เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๔
เห็นอาหารเหลือเฟือแล้ววิตก
เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๓ บาท ๓๖ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๐๐ ดอลล์
เห็นอาหารบิณฑบาตเหลือเฟือ ๆ นี้ทำให้สะดุดย้อนหลัง ๆ อยู่ตลอด อันนี้มันก็ไม่จืดจางเหมือนกันนะ เห็นอาหารเหลือเฟือ ๆ กับความอดอยากขาดแคลนด้วยการเสาะแสวงหาเองพอใจเองของเรา มาเห็นความเหลือเฟือนี้ก็ทำให้วิตกไปถึงพระถึงเณร คือสงสารพระ เอาอาหารเอาอะไร ๆ ไปถวายพระ อันหนึ่งสงสาร อันหนึ่งวิตกวิจารณ์ห่วงใยพระ ถ้าฉันแบบลืมตัว และส่วนมากจะลืมตัว มีอะไรมามากมันก็ลืม คือลิ้นมันพาเพลิน ตาก็อันนั้นดี ลิ้นก็อันนี้อร่อย เพลิน ๆ ฟาดเข้าไปท้องป่อง พอท้องป่องเสร็จแล้วคว้าหาหมอนเลย ภาวนาไม่เป็นท่าเข้าใจไหมล่ะ นี่เป็นห่วงอย่างนี้ ที่จะรู้จักประมาณนี้ต้องบังคับจริง ๆ ไม่บังคับจริง ๆ มันจะรู้จักประมาณความพอดีในการขบการฉันของตัวเองไม่ได้ มันจะเพลินพอเห็นอาหารการกิน มันหากเป็นของมันเองนะ ตำหนิใครไม่ได้ มันหากเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้น นี่เป็นธรรมดา
ถ้ามีธรรมเครื่องคุ้มครอง มันเห็นอะไรปั๊บมันจะวัดกันเทียบกันทันที ๆ อันใดควรไม่ควรกับธรรม ๆ ไม่เหมาะกับธรรม ไม่ควรกับธรรม เพราะธรรมนี้ละเอียด ถ้าไม่เหมาะแล้วตัดออก ๆ เอาแต่พอเหมาะเพื่อความเพียร ธรรม วิริยธรรม นี่ละที่ทำให้อดคิดไม่ได้นะ ตั้งแต่วันเริ่มออกปฏิบัติเอาจริงเอาจังขึ้นเวทีแล้ว มันได้ทราบทุกสิ่งทุกอย่างบนเวที คือระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน แล้วมีอะไรเป็นเครื่องสนับสนุน มีอะไรเป็นเครื่องตัดทอนมันก็มีอยู่ในนี้ อาหารการกินทั้งสนับสนุนทั้งตัดทอนความเพียรด้วย จึงต้องได้พิจารณา
อันนี้ก็มาระลึกถึงปีนั้นย้อนมาจำพรรษาที่วัดหนองผือ เพราะเราตั้งใจแล้วลงจากวัดดอยธรรมเจดีย์ ก็มาพักอยู่ที่วัดสุทธาวาสเพียง ๒ คืน แล้วจะออกเดินทางไปจำพรรษา อ.วาริชภูมิ บนภูเขา เรียกว่าหมายตาไว้เรียบร้อยแล้วภูเขาในถ้ำนั้น ออกจากนี้จะไปจำพรรษาที่นั่น จึงได้เดินทางไปค้าง ๒ คืนกับท่านเพ็งนี่แหละ ธรรมเพ็งวัดถ้ำกลองเพลนี่ ท่านเพ็งไปด้วย กะว่าจะจำพรรษา ๒ องค์คิดไว้ พอให้สบาย ๆ สักหน่อย ปี ๙๓ วันแรม ๑๔ ค่ำเดือนหก พอวันแรม ๑๕ ค่ำไปลงอุโบสถที่วัดดอยธรรมเจดีย์ เสร็จแล้วก็มาวัดสุทธาวาสตอนบ่าย ๆ วันนั้น มาค้างที่นั่น ๒ คืนจากนั้นก็ออกไปโน่น
แล้วก็บันดลบันดาลบุญคุณของพี่น้องชาวหนองผือนี่ลึกซึ้งมากนะ เราไม่เคยลืม เลี้ยงพระนี้เท่าไร ๆ พูดไม่อิ่มปากเรา มันสด ๆ ร้อน ๆ มันถึงใจ หลังคาเรือนถามเขาแล้วดูว่าประมาณ ๗๐ หลังคาเรือน พระนี่ไปเท่าไร ๆ ไปหนองผือ ตั้งแต่วันเริ่มพ่อแม่ครูจารย์ก้าวเข้าสู่วัดหนองผือ พระเณรนี้รุม ๆ ตลอด ท่านเองท่านก็หนักใจรำคาญ เพราะท่านไม่เคยยุ่งเหยิงวุ่นวายกับพระกับเณรอย่างนั้น แต่ท่านก็ทนเอา เมื่อรับเขามา ท่านเดินทางมาจากบ้านนามน บ้านโคกนามน เดินด้วยเท้านะ เดินทางสองสามคืนมาถึงหนองผือ เมื่อท่านตกลงแล้วเขาก็ไปรับท่านมา มันไม่มีละไอ้เรื่องถนนหนทาง อย่าไปถาม มีแต่ทางด้นดั้นไปตามป่าตามเขาไปอย่างนั้น ซอกแซกไป ทางคนพอไปได้เท่านั้น บ้านนามนก็ตัดมาทางนี้เข้ามาหนองผือ มาตามป่าตามเขาไม่ได้มาทางเมืองนะ ตัดมา มานั้นท่านมาจำพรรษาที่นั่น
พระเณรนี้มากมาย ตอนที่ท่านเข้าหนองผือท่านเข้าก่อนเรา เรายังเที่ยวอยู่ในป่านะ แต่ก็ทราบญาติโยมทางหนองผือไปรับท่านมา เราก็รอเวลาอันสมควรแล้วเราถึงจะเข้าไปหนองผือเลยทีเดียว ไปพระเณรก็แน่นอยู่แล้ว เราก็คิดทั้งเรื่องของท่าน ที่ท่านชอบสงบสงัดนี้เป็นนิสัยจริง ๆ ฝังลึกมากนะพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ คิดดูซิว่าตั้งแต่เราก้าวเข้าไปอยู่กับท่านจนกระทั่งวันท่านจากไป เราไม่ได้มีข้อใดเลยที่จะตำหนิท่านอย่างนั้นไม่ถูกไม่ดี ไม่เคยมีเลยนะ เห็นไหม ถึงใจไหม การตำหนิก็ดี การชมก็ดี ต้องเอาแบบเอาฉบับออกติออกชม ไม่ใช่ชมแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ท่านผิดพลาดตรงไหน ๆ ไม่มีเลย เก็บหอมรอมริบหลักธรรมหลักวินัยไม่ให้เรี่ยราดไปไหนเลย นั่นเป็นยังไง สงวนมากไหม นั่นละธรรมในหัวใจท่านมีคุณค่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีคุณค่าไปตาม ๆ กันหมด เพราะออกจากหลักใหญ่คือธรรมที่ท่านทรงไว้ในหัวใจของท่าน แล้วแต่ไหนแต่ไรท่านก็เป็นอย่างนั้นตลอดจนกระทั่งท่านจากไป
เราไม่เคยเห็นเลยจริง ๆ ว่า เราได้ตำหนิท่านตรงไหนว่าท่านทำไม่ถูกตามหลักธรรมหลักวินัย เพราะต่างคนก็ต่างเรียนมาแล้วก็รู้ นี่ละจึงว่าเทิดสุดหัวใจเลย สุดหัวใจสด ๆ ร้อน ๆ ตลอดมา ทีนี้เวลาท่านอยู่ท่านอยู่อย่างนั้นแหละ ไปอยู่ในป่าบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ท่านไม่ไปหาอยู่หมู่บ้านใหญ่นะ บ้าน ๕-๖ หลังคาเรือน ๗ หลังคาเรือน วันหนึ่ง ๆ พอฉันยังธาตุยังขันธ์ให้เป็นไปเท่านั้น ท่านอยู่ด้วยความผาสุกในระหว่างขันธ์กับจิตที่เป็นไปด้วยความสงบสงัดเท่านั้น นี่ละวิหารธรรมที่ท่านอยู่ ท่านไม่เอาอะไรท่านปล่อยหมดทุกอย่าง เหลือแต่ธรรมสง่างามครอบโลกธาตุในหัวใจของท่าน ท่านอยู่กับอันนี้สบาย และอันนี้เหมาะสมกับความเป็นผู้ผู้เดียว ไม่ยุ่งกับอะไรเลย อันนี้ก็ทนไม่ไหว เพื่อนฝูงก็เข้าไปเกี่ยวข้องท่านตลอดมา ท่านก็ปัดออก ๆ อยู่ตลอด
ทีนี้เวลาก้าวเข้ามาหนองผือนี้ พระเณรรุมล่ะซิ นี่ตอนสุดท้ายท่าน เราก็เคยเห็นอยู่กับท่านก็เคยอยู่ เคยเห็นท่านแล้วท่านอยู่ยังไง แล้วทราบประวัติของท่านก็ทราบมาตลอด ท่านอยู่โดดเดี่ยว ๆ อย่างนั้น ทีนี้เวลาเข้าไปหนองผือนี้พระเณรยั้วเยี้ย ๆ ประชาชนญาติโยมทั้งผู้หญิงผู้ชายปีแรกดูจะไม่ได้ทำงานทางบ้านเจ้าของแหละ พี่น้องชาวหนองผือนะ จะวิ่งเต้นตั้งแต่เรื่องของวัดของวา ผู้ชายวิ่งจัดที่พักที่อยู่ กระต๊อบกระแต๊บร้านนั้นร้านนี้ ทางจงกรมจงเก็มให้พระ พระก็รุมเข้าไป ฝ่ายผู้หญิงก็ต้องวิ่งเต้นขวนขวายหาอาหารการบริโภค สำหรับใส่บาตรวันพรุ่งนี้เช้า ๆ เป็นประจำ พวกนี้ก็ไม่ได้อยู่ พวกผู้ชายก็วิ่งไปในวัด เหมือนหนึ่งว่า ปีที่เราไปอยู่ปีแรกนั้นเป็นปีที่พี่น้องชาวหนองผือนี้หนักมากที่สุด เราฝังลึกนะฝังใจ
เพราะฉะนั้นไปอยู่ที่ว่าจองแล้วที่ที่จะไปจำพรรษาอยู่ถ้ำอะไรทางวาริชภูมิ เพราะเราเคยไปอยู่แล้ว เหมาะสมดี เราจะไปจำพรรษาที่นั่น จึงได้โดดมาละซี มีโยมบ้านแถวนั้นแหละทางจากวาริชภูมิไปบ้านตาดภูวง ไปที่เราจะจำพรรษาอยู่นั้น โยมคนนี้แกเคยไปมาหาสู่วัดหนองผือเสมอแกก็มาเล่าให้ฟังว่า โอ๊ย น่าสงสารชาวบ้านหนองผือ แกก็เล่าตามประสาของแก แกไม่ได้นึกได้คิดว่าเราจะคิดอย่างไร เราก็ไม่พูด
แกก็เล่าของแกให้ฟังถึงสภาพของหนองผือ แต่ก่อน โอ๊ย พระเหลืองอร่ามไปหมดเต็มวัดเต็มวา นี่ผมไปมาได้สองวันนี้ เวลานี้ประหนึ่งว่าวัดร้าง ประชาชนญาติโยมยุบยอบไปหมดทั้งบ้าน ประหนึ่งว่าบ้านร้าง เพราะไม่เคยเห็นเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่สมัยพ่อแม่ครูจารย์ยังอยู่นี้ ไม่ว่าที่ไหนครึกครื้นไปหมดด้วยบุญด้วยกุศลผลทาน วิ่งเต้นขวนขวาย เวลานี้ยุบยอบไปหมด ในวัดก็มีหลวงตาอยู่ ๒ องค์ ๓ องค์ พระเณรอื่นหมดไม่มีเหลือเลย เหมือนหนึ่งว่าวัดร้าง ครั้นมาทางบ้านก็ยุบยอบกรอบเกรียมไปหมด
แกก็เล่าของแกไปธรรมดา เราฟังอย่างถึงใจนะ ทางนี้ก็กระเทือนใจ โอ้โฮ พี่น้องชาวหนองผือนี้มีบุญคุณต่อพระเณรขนาดไหน ๆ รวมอยู่นั้นหมด เลี้ยงดู แต่ก่อนไม่มีตลาดนะ นี่ที่น่าเห็นใจมาก ถ้ามีตลาดลาดเลพอจับพอจ่ายสิ่งของมาได้ก็พอทำเนา นี่ไม่มีเลยจะว่าไง หาด้วยฝีมือเจ้าของ หาด้วยมือเจ้าของ วิ่งเต้นขวนขวายหาได้มาอะไร ๆ ก็มาใส่บาตรหมดนั่นแหละ เจ้าของดูน่าจะไม่กินท่านะ ขอให้ได้ใส่บาตรก็พอ ด้วยความภาคภูมิใจของพี่น้องชาวหนองผือทั้งฝ่ายผู้หญิงผู้ชายทั้งบ้านว่างั้นเถอะน่ะ
ตั้งแต่เช้าผู้ชายไปวัดแล้วไม่ได้กลับมาละนะ ทำที่นั่นที่นี่ร้านเล็ก ๆ นั่นแหละ เป็นแคร่เล็ก ๆ เพราะพระไปมาก ๓๐-๔๐ องค์ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยมีพระ นั่นซีมันก็หนักมากล่ะซิ ทั้งจะทำทางจงกรม ทั้งจะทำที่พักให้พระองค์นั้นแล้วองค์นี้ ประชาชนฝ่ายผู้ชายนี้ไม่ได้กลับบ้านละ ค่ำถึงกลับ ทางฝ่ายผู้หญิงก็วิ่งเต้นทางบ้านทางโน้น เพื่อหาอาหารบิณฑบาตใส่บาตรถวายพระตอนเช้า เพราะพระมีจำนวนมาก นี่จึงว่าในปีแรกที่ไปอยู่นั้นเป็นปีที่หนักมากสำหรับพี่น้องชาวหนองผือเรานะ ประหนึ่งว่าไม่ได้ทำงานส่วนตัวเลย วิ่งเต้นกับวัดกับวา
เวลาท่านจากไป โอ้โห ร้องห่มร้องไห้น่าสงสาร นั่งประนมมือเป็นแถวอยู่ข้างทางที่หามท่านออกไป เราเดินตามหลังสลดสังเวช ไม่ทราบสลดสังเวชในแง่ใดมุมใดเราก็ดี เหมือนหนึ่งว่าอกจะแตกเหมือนกันเรา พอเขาเล่าให้ฟังเขาก็ไปของเขา เราไม่เคยถามแม้สักคำหนึ่งเลยนะ มีแต่เขาเล่าให้ฟัง โยมคนนั้นชื่อทิดผาน เห็นไหมถ้ามีเรื่องแล้วเราจะจำได้ปั๊บเลยทันทีไม่ลืมละนะชื่อคนนั้น ดีไม่ดีจะถามถึงนามสกุลเขานู่น มันจะจำได้หมดเลยถ้ามีเหตุแล้วมันไม่ใช่ความจำ มันเป็นความจริง อริยสัจจับปุ๊บเข้าในหัวใจแล้วไม่ลืม อันนี้ก็เป็นลักษณะอริยสัจที่เป็นห่วงใยสงสารพี่น้องชาวหนองผือ ขึ้นถึงอุทานในใจ โถ ทำไง เราก็ตั้งหน้าว่าจะมาจำพรรษา อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันจำพรรษาแล้วทำไงนี่ เราจะอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว นึกในใจนะ
แกเล่าให้ฟังจบแล้วแกก็กลับไปบ้าน เราก็ไม่พูดอะไรเลย เพราะสงสารพี่น้องชาวหนองผือ เราต้องกลับไปจำพรรษาหนองผือว่างั้นเลย บ้านนี้มีคุณต่อพระเณรมากมายขนาดไหน ฝังลึกมาก คุณค่าของถ้ำนี้สู้คุณค่าของพี่น้องชาวหนองผือไม่ได้ เทียบกันทันทีเลย เราจะต้องกลับไปจำพรรษาหนองผือ เรามาเมื่อไรก็ได้ถ้ำอันนี้น่ะ อันนั้นมีคุณขนาดไหน พอตื่นเช้าฉันเสร็จแล้วก็บอก เพ็ง เตรียมของ บอกเลยนะเตรียมของกลับไปหนองผือเช้าวันนี้แหละ ไปจำพรรษาหนองผือ ตกลงว่าจะจำที่นี่ไม่ได้จำแล้วแหละ เอ้า ว่าไง ก็ไม่ได้ยินเหรอโยมผานมาพูดให้ฟังเมื่อวานนี้ ก็นั่งฟังอยู่ด้วยกันว่าไง เตรียมของออกเดินทางเลย นั่นเห็นไหมล่ะ ปุ๊บออกเลย
เดินทางหลายคืนอยู่นะ มาเรื่อยภาวนามาเรื่อยมาถึงหนองผือ เราจำไม่ลืมนะ พอไปถึงบ้านหนองผือเดือน ๘ ขึ้น ๘ ค่ำ พอ ๑๕ ค่ำก็รวมเข้าพรรษา นี่จวนแล้วว่าจะจำพรรษาที่นี่ พอไปถึงวัน ๘ ค่ำเรื่องมันกระเทือนออกไปตามที่ต่าง ๆ อย่าง อ.พรรณานิคม ที่ไหนต่อที่ไหน พระเณรก็หลั่งไหลมา แต่ก่อนก็มีพระอยู่ ๓ องค์อย่างว่าจริง ๆ พอเราไปที่นั่นกับท่านเพ็ง ๒ องค์ อีกสักสามวันสี่วัน อู๋ย พระเณรหลั่งไหลมา ๆ จนกระทั่งถึงวันเข้าพรรษาพระดูเหมือน ๒๘ องค์ นี่เห็นไหมล่ะของเล่นเมื่อไร อุ่นหนาฝาคั่งเต็มไปหมดละพระ ๒๘ องค์ เฉพาะเวลาท่านจำพรรษาอยู่นั้นก็ประมาณ ๓๖ องค์ แต่ส่วนนอกพรรษาแล้วมีมากมีน้อยเรื่อยนะ ในพรรษาส่วนมากจะประมาณ ๒๕-๒๖ องค์ ท่านไม่รับมาก ก็เห็นใจท่าน นอกพรรษามากกว่านั้น ปีนั้นไปจำพรรษากันถึง ๒๘ องค์รวมแล้วนะ ส่วนญาติโยมก็รู้สึกอุ่นหนาฝาคั่ง
นี่พูดถึงเรื่องบุญคุณของพี่น้องชาวหนองผือ เราไม่ได้จืดจางนะ ฝังลึกอยู่ตลอดอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นพอพูดถึงว่าพี่น้องชาวหนองผือมีงานอะไร ๆ เราจะรับให้ทันทีเลย เพราะอำนาจแห่งบุญคุณนี้มันถึงใจ งานทุกครั้งที่เกี่ยวกับพ่อแม่ครูจารย์ด้วยแล้วผึงเลย ๆ พี่น้องชาวหนองผือก็มีงานขึ้นเรื่อย ๆ ก็สมตามศรัทธาที่มีมาตั้งแต่ต้นทางอยู่แล้ว เราก็ไปให้ทุกครั้ง ๆ งานหนองผือนี่ นี่ละบ้านหนองผือ แล้วคิดดูซิตลาดลาดเลไม่มี พระตั้งเท่าไร ๓๐-๔๐ บางทีนะ บางทีมากกว่านั้นก็มี ท่านเหล่านี้หามาเลี้ยงดูได้หมดเลย ไม่มีตลาดร้านค้าที่ไหน อุตส่าห์พยายามหามา ฝ่ายผู้หญิงวิ่งทางหนึ่ง ฝ่ายผู้ชายวิ่งทางหนึ่ง ทั้งปีแหละปีนั้น หนักมากทีเดียว เราไม่ลืมนะ คุณอันนี้ของพี่น้องชาวหนองผือที่ได้ฝังใจเราอย่างลึก ไม่มีวันถอนเลย ฝังลึกมากทีเดียว
นี่พูดถึงเรื่องอาหารการขบฉัน มาหนองผือพี่น้องชาวหนองผือก็เลี้ยงดูทุกอย่าง เพียงพอ อันนี้เรียกว่าอยู่ในฐานะที่เสมอพอดี ทีนี้เราก็อยู่ของเรามาเทียบกับวัดป่าบ้านตาดล่ะซี มันสะดุดอยู่เรื่อย มันไม่ได้คุ้นนะ อันนี้อาหารที่ไหนเหลือเฟือ ๆ เราพิจารณาย้อนหลัง โอ๊ แต่ว่าพระท่านก็อุตส่าห์พยายามตั้งอกตั้งใจดี ท่านไม่ค่อยจะหลงลืมตัวในเรื่องอาหารมากนัก แต่ถึงอย่างนั้นเราก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงพระ เวลามีอาหารมาก ๆ มันจะใส่หวาม ๆ ตกลงหมอนตูมเลย ตกลงหมอนนะ พอทางนี้ใส่เต็มเหนี่ยวแล้วก็ลงหมอนตูมเลย ถ้าฉันมากมันง่วงด้วย มันขี้เกียจด้วย เข้าใจไหม
เราเคยหมดนะที่เอามาพูดนี้ ไม่ใช่ไม่เคย ทดสอบทุกอย่างเพื่อหาอรรถหาธรรมเข้าสู่ใจ วิธีการต่าง ๆ เสาะแสวงหาทุกด้านทุกทาง หายึดหาเกาะที่ไหนว่าเหมาะสมแล้วจับปั๊บ ๆ เลย ไม่ได้เพ่นพ่านนะ หาหลักจริง ๆ ทีนี้เวลาไปอยู่ในป่าในเขา เราไม่ได้ตำหนิใครนะ ก็เป็นความสมัครใจเราเอง บ้านไหนบ้านใหญ่เราไม่ไปอยู่ พอไปพักนอกบ้านเท่านั้นเขารุมมา โอ๊ย บ้านนี้ไม่เป็นท่าแล้ว คือเขาจะมากวนเข้าใจไหมล่ะ เราไม่สนุกภาวนา บ้านนี้ไม่เป็นท่าแล้ว พอเห็นเราไปพักอยู่นอกบ้าน เขารุมออกไปถามข่าวถามคราวจะไปไหนมาไหนยังไง เรารู้แล้วบ้านนี้ไม่เป็นท่า พอเขามาก็บอกว่ามาพักที่นี่แล้วจะไปที่โน่น บ้านนี้เลยจะไม่พัก มองดูคน คือมันกวนธรรมนะ
ทีนี้ไปหาบ้านสามสี่หลังคาเรือนห้าหลังคาเรือน ส่วนมากเราจะไปอยู่กับพวกโซ่พวกข้าอยู่ในภูเขา ภูเขาหนา ๆ นี้เราอย่าเข้าใจว่าไม่มีบ้านนะ มีเป็นแห่ง ๆ ห่าง ๆ สามสี่หลังคาเรือน นั่นละไปอาศัยกับเขา ทีนี้เวลาเราไม่ฉันกี่วันนี้ก็ไม่ได้เห็นเขาละ เขาไม่ได้มา เราก็อยู่ของเราไม่ประสงค์ใครทั้งนั้น ภาวนาตลอด อาหารบิณฑบาตส่วนมากจะได้แต่ข้าวเปล่า ๆ มาฉัน ข้าวเปล่า ๆ จะฉันมากแค่ไหน ฉันไปสักเดี๋ยวก็อิ่ม นั่นละพอแล้ว ทีนี้ผลของการฉันน้อยอาหารน้อยผลของมันเป็นยังไง ความง่วงเหงาหาวนอนไม่ค่อยมี ยิ่งอดอาหารไปแล้ว ความง่วงเหงาหาวนอนไม่มี นั่นมันเห็นผลไปอย่างนี้ การภาวนานั่งนี่ไม่ว่าจะเป็นสมาธิ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านปัญญา แน่วด้วยกันทั้งนั้น นั่งสมาธิเป็นเหมือนหัวตอ ไม่เอนไม่เอียงไม่สัปหงกงกงัน จิตแน่ว นี่ผลมาจากอาหาร
ถ้าฉันกับมาก ๆ มันง่วงนะ ถ้ามีแต่ข้าวเปล่า ๆ ไม่ง่วง มันก็เห็นชัดเจน อาหารก็ได้บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนั้น มันเคยเสียพอนะ หาอย่างนี้ ไม่ได้ตำหนิใครเราหาอย่างนี้ ไปที่ไหนหรูหราเราก็เห็น แต่การภาวนาไม่เป็นท่าซิ มันต้องหาที่อย่างนั้น เวลาไปอยู่ที่ไหนถือการภาวนาเป็นหลักใหญ่นะ อะไร ๆ จะต้องบวกเข้าไปหาภาวนา ถ้าภาวนาไม่ดี อาหารชนิดไหนไม่ดีตัดออก ๆ นั่นระวังตัว มันเป็นอย่างนั้น ทีนี้มันดีด้วยวิธีการนั้น เราจะไปหาวิธีการใดให้ดียิ่งกว่านี้ไม่ได้ เราก็ต้องหาด้วยวิธีการนี้ นั่นน่ะมันบังคับเจ้าของนะ
ไอ้เรื่องหิวเรื่องโหยเรื่องอยากมันอยากด้วยกันแหละ มันอยากมีสิบปากสิบท้องนู่นมันไม่พอกิน เคี้ยวก็ไม่พอเคี้ยว ทางนี้ก็ให้มีปาก ทางนี้ให้มีปาก ข้างหน้าข้างหลังให้มีปากหมด ท้องให้มันป่องรอบ ๆ เปิดทางไว้หมด อาหารประเภทไหนให้ไหลเข้ามา ๆ นี่ความอยากเข้าใจไหมมันอยากอย่างนั้น แต่ธรรมะนี้ปัดออก ๆ จะให้ออกให้เข้าเฉพาะช่องทางที่เป็นธรรม ๆ อันไหนที่ไม่เป็นธรรมเป็นเรื่องของกิเลสจะออกจะเข้าตีหัวเราแล้วปิดไว้ ๆ ช่องไหนเป็นช่องทางที่จะออกตีกิเลส เปิดให้ ๆ
ทีนี้ช่องทางที่เปิดให้มันเป็นช่องทางที่อัตคัดขัดสน อด ๆ หิว ๆ ล่ะซี ธรรมออกช่องนั้น กิเลสออกช่องหรูหราฟู่ฟ่า ทั้งกินทั้งสะพายใส่ย่าม ทางนี้ก็กิน ทางนี้ก็คว้าใส่ย่ามเรื่อยเคี้ยวเรื่อย เดินจงกรมไปเรื่อยเคี้ยวเรื่อย ๆ นี่เป็นทางของกิเลส ไปทางนู้นยืนนิ่งแต่ปากไม่นิ่งมันงับ ๆ นี่ปากของกิเลสเข้าใจไหม เอา เทียบนะ เราพูดถึงเรื่องการฝึกทรมานตัวเอง เวลาไม่ฉันจังหันนี้ความง่วงไม่มี กลางคืนนี้นอนประมาณ ๒ ชั่วโมงเท่านั้นแหละ มันไม่ง่วงนะ พอเคลิ้มหลับไปพอตื่นขึ้นมาพอแล้วนะ ธาตุขันธ์ก็พอ ทุกอย่างก็พอ ความเพียรนี้พุ่ง ๆ
นี่ละธรรมะเจริญรุ่งเรืองภายในหัวใจด้วยความอดอยากขาดแคลนทางธาตุทางขันธ์อาหารการกิน มันเห็นอยู่อย่างนี้จะว่าไง เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วจะเลือกเอาอย่างอื่นไม่ได้ ก็เราเลือกหาหลักสำคัญ ๆ นี่หลักสำคัญไม่มีอะไรเกินกว่านี้แล้ว เราต้องจับปั๊บเลย ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนเราต้องทน มันก็เป็นมาอย่างนั้นตลอด ๆ ไปบางแห่งก็มี อาหารธรรมดาก็มี แต่ส่วนมากมีแต่อย่างนั้น ก็เราหาอย่างนั้น ไปหาผาสุกสบายธรรมดาการภาวนาจะไม่สะดุดใจนะ ถ้าไปที่ไหนได้อาหารการขบการฉันธรรมดามาฉัน จิตใจก็ไม่ตื่นเต้น จิตใจไม่เป็นของแปลกประหลาด แน่ะมันต่างกัน ถ้าวันไหนมันอด ๆ หิว ๆ มันมีของมัน นี่มันก็จับเอา ๆ ทีนี้มันก็ดึงไปทางอดอยากล่ะซีจะว่าไง
เมื่อมันเป็นอย่างนั้นจนชินแล้ว ได้ผลทางด้านธรรมะมาจนเป็นที่พอใจ ๆ แล้ว จึงมาเห็นหรูหราฟู่ฟ่าอย่างนี้มันอดไม่ได้นะ เป็นห่วงพระเณรบ้างอะไรบ้าง เพราะพระเณรส่วนมากจะไม่เคยประพฤติปฏิบัติที่อย่างเรานี้ เราชักจะแน่ใจว่าพระเณรที่จะปฏิบัติตามอย่างที่เราปฏิบัตินี้น้อยมากแทบจะไม่มีว่างั้นนะ ทีนี้เวลามีอะไรขึ้นมามันก็ลืมตัวได้ง่าย ฉันก็ธรรมดาเสีย ทีนี้การอยู่การหลับการนอนความเพียรก็เลยกลายเป็นธรรมดา ธรรมดาเพื่อลดลง ๆ จนกระทั่งไม่มีอะไรติดหัวใจในบรรดาธรรมทั้งหลาย ไปอย่างนั้นนะ นี่ละที่เป็นห่วงหมู่เพื่อนมากนะ
นี่วัดป่าบ้านตาดอยู่ที่ไหนมันก็หรูหราฟู่ฟ่าอย่างนี้ตลอดเวลา ออกจากนี้ไปไหนมันก็แบบเดียวกัน แต่ไม่มีพระเณรติดตามไปก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ที่อยู่ที่นี่อยู่กับพระกับเณร เราปกครองพระเณรด้วยความควบคุมจริง ๆ ทางด้านจิตตภาวนานี้จะลบไม่ได้นะ การช่วยชาติบ้านเมืองก็อย่างนี้ละ เห็นไหมนี่ขอบเขต ก้าวเข้าไปข้างในไม่ได้นะ นั่นเขียนไว้แล้วหยุด ห้ามเข้า ใครจะเข้าไม่ได้นะเราเป็นคนสั่งเอง เข้าไปก็ถูกขนาบเลย นั่นละขอบเขตทั้งนั้นเป็นที่ภาวนาสำหรับพระทั้งนั้น ใครไปยุ่งไม่ได้เลย ประชาชนมาก็มานี่ เราช่วยชาติก็ช่วยจากนี้ออกไป ทางด้านนั้นไม่ให้เข้าไปยุ่งพระ
ความพากเพียรทางด้านพระนี้เราจึงไม่ให้อ่อนเลย เสมอต้นเสมอปลายเรื่อยมา เราไม่เห็นอะไรยิ่งกว่าธรรม ธรรมนี้เลิศเลอสุดยอด ๆ ตลอดเวลาแล้ว จึงต้องทะนุถนอมบำรุงรักษาตลอดเวลา เวลามีอาหารมาก ๆ นี้ก็รู้สึกเป็นห่วง ๆ พระเณรเหมือนกัน มันหากเป็นอยู่ในจิตนะ ไม่พูดก็เป็น ด้วยเหตุนี้เองเวลาไปวัดนั้นวัดนี้อาหารที่มาก ๆ เราอยากให้ด้วยความเมตตาทางด้านหนึ่ง แต่ให้ไปแล้วพระเณรก็จะมีส่วนเสีย เช่น นอนใจ การขบการฉันฟุ่มเฟือยเหลือเฟือนี้การภาวนาจะไม่ดีนะ มันก็ห่วงอันนี้อีก มันห่วงทั้งข้างหน้าข้างหลัง เราเป็นอย่างนี้ตลอดนะ
เรื่องของเราที่เคยคิดมาเรียบร้อยแล้วกับการปฏิบัติและกับพระกับเณรทั้งหลาย เราปฏิบัติมาอย่างนี้ ที่เราเปิดเต็มที่ก็คือที่วัดภูวัวกับวัดภูสังโฆ เปิดร้อยเปอร์เซ็นต์ ทางโน้นมานี้จะเอาเท่าไรขนให้เลย อยู่ในโกดังเต็มเรียบร้อยแล้ว ไว้สำหรับโรงพยาบาล ส่วนวัดที่ว่านี้มาให้เต็มไปเลย ๆ สำหรับวัดภูวัวเราไปส่งเอง คือให้เขาไปส่งประจำเดือน ๆ พอจวนสิ้นเดือนตั้งแต่วันที่ ๒๕-๒๖ ไปละ ต่อเดือน ๆ ไปส่งทุกเดือน ๆ ให้เต็มที่ ๆ เรื่องความเป็นห่วงว่าอาหารจะเหลือเฟือเราก็หากมีเป็นห่วง
แต่ท่านก็เป็นคนคนหนึ่งท่านปฏิบัติธรรม ความพอดีท่านก็ควรจะคิดนี่นะ เราก็ให้ไปเต็มเหนี่ยวเลย ไม่คิดจะกินให้ตายก็แล้วแต่เถอะเราไม่ไปกุสลาให้เท่านั้นเองละ พูดง่าย ๆ ถ้ากินอิ่มจนตายแล้วเราไม่ไปกุสลา มีแต่จะเอาสันพร้าโยนไปใส่ นี่อดไม่ได้ จึงให้ต้องเต็มเหนี่ยวทุกครั้งเลย ของส่งให้เต็มเหนี่ยว ๆ เผื่อไว้ ๆ เผื่อพระเณรที่อยู่บริเวณนั้นมีเยอะนะ แห่งละสององค์สามองค์สี่องค์ ท่านอยู่รอบ ๆ นั้นในภูเขา เวลาท่านมาหากัน ท่านก็เกี่ยวข้องกันในเรื่องอาหารส่งเสียกันให้ไปเรื่อย ๆ ฉะนั้นเราจึงต้องไปส่งให้จุดศูนย์กลาง เปิดทางให้เลย บางทีท่านก็เล่าให้ฟังว่ามีวัดนั้นวัดนี้มาหา ก็มีแต่ในป่าด้วยกันนั่นแหละ อดอยากขาดแคลนเหมือนกัน มาก็ได้ให้ท่านไป ให้ไปเถอะเราบอก ผมไม่สามารถที่จะส่งซอกแซกซิกแซ็กได้ มาส่งไว้จุดศูนย์กลาง เมื่อท่านผู้ใดมีความจำเป็นอะไรให้ไปเลย อะไรบกพร่องให้บอกไปทางผม ผมจะส่งมาทันที เราก็สั่งไว้อย่างนั้นเลย อันนี้เปิดร้อยเปอร์เซ็นต์กับทางภูสังโฆ
นอกนั้นไม่ค่อยเปิดนะ ให้บ้างไม่ให้บ้าง เพราะไปบิณฑบาตแต่ละหมู่บ้าน หมู่บ้านนี้เขาสามารถเลี้ยงดูพระทั้งวัดได้ นี่เราคิดแล้วนะ อดอยากขาดแคลนที่ไหน ไม่อด สำหรับที่อยู่ลึก ๆ นั้น ที่โคจรบิณฑบาตเราก็เห็นสภาพของเขาแล้ว แต่พระนี้มีจำนวนเท่าไร มันจะเกินกว่าเหตุกว่าผลไป เพราะฉะนั้นเราจึงช่วยหนุนทางนี้ ๆ อย่างนั้นแหละช่วยพระเณร นี่เราพูดถึงเรื่องอาหารการบริโภคเราเคยปฏิบัติตัวมาอย่างนี้ตลอดมานะ
ดังที่เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เวลา ๙ ปีนี้เราเรียกว่าหนักเต็มที่เลยเทียว ถ้าสมมุติว่าให้สมัครไปติดคุกติดตะรางแล้วแก้กิเลสได้ เช่นเดียวกับเราประกอบความเพียรอยู่นอกเรือนจำ อยู่ในป่าในเขานี้เราแก้กิเลสได้อย่างนี้ ๆ เวลาเข้าไปติดคุกติดตะรางเป็นนักโทษ แล้วเราก็แก้กิเลสได้ในเรือนจำอย่างเดียวกันนี้ เราจะสมัครเข้าเป็นนักโทษในเรือนจำ เพราะอะไร เรือนจำมันไม่ได้ลำบากนี่นะ ลำบากอะไร กินข้าววันละสองมื้อสามมื้อ จักตอกเหลาตอกวันละสี่เส้นห้าเส้น ฆ่าเวล่ำเวลาให้หมดไปพอถึงวันออกจากตะราง เป็นแต่เพียงว่าเขาไม่นับถือเขาไม่ยอมรับ โลกเขาไม่นิยม เป็นคนไร้คุณค่าไร้ราคา ไม่มีศักดิ์ศรีเท่านั้นเอง
ถ้าลงกิเลสออกจากใจด้วยการไปอยู่เรือนจำนั้น ศักดิ์ศรีไม่ศักดิ์ศรีก็ช่างเถอะ กิเลสตัวสำคัญของเราฟาดออกไปแล้ว ศักดิ์ศรีไม่ศักดิ์ศรีเราไม่สนใจกับหัวมันแหละ เราจะสมัครเข้าไปติดคุกเลย แต่นี้ไปติดคุกก็อย่างว่าแหละ กิเลสตัวเดียวก็ไม่ถลอกปอกเปิก อยู่นอกนี้มันถลอกว่าไง ก็ต้องทนเอา ทุกข์ยากขนาดไหนมากกว่าทุกข์ในเรือนจำนะ ถ้าพูดถึงเรื่องความทุกข์ทรมานทางด้านจิตใจเราด้วยการฆ่าฟันหั่นแหลกกับกิเลสทุกข์มากที่สุดเลย แต่เป็นความสมัครใจไม่มีใครมาบังคับเรา เราพูดถึงเรื่องความทุกข์ในเรือนจำนักโทษในเรือนจำสู้เราไม่ได้ เราหนักมากกว่านั้น กลางคืนกลางวันนอนนี้เหมือนแม่เนื้อตื่นนายพราน สะดุ้งผึง ๆ ตลอดเวลา การฝึกตัวเอง นักโทษจะไปผึงอะไร มันนอนแล้วมันจะไปผึงอะไรนักโทษ ฟังเท่านี้มันก็รู้แล้วนักโทษ นอนตั้งหน้าตั้งตาตื่นเนื้อตื่นตัว ตื่นขึ้นมาไม่ต้องล้างหน้าวิ่งหางานของนักโทษเลย ไม่เคยมีใช่ไหม ถ้าว่าล้างหน้ามันอยากได้มาสัก ๑๐ โอ่ง ล้างตั้งแต่นี้ถึงเที่ยงพอดีหมดโอ่งหนึ่ง คือไม่ต้องทำงานเวลานี้กำลังล้างหน้า เท่านั้นแหละนักโทษ เรานี้ผางผึง ๆ เลย นี่จึงว่าทุกข์มากทีเดียว
การฝึกทรมานตัวเอง ก่อนที่จะได้ธรรมมาสอนพี่น้องทั้งหลายนี้ได้มาอย่างภูมิใจ สมเหตุสมผลที่เราสละตาย เวลาได้มาก็สมเหตุสมผล ไม่มีข้อที่ต้องติกันเลย ว่าธรรมประเภทที่รู้ที่เห็นที่เป็นอยู่ในหัวใจนี้ได้มาจากอะไร ได้มาจากนั้น ๆ แบบสลบไสลไปเลยนะ แต่เราก็ไม่เคยสลบนะ มันหากเฉียด ๆ อยู่ตลอดเวลา ด้วยความทุกข์ความทรมานในการฆ่าฟันหั่นแหลกกับกิเลสนั่นแหละ แล้วเวลาได้มาก็สมภูมิ ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็ไม่รู้อย่างนี้ไม่เห็นอย่างนี้ มันรับกันปั๊บ ๆ เลย เราจึงได้มาแนะนำสั่งสอนพระเณร แล้วเวลามาดูพระดูเณรของเรานี้มันก็ขวางหูขวางตาขวางใจขวางหัวอกเหมือนกันนะ กับพระกับเณรในวัดเรานี้นะ เราทนนะ ทนแสนทนทีเดียวมาอยู่กับพระกับเณรนี้ ไม่ใช้ความคิดความอ่าน เป็นแบบขอนซุงทั้งท่อน ไปก็ไปแบบขอนซุง นั่งแบบขอนซุง นอนแบบขอนซุง กินอยู่ปูวายแบบขอนซุง ไม่ใช้ความคิดความอ่านพิจารณาไตร่ตรองอะไรด้วยสติปัญญาบ้างเลยสมกับผู้มาเสาะแสวงหาธรรม นี้มันเข้ากันไม่ได้เข้าใจไหมล่ะ
นี่มองไปไหนพับ ๆ ดูพระเณร เราไม่ได้มองเพื่อจะยกโทษยกกรณ์ มองด้วยการแนะนำสั่งสอนบกพร่องตรงไหน ๆ มันจะสะเทือนตาสะเทือนใจสะเทือนหู พูดออกมาคำไหนมีเหตุมีผลกลไก เป็นความฉลาดหรือความโง่มันจะบอกในตัว ๆ กิริยาที่มาทำข้อวัตรปฏิบัติในกุฏิของเรา เฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณที่เราอยู่ องค์ไหนเข้ามานั้นจะมาประกาศความเซ่อซ่าเหลวไหลให้เห็น เราอยากจะพูดว่าทุกรายไป นี่เราพูดจริง ๆ นะ ทน เมื่อมันทนไม่ได้จริง ๆ ก็วากวีกออกมาเสียทีนึง จะว่าไง มาทำอะไรไปนี่กิริยาที่ทำวางรอยมือเอาไว้ ๆ นี้เป็นรอยมือที่ฉลาดรอยมือรอบคอบ หรือรอยมือที่เซ่อซ่า ๆ หรือรอยมือไม่เอาไหน มันจะบอกอยู่ในผลงานที่ทำ นั่นละพอมองเห็นปั๊บรู้แล้ว ๆ งานนี้ผลงานออกมาจากความเซ่อซ่าความไม่เอาไหนมันก็รู้ ออกมาจากความพินิจพิจารณา ออกมาจากความตั้งอกตั้งใจจริง ๆ ก็รู้ มันจับได้ปั๊บ ๆ ไม่ต้องมาสอนกันอย่างนี้แหละมองดูผลงานที่มาทำเกี่ยวข้องกับกุฏิเรา เราก็รู้ เป็นอย่างนั้นนะ
เพราะฉะนั้นถึงดุเรื่อย จนขนาดที่จะไม่ให้พระเณรเข้าไปเกี่ยวข้องในกุฏิเราเลย คือเราอยู่คนเดียว ๆ ไม่มีอะไรมายุ่งเรา เราสบายแสนสบายไม่มีอะไรยุ่งเรา ครั้นมามาทำเพื่อจะให้เป็นความสะดวกสบาย กลายมาเป็นก้างขวางคอเราเข้าแล้ว เอาซุงมาขวางทางเราเข้าแล้ว มันก็รำคาญล่ะซี นี่ที่หมู่เพื่อนไม่ใช้ความพินิจพิจารณาในการปฏิบัติ แล้วจากนั้นก็ไม่พ้นที่จะรวมเข้ามา มาแก้กิเลสแก้แบบนี้เหรอ แก้กิเลสแบบนี้มีแต่เรื่องกิเลสเหยียบหัวคน ไม่ใช่แบบคนแก้กิเลสนะ บอกเลยผลงาน นี่มันเห็นอยู่อย่างนั้นจะว่าไง เราไม่พูดเฉย ๆ เราจึงบอกว่าเราทนนะ ๆ กับหมู่กับเพื่อน
การปฏิบัติระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันนี้จะมาเซ่อ ๆ ซ่า ๆ ไม่ได้มันเคยฟัดมาเสียจนเต็มเหนี่ยว ยิ่งกิเลสละเอียดเท่าไร สติปัญญายิ่งแหลมคม ๆ ติดตามทันกันตลอด ๆ ๆ ถึงขนาดนั้นมันจึงฆ่ามันได้ เพราะฉะนั้นแบบเซ่อ ๆ ซ่า ๆ นี้จมไปเปล่า ๆ จึงต้องฝึกหัดซิ เราไม่ได้แบบท่านก็ขอให้ได้แบบที่เราลูกศิษย์มีครูมีอาจารย์สอน ควรจะนำไปปรับปรุงแก้ไขตัวเอง อันใดที่ควรอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ พยายามทำให้ได้ เป็นความดีสำหรับเรา ๆ ที่ไม่ทำไม่มีความดีอะไรเลย เสียหายตลอดไป แล้วกลายเป็นนิสัยไม่มีค่ามีราคาอะไรเลย จมไปเปล่า ๆ พากันจำให้ดีนะ
นี่พระเณรมันตั้ง ๕๐ หรือเท่าไรนี่มันไม่น้อยนะ บังคับเอาไว้ตลอด ถึงขนาดนั้นยังดูเหมือนจะ ๕๐ แล้วเดี๋ยวนี้ เต็ม ๆ ตลอดเวลา เราก็เห็นใจที่ว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายมีจำนวนน้อย มาเห็นใจอย่างเดียวไม่คำนึงถึงความลำบากในตัวของเราที่แบกภาระมันก็ไม่ถูก เห็นใจนั้นก็เห็นใจเพื่อจะแบกนั่นเอง แบกมันก็หนักล่ะซี นี่มันทนไม่ได้นะ จึงดุเอาบ้างอะไรบ้างพระเณร แล้วมาเรื่อย โกโรโกโสไม่ได้หน้าได้หลังมีมากต่อมากนะ ผู้ลำบาก ลำบากจะตาย พระเณรในวัดนี้ผู้ลำบากมากมีอยู่เยอะ นี่เพราะรับภาระทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเป็นผู้รู้จักการจักงานพอสมควรแล้วก็รับใช้วัด ผู้ที่เป็นซุงทั้งท่อนเข้ามาให้มาแบก ๆ ผู้ที่ทุกข์อยู่แล้วก็ทุกข์พอแล้ว พวกอื่นมาให้แบกอีกนั่นซีมันหนักมากนะ โหย หนักมากนะ
วันนี้จะกลับเครื่องบินเที่ยวบ่ายเหรอ (บ่าย ๒ โมงเจ้าค่ะ) เออ ก็พอดีแล้วกลับไปให้ภาวนา ถ้าหากว่ายังขาดเขินบกพร่องอะไรก็ให้ติดต่อกับพวกครัวด้วยกัน เพราะพวกนี้เขาสมบูรณ์ คือพวกเสื่อเขาก็สมบูรณ์ หมอนเขาก็สมบูรณ์ ให้เขาเอามามัดติดหลังติดคอให้แล้วค่อยขึ้นเครื่องบินไปนะ พอขึ้นไปโน้นแล้วจะได้สบายไปเลย (ต้องระวังเรื่องอาหารด้วยเจ้าค่ะ) ระวังเรื่องอาหารเหรอ เอาละให้พร
.
เมื่อเช้านี้เราออกตั้งแต่เช้าเลย พอสว่างหน่อยกะว่าคนจะยังไม่มา เราจะออกไปตอนไม่มีคน ไปดูไก่ ไก่ที่อยู่นอกกำแพง เขาก็เข้าใจแล้วข้างนอกคือไก่วัดนะ มันออกไปนอกกำแพง มันอยู่ข้างนอกมันเลยไม่เข้า เต็มอยู่นั่น เมื่อเช้านี้ไปมันยั้วเยี้ย ๆ มากอยู่นะ พวกนี้ก็รู้กันหมดแล้วแหละว่าไก่วัด พวกทำงานเขาก็รู้ พวกคนแถวนี้ก็รู้หมดว่าไก่ที่ออกมาอยู่ข้างนอกเต็มอยู่นั้นคือไก่วัด มันเล่นอยู่ข้างนอกมันเลยไม่เข้ามาก็มี ออกลูกออกเต้าอยู่นั้นก็เลยอยู่นั้นเลย แต่ก่อนมันเข้ามา ตั้งแต่ไม่มีกำแพงมันเข้าออก ๆ พอมีกำแพงแล้วมันออกไปไม่ค่อยเข้า ลูกเต้าก็อยู่นู้นเยอะ พวกไก่เยอะ จากนั้นจึงเข้ามาที่นี่ มานี้ โถ กระรอกเต็มไปหมดเลยแถวนี้ ยั้วเยี้ย ๆ ไปเล่นกับสัตว์อย่างนั้นแหละ เอาละไปละ
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร
www.luangta.com |