะ นี่หยาบหรืออย่างนี้ ผ่ามาจนจะเห็นหี ทีนี้หมาดำตัวนั้นมันก็ปุ๊บปั๊บเข้ามา มาก็มาคาบทางนี้ มาคาบปั๊บ ทางนี้ก็ก้มลงไปตีหัวมันตบหัวมัน มึงมาคาบทำไม ตรงนี้ยังไม่ได้ผ่า เห็นไหมจนกระทั่งหมามาสอน ขนาดไหนมนุษย์เรา มันจัดจ้านขนาดนั้น แต่งเนื้อแต่งตัวจนหมารำคาญ หมาต้องมาคาบมาสอน ก็ไปตบหัวหมาละซิ มาคาบทำไม ตบหัวหมา มันก็บอกว่าตรงนี้ยังไม่ได้ผ่า ถ้าผ่าตรงนี้แล้วจะชัดเจนมาก

นั่นเห็นไหมขนาดหมามาสอน ครูบาอาจารย์สอนก็ยังไม่แล้ว ต้องหมามาช่วยสอนความหยาบโลนของคน นี้เป็นพูดหยาบแล้วเหรอพูดอย่างนี้ ตัวหยาบมันแสดงออกมานั่น การชะล้างลงไปคือให้ปกปิด ให้เป็นความน่าดูสวยงามในสังคมมนุษย์เราที่มีศีลธรรมยอมรับกัน ก็คือการแต่งเนื้อแต่งตัวให้สดสวยงดงามตามศีลตามธรรม ตามขนบประเพณี อย่าให้สดสวยงดงามแบบไอ้ดำมันรำคาญ จนกระทั่งมาคาบ ดีที่มันไม่คาบลากไปเลย ให้มันออกหมดทั้งซิ่นยังเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน ยังดีนะมันยังให้อภัย สอน ตรงนี้ยังไม่ผ่า เข้าใจ เราก็เอานั้นละมาสอน

อันไหนที่ไม่ลืมมันติดใจเองนะ ดังที่การ์ตูนอีกอันหนึ่ง มีผู้ชายคนหนึ่ง ตัวคึกตัวคะนองละผู้ชายคนนั้น แล้วปู่ใหญ่ก็อยู่ศาลพระภูมิ ทีนี้ไอ้หลานตัวคะนองนี้ไปจุดธูปจุดเทียนไหว้ ทางนู้นก็พูดออกมา อะไรหลาน เป็นทุกข์อะไรเหรอ ครับผมเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะอะไร ปู่ถามลงมา เป็นทุกข์เพราะปฏิบัติตามปู่นั้นแหละ แล้วปู่สอนยังไง ไปทำยังไงถึงเป็นทุกข์ ปู่สอนว่าให้มีความปรารถนาน้อย แล้วเราไปทำยังไงล่ะ ไปมีเมียน้อย นั่นเห็นไหมอย่างนั้นละ ให้ปรารถนาน้อย มันเสือกไปมีเมียน้อย ทางปู่ก็ไม่ทราบจะทำยังไง เฮ่อ เท่านั้นละ มันดื้อไปอย่างนั้นมนุษย์เรา คือสอนมนุษย์ละที่ทำอย่างนั้น

อันนี้เป็นคติธรรมทั้งนั้นนะอย่างการ์ตูนที่ว่านี่ ไปมีเมียน้อย เป็นของดีเมื่อไรมีเมียน้อย เป็นการทำลายจิตใจกันอย่างมากมายทีเดียว ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย สามีภรรยาอยู่ด้วยกัน ผู้ชายผู้หญิงอยู่ด้วยกันอันนี้เป็นหลักใหญ่ ถ้าอันนี้มีธรรมครอบงำอยู่จะปฏิบัติต่อกันด้วยความสวยงาม ไม่ผิดศีลผิดธรรม แล้วก็อยู่กันได้สวยงาม ถ้าผิดศีลผิดธรรมไปแล้วเป็นเรื่องของกิเลส เลอะเทอะ ดูไม่ได้ จนกระทั่งหมาก็รำคาญออกมาคาบผ้า นั่นละมาสอน

อันนั้นก็เหมือนกัน ปู่สอนให้มีความปรารถนาน้อย ความปรารถนาน้อยก็คือมีผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น ผู้หญิงผู้ชายจะมีเต็มโลกเต็มสงสารไม่สนใจ ไม่ใช่ของเรา ของเราคือผู้หญิงคนนี้ มีเมียเดียวเท่านี้เรียกว่ามีความปรารถนาน้อย คือมีเมียเดียวผัวเดียว แต่นี้ว่าปฏิบัติตามปู่ แล้วปู่สอนว่าไง สอนว่าให้ทำความปรารถนาน้อย แล้วไปทำยังไงล่ะมันถึงเป็นทุกข์ ไปมีเมียน้อย มันก็ไม่ใช่หนึ่งซิ มันเป็นสองสามเข้าแล้วไปมีเมียน้อย นั่นละการ์ตูนเขามาสอนรู้ไหม เรายังไม่รู้เรื่องอยู่เหรอ หมาคาบผ้าก็สอนคน การ์ตูนที่ไปมีเมียน้อยก็สอนคนคึกคนคะนอง เป็นคติทั้งนั้น เอามาสอนตัวเองซิ

คำพูดของหลวงตานี้เอาเหตุเอาผลเป็นประมาณ เราไม่มีความชั่วช้าลามกหรือความหยาบโลนเข้ามาเกี่ยวข้องกับธรรม มีน้ำหนักควรแก่เหตุแก่ผลที่จะแสดงไปยังไง สอนไปอย่างนั้นเลย คำว่าหยาบว่าโลน..ธรรมไม่มี ที่จะเจตนาไปพูดแบบหยาบโลนอย่างโลกทั้งหลาย..ธรรมไม่มี แต่เรื่องน้ำหนัก ควรจะหนักหนัก ควรจะเบาเบา มี ธรรมมีอย่างน้น พากันจดจำเอา

อย่างที่ท่านฆ่ากิเลสก็เหมือนกัน จะว่าท่านโหดร้ายหรือไม่โหดร้าย ฟังซิ เวลาฆ่ากิเลสเอาถึงขั้นเป็นขั้นตายซัดกันเลย เราผ่านมาแล้วนี่ พระพุทธเจ้าสลบสามหนทุกข์หรือไม่ทุกข์ หนักหรือไม่หนัก พิจารณาซิ ถ้าเลยสลบไปแล้วก็ตายเท่านั้นละ นั่นเวลาท่านฟัดกับกิเลสตัวหยาบโลนที่สุดก็ใส่กันอย่างหนัก ความหนักที่แก้กิเลสไม่เรียกว่าความหยาบโลน ตัวกิเลสต่างหากตัวหยาบโลน วิธีการแก้กิเลส ทุกอย่างที่แสดงกับการต่อสู้กับกิเลสไม่ใช่ความหยาบโลน กิเลสเป็นตัวหยาบโลน อันนี้ธรรมสอนโลกไม่หยาบโลน โลกต่างหากหยาบโลน เข้าใจไหมล่ะ ให้พากันเข้าใจ อย่าไปหาโจมตีแต่ธรรมทั้งๆ ที่ตัวสกปรกมอมแมม ส้วมถานหมอบกราบมันสกปรกสู้เราไม่ได้ส้วมถานน่ะ เรายังมาหยิ่งตัวของเราอยู่เหรอ พากันจำเอา มีเท่านั้นละ

เข้าใจไหมล่ะที่พูดถึงเรื่องผู้กำกับที่นั่งอยู่ข้างๆ เรา ทำหน้าที่แทนเรา เราอ่านหนังสือไม่ออกละทุกวันนี้ สะกดการันต์ไม่เป็นท่าเลย สะกดก็ไม่เป็นการันต์ไม่เป็น ลืมหมด แล้วอ่านหนังสือก็ไม่ออกตาฝ้าตาฟาง ก็ให้ผู้ที่อ่านได้มาอ่านแทนเรา แล้วจะมาจดจ่อหรือจะมาเพ่งเล็งผู้อ่านไม่ได้นะ ผิดทั้งนั้นละ อันนี้เป็นเพียงว่าเป็นผู้ทำหน้าที่แทนเราเท่านั้น ไม่มีคำว่าได้ว่าเสียกับผู้ใด เอาเรื่องนี้ออกแสดงตามเรื่องราวที่มา จะให้อ่านยังไงๆ เรื่องราวหรือหนังสือมามาว่ายังไง ผู้นี้ก็อ่านตามเรื่องเท่านั้น เราจะเป็นผู้ที่ชี้แจงกับเรื่องหนังสือนั้นเท่านั้นเอง ให้พากันเข้าใจนะ

ที่จะมาเพ่งเล็งผู้กำกับนี้ไม่ได้นะ ถ้าเห็นว่าเป็นภัยเราจะเห็นผู้กำกับนี้เป็นภัยก่อนผู้อื่นผู้ใดแล้วเพราะนั่งติดกันอยู่นี้ แล้วคนใดมันตาเมฆหมอกมาจากไหนมันถึงมาส่องเข้ามาถึงนี้ ว่าผู้กำกับเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อีตาบัวนั่งอยู่กับผู้กำกับไม่เห็นเป็นอะไร นั่งติดกันไม่เห็นว่าอะไรเป็นภัย คนอื่นมันเก่งมาแต่ไหนคนนั้นเป็นภัย ตัวของมันนั่นละเป็นมหาภัยปากบอนมันคันปากเข้าใจไหม ตัวนี้ตัวมหาภัยตัวปากบอน บอนนั้นคือต้นที่มันปลูกไว้เห็นไหมบอนมันคัน เอาใส่ปากปั๊บนี้ก็แว็บๆ มันอยู่ไม่ได้นะ ถ้าลงได้เอาบอนเข้ามาใส่ปาก มันแว็บๆ เข้าใจ จำเอานะ เอาละว่าเป็นพักๆ ไป เอาที่นี่ว่ามา กำลังใช้อ่านอยู่นี้เห็นไหม ให้ผู้กำกับอ่าน ทำหน้าที่แทนหลวงตาอ่าน เอาว่าไป

ผู้กำกับ จากนสพ.พิมพ์ไทยรายวัน คอลัมน์วิจารณธรรม วันพฤหัสฯ

เนื่องมาจากแถลงการณ์สำนักนายกฯ

บทวิจารณ์ของวันนี้ก็สืบเนื่องมาจากแถลงการณ์สำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับวันที่ 3 พฤศจิกายน 2548 อีกเช่นกัน ดังที่ “คุณวิษณุ  เครืองาม” ออกมากล่าวภายหลังว่า เพื่อย้ำเตือนกันอีกครั้งว่าการแต่งตั้งคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชนั้น ก็เพราะต้องการรักษาพระเกียรติ ไม่ให้ใครมาอ้างพระลิขิตหรือพระบัญชาไปทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม กับอีกประเด็นที่สำคัญก็คือการอ้างว่าได้รับรายงานจากคณะแพทย์ว่าพระอาการประชวร “....ในระยะหลังมานี้พระสุขภาพไม่สู้เป็นปกติ คณะแพทย์เคยรายงานว่าอาจมีพระอาการประชวรฉับพลันได้ ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากภูมิต้านทานของพระองค์ลดลง เนื่องจากพระชนมายุสูง และยังประชวรด้วยพระโรคที่เคยมีมาแต่เดิม”

คำอ้างที่ว่า “ได้รับรายงานจากคณะแพทย์” ก็เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าคณะแพทย์ที่ถวายการดูแลรักษาองค์สมเด็จพระสังฆราชนั้น เป็นคณะแพทย์หลวงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งแพทย์คณะนี้จะกราบทูลรายงานเรื่องพระอาการสมเด็จพระสังฆราชผ่านทางสำนักพระราชวังเป็นระยะๆ อยู่แล้ว โดยระเบียบปฏิบัติและโดยจรรยาบรรณแล้ว การจะนำเอาพระอาการของสมเด็จพระสังฆราชซึ่งอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ไปรายงานต่อคนในสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย

อย่าว่าแต่สมเด็จพระสังฆราชในพระบรมราชูปถัมภ์เลย แม้แต่พ่อแม่ ปู่ย่า ของใครๆ คณะแพทย์ไหนๆ ก็ไม่สามารถจะนำอาการของคนไข้ในความรับผิดชอบไปเปิดเผยกับใครโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมนั้น ย่อมกระทำไม่ได้เลย

เป็นการอ้างเพื่อให้สมประโยชน์ซะละมากกว่า

ถ้าจะถามว่าก่อนหน้าที่จะมีการแต่งตั้ง ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชขึ้นมานั้น ใครล่ะที่ปฏิบัติหน้าที่แทนอยู่ก่อนแล้ว แม้แต่เด็กวัดตัวน้อยๆ เขาก็ยังจำได้ว่า ก็สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว) วัดสระเกศ นี่แหละ ที่ทำหน้าที่แทนอยู่ก่อนแล้ว และการทำหน้าที่แทนสมเด็จพระพุฒาจารย์ ก็ไม่เคยมีความบกพร่องในหน้าที่เลยแม้แต่น้อย

แล้วจำเป็นอะไรถึงต้องมาตั้งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ให้เกิดปัญหา ?

ถ้าจะให้สาวความยืดกันแล้ว มันก็อาจไปเกี่ยวข้องกับการซื้อการขายที่ดินธรณีสงฆ์ของวัดธรรมิกการามวรวิหารจนได้ ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็น “สนามกอล์ฟ อัลไพน์” ในกรรมสิทธิ์ของคนใหญ่คนโตในวงรัฐบาลนี้ไปแล้ว

ท่านผู้ชมยังจำกันได้ใช่ไหมว่า ก่อนที่จะมีการกล่าวหาว่ามีใครแอบอ้างพระลิขิตและพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช กล่าวหาว่ามีใครขโมยรัดประคด ของสมเด็จพระสังฆราช กล่าวหาว่ามีคนขโมยพระเครื่องเบญจภาคีของสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งล้วนแต่เป็นการกล่าวหาลอยๆ ขึ้นมาทั้งนั้น หาความจริงอะไรไม่ได้เลย

ก่อนหน้านั้นได้เกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นในคณะผู้บริหาร มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่มีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ดำรงตำแหน่งเป็นองค์ประธานมูลนิธิ ถึงกับมีการเปลี่ยนตัวประธานคณะกรรมการ และกรรมการอีกหลายท่านแบบยกกระบิ

ปัญหาที่ทำให้ที่ประชุมต้องมีมติสั่งปลดคณะกรรมการบริหารชุดเดิม ก็เนื่องมาจากไม่สนองพระประสงค์ในการเบิกจ่ายเงินส่วนพระองค์ เพื่อสร้างอาคารโรงพยาบาลแห่งที่ 19 ของสมเด็จพระสังฆราช การขึ้นค่าเช่าอาคารและที่ดินโดยไม่เป็นธรรมในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชน การไม่อนุมัติให้พิมพ์หนังสือหลักสูตรการเรียนการสอนพระปริยัติธรรม จนทำให้พระภิกษุสามเณรขาดแคลนหนังสือเรียน และยังมีทีท่าร้อนรนที่จะขายที่ดินแปลงหนึ่งในราคา 313 ล้านบาท

สมเด็จพระสังฆราช ทรงเสด็จเป็นประธานที่ประชุม และลงลายพระหัตถ์รับรองรายงานการประชุมตามที่มีมติให้ปลดคณะผู้บริหารทั้งพระและฆราวาส รวม 10 รายด้วยกัน

เพียงอีกไม่กี่วันต่อมาได้กำหนดให้มีการประชุมอีกครั้ง สมเด็จพระสังฆราชเสด็จเป็นประธานที่ประชุม มีคนเห็น “คุณวิษณุ  เครืองาม” ได้เข้าร่วมประชุมด้วยไม่รู้ในฐานะอะไร แล้วผลการประชุมก็มีอันยกเลิกมติเดิม ให้คณะผู้บริหารมูลนิธิชุดเดิมดำรงตำแหน่งต่อไป

นี่ก็น่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ต้องมีการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชขึ้นมา เพื่อลดทอนพระอำนาจของพระองค์

มิให้ผู้บริหารชุดใหม่รื้อฟื้นที่ธรณีสงฆ์ อัลไพน์ !!

                                    ณ. หนูแก้ว

หลวงตา นี่เป็นคำแถลงของรัฐบาลใช่ไหม จะพูดอะไรมากมาย หาหว่านล้อมแก้ตัวอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นแบบลิ้นหวานให้คนเคลิ้มหลับ ความจริงเป็นยังไงก็รู้กันแล้ว สมเด็จพระสังฆราชเคยมีมากี่พระองค์ ทำไมไม่เห็นมีเรื่องมีราวอะไร ท่านก็ปฏิบัติต่อกันมาเป็นความสงบร่มเย็น มันมาปรากฎขึ้นที่มีผู้มาทำหน้าที่แทนสมเด็จสังฆราช ทุกวันนี้มันยุ่งใหญ่ แต่ก่อนท่านไม่เห็นมีก็ไม่เห็นยุ่ง นี่มันจะให้เบาพระภาระของสมเด็จพระสังฆราช ให้เบาได้ยังไง คนทั้งโลกจนเบื่อแล้วจะฟังเรื่องผู้อุปถัมภ์อุปัฏฐากแทนสมเด็จพระสังฆราชนี่ มันก่อความยุ่งเหยิงวุ่นวายพวกนี้น่ะ มาจากไหน ถ้าภาษาของธรรมมาจากจะเป็นใหญ่เป็นโตเป็นบ้านั่นเอง

ท่านเคยเป็นสมเด็จพระสังฆราชมานานสักเท่าไร ท่านไม่เห็นมีอะไร มาตั้งหาอะไร พระวัดบวรฯนั้นมีกี่องค์ที่ทำงานอุปถัมภ์อุปัฏฐากสมเด็จสังฆราชอยู่นั่น เราก็เคยอยู่วัดบวรฯมาแล้ว จะให้เราว่าไง ก็เห็นท่านปฏิบัติต่อกันอยู่ด้วยความราบรื่นสวยงามมาตลอด มันก็มาพิสดารตอนที่ผู้มาปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช มันพิสดารมากอันนี้ จนฟังไม่ได้ มันเบื่อจะฟังแล้วนะ พระวัดบวรฯตายหมดแล้วเหรอ จึงไม่มีใครที่ปฏิบัติอุปัฏฐากสมเด็จสังฆราช จึงต้องเดือดร้อนไปหาผู้อื่นซึ่งอยู่วัดไหนก็ไม่รู้ เข้ามายุ่มย่ามๆ ว่าให้ชัดเจนอย่างงั้น มันถึงเกิดเรื่องยุ่งขึ้นมา ก็มีเท่านั้นละเรื่อง

สมเด็จสังฆราชเคยเป็นมานานเท่าไร มีความเรียบร้อยตลอดมาไม่เคยมีเรื่องมีราว พระอุปถัมภ์อุปัฏฐากของท่านก็มีประจำมาอย่างนี้ มันก็มาพิสดารตอนจะมีผู้ทำงานแทนสมเด็จสังฆราชนี้ พิสดารขึ้นมา ยุ่งไปหมดเวลานี้ เราก็เคยพูดแล้ว เบื้องต้นก็พูดชัดๆ เลยว่า นี่กำลังจะรุมกินโต๊ะสมเด็จสังฆราชนะ เราว่างั้นละ เราพูดตรงๆ เลย มันสมบัติอะไร หลักธรรมวินัยก็มีอยู่ ขนบประเพณีอันดีงามก็มีอยู่ มันดีดดิ้นหาอะไร ท่านปฏิบัติกันมาด้วยความราบรื่นดีงามตลอดจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ไม่ว่าสมเด็จสังฆราชองค์ใด ท่านก็สงบเรียบร้อยมาไม่เห็นมีเรื่องอะไร แล้วทำไมสมเด็จสังฆราชเราท่านก็สงบเรียบร้อยมาโดยปรกติ แล้วมันมาเกิดเรื่องนี้เพราะอะไร เพราะมันมักใหญ่ใฝ่สูงนั่นแหละ

อยากทำตัวเป็นสังฆราชพูดให้มันชัดๆ อย่างนี้ละ ว่าแทนแทนเฉยๆ ความจริงมันเป็นสังฆราช โอ่อ่าอยู่ภายในใจพอแล้ว ข้านี้เป็นสังฆราชว่างั้นก็ได้ ผิดไปไหน ธรรมจับเอากันอย่างนี้ละ พูดตามธรรม ถ้าไม่อย่างนั้นดิ้นหาอะไร ท่านก็มีอยู่แล้วดั้งเดิมมา สมเด็จสังฆราชองค์ไหนท่านก็มีอยู่อย่างนั้น ท่านไม่เห็นไปหาใครมาตั้ง มาเป็นผู้ทำหน้าที่แทนสมเด็จสังฆราชไม่เห็นมี พึ่งมามีอย่างนี้ที่เกิดเรื่องอื้อฉาวอยู่เวลานี้เท่านั้นเอง ถ้าหากว่าให้เป็นภาษาของธรรม อย่ามายุ่งเท่านั้นพอ พระวัดบวรฯยังไม่ตายท่านจะปฏิบัติกันเองเท่านี้พอ นี่ละพอ มายุ่งหาอะไรเท่านั้น

เอ้าเอาไปซิถ้าว่าหลวงตาบัวพูดผิดน่ะ ขนบประเพณีอันดีงามก็มีในสมเด็จสังฆราชมาทุกพระองค์เป็นอย่างนั้น ไม่เห็นมีเรื่องยุ่งอะไร นี่มายุ่งหาอะไร สมเด็จวัดบวรฯเรานี้ท่านก็เป็นสมเด็จสังฆราชมานานสักเท่าไร มันพึ่งมายุ่งกันตอนนี้ แต่ก่อนท่านก็เรียบร้อยมาก็ไม่เห็นมีอะไร แต่นี่มันทำไม แต่ก่อนบกพร่องตรงไหนจึงต้องมามีเดี๋ยวนี้ ท่านเรียบร้อยมาตลอด ไอ้ที่ไม่เรียบร้อยก็คือพวกเข้ามายุ่มย่ามนี้เองจะเป็นใครไป ก็เท่านั้นล่ะ นี้จบแล้วเหรออันนี้ แล้วมีอะไรอีกล่ะ

(ที่ ณ หนูแก้วเขาชี้ปมก็เขาบอกเมื่อก่อนนี้ผู้ที่ทำหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชก็คือสมเด็จพุฒาจารย์ และก็ทำมาเรื่อยๆ แต่ทำไมอยู่ๆ จะต้องมีการตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนขึ้นมา เมื่อก่อนเขาทำแทนโดยอัตโนมัตินะครับ พอเวลาท่านอยากให้ทำหน้าที่แทน ท่านก็ให้ทำหน้าที่แทนไปเลยไม่เห็นต้องตั้งอะไร แล้วตอนหลังต้องมีการตั้ง ก็สืบเนื่องมาจากคล้ายๆ ว่า ตอนนั้นมันเป็นเหมือนคล้ายๆ ว่าไม่มีอำนาจเต็มที่ ก็เลยต้องเอาให้เต็มที่เลยในการต่างๆ ครับ)

เอาละเข้าใจ มันอะไรเรื่องศีลเรื่องธรรมมันไม่มองนะ มันปฏิบัติตัวเพื่อศีลเพื่อธรรมไม่เห็นมี มีแต่เรื่องโลกทั้งนั้นเข้ามายุ่มย่ามๆ ในศาสนา ศาสนาเลยกลายเป็นโลกไปหมดเวลานี้ พระพุทธเจ้าใครมีผู้อุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านล่ะ พระสาวกทั้งหลายเลิศเลอมานานแสนนานเป็นสรณะของพวกเรานี้ ใครเป็นผู้อุปถัมภ์อุปัฏฐากท่าน ตั้งใครมาเป็นอุปถัมภ์อุปัฏฐากท่านไม่เห็นมี เวลานี้ก็สมเด็จพระญาณสังวร แล้วสมเด็จไหนๆ ที่เป็นสังฆราชก็ตั้งมาเป็นประจำๆ แล้ว ก็ไม่เห็นมีอะไรที่มายุ่มย่ามๆ อย่างนี้ ก็มีเท่านั้นละเรื่อง นี่เขาเรียกว่าเรื่องยุ่มย่ามว่างั้นเลย

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก