ซาดบ่
วันที่ 28 ตุลาคม 2548 เวลา 8:20 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ซาดบ่

         พระวัดป่าบ้านตาดเป็นพระประเภทซาดบ่ เข้าใจไหม คำว่าบ่หมายถึงเหรอๆ ซาดเหรอ ซาดใช้เป็นคำถาม เหรอๆ เราให้พระเอาไอศกรีมไปให้พระฝรั่งองค์แก่ แล้วพระองค์นั้นก็ถามมาแบบไม่ได้เรื่อง แบบซาดบ่ เราก็โมโห เราก็ระลึกถึงตอนเราอยู่ห้วยทราย จำพรรษาห้วยทราย ๔ ปี ท่านอาจารย์กงแก้วท่านอยู่บ้านหนองสูง คำชะอี จากวัดเราไปถึงวัดท่านดูเหมือน ๒ ชั่วโมง ๒๕ นาทีเดิน ไกลอยู่นะ พอเห็นเราไปท่านก็รีบบอกเณร เณรก็มีแต่เณรน่ารักอายุ ๑๑-๑๒ ปีนี่ละ มันน่ารักกว่าน่าโมโห มองดูตาใสแป๋ว

พอเห็นเราไปท่านก็รีบบอก ปรกตินิสัยท่านอาจารย์กงแก้วเป็นคนใจดี ไม่เคยเห็นท่านดุใครนะ ท่านเรียกเณรมา พอเห็นเราไปท่านก็ว่า ท่านอาจารย์มา ท่านก็บอกเณร เณรก็อยู่นั้นแหละ เรียกเณรมาสองเณร น่ารักด้วยกัน เณรปุ๊บปั๊บมาก็มานั่งคุกเข่าฟังตาใสแจ๋ว เราดูจริงๆ นี่นะ นี่น่ะจะบอกนะ ให้ไปเอาเสื่อกุฏินี้ แล้วให้ไปเอาหมอนกุฏินี้มาถวายท่านอาจารย์ แต่ท่านไม่ได้บอกว่ากี่ผืน ให้ไปเอาเสื่อกุฏินี้ แล้วให้ไปเอาหมอนกุฏินี้ เรามองไปเห็นทั้งกุฏิหลังนี้ก็ดีๆ เพราะเราจะสังเกตนี่นะ

ทางนี้ก็ตาใสแป๋วนั่งคุกเข่าจ้ออยู่ เราก็ดู เราเข้าใจแล้วแหละ พอว่ากุฏินี้เราก็ดู มองไปกุฏินี้ก็เห็น แล้วไปเอาหมอนกุฏินี้ มองไปกุฏินี้ก็เห็น มันจะเข้าใจไหมเณรคอยดูมัน ที่ท่านสั่งเราเข้าใจหมดแล้ว ท่านพูดซ้ำอีกนะ เข้าใจไหมล่ะ ท่านก็บอกอีก ให้ไปเอาเสื่อหลังนี้ ให้ไปเอาหมอนหลังนี้มาถวายท่านอาจารย์ท่านจะได้พักผ่อน พอเสร็จแล้วท่านย้ำ เข้าใจแล้วนะ ท่านยังบอกอีกย้ำอีก ทีนี้เราก็คอยดูมันจะปฏิบัติยังไง

ศาลาไม่ได้สูงนักละ สูงประมาณสักเมตรหนึ่ง พอลงไปบันไดปั๊บมันก็หันหน้ากลับมานั่งคุกเข่า ซาดบ่ คือทางภูไท เขาเรียกซาด หมายถึง เสื่อ สาด สามอย่างนี่ก็อันเดียวกันนั่นแหละ ทางภูไทเขาเรียกซาด พอลงไปปุ๊บปั๊บหันหน้ามาอีกนั่งคุกเข่าด้วยนะ ซาดบ่ อู๊ย ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ ท่านก็บอกอีกถึงไปเอา ไปเอาเราก็สังเกตเอามาจะถูกต้องไหม ไปกุฏิดังว่าได้เสื่อมา ทางนี้ก็ได้หมอนมาหาเรา เราได้เอามาพิจารณา คือท่านก็เป็นอาจารย์สอนคน เราก็เป็นอาจารย์สอนคน ผู้ที่มาเกี่ยวข้องก็คือผู้มาศึกษาอบรมกับเรา เพราะฉะนั้นเวลาท่านสั่งเณร แต่นี้เณรมันก็เรียกว่ามันเล็ดลอดคำสอนไปหน่อย ไม่เหมือนพระเรา แต่พอขบขันดี บอกชัดเจนแล้วลงไปยังหันหน้ากลับมาอีก ซาดบ่ โห น่าโมโห แต่ตัวมันน่ารัก จึงได้เอาเสื่อมาให้เรา

ทีนี้เรามาประมวลแล้ว พวกนี้พวกซาดบ่ทั้งนั้นเต็มศาลานี่ พูดอะไรมันไม่รู้เรื่อง สอนอะไรมันก็ไม่รู้เรื่อง พระของเราก็ดี ประชาชนทั้งหลายก็ดี มีแต่ประเภทซาดบ่ ไม่ได้เรื่องนะประเภทซาดบ่ พากันเข้าใจไหมที่พูดอย่างนี้ หรือจะให้บอกว่าซาดบ่อีก ท่านอาจารย์กงแก้วท่านใจดีไม่ค่อยเห็นท่านดุท่านด่าใครแหละ ดูอย่างกับเณรนั้น ขบขัน ลงไปแล้ว เราเข้าใจหมด ลงไปบันไดแล้วหันหน้ากลับมา นั่งคุกเข่าด้วยนะ ซาดบ่ โถ มันขบขันจะตาย ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็ดุแหลกเลย ไอ้นี่มันตัวเล็กๆ ตาใสแป๋วน่ารัก ที่ว่าซาดบ่ก็ควรอยู่ ถ้าเป็นผู้ใหญ่กว่านั้นว่าซาดบ่ ตีปากเลย แต่นี้มันเป็นเด็กเลยน่ารักไป ซาดบ่ เราเลยไม่ลืม ขบขันดี

พวกลูกศิษย์ของเรามีแต่ประเภทซาดบ่ทั้งนั้น มันเลยจะตายครูบาอาจารย์ที่สอน แต่เราไม่เหมือนอาจารย์กงแก้วซิ มาซาดบ่ๆ เดี๋ยวตีปากเอาเข้าใจไหม ท่านอาจารย์กงแก้วท่านดี เราไม่เป็นอย่างนั้นซิ มาซาดบ่ๆ ยิ่งมากๆ เต็มวัดเต็มศาลาแล้ว คนนั้นก็ซาดบ่ คนนี้ก็ซาดบ่ ตายเลยแหละเรา ต้องเอาไม้ช่วยตีไม่งั้นตาย เพราะลูกศิษย์มันหลายคนมีแต่ประเภทซาดบ่ทั้งนั้น ข้างหลังก็ซาดบ่ ข้างหน้าก็ซาดบ่ รอบตัวมีแต่ซาดบ่ทั้งนั้น พากันเข้าใจหรือเปล่าที่พูดนี่น่ะ มันเรื่องขบขันก็เอามาพูดบ้างซิ เรามันมีแต่ลูกศิษย์ประเภทซาดบ่ทั้งนั้นมันเลยจะตาย

เมื่อวานก็ประชุมพระเรื่องสกปรก โอ๊ เลอะเทอะนะ ศาสนาเวลานี้จะหาศาสนาไม่เจอ มีแต่ส้วมแต่ถานเคลือบแฝงๆ หรือว่าคลุมศาสนา ศาสนาเลยมองไม่เห็น เอาคัมภีร์วินัยออกกางซิ คัมภีร์วินัยนั้นแลคือศาสนา คำสอนอยู่ในนั้นหมด เราดูคำสอนท่านสอนว่ายังไงๆ  แล้วผู้ปฏิบัติตัวปฏิบัติยังไง คือมันเข้ากันไม่ได้เลย อย่างน้อยก็เป็นประเภทซาดบ่ไปหมด ไม่ได้เป็นไปตามอรรถตามธรรม มันเป็นประเภทซาดบ่ทั้งนั้น อกจะแตกซิ ซาดบ่ยังไม่เสียหายอะไร อันนั้นเสียหายความประพฤติอย่างนั้น

แต่ก่อนท่านพูดถึงเรื่องพระสงฆ์แตกกันอยู่ร่วมกันไม่ได้ คือผู้หนึ่งรักษาด้วยความเข้มงวดกวดขัน รักเคารพหลักธรรมหลักวินัยเหมือนองค์ศาสดา เพราะธรรมวินัยเป็นองค์แทนของศาสดา แต่ผู้หนึ่งมาทำลายต่อหน้าต่อตา ทำลายศาสนาต่อหน้าต่อตามันดูกันไม่ได้นั่นซิ กระทบกระเทือนกัน สุดท้ายก็แยกกัน นิกายแปลว่าหมู่ว่าคณะ คำว่านิกายๆ แปลว่าหมู่คณะนั่นเอง เลยแตกไปเป็นนิกายนั้นนิกายนี้ไป ยังจะเป็นนิกายอีกนะ คือความประพฤติปฏิบัติไม่ลงรอยกัน โดยเอาหลักธรรมวินัยเป็นกฎเกณฑ์เป็นเครื่องตัดสิน แยกจากนี้แล้วก็ขัดแย้งกัน คือผู้หนึ่งปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย ผู้หนึ่งมาทำลายๆ ให้เห็นต่อหน้าต่อตา อย่างน้อยท่านก็เตือนกัน เมื่อเตือนไม่อยู่แล้วขับออก ทีนี้พวกซาดบ่มีจำนวนมาก เลยต้องแยกกันเลย เข้ากันไม่ได้ เป็นอย่างนั้นนะ

เช่นอย่างในวัดนี่ก็เหมือนกัน ในวัดต่างๆ เหมือนกัน ท่านผู้ปฏิบัติเป็นครูเป็นอาจารย์แนะนำสั่งสอนด้วยความเป็นอรรถเป็นธรรมเป็นวินัย แต่มีพระมาศึกษาอบรมกับท่านมาแหวกแนว ประพฤติตัวให้ผิดจากหลักธรรมหลักวินัย อย่างน้อยท่านก็สั่งสอนให้รู้เหตุรู้ผล ถ้ายังฝืนอยู่อย่างนั้นขับ นั่นเห็นไหมล่ะขับ เพราะเป็นส่วนย่อยมาอยู่กับวัด ท่านขับออก อัปเปหิ มีหลักธรรมหลักวินัยอย่างนี้ การประชุมอย่างเมื่อวานนี้ นี้เอาหลักเอาเกณฑ์ประชุมกัน กาฝากมหาภัยมันไม่มีหลักเกณฑ์อะไรแต่เป็นภัยได้อย่างชัดเจน แล้วฉิบหายได้จากความเป็นภัยนี้จริงๆ  ต้องมีการพูด การชำระสะสาง ไม่ชำระไม่ได้

หลักเกณฑ์มีอยู่ ของจริงมีอยู่ ของปลอมใครจะยอมรับ เช่นอย่างธนบัตรปลอมกับธนบัตรจริง ธนบัตรปลอมมันจะกองเท่าภูเขาก็ไม่มีความหมาย ธนบัตรจริงใบละร้อยละพันเท่านั้นมีความหมายเต็มตัวๆ โลกยอมรับกัน ธนบัตรปลอมโลกไม่ยอมรับแล้วจะมีค่าอะไร ธนบัตรจริงมีเท่าไรมีคุณมีค่า ทีนี้ผู้ปฏิบัติจริง ผู้ปฏิบัติปลอม ผู้ปฏิบัติเป็นกาฝากกัดศาสนา ทำลายศาสนา มีความหมายอะไร

กาฝากเป็นภัยต่อต้นไม้ เคยเห็นไม่ใช่หรือต้นไม้ กาฝากมันมาเกาะอยู่บนต้นไม้ เกาะมากเท่าไรต้นไม้นั้นตายได้ง่ายเลย คือเวลามันเกาะมันเป็นเนื้อเป็นหนังของมัน แต่มันอาศัยต้นไม้นั้นเป็นอาหารดูดซึมมาเลี้ยงลำต้น ต้นไม้นั้นก็ตาย อันนี้กาฝากเหมือนกัน มีมากเข้าทำลายหมด ตาย กาฝากปฏิบัติลุ่มๆ ดอนๆ เอาชื่อเอานามมาว่าเฉยๆ ศีลธรรมและวินัยไม่ดู นั่นละหลักเกณฑ์ของพระของศาสนาแท้ สำหรับผู้ปฏิบัติศาสนาแท้ต้องเอาหลักธรรมหลักวินัย เฉพาะพระเอาวินัยเป็นเกณฑ์

การปฏิบัติธรรมมีความยิ่งหย่อนต่างกัน ธรรมท่านไม่เข้มงวดกวดขัน ให้เป็นไปตามกำลังของผู้ปฏิบัติ แต่เรื่องวินัยนี้ให้ตรงกันเปรี๊ยะเลย ข้ามเกินไม่ได้ระแคะระคายกันทันที รังเกียจกันทันที แม้เป็นรายบุคคลมองเห็นกันก็รังเกียจกัน ถ้ายิ่งมากเข้าๆ แตก ที่ว่าทำลายพระวินัยก็เท่ากับทำลายองค์ศาสดา เหยียบหัวองค์ศาสดานั่นเอง เพราะธรรมก็ดี วินัยก็ดี นั้นคือองค์ศาสดาท่านประทานไว้แล้วชัดเจน ใครเคารพธรรมวินัยองค์แทนศาสดาแล้ว นั้นเท่ากับเคารพเรา เท่ากับเดินตามเรา ท่านว่าอย่างนั้น

ถ้าปลีกจากนี้แล้ว ไม่สนใจเฉพาะอย่างยิ่งหลักพระวินัยนี้รุนแรงมากนะ พระอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็เพราะพระวินัยปฏิบัติยิ่งหย่อนกว่ากัน ท่านห้ามว่าอย่างนั้นแต่ไปทำลายเสีย ทั้งๆ ที่ผู้หนึ่งรักษาอยู่อย่างเข้มงวดกวดขัน ไปทำลายพระวินัยซึ่งเป็นองค์แทนของศาสดาอยู่ต่อหน้าต่อตา มันลงใจได้หรือคนเรา ลงใจไม่ได้ นี่ละที่ปฏิบัติเหลวแหลกแหวกแนวเป็นกาฝากๆ จะถือเอาจำนวนมากมาบีบบังคับจำนวนน้อยซึ่งเป็นของจริง จำนวนมากซึ่งเป็นของปลอมเป็นกาฝาก จะมาบีบบังคับจำนวนน้อยอย่างนี้ไม่ได้ ขัดต่อหลักความจริง นี่ละศาสนาที่ว่าพระแตกจากกันก็แตกอย่างนี้เอง ศาสนาจะพังก็พังอย่างนี้ละ คือเอาจำนวนมากเข้ามาเป็นอำนาจๆ ผู้มีจำนวนน้อยก็พังไป เพราะอำนาจความชั่วมันเผาหมดๆ

เวลานี้ศาสนาพุทธของเรา อยู่ในท่ามกลางประเทศไทยนี้กำลังรบกัน ระหว่างความดีกับความชั่ว คนดีกับคนชั่ว พระดีกับพระชั่ว กำลังรบกัน อย่างที่ประชุมเมื่อวานนี้เอาความจริงออกมาพูด นั่นละของปลอมที่จะมาทำลายศาสนา ท่านแสดงออกมาล้วนแล้วตั้งแต่ความจริงที่แสดงออกมา ผู้ที่ทำลายมันทำลายอย่างที่เห็นนั่นละ ท่านชี้แจงเป็นบทบาทเอาไว้ ท่านประชุมกัน จำนวนพระเมื่อวานนี้ ๘,๘๐๐ แล้วยังเดินเข้ามาอีกเป็นสายเมื่อวาน ก็คงจะถึง ๙,๐๐๐ หรือเลย ๙,๐๐๐ ก็ได้ แต่เราคำนวณเอาว่า ๙,๐๐๐ เพราะมัน ๘,๘๐๐ เท่าไร แล้วพระกำลังหลั่งไหลเข้ามา จะเข้า ๙,๐๐๐ แหละเมื่อวานนี้

เหล่านี้เป็นวงกรรมฐานสายพ่อแม่ครูจารย์มั่นที่มา ท่านพร้อมเพรียงกัน เพราะท่านเหล่านี้เป็นผู้มุ่งธรรมมุ่งวินัย เมื่อมุ่งธรรมมุ่งวินัย ครูบาอาจารย์องค์ใดที่เป็นที่เคารพนับถือด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักธรรมหลักวินัยของท่าน ท่านเคารพท่านองค์นั้น ท่านเคารพอย่างนั้น ท่านไม่เคารพอายุพรรษาอะไรนักยิ่งกว่าคุณธรรม คุณธรรมเป็นของสำคัญมาก ผู้น้อยก็น่าเคารพเลื่อมใส ผู้ใหญ่ก็น่าเคารพบูชา เป็นอย่างนั้นนะ เรื่องหลักธรรมหลักวินัยเป็นเครื่องประกันตัวได้ดีๆ ไปที่ไหนไม่มีความเดือดร้อนผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย

พูดอย่างนี้เราก็คิดถึงเวลาไปอยู่ในป่า ที่อยู่ในท่ามกลางป่าเสือ มันเคยมาพอแล้วนี่ คือเป็นนิสัยอย่างนี้ด้วย แต่ก่อนขี้ขลาดไม่มีใครเกินอีตาบัว อยู่ในวงครอบครัวน้นขี้ขลาดคือเราคนเดียวขี้ขลาดที่สุด เข้าไปลับใบไม้ใบหนึ่งไม่ได้เหมือนว่ามีเสืออยู่ในนั้น ๕ ตัว คือกลัวเสือมาก เราเป็นคนขี้ขลาด ทีนี้เวลาไปบวช นั่นละดัดสันดานความขี้ขลาด พลิกใหม่เลยนะ มันกลัวตรงไหนมากเข้าไปตรงนั้นเลยเวลาปฏิบัติตัว นี่ละดัดตัวเอง

มันหากมีอันหนึ่ง สังขารมันวาดภาพออกไปหลอกเจ้าของ ว่าเสืออยู่ตรงนั้น เสืออยู่ตรงนี้ เสืออยู่รอบด้าน มีแต่สังขารความปรุงไปวาดภาพหลอกเจ้าของ ทีนี้เจ้าของก็ไปไม่ได้ ได้แก่สังขารวาดภาพหลอกเจ้าของ เป็นเสือรอบตัวเจ้าของ เจ้าของก็กลัวเสือ สังขารเจ้าของมันปรุง ทีนี้มันกลัวตรงไหนมากเข้าเลย เพราะนี้เคยทำมาแล้วไม่ใช่ธรรมดา บุกเข้าไปเลยเชียว

เดินจงกรมนี้เหมือนว่าเสืออยู่รอบตัวเลย นี่สังขารมันวาดภาพหลอก มันก็กลัวละซิที่นี่ ทีนี้ก็เอาละนะเวลามันกลัว นั่นเรียกว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว เรามาปฏิบัติอรรถธรรมก็ต้องต่อสู้กับเหตุการณ์ต่างๆ ให้ได้เหตุได้ผลมา พอมันกลัวมากๆ ก็กำหนด เอา มีตัวไหนบ้างที่มันหมอบอยู่นี้ เราเดินจงกรมอยู่นี้เหมือนว่าเสือหมอบอยู่ข้างทางจงกรมรอบตัว มีแต่เสือทั้งนั้น นี่สังขารไปหลอก ท่านทั้งหลายไม่เคยฟังฟังเสีย สังขารมันหลอกเรา หลอกว่างูก็เหมือนว่าเป็นงูจริงๆ เชื่อทันที ถ้าลงสังขารได้ปรุงอะไรแล้วเชื่อทันทีๆ จำคำนี้ให้ดี คนเราหลงสังขารนั่นละ สังขารปรุงเรื่องอะไรนี้เชื่อทันทีๆ นี่สังขารมันปรุงว่าเสือหมอบอยู่ตามทางจงกรมรอบตัวเลย ทางนี้ธรรมะก็ขึ้นรับกัน มันเป็นเสือจริงๆ เหรอ เอาลองดูน่ะวันนี้

กำหนดว่าเสือมันรอบอยู่นี้ ตัวไหนใหญ่กว่าเพื่อน เอาละนะ ตัวไหนที่ใหญ่กว่าเพื่อน สังขารตัวนี้มันจะหลอกอีก มันว่าตัวนั้นใหญ่กว่าเพื่อนอยู่ตรงนั้น บุกเข้าหานั้นเลย บุกเข้าไปไม่มีอะไร หนึ่งแล้วนะ นั่น ตรงไหนอีกตามหา ตามหาที่ไหนมีแต่สังขารหลอกเรา โห มันหลอกเรา บุกใหญ่เลย เอ้าถ้าหากว่าไม่หายกลัวเมื่อไรเราจะไม่กลับสถานที่ จะบุกไปที่ไหนเข้าป่าเข้ารกหรือออกไปบ้านเขา เขาจะว่าบ้าก็ตาม เราฟัดกันกับสังขารตัวหลอกเรา เข้าใจไหม

มันหลอกว่าตรงนั้น หลอกว่าตรงนี้ ไปดูมันไม่มี ตามดูจนหมด สังขารมันหลอก จับมันได้ๆ จากนั้นความอาจหาญชาญชัยเกิดเลยนะ เกิดถึงขนาดที่ว่าสามโลกธาตุเรานี้คิดว่ากลัวอะไรไม่มีเลย หมดโดยสิ้นเชิง เหมือนว่าเสือเข้ามานี้จะเดินไปลูบคลำหลังเสือได้สบาย ไม่ว่าอะไรก็ตามในเวลามันกล้าหาญเป็นจริงๆ อย่างนั้น เป็นขึ้นจากความขี้ขลาดเบื้องต้น ตัวสั่นไปเลย ทีนี้เวลามันกล้าหาญนี้ก็เหมือนกัน ตัวสั่น ไม่มีคำว่ากลัวอะไร ทีนี้เมื่อมันไม่กลัวแล้วไปหาอะไร กลับคืนมาเดินจงกรมสบาย ทีนี้พอว่ามีเสือตัวใดขึ้นเอาอีกนะ ฟัดกันอย่างนั้นให้มันเห็นเหตุเห็นผล

เราเคยทำมาแล้ว เดินบุกป่าเหมือนบ้า แก้ตัวนี้ละสังขารตัวมันหลอกเรา ได้เหตุได้ผลมาทุกอย่าง มาด้วยความอาจหาญชาญชัย รบกันกับสังขารชนะ เอ้า ชนะนี้มันขึ้นทางหลังอีกนะ มันขึ้นอีกแบบหนึ่ง แบบไหนก็ซัดกันอยู่งั้น จึงว่ากลัวมากที่ไหนไปอยู่ที่นั่น สติอยู่กับตัวเลย ความกล้าหาญชาญชัยมันก็เกิดละซี เมื่อสติอยู่กับตัวจิตใจไม่ได้คิดวอกแวกคลอนแคลน บังคับมันไว้มันก็หายกลัวๆ จากนั้นก็บุกเข้าไปหาเหตุผลของมัน ก็อย่างว่า ไม่มี

ถึงธรรมขั้นวิปัสสนาแล้วมันแยกธาตุหมด เป็นชั้นๆ นะ เบื้องต้นเอาอย่างนี้ก่อน สังขารมันหลอกเราว่าเสือ เอ้า ตามหาให้มันเห็น มันมีแต่สังขารหลอกทั้งนั้นๆ นี่อันหนึ่ง เวลาจิตสงบเป็นสมาธิ ว่าอะไรไปจิตมันสงบแน่วอยู่นี้ มันไม่ออกมันก็ไม่กลัว เวลาจิตยังว้าวุ่นขุ่นมัวต้องอาศัยอันนี้ละ รบกันด้วยแบบที่ว่าเบื้องต้น อันดับที่สอง จิตมีความสงบแล้วอยู่กับความสงบ ก็ไม่กลัว อันดับที่สาม จิตก้าวออกสู่วิปัสสนา พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ กำหนดว่าเสือตัวไหน แยกเสือมันมีที่ไหน ถามหาเสือ ว่ากลัวเสือ เอ้า กลัวอะไรมันไล่กันอย่างที่เขียนไว้ในปฏิปทา เราผ่านมาแล้วทั้งนั้นมาเขียน องค์ไหนก็ตามไม่ระบุชื่อ แต่เรื่องความจริงเป็นด้วยกัน

พอถึงขั้นวิปัสสนาแล้ว เอ้าที่นี่ว่าเสือ อันไหนเป็นเสือ ไล่เข้าไป กลัวมันที่ตรงไหน ตาหรือ ตาเราก็มีไม่เห็นกลัว กลัวเขี้ยวมันหรือ เขี้ยวเรามีก็ไม่เห็นกลัว ไล่ไปหมดทุกแง่ทุกมุม เอาไปจนกระทั่งถึงกลัวหางมันหรือ เราไม่มีหาง ที่ว่าแต่ก่อนกลัวขนมันหรือ ขนเราก็มีไม่เห็นกลัว ไล่ถึงตามัน ตาเราก็มีไม่เห็นกลัว ทุกอย่างไล่ไปของเราเทียบกันๆ ไม่เห็นกลัว แล้วไปกลัวมันทำไม ทีนี้พอไปถึงจุดสุดท้าย กลัวหางมันหรือที่นี่ มันแก้กันดีอยู่นะน่าฟังอยู่ กลัวหางมันหรือ ทีนี้หางเราจะเอาออกอวดไม่มี กลัวหางมันหรือ ตั้งแต่ตัวมันยังไม่เห็นกลัวหางมัน เราจะไปกลัวมันอะไร พลิกไปนั้นเสีย คือเราไม่มีหางออกสู้ ตั้งแต่หางอยู่กับมันมันไม่เห็นกลัว เราไปกลัวมันอะไรอยู่ไกลกับมัน พลิกไปนั้นเสีย

จากนั้นก็แยกธาตุออก เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ตัวคำว่าเสือที่น่ากลัวไม่เห็นมี นี่ละขั้นวิปัสสนา อะไรๆ มามันจะแยกธาตุของมันเป็นหลักธรรมชาตินะ ขั้นวิปัสสนาแล้วจะแยกธาตุทั้งนั้น แยกธาตุๆ จากนั้นก็ว่างไปหมด พอปรุงเป็นเสือพับดับพุบ แยกธาตุยังไม่ทัน อำนาจของวิปัสสนามันรวดเร็ว พอเป็นภาพเสือปั๊บยังไม่ได้แยกละ ภาพปั๊บดับพุบๆ นี่สังขารหลอกเรา ปรุงขึ้นแล้วดับๆ สังขารเท่านั้นหลอกเรา เสือไม่มี นั่น มันไล่เข้าไปๆ จนกระทั่งถึงขั้นว่างนั่นแหละที่ว่ามันว่าง ปรุงอะไรไม่มี ว่างไปหมด เหมือนแสงหิ่งห้อย เป็นภาพขึ้นมาพับดับปุ๊บๆ เลย

จากนั้นก็ว่างไปหมด จิตเป็นขั้นๆ อย่างนั้นนะ ว่างจนกระทั่ง หมดโลกนี้ว่างไปหมดแต่ยังไม่ว่างในตัวเอง มันก็เพลินในความว่างๆ ไปอัศจรรย์ข้างนอก ตัวเองยังไม่รู้ตัวเอง จึงมีบทธรรมสอนขึ้นว่า ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ คือตัวนี้ละ ตัวที่มีความอัศจรรย์ในตัวเอง อัศจรรย์ในสิ่งทั้งหลาย แต่ในตัวนั้นมันยังไม่รู้ตัวเอง ไม่ละตัวเอง ไม่ปล่อยตัวเอง ยังไม่ว่าง ตัวนั้นยังไม่ว่าง พิจารณามาถึงอันนี้ อันนี้ว่างปุ๊บ ทุกสิ่งทุกอย่างว่างหมดแล้วยังเหลืออันนี้ อันนี้ว่างปุ๊บหมดเลย

เหมือนเราเข้าไปอยู่กลางห้อง อ้าว ห้องนี่ว่างเหลือเกิน ว่างไปหมดๆ แล้วก็มีผู้หนึ่งคือปัญญาชี้เข้ามา ว่าห้องว่างมันว่างอะไร ตัวเธอเองไปยืนจังก้าอยู่กลางห้อง มันจะว่างได้ยังไง ตัวนี้ตัวกีดขวางความว่าง ถ้าอยากจะให้มันว่างก็ถอนตัวออกมาซิ พอถอนออกไปมันก็ว่าง อันนี้ไม่ว่างอยู่ที่จิต เข้าใจไหม เหล่านั้นๆ ว่างหมด จิตยังไม่ว่าง อยู่ในท่ามกลางความว่างคือห้องนั่นเอง พอรู้ตัวนี้พับผาง หมด ว่างทั้งภายนอกภายใน หายห่วง นั่น การพิจารณาทางวิปัสสนาเป็นชั้นๆ เข้าไปอย่างนี้ พอถึงขั้นว่างทั้งภายนอกว่างทั้งภายใน ก็เรียกว่าวางทั้งภายนอกภายในหมดโดยสิ้นเชิง

นี่สอนให้รู้การพิจารณากรรมฐาน เป็นขั้นๆ ตั้งแต่เริ่มแรกที่กลัวเสือ ไปที่ไหนมีแต่เสือหมอบ แก้ตรงนี้เข้าไป เข้าถึงสมาธิ เอา ไม่กลัว มันจะเสืออยู่รอบด้านก็ตามจิตไม่ออกรับมันก็สง่างาม แน่วอยู่นั้น สว่างไสวอยู่ในจิต มันก็ไม่กลัว พอออกวิปัสสนาอะไรตีดะเลยที่นี่ ฟาดแหลกไปเลยๆ จนกระทั่งสิ่งเหล่านั้นหมด เข้าสู่ความว่าง เอ้า ว่างก็ว่าง อะไรว่าง แต่ใจยังไม่ว่าง แน่ะ ซัดเข้ามาหาใจ ใจว่างหมด หมดเลย นั่น เป็นขั้นๆ การพิจารณาวิปัสสนา นี่ละนักปฏิบัติต้องพูดได้อย่างนี้

เราจะไปหาความว่างในคัมภงคัมภีร์หรือธรรมทั้งหลายในคัมภีร์ ท่านพูดไว้กลางๆ ท่านไม่ซอกแซกซิกแซ็กเหมือนภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัตินี่ซอกแซกซิกแซ็ก ตามรู้ตามเห็นแล้วปล่อยวางเป็นลำดับลำดามา จนกระทั่งไม่มีอะไรที่จะปล่อยวาง มันรู้รอบหมดแล้ว ที่นี่ว่างหมดเลย เป็นอย่างนั้น พากันจำเอานะ พวกซาดบ่นี่จำให้ดี เข้าใจไหมพวกซาดบ่ จำให้ดีนะ มันเป็นยังไง เข้าใจไหมพูดถึงเรื่องอาจารย์กงแก้วกับเณรสองเณรนั่นน่ะ พากันเข้าใจหรือยัง

อาจารย์กงแก้วบ้านหนองสูง เรายังไม่ลืม เณรนั่นก็น่ารักด้วย สอนชัดเจนหนหนึ่งแล้วยังไม่แล้ว ท่านสอนอีกบอกอีก กุฏิหลังนั้นๆ เราก็ฟัง เพราะเราก็เป็นอาจารย์สอนคนสอนพระสอนเณร ท่านก็เป็นอาจารย์ ท่านสอนพระเณรของท่านเป็นยังไงคอยดู ผลแห่งการสอนเหล่านั้นเป็นยังไง ผลแห่งการสอนของท่านว่าซาดบ่ มันไม่ได้เรื่อง มีแต่ซาดบ่ ของเราก็เป็น โอ๊ย มันก็เป็นอย่างนั้นละ ท่านว่าอู๊ยเป็นอย่างนี้ละ พระเณรนี่เป็นยังไงสอนไม่ได้เรื่องได้ราว โอ๊ย มันก็เป็นโรงบ่มบ้าอยู่ดีๆ ของผมก็เหมือนกัน ไม่เป็นโรงอรรถโรงธรรม มันเป็นโรงบ่มบ้า เอ้อ เข้าท่าดีนะท่านว่า โรงบ่มบ้า สอนให้คนเป็นบ้า ให้พระเณรเป็นบ้า ให้ไปเอาเสื่อเอาหมอนอยู่นั้นๆ ยังว่าซาดบ่ มันขบขันดี เข้าใจไหมล่ะพวกซาดบ่ เอาละวันนี้เทศน์เท่านั้น พอสมควร วันไหนก็เทศน์ทุกวันๆ เทศน์เต็มเหนี่ยวๆ ผลที่ได้ก็มีแต่ซาดบ่

ผู้กำกับ วัดป่าร้อยไร่ อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว ถวายสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน จ.สระแก้ว ประกอบด้วยเครื่องส่ง ๒๐๐ วัตต์ เสาสูง ๓๐ เมตร พร้อมอุปกรณ์ กำหนดให้เป็นสถานีเครือข่าย โดยรับสัญญาณจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนบ้านตาดร้อยเปอร์เซ็นต์ ออกอากาศตั้งแต่ ๕.๐๐ น.ถึง ๒๓.๐๐ น. พร้อมรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดของสถานีเองครับ

หลวงตา เราพอใจนะให้พากันตั้งเถิด เป็นความเจริญแก่ผู้บำเพ็ญนั่นแหละ ผู้สนใจฟังก็ได้อรรถได้ธรรมมาเป็นคติเครื่องเตือนใจ นี่ละธรรมกระจายอยู่ทั่วโลก ใครนำไปฟังได้ประโยชน์ทั้งนั้น เหมือนกับความชั่วกระจายอยู่ทั่วโลก ท่วจิตใจคน ธรรมก็ทั่วโลกทั่วจิตใจคน กระจายออกไปธรรมเป็นความสว่างไสว ส่วนโลกเป็นเรื่องความมืดบอด มากแล้วนะสถานีวิทยุ รู้สึกว่ามากขึ้นโดยลำดับ ตั้งทางโน้นตั้งทางนี้ เพราะธรรมนี้เป็นธรรมที่แน่นอน ธรรมที่เราสอนนี้เป็นธรรมที่แน่นอนจากหัวใจเราเอง เราจึงไม่สงสัยในธรรมทุกขั้นที่สอนโลก ไม่ใช่วัดรอยศาสดานะ ธรรมนี้เป็นธรรมของศาสดา เราปฏิบัติความรู้ก็รู้เหมือนกับเป็นลูกของตถาคตนั่นเอง เราไม่มีสงสัยในธรรม ที่นำออกแสดงแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายทุกขั้นทุกภูมิ ถอดจากหัวใจที่เต็มตัวๆ แล้วด้วยธรรม จึงไม่มีคำว่าสงสัย ขอให้นำไปปฏิบัติ

บาปมีบุญมีนรกมีสวรรค์มี นี้เป็นของตายตัวมาดั้งเดิม แต่กิเลสตามลบล้างๆ ว่าบาปไม่มีบุญไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี สัตว์โลกผู้ตาบอดถ้าไปเชื่อทางนี้แล้วจมไปๆ ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นความสัตย์ความจริง เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว จะผ่านพ้นได้ ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้ามีทางผ่านพ้นได้ ถ้าเชื่อกิเลสซึ่งลบว่าบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มีนี้จมนะ ให้พากันจดจำให้ดี

วาสนาจะเปิดขึ้นที่ใจเรา จะเจริญที่ใจ กิเลสจะยุบยอบลงไปจากหัวใจ เพราะอำนาจแห่งการบำเพ็ญธรรม ธรรมเหมือนน้ำที่สะอาดชะล้างสิ่งสกปรกเต็มในหัวใจคือกิเลส ให้จางลงไปๆ เมื่อชะล้างเต็มที่แล้วจ้าขึ้นมาเลยจากใจดวงนั้นละ นี่ศาสนาเจริญเต็มที่ที่หัวใจของผู้ปฏิบัติ อย่าไปคิดไปหมายว่าอยู่เมืองนั้นเมืองนี้ นั้นเป็นสถานที่ท่านบำเพ็ญที่ท่านรู้ ที่ท่านปรินิพพาน อยู่ที่นั่นๆ แล้วเรื่องเหล่านี้ก็มาอยู่ในตัวของเรา สถานที่อุบัติคือเกิดเราก็เกิดมาแล้ว ถ้าบำเพ็ญธรรมก็จะรู้ที่ใจของเรา ถึงคราวเป็นคราวตายเราก็จะตายที่ร่างกายของเรา เหมือนกันกับที่พระองค์ปรินิพพานที่เมืองอินเดีย

คำว่าปรินิพพานกับคำว่าตายนี้ต่างกัน ปรินิพพานเรียกว่าดับสนิท บรรดาสมมุติทั้งหลายดับสนิทโดยสิ้นเชิง เรียกว่านิพพาน มีแต่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ล้วนๆ เรียกว่าวิมุตติหลุดพ้น เรียกว่านิพพาน ดับหมดบรรดาสมมุติทั้งหลายซึ่งเป็นสิ่งรบกวนมาดั้งเดิม พอสมมุติดับลงไปแล้วไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ท่านจึงไม่มีเรื่องทางใจ เขาจะโจมตีแบบไหนก็ตาม สรรเสริญแบบไหนก็ตาม เป็นส่วนเกินทั้งนั้น สรรเสริญมาก็ตกปั๊บๆ นินทามาก็ตกปั๊บๆ หลักธรรมชาติพอตัวแล้วด้วยความเลิศเลอ ท่านจึงไม่มีเรื่องภายในใจของท่าน พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ไม่มี ตั้งแต่กิเลสตัวก่อเรื่องๆ ดับลงไปแล้วเรื่องไม่มี ส่วนกิริยาภายนอกอย่างนั้นเป็นนั้น เป็นเรื่องของภายนอก รับทราบแย็บๆ ดับไปพร้อมๆ มันอยู่ข้างนอกไม่เข้าไปถึงใจท่าน พากันจำ

นี่ละศาสนาจะเปิดเผยขึ้นที่ใจของเราทุกคน อย่าไปคิดว่าเมืองนั้นเมืองนี้เมืองอินดงอินเดีย ศาสนาเจริญที่นั่น เจริญที่นั่นแก่ผู้บำเพ็ญศาสนาให้เจริญในใจของตัวในที่นั่นต่างหาก ไม่ใช่แผ่นดินแผ่นฟ้าอะไรพาเจริญพาเสื่อม มันเจริญมันเสื่อมที่หัวใจของสัตว์ เราอยู่เมืองไทยนี้ก็ศาสนาคุ้มครองหัวใจเราอยู่แล้ว ให้นำไปปฏิบัติ เปิดออก เอาศาสนานี้เปิดออก สิ่งใดที่มันปิดบังหุ้มห่อลบล้างความดี ให้เปิดออกๆ ก็มีแต่กิเลสเท่านั้นที่มันปิดบังเอาไว้ ให้เปิดนี้ออกด้วยการสร้างความดี ความจ้าจะไม่ถามใคร พูดแล้วสาธุ ไม่ถามพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน มันกระเทือนถึงกันหมด พอผางขึ้นเท่านี้เป็นอันเดียวกันหมดเลย

เหมือนกับน้ำมหาสมุทรจะไหลลงมาจากคลองใดๆ ก็ตาม เวลายังไม่ถึงก็เรียกว่าคลองนั้นคลองนี้ไหลมาๆ พอถึงมหาสมุทรแล้วเป็นมหาสมุทรอันเดียวกันหมดเลย อันนี้ผู้บำเพ็ญทั้งหลายเป็นรายๆ มา ผู้ที่บำเพ็ญถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานก็เท่ากับน้ำมหาสมุทร เรียกว่ามหาวิมุตติมหานิพพาน ผู้บำเพ็ญไปๆ พอเข้าถึงนั้นปั๊บ เท่ากับน้ำมหาสมุทรเหมือนกันหมดเลย ให้พากันจำนะ ไม่อยู่ห่างไกล อยู่ที่หัวใจของเรา บำเพ็ญให้ดีอย่าประมาท

เรื่องกิเลสมันคอยก่อกวนอยู่เสมอนะ ฟังอรรถฟังธรรมไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว สอนแทบเป็นแทบตายครูบาอาจารย์สอน อย่างที่ท่านอาจารย์กงแก้วท่านสอนลูกศิษย์ของท่าน เณรสองเณรตาใสแป๋วนั่น บอกให้ไปเอาเสื่ออยู่กุฏิหลังนั้น ให้ไปเอาหมอนอยู่กุฏิหลังนี้ บอกชัดเจน บอกแล้วยังไม่แล้ว เข้าใจเหรอท่านว่า เณรก็นั่งคุกเข่า มองดูตาใสเหมือนตาแมว ตามองดูอาจารย์ เข้าใจแล้วเหรอ ท่านบอกซ้ำอีก เรานี่ฟังจนจะตายมันเบื่อจะฟัง เข้าใจเหรอ นิ่ง บอกสองครั้งเณรก็ลงไป พอลงไปบันไดแล้วหันหน้ากลับมา นั่งคุกเข่าแล้วว่า ซาดบ่ อู๊ย มันโมโห อันนี้สอนแทบเป็นแทบตายจนเราอกจะแตกแล้ว ผลกลับมามีแต่ซาดบ่เต็มศาลา พวกซาดบ่ทั้งนั้น เอาละพอ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz




** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก