เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
ใจบริสุทธิ์ไม่มีที่ลับที่แจ้ง
ที่ช่วยโลกคือโรงพยาบาล รู้สึกจะเป็นอันดับหนึ่ง นอกนั้นก็ช่วยแต่ไม่ติดกันตลอดมาเหมือนโรงพยาบาล อันนี้เอาจริงๆ ติดกัน ช่วยหลายแง่หลายทาง เครื่องมือแพทย์ รถ ตึก จากนั้นบางทีที่คับแคบก็ซื้อขยายให้ใหม่ ซื้อขยายออกไปๆ เว้นแต่ที่ไหนที่เขาไม่ขายก็จนปัญญา จะซื้อตรงนี้เขาไม่ขายเสียอย่างเดียว หมด ถ้าเขาขายเอาให้ได้นี่หลายแห่ง เรียกว่าโรงพยาบาลนี่รู้สึกว่ามากกว่าเพื่อน
โรงพยาบาลเลยกลายเป็นว่าพ่อกับลูกนะ พอเห็นเราไปโรงพยาบาล เหมือนพ่อไปเยี่ยมลูก รุมมาเลยแหละ โรงไหนๆ ก็พอๆ กัน เราช่วยจริงๆ แรกๆ เข้าไปในครัวคนไข้เลย ไปค้นดูทุกอย่างเลยเรา เหมือนพ่อครัวเข้าไปซอกแซกๆ ไปดูๆ ให้เห็นด้วยตาเอง เป็นยังไงครัวโรงพยาบาล ไปแล้วก็ซักถามอยู่ในนั้นแหลกเลย พอได้ข้อมูลมาแล้วก็ปฏิบัติถูก คือไปหาข้อมูล
เมื่อวานนี้ไปให้วัด ถ้าวันไหนเป็นเสาร์อาทิตย์ เราก็เอาของไปถวายวัด ถ้าวันราชการก็ไปตามโรงพยาบาล วันนี้โรงนั้น วันนั้นโรงนั้นๆ ติดต่อ ทางโน้นเขาก็มาขอในโกดัง โรงไหนมาก็จัดให้ๆ ส่วนเราก็ไปของเรา
นี่ก็ตกลงกันแล้วกับทางเวียงจันทน์ อันนั้นก็สงสาร ไปดูสภาพ คิดดูซิว่า โรงพยาบาลเวียงจันทน์ตานั้นเขาขอเท่าไรให้หมดเลย เขาเอาบัญชีมาเลย ขาดอะไรๆ บ้าง เราให้หมดเลย ไม่มีข้อยกเว้น ให้ทุกข้อ เขาขอมาเป็นข้อๆ ให้หมด มัน ๘ ล้าน ๕ แสน ๘ หมื่น จากนั้นก็ให้เขามารับของจากวัดเราไป พวกอาหารการกิน ดูเหมือนจะไปแจกทั่วๆ ไปคนทุกข์คนจน เขาถ่ายภาพมาให้ดู มาขอบคุณอะไรเรา เขาเอาภาพที่เขาเอาของไปแจกคนเอามาให้เราดู เราก็ยอมรับว่าจำเป็นจริงๆ เพราะฉะนั้นถึงให้อีกคราวนี้ ให้สั่งไปเลยว่า ให้เอารถสิบล้อมาสองคัน
นี่เขากำหนดแล้วว่าจะมาวันที่ ๓ รถสิบล้อมาสองคัน เขาจะเอาอะไรมาก็แล้วแต่เราไม่ว่า เอามาเราก็ใส่ให้เต็มเลยละ ของเราจะไปจัดซื้อมาไว้ที่นี่รอเขา มาวันที่ ๓ วันที่ ๒ เราไปจัดแล้ว ตกลงกันแล้วเขาอาจจะมาตอนเช้า เขาจะเอารถสิบล้อมาสองคัน หรือจะเอารถเทรลเลอร์มาก็ตาม เต็มทั้งนั้นแหละถ้าลงได้ลั่นคำแล้ว ลงได้ลั่นคำแล้วต่อยไม่ถอย หมัดหนึ่งไม่พอเอาสองหมัดต่อยเลย หมัดไหนจะรุนแรง ถ้าธรรมดามวยหมัดเดียวรุนแรง สองหมัดไม่เป็นท่า แต่รถเรานี้เอามาสองคันสามคันเป็นท่าทั้งนั้น เขาเอามาเราให้หมด เต็มเลย
ด้วยความสงสารนี่ละที่ช่วยโลกไม่ใช่อะไรนะ ไม่ใช่เรื่องเสแสร้งอะไร เป็นเรื่องธรรมชาติที่ออกไปจากใจจริงๆ ถ้าเรื่องเสแสร้งมันเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ถ้าเป็นธรรมชาติในใจเช่นอย่างเมตตานี้ มันครอบไปหมดเลย เป็นธรรมล้วนๆ คำว่าเสแสร้งไม่มี นี่ละเราทำต่อโลกเราทำอย่างนี้
เงินที่ช่วยชาตินี้มันจะเป็นสักกี่หมื่นล้าน เฉพาะเงินสดไม่น้อยละ ออกทั่วประเทศ ออกช่วยพี่น้องชาวไทยเราทั้งนั้นเลย แบมือเลย บาทหนึ่งเราไม่เคยแตะ ฟังซิท่านทั้งหลายไปหาเอา ไปหาผู้นำที่บริสุทธิ์ว่าไม่แตะสักบาทเดียว ไปหาซิทั่วประเทศไทยเรา เราชี้นิ้วเลยว่าไม่มี ที่เรากล้าพูดนี้คือใจของเราบริสุทธิ์เต็มที่ เราไม่มีอะไร อะไรเข้ามาเปื้อนนิดหนึ่งไม่ได้ มันปัดของมันเอง คิดอะไรแง่ผิดปัดทันทีเลย ไม่มีที่ลับที่แจ้งความบริสุทธิ์ของใจ เพราะฉะนั้นการช่วยโลกจึงช่วยด้วยความบริสุทธิ์ เป็นความอบอุ่น พอใจตายใจกับการช่วยพี่น้องทั้งหลาย
จะมีอะไรเคลือบแฝงงุบงิบๆ อย่างนี้ เราบอกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เราไม่มี คือจะจ่ายมากจ่ายน้อยเราจ่ายด้วยเหตุด้วยผลทั้งนั้น ไม่ใช่ให้แบบชุ่ยๆ อะไรมาให้ไป ไม่ เราไม่เป็นอย่างนั้น เหตุผลลงกันแล้วขนาดไหน ควรจะทุ่มทุ่มเลย ด้วยเหตุผลๆ เราจึงเชื่อความบริสุทธิ์ของเรา เราไม่มีจริงๆ ช่วยโลก เพราะเหตุไร เพราะเราพอทุกอย่างแล้ว ภายในใจเราก็พอทางธรรมทั้งหลายตั้งแต่ปฏิบัติมา รอดเป็นรอดตายมานี่เพื่ออรรถเพื่อธรรมประเภทนี้ แล้วก็สมมักสมหมายด้วยอำนาจแห่งการกระทำคือเหตุสมบูรณ์เต็มที่ หนุนเข้าให้เป็นผลอันสมบูรณ์ ผลอันสมบูรณ์นี้ละที่ช่วยโลกด้วยความบริสุทธิ์ตลอดมา ไม่มีอะไรที่จะสงสัยในตัวเอง ขนาดนั้นแหละ
ใครจะมาโจมตีแบบไหนๆ ก็เหมือนกับหมาเห่าฟ้า แบบอนุโลม แบบตามความเป็นจริงหมาเห่าขี้ หมาอมขี้มาเห่า เราอมธรรมสอนโลก มาโจมตีท่านั้นท่านี้มันปากอมขี้ เข้าใจไหมล่ะ ปากสกปรกอมขี้ นี้ปากอมธรรมออกสอนโลก ถ้าว่าการเทศน์เราไม่มีที่ข้องใจว่าเราได้สอนโลกผิดไปที่ตรงไหน ไม่มี เพราะออกจากใจที่บริสุทธิ์สุดส่วนแล้ว จะผิดที่ตรงไหน ไม่ว่าธรรมขั้นใดๆ ออกจากนี้ทั้งนั้น ห้าบาทสิบบาทร้อยบาทพันบาท เป็นธนบัตรหรือเป็นสมบัติจริงทั้งนั้นไม่ได้ปลอม ออกจากของจริง
เราช่วยโลกนี้เรียกว่าช่วยเต็มสัดเต็มส่วนจริงๆ เราไม่เอาอะไรเลย แบตลอด ไม่มีคำว่ากำ แบตลอด พอทุกอย่าง สมบัติเงินทองข้าวของเห็นเขาติดไว้นั้นว่า สมบัติเงินทองในวัดป่าบ้านตาดนี้เป็นสมบัติเพื่อโลก เรายอมรับทันที เขาเขียนไว้นั่น เพราะเราไม่เคยมีมาเกี่ยวข้องกับเรา จะเกี่ยวข้องอะไร เห็นไหมอาหารมานี่ กินให้ตายมันก็ตาย เหลือเฟือทุกอย่าง กุฏิเขาจะมาขอสร้าง ศาลานี่เขาก็จะมาขอสร้าง ๔ หน เราไม่อนุญาต สร้างไปหาอะไร ไปแข่งขันสวรรค์วิมานชั้นไหนก็ไม่รู้ละ เราเป็นมนุษย์ไปแข่งสวรรค์พรหมโลกไม่ได้นะ หอปราสาทราชมณเทียรนั้นเป็นของทิพย์ นี้เป็นของประดิษฐ์ขึ้นทำขึ้นด้วยกำลังของมนุษย์หยาบๆ สิ่งเหล่านี้ก็หยาบ เป็นหอปราสาทไปแข่งสวรรค์พรหมโลกได้ยังไง เพราะฉะนั้นเราถึงไม่เอา เขามาขอสร้างเราไม่เอา ๔ หนมาขอเปลี่ยนแปลงไม่ให้ทั้งนั้น เราก็ยก แต่ก่อนมันเตี้ยๆ ยกขึ้นเป็นสองชั้นสบาย
เรื่องกุฏิเรา ๘ หน เขามาขอรื้อสร้างใหม่ ไม่ให้ สร้างใหม่ก็ไม่เอา จนไม่ลืมนะขอถึง ๘ หนขอสร้างกุฏิที่เราอยู่ หนที่แปดก็ฟัดกันเลยมันโมโห จิตไม่มีกิเลสตัวโมโห ธรรมตัวโมโหก็มี เข้าใจไหม ธรรมตัวโมโหไม่โกรธใคร แต่รุนแรงด้วยเหตุด้วยผล จะมาสร้างหาอะไรไล่เบี้ยเข้าไปซิ บอกหลายครั้งหลายหนแล้วไม่ฟัง มันยังไงลูกศิษย์กับอาจารย์ไม่ฟังเสียงกัน ซัดกันเอาหนัก ตั้งแต่นั้นมาเลยเงียบ ๘ หนเราไม่ลืม
สร้างหาอะไร ร่างกายมันสะอาดสะอ้านที่ไหน ดูร่างกายของเราของท่านซิมันสะอาดสะอ้านอะไร พอที่จะหาสิ่งที่สะอาดสะอ้านมาบรรจุของสกปรก มันได้เรื่องอะไร สภาพอันนี้เป็นอย่างนี้ สภาพอันนั้นก็พอรับกันได้อยู่กันได้เท่านั้นพอ ไม่ดีดไม่ดิ้นนักมนุษย์เรา อันนี้มันดีดดิ้นเพราะอำนาจของกิเลส กิเลสตัวสกปรกแต่มันอยากให้สะอาดๆ ก็เป็นการเพิ่มความสกปรกด้วยกันเข้าไปอีก ไม่ใช่สะอาดนะ มันเป็นความเห็นของกิเลส ความเห็นของธรรมท่านเหมาะสมทุกอย่าง
อย่างที่ว่านี้ ร่างกายของเรามันสะอาดสะอ้านมาจากที่ไหน วันหนึ่งทั้งซักทั้งฟอกทั้งชะทั้งล้างกี่หนกี่ครั้ง นั่น ถ้าเป็นของสะอาดจะได้ชะได้ล้างมันทำไมมันสะอาดแล้ว นี่ชะล้างแล้ว จะเอาตึกรามบ้านช่องมาใหญ่ขนาดไหนมันก็เท่านั้นแหละ ก็เหมือนกับโลงผี ประดับประดาขนาดไหนก็ประดับประดาคนตายอยู่ในโลงผีนั่น วิเศษวิโสอะไร พิจารณาซิ นี่ละธรรมพูดอย่างนี้ เขาว่าธรรมพูดขวานผ่าซาก ไม่ได้ผ่าซาก พูดตามหลักความจริง
กิเลสมันตัวปลิ้นปล้อนหลอกลวงหลายสันพันคม เมื่อไปขัดกับมันมันก็โจมตีเอาๆ เมื่อโจมตีออกมาก็เป็นปากอมขี้เสียไม่ใช่ปากอมธรรม ธรรมพระพุทธเจ้าพอเหมาะพอดี พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาตรัสรู้ เคยสร้างอะไรหรูหราที่ไหน พอบวชมาแล้วไล่พระเข้าอยู่ในป่าในเขา รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูล คือร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง ที่แจ้งคืออัพโภกาส สะดวก ให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามนี้ จงอุตส่าห์อยู่และปฏิบัติบำเพ็ญในสถานที่นี้ตลอดชีวิตเถิด
อนุศาสน์อันนี้ได้รับทุกองค์บรรดาพระ บวชแล้วไม่เว้นแต่ละองค์ถ้าไม่ใช่พระแหวกแนว พระตามศาสดาแล้วต้องได้รับโอวาทอันนี้ทุกองค์ไม่มีเว้นแม้องค์เดียว เพราะเป็นอนุศาสน์สำคัญ พอบวชแล้วสอนทันที มอบให้อุปัชฌาย์เป็นผู้สอน ถึงจะไม่ชอบใจขนาดไหนอุปัชฌาย์ต้องสอนธรรมบทนี้ ท่านบอกไว้อย่างชัดเจน เน้นหนักมากที่สุดคือรุกขมูลร่มไม้ ท่านไม่ได้บอกว่าบวชมาแล้วให้เธอทั้งหลายไปหาเสาะแสวงหาหอปราสาทราชมณเทียร เอาไปแข่งเทวบุตรเทวดา หอปราสาทมียังไงเอาไปแข่ง ท่านไม่เห็นว่านี่นะ
สิ่งก่อสร้างเหล่านี้เป็นด้านวัตถุ ด้านวัตถุนี้ไปรบกวนธรรมให้ขุ่นมัว ธรรมศาสนาเลยกลายเป็นวัตถุไปหมด ไม่ได้เป็นนามธรรม นามธรรมคือสอนให้ปรับปรุงตัวเอง ฟังซิน่ะ ให้ปรับปรุงตัวเอง แก้ไขตัวเองตรงไหนไม่ดี ความคิดความอ่านที่เป็นความสกปรกโสมม เช่นคิดยกโทษยกกรณ์คนอื่นอย่างนี้เป็นต้น เหล่านี้สกปรกทั้งนั้น อย่านำมาใช้ อย่านำมาคิด และการพูดการจาสิ่งใดที่จะเป็นประโยชน์ให้พูด อย่าพูดแบบกระแทกแดกดัน พูดเสียดสี พูดกระทบกระเทือนอย่างนี้ ปากเสีย
การกระทำเหมือนกัน ทำอันใดให้เป็นประโยชน์ อย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้า ท่านสอนไว้หมดพระพุทธเจ้า ใครจะละเอียดลออยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าไม่มี การสอนโลกสอนละเอียดสุด สอนฆราวาสก็ละเอียด สอนพระยิ่งละเอียดเข้าไปอีก ที่อยู่สอนให้อยู่ในป่าในเขา และให้บำเพ็ญสมณธรรม ใครเข้ามาเฝ้าพระพุทธเจ้า เป็นยังไง ถามแล้วนะ อยู่ในป่านั้นเขาลูกนั้นการภาวนาเป็นยังไง ท่านไม่ได้ถามว่า เป็นยังไงโบสถ์ใหญ่ๆ นั้นเสร็จแล้วยัง สิ้นเงินไปเท่าไร ไปกวนบ้านกวนเมืองเขาสักเท่าไร ท่านไม่เห็นว่า ฟังซิน่ะ
กวนบ้านกวนเมืองเขาซิ พระไม่มีเงิน ต้องไปกวนเขามาก่อนั้นสร้างนี้ หรูหราฟู่ฟ่าไปด้วยวัตถุ แต่หัวใจแห้งผากจากธรรมทั้งหลายใช้ไม่ได้ นั่น ธรรมแท้ๆ ท่านสอนหัวใจ เมื่อสอนหัวใจดีเรียบร้อยแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงออกจากใจเป็นกิริยาอาการต่างๆ จะถูกต้องดีหมด การอยู่การกินการใช้สอยทุกอย่างจะเรียบร้อยไปหมด พอดิบพอดี ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม นี่คือศาสนธรรมที่สอนโลกท่านสอนอย่างนั้น
เดี๋ยวนี้มันมีตั้งแต่กิเลสเข้ามาเหยียบย่ำทำลาย ศาสนาแท้ๆ มีที่ไหน เราอยากจะพูดว่าจะไม่มีเสียด้วยซ้ำไป เอา พูดอย่างเปิดเผยให้เป็นอรรถเป็นธรรม พูดตามหลักความจริง เวลานี้ที่พอจะกราบไหว้ได้ก็คือพระที่ท่านอยู่ในป่าในเขา ท่านบำเพ็ญธรรมอย่างนี้ตลอด บำเพ็ญตั้งแต่ตื่นนอน ท่านภาวนาของท่านชำระความสกปรกภายในใจออกโดยลำดับลำดา กิริยาอาการเป็นอรรถเป็นธรรมล้วนๆ ไปเลย มีอยู่ตามป่าตามเขา ท่านเองก็ภูมิใจ ท่านอยู่ในป่าเหมือนผ้าขี้ริ้ว แต่กลายเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองอยู่ในป่าในเขา สาวกทั้งหลายได้รับการอบรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว ที่ท่านสอนให้ไปอยู่ในป่าในเขา นั่นละเรียกว่ามหาวิทยาลัยป่า แต่ไม่ได้ให้ชื่อเหมือนมหาวิทยาลัยทุกวันนี้ นั่นละมหาวิทยาลัยป่า
ศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นสถาบันแห่งป่าทั้งนั้น พระทั้งหลายอยู่ในป่าๆ และบำเพ็ญสมณธรรม พอสำเร็จจากมหาวิทยาลัยป่ามาแล้ว องค์นี้เป็นพระโสดา องค์นี้เป็นสกิทาคา องค์นี้เป็นอนาคา องค์นั้นเป็นพระอรหันต์ รวมแล้วเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา พระสงฆ์สาวก เอส ภควโต นั่น คือ สุปฏิปนฺโน อุชุ ญาย สามีจิปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรง ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมเป็นที่น่ากราบไหว้บูชา ท่านเหล่านี้เป็น เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ นี่คือสาวกของพระพุทธเจ้า อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺส เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นใดที่จะเสมอเหมือนได้ นี่ออกมาจากป่าทั้งนั้น ได้ยินว่าออกมาจากหอปราสาทราชมณเทียรที่ไหน
แม้แต่กษัตริย์ที่เสด็จออกบวชตามพระพุทธเจ้ามีน้อยเมื่อไร พอออกมาจากหอปราสาทราชมณเทียรของกษัตริย์แล้วเข้าป่าๆ ไม่ได้ไปกังวลกับหอปราสาทราชมณเทียร มีตั้งแต่จะมุ่งมั่นต่ออรรถต่อธรรมแดนมรรคผลนิพพานมาเป็นสรณะของพวกเรา กษัตริย์มีน้อยเมื่อไรที่มาเป็นสรณะของพวกเรา มีตั้งแต่บำเพ็ญอยู่ในป่าในเขา ฝึกจิตใจซ้อมจิตใจ ขัดเกลาจิตใจให้ดี ศาสนาแท้สอนที่ใจ เมื่อใจดีแล้วแสดงออกมาทางกิริยามารยาทการกระทำอะไรดีไปหมด ถ้าใจเลอะเทอะทำอะไรไม่มีประมาณ เลอะเทอะไปหมดนั่นแหละ
บ้านเรือนหลังหนึ่งกี่ชั้นๆ อยากให้เขายกยอว่า โอ๋ย เขามีเงินมีทอง เขามีบ้านมีเรือนสูงสวยงามมากอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เป็นเรื่องของกิเลสชมกัน แข่งกัน ว่าแข่งดีมันแข่งชั่วซิที่นี่ เลอะเทอะ ร้อนเพราะอันนี้เอง โลกไม่มีประมาณ ร้อนเพราะความดีดความดิ้น ธรรมมีประมาณ ไม่เดือดร้อน พออยู่อยู่ พอกินกิน พอใช้สอยอะไรใช้ตามเกิดตามมีเท่านั้น ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย แล้วก็ไม่เป็นทุกข์
ที่โลกเป็นทุกข์นี้เพราะความไม่พอ โลภมาก โลภทุกแบบทุกฉบับ ได้ท่าไหนเอาทั้งนั้น ไม่สมใจแล้วก็โกรธ เคียดแค้น ฆ่าฟันรันแทงกันแหลกเหลวไปหมด กิเลสเป็นอย่างนั้น เรื่องธรรมไม่เป็น มีแต่ความพอดิบพอดีๆ ดังที่นำมาสอนนี้แหละ ไม่มีอะไรหรูหราฟู่ฟ่า โลกเราถ้ามีพุทธศาสนาสั่งสอนและมีความสนใจในพุทธศาสนาแล้ว ไม่มีโลกไหนที่จะสงบร่มเย็นยิ่งกว่าโลกมนุษย์เรา โลกมนุษย์เราเข้ามาหามนุษย์แต่ละคนๆ มีความสงบร่มเย็นทั้งนั้น ดีต่อดีบวกกันไม่เฟ้อ ถ้าเป็นเลวแล้วหนึ่งเลว สองก็ยิ่งเลวเข้าไปๆ นี่ละกิเลสเพิ่มเท่าไรเลวเท่านั้น
เราอย่าเข้าใจว่าจะได้ดิบได้ดีเพราะกิเลสนะ ท่านทั้งหลายอย่าตื่นบ้า กิเลสหลอกคนมาเท่าไรแล้ว ให้นำธรรมเข้ามาประชิดติดพันกับตัวเองแล้วจะรู้จักประมาณ อยู่ในบ้านในเรือนผัวกับเมียก็ไม่ทะเลาะกัน เพราะรู้จักประมาณ พอดิบพอดีแล้ว อปฺปิจฺฉตา ท่านสอนให้มักน้อย มักน้อยคืออะไร สำหรับท่านสอนพระ มักน้อยมีมากเท่าไรไม่เอา เอาเพียงนิดเดียวๆ พอ สอนฆราวาสคำว่ามักน้อย อปฺปิจฺฉตา คือให้มีผัวเดียวเมียเดียว อย่ายุ่งเหยิงวุ่นวายกินไม่อิ่มไม่พอ ระหว่างผัวเมียทะเลาะกัน อยู่ด้วยกันไม่ผาสุก นี่เห็นไหมล่ะ จากนั้นก็แตกจากกัน ครั้นแตกออกไปแล้ว ผัวมึงเป็นยังไง พูดกันนะ เป็นยังไงถึงได้ร้างกัน อู๋ย มันเหมือนหมาจะอยู่กับมันได้ยังไง ก็เราเป็นคนนี่ อยู่กับมันไม่ได้ ถามเมียแล้วทีนี้ไปถามผัว เป็นยังไงเมียมึง ทำไมถึงได้หย่ากัน อู๋ย มันเลวกว่าหมา มันว่าอีกแหละ ไม่มีใครดี สุดท้ายเลวกว่าหมาด้วยกันทั้งคู่ นี่ละแหวกแนว อปฺปิจฺฉตา กับ มหิจฺฉตา
อปฺปิจฺฉตา คือความมักน้อย ผัวเดียวเมียเดียวพอดี ทำไมว่าพอดิบพอดี ท่านทั้งหลายว่าหยาบหรือ นี่เอาความจริงมาพูด ธรรมพูดอย่างนี้ มันมีครบด้วยกัน หญิงคนหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่งมีครบสมบูรณ์ทุกอย่าง สิ่งที่จะต้อนรับกันในวงวัฏวนของโลก มีผัวเดียวเมียเดียวพอแล้ว ไม่มีที่ว่าเมียคนนี้บกพร่องสิ่งนั้นๆ ผัวคนนี้บกพร่องสิ่งนั้นๆ เอา ยกตัวอย่าง ผัวนี่มีโค็ยเดียว ผัวเขามี ๑๐ โค็ย เมียผู้หญิงคนนี้มีหีเดียว ผู้หญิงคนนั้นมี ๑๐ หี ไปเอาอี ๑๐ หีมาอวด นี่เขามี ๑๐ หีนะแม่อีหนู ไปขอคนนั้นมาเป็นเมียของเรา เธอมีหีเดียวสู้เขาไม่ได้
นี่พูดกระซิบเมียไม่ได้พูดดังละ เขากระซิบกันนิ่มมาก จะไปเอาอีนั้นมา อีนั้นมันมี ๑๐ หี ของเธอมีหีเดียว ทางนั้นจะต้องแว้ดขึ้นทันทีเลย ทีนี้ทางผู้ชาย คนนั้นเขามี ๑๐ โค็ย เธอมีโค็ยเดียว ถ้าอย่างนี้จะไปเอามามันก็พอฟัดพอเหวี่ยง พอถกพอเถียงกัน แต่นี้มันก็มีเท่ากัน ผู้หญิงผู้ชายมีเท่ากัน ครบด้วยกันหมด ดีดดิ้นเป็นบ้าหาอะไร เอาฟืนเอาไฟมาเผากัน มันสมบูรณ์แบบ เวลาจะเอา รักชอบกันแล้วสมัครใจกันแล้วค่อยเอากัน เอามาแล้วมาเป็นหมากัดกันทำไมดูไม่ได้นะ
การพูดนี้เห็นว่าหลวงตาบัวพูดหยาบหรือ เรื่องที่ท่านทั้งหลายเป็นหยาบอย่างนี้ต่างหาก นี่ชำระเรื่องที่หยาบนั่นเองจึงเอาเรื่องอย่างนี้เข้าไปชำระ แล้วคำพูดนี้หยาบแล้วเหรอ ตัวคนที่เป็นอย่างที่ว่านี้มันหยาบขนาดไหน ถึงขนาดแตกร้าวจากกัน เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้หมดทั้งครอบครัว ลูกเล็กเด็กแดงอยู่ไม่ติดบ้าน พอพ่อแม่ทะเลาะกันเท่านั้นลูกจะหาความสุขความเจริญไม่ได้ แม้ไปโรงร่ำโรงเรียนก็ตาเถ่อมอง คิดแต่เรื่องพ่อกับแม่ทะเลาะกัน ครูสอนยังไงไม่สนใจฟัง นี่ละเสียไปถึงลูกถึงหลานเห็นไหมล่ะ พ่อแม่เสียเสียอย่างเดียว
นี่ละเรื่อง มหิจฺฉตา ความมักมากไม่ใช่ทาง เป็นอย่างนี้ อปฺปิจฺฉตา ผัวเดียวเมียเดียวพอแล้ว รักกันจนตาย อยู่ด้วยกันไปจนตาย ไม่มีความทุกข์ความลำบากลำบน เด็กตื่นขึ้นมามองเห็นหน้าพ่อหน้าแม่ยิ้มแย้มแจ่มใส ลูกเล็กเด็กแดงทั้งหลายยิ้มแย้มแจ่มใส ไปโรงร่ำโรงเรียนเรียนรู้ภาษีภาษานะ ให้พากันเข้าใจ นี่พูดถึงเรื่องความฟุ้งเฟ้อของกิเลสเป็นอย่างนี้ หรือว่าหลวงตาบัวพูดหยาบหรือ เอามาแจงกันซิที่ว่าพูดหยาบ เรื่องที่เป็นทั้งหลายมันหยาบพอแล้ว เอาธรรมนี้มาชะล้างความสกปรกทั้งหลาย ก็ต้องยกอันนั้นขึ้นมาชะล้าง แล้วหยาบที่ตรงไหน พิจารณาซิ มันเป็นเรื่องของกิเลสตัวหยาบต่างหาก มันไม่ให้ไปแตะต้องมัน มันจะได้สั่งสมความหยาบโลนทั้งหลายมากเข้ายิ่งกว่านั้น ความสกปรกทั้งหลายมันจะได้สั่งสมมากขึ้นกว่านั้น แล้วเป็นของน่าดูไหม พิจารณาซิ นี่ละเอาไปพิจารณาเสียท่านทั้งหลาย
มาวัดมาวาฟังให้ถึงใจนะ พระท่านสอนท่านสอนเป็นอรรถเป็นธรรม เราให้นำไปปฏิบัติเป็นธรรม จะสงบร่มเย็นในครอบครัวเหย้าเรือนของเรา เหล่านี้เราพูดเพียงย่อๆ เท่านั้น พูดไปถึงไหนมาถึงที่นี่ก็เลยมาอยู่ที่นี่เสีย มาอยู่ ๑๐ หี ๑๐ โค็ย แล้วก็มายุติตรงนี้ เพราะตรงนี้ไฟเผาโลก เข้าใจไหม ต้องเอาน้ำดับไฟจุดนี้ แล้วเป็นการพูดหยาบแล้วเหรอ เรื่องมันเป็นมันเป็นทั่วโลก เดือดร้อนกันทั่วโลก มันละเอียดหรือนั่น การสอนเป็นน้ำดับไฟ อย่าทำกันอย่างนั้น ให้อยู่ด้วยความสงบร่มเย็น ด้วยความจงรักภักดี อปฺปิจฺฉตา ผัวเดียวเมียเดียวพอแล้ว ให้อยู่อย่างนี้ ท่านสอนให้เป็นอย่างนี้ต่างหาก มันหยาบแล้วเหรอ พากันพิจารณา
โอ๋ย เราทุเรศนะไปที่ไหนไม่มีอะไรละ นี่ละกิเลสเป็นตัวสำคัญ กามกิเลสตัวสำคัญมากที่สุดเลย ไม่พอๆ ที่จะลุกลามไปเรื่องอื่นๆ แตกแขนงออกไป ออกจากกามกิเลสนี้เป็นตัวเหตุการณ์ใหญ่ จะเห็นได้ชัดอย่างผู้บำเพ็ญธรรมถึงขั้นละกามกิเลสได้โดยเด็ดขาดแล้ว โลกนี่เหมือนบ้านร้างเมืองร้าง คือสงบไปหมดเลย ไม่มีตัวก่อกวนดิ้นรนวุ่นวายทั้งหลาย เพราะอำนาจของกามกิเลส พอกามกิเลสขาดสะบั้นออกจากใจแล้ว จิตนี้จ้าไปหมด เหมือนกันกับบ้านร้างเมืองร้าง มีคนอยู่ แต่ไม่ใช่คนแบบโกโรโกโส สิบผัวสิบเมียอย่างนั้น มีแต่คนผัวเดียวเมียเดียว สงบร่มเย็น จึงเหมือนบ้านร้าง
แต่ก่อนมันอึกทึกครึกโครมด้วยกิเลสมันเห่ามันหอน เหมือนหมาเดือน ๙ เดือน ๑๒ มันเห่ามันหอนอึกทึก แต่ก่อนเป็นอย่างนั้น พอกามกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้วเงียบเลย ไม่มีอะไรกวนใจ สบายใจ ธรรมสบายใจ หรือธรรมหมาเห่าหอนเดือน ๙ เอาไปพิจารณานะ หมาเดือน ๙ มันเป็นยังไง มันเห่ามันหอน บุคคลเดือน ๙ ก็เป็นอย่างนั้น ร้ายกว่านั้นอีก ฆ่ากันเร็วยิ่งกว่าหมาอีก เราเป็นคนอย่าเอาวิชาหมามาใช้ จำเอานะ เอาละเพียงเท่านี้ละย่อๆ ฟังย่อๆ มันจะตายแล้วผู้เทศน์
ส.ส.มาฟังวันนี้เป็นยังไง เคยได้ยินไหมเทศน์อย่างนี้ ไม่เคยได้ยินบอกชัดๆ แต่นี้เทศน์อยู่เรื่อย เขาตำหนิเรื่อยว่าหลวงตาเทศน์หยาบเทศน์โลน อย่างนี้ละฟังเอาซิ หยาบโลนหรือไม่หยาบโลน ความมันเป็นมันหยาบโลนขนาดไหน น้ำชะล้างลงไปดังที่เทศน์เหล่านี้มันหยาบโลนหรือ พิจารณาซิ เข้าใจไหม เอาละพอ ส.ส.ฟัง ผู้แทนฟังเป็นยังไงวันนี้ หรือฟังไม่ได้เพราะมีเมียสิบคนเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่ได้นะ นี่ไล่ออกจากวัดเลย ไม่ให้มาฟังเทศน์ เราจะไล่ออกก่อนเลย ถ้ามีผัวสิบคนเมียสิบคนไล่ทันทีเลย เข้าใจไหม นี่ต้อนรับ ส.ส.ต้อนรับผู้แทนเรา ผู้แทนเราเป็นหัวใจของชาติ ดำเนินกิจการงานเพื่อชาติ เพราะฉะนั้นจึงสอนจุดนี้เป็นจุดใหญ่ ให้เป็นคนตัวอย่างของชาติ ตัวอย่างของประชาชนทั้งหลาย ผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งเลวใช้ไม่ได้ ผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งดีนั่นละดี ไม่เฟ้อ
วัดนี้เป็นวัดที่ปฏิบัติเป็นความสงบตลอดมา วัดนี้เคร่งครัด พระวินัยแม่นยำ เคลื่อนไม่ได้ พระวินัยเคลื่อนไม่ได้เลย ธรรมก็ตะเกียกตะกาย วัดนี้เป็นสถานที่สงบตลอด จากนี้เข้าไปเป็นที่บำเพ็ญของพระ ไม่ให้ใครเข้าไปยุ่งนะ คนมาเราจะให้อยู่ในบริเวณนี้ เข้ามาถึงนี้ออกๆ เราไม่ให้ทะลึ่งเข้าไป ทั้งหญิงทั้งชายห้ามหมด เว้นแต่คนที่ปฏิบัติพระสองสามคน ผู้ชายวิ่งเข้าวิ่งออกเท่านั้น นอกนั้นท่านบำเพ็ญสะดวกไม่มีอะไรรบกวน ปฏิบัติอย่างนี้ตลอดมา แม้เราช่วยโลกก็ตาม ส่วนช่วยเป็นเรื่องของเรา ส่วนการบำเพ็ญธรรมภายในใจให้เป็นหน้าที่ของท่าน เข้มงวดกวดขันตามเดิม เราทำมาอย่างนั้น
(ส.ส. วัดนี้วัตถุไม่ค่อยมี) ก็มี เหล่านี้ก็มีวัตถุแต่ไม่หรูหราเท่านั้น เข้าใจไหม เรื่องมีมีพออาศัย ข้าวก็เป็นวัตถุ อาหารหวานคาวก็เป็นวัตถุ แต่ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ที่อยู่ที่กินที่หลับที่นอนมีแต่ไม่ฟุ้งเฟ้อ วัตถุเรายอมรับว่ามีด้วยกันแต่ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ที่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมคือมันเกินความพอดี เกินหลักธรรมหลักวินัยไป เข้าใจแล้วหรือ ถ้าหากว่าให้ติดคุกติดตะราง พระเรานี้แน่นละในศาลา คือมันเลยเถิด มันเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป ไม่มีธรรมมีวินัย ทำเอาตามชอบใจ พวกนี้ติดคุกหมด พระเราจะติดคุกอยู่ในเรือนจำนี้มากกว่าฆราวาสเป็นไร
ทั้งวัดปฏิบัติแบบเดียวกัน ยกทั้งวัดนี้เข้าคุกเลย วัดนั้นก็ติดคุก วัดนี้ก็ติดคุก ในเรือนจำแต่ละแห่งแน่นไปด้วยพระหัวโล้นๆ ติดคุก เพราะข้ามเกินธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าไป เป็นโทษ ปรับโทษให้ติดคุกติดตะราง แต่นี้เขาไม่ทำ เขาเห็นเขาเลื่อมใส เขาไม่เลื่อมใสเขาหนีเสียก็ได้ ให้เขาปรับโทษอย่างนั้นอย่างนี้เขาไม่ปรับ ถ้าพระไม่ปรับโทษตัวเอง พระปรับโทษตัวเองคือผิดตรงไหนยอมรับๆ ทันทีๆ ก็เป็นพระดีขึ้นไปเท่านั้นเอง แล้วมีอะไรจะถามก็ถามมา จะเตรียมตอบ วันนี้ตอบก่อนถามแล้วแหละ ตอบไปหมดก่อนถามแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องถามกันอีก
พูดแล้วอดหัวเราะไม่ได้ อันนี้มันจะออกทั่วประเทศ พวกนั้นพอได้ยินแล้วก็จะเห่ากันมาทั้งประเทศ ปากอมขี้ละเห่าออกมา ปากอมธรรมเห่ามามีน้อย โห ดี ท่านเทศน์อย่างนี้ดี มีน้อย อู๋ย ทำไมท่านเทศน์อย่างนั้น เทศน์ดุเทศน์ด่า เทศน์หยาบเทศน์โลน มันจะออกมาปากอมขี้ ธรรมแล้วเฉยไม่สนใจ ถ้าไม่เฉยเทศน์ไม่ได้ ธรรมต้องเฉย วางเสมอตัว ใครจะมาชมก็แล้ว ใครจะมาตำหนิก็แล้ว ไม่ลดราวาศอกจากความเป็นธรรม พอพูดอย่างนี้ ฟังซิหลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่นพูดเอง หยาบหรือไม่หยาบฟังซิ เราไปอยู่กับท่านดูเหมือนได้สัก ๓ วัน ท่านดูเราแล้ว เราไม่รู้ว่าท่านดูเรา เห็นไหมท่านอาจารย์มั่น ดูรอบคอบขอบชิด
พอไปถึงได้ ๓ วันท่านเอาผ้ามา เอาสบงก่อน เอ้า นี่ผ้าสบงให้ท่านมหา สบงมันกำลังจะเห็นหำ นั่นเห็นไหม มันกำลังจะเห็นหำ เอา เอานี่ไปปิดหำ ท่านว่างั้น ท่านเอาสบงมาให้เรา เรายกมือกราบแล้วก็รับ มาอยู่เพียง ๓ วันท่านเอาสบงมาให้แล้ว มาให้ยังไม่แล้ว นี่มันกำลังจะเห็นหำอยู่นี่ เอานี่ไปปิดหำ ผ้านี้มันขาดหมด นี่หยาบไหมท่านอาจารย์มั่นพูดกับหลวงตาบัว หลวงตาบัวก็เป็นมหาบัวไป แล้วหลวงปู่มั่นท่านเมตตา เอานี่ท่านมหาเอาไปปิดหำ มันกำลังจะเห็นหำ หยาบไหม พิจารณาซิ นี่คำพูดท่านอาจารย์มั่นนะ มันกำลังจะเห็นหำแล้ว เอาผ้ามาเราก็น้อมรับไว้ คือตั้งแต่เราผ่านมาแล้วนี้ไม่เคยมี
พอไปอยู่ได้สองสามวัน ท่านเอาสบงมาให้แล้ว สมัยนั้นผ้าอดอยากมากนะ ปี ๒๔๘๔ เราไปหาท่าน สงครามโลก อะไรๆ อดอยากขาดแคลนหมด ท่านได้ผ้ามา มีคุณค่ามากที่สุดละผ้าท่าน หำเราก็คงจะเลวมากที่สุด เพราะฉะนั้นท่านจึงให้เอาผ้าไปปิดหำ นี่มันจะเห็นหำนี่น่ะ ผ้ามันขาดหมดแล้ว เอานี่ไปปิดหำ แล้วหยาบไหมนี่ท่านอาจารย์มั่นพูด เราไม่ลืมนะ เราน้อมรับแล้วไม่ลืมเลยนะ ไม่ลืมอะไร ไม่ลืมที่ว่า เราไปที่ไหนกว่าจะได้ผ้าผืนหนึ่งๆ ต่างคนต่างอดอย่างว่านั่นแหละ แต่ท่านอาจารย์มั่นเราไปอยู่เพียง ๓ วัน วันที่ ๔ มาแล้วผ้าสบง ให้มาปิดหำ
ต่อจากนั้นปีนั้นเราได้รับสงเคราะห์มากกว่าเพื่อน สังฆาฏิ เขาเอาผ้าไม้มา นี่ผ้าเอาตัดผ้าสังฆาฏิให้ท่านมหาเสีย อันนั้นไม่บอกว่าปิดหำปิดโค็ยละ บอกธรรมดา นี่ท่านอาจารย์มั่น ฟังซิท่านทั้งหลายหยาบไหมท่านอาจารย์มั่นพูด พิจารณาซิ บอกให้เอาผ้ามาปิดหำมหาบัว มันผ้าขาดหมดแล้วมันจะเห็นหำ เอา ผ้า แล้วหยาบไหมพิจารณาซิ ท่านพูดอย่างนี้ละพูดเป็นธรรมตรงไปตรงมา เรียกว่าภาษาธรรม อ้อมแอ้มๆ มันเรื่องของกิเลส
วันที่สองพวกเวียงจันทน์เขาจะมารับของ เราสั่งแล้วให้เอารถสิบล้อมา เราจะไปซื้อของมาให้ทางเวียงจันทน์มารับ เอาไปแจกคนทุกข์คนจนฟากโน้น รถสิบล้อให้เต็มคันรถเลย นี่ละ สพฺเพ สตฺตา มีใกล้มีไกลที่ตรงไหน อันว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น มีทั่วๆ ไป การสงเคราะห์โลกด้วยธรรมต้องเป็นอย่างนั้น ไม่มีใกล้มีไกล ความจำเป็นเป็นของสำคัญ นี่เขาก็จำเป็น ทางเราพอเป็นพอไป ให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|