เทศน์อบรมพระสงฆ์และฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เนื่องในโอกาสประชุมคณะสงฆ์ไทย
เรื่อง ดำเนินการทางกฎหมายกับนายวิษณุ เครืองาม
กรณีกล่าวอ้างว่า การแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระราช ซ้อนกับสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เมื่อบ่ายวันที่ ๒๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘ (เทศน์หลังพระสงฆ์ประชุม)
ชำระสะสางกาฝากมหาภัย
(พระสงฆ์ที่มาร่วมประชุม ที่ลงทะเบียนรายชื่อแล้วรวม ๘,๒๔๕ รูป)
เราขอสรุปเรื่องราวทั้งหลายที่ประชุมคราวนี้ มีหลายแง่หลายกระทงที่ประชุม ที่เอามาประชุมเวลานี้ชำระสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่มีรอบศาสนา ของจริงนี้มีน้อยมากทีเดียว มีแต่สิ่งจอมปลอมๆ ๆ รอบศาสนา แล้วถือเป็นศาสนา ถือเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาเวลานี้นะ ศาสนาเลยจะกลายเป็นของปลอมไปหมด เพราะผู้ปฏิบัติศาสนาปฏิบัติไปทางจอมปลอม ไม่ใช่ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ ผู้ตั้งใจปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยจริงๆ ท่านไม่ได้ยุ่งอะไรนะ เล็งดูอรรถดูธรรมดูวินัยตรงเป๋งอยู่ด้วยกันด้วยความผาสุกเย็นใจ ตายใจกันได้ตลอดไปเลย
อันนี้มีแต่เรื่องเคลือบเรื่องแฝงเรื่องเป็นกาฝาก คำว่ากาฝากเป็นกาฝากมหาภัยต่อศาสนา กัดลงไปแล้ว ต้นไม้ต้นใดที่มีกาฝากมากๆ ต้นไม้ต้นนั้นตายได้ง่าย อันนี้เวลานี้ศาสนาของเรามีแต่กาฝากเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มพระเต็มเณร ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใดในศาสนานี้มันเป็นกาฝากเสียมากต่อมาก หาหลักหาเกณฑ์ที่จะฟังพอให้ชื่นใจไม่ค่อยมี มีแต่เรื่องกาฝากๆ จะกัดจะกินศาสนาให้แหลกให้เหลวไปเท่านั้น เวลานี้ศาสนาของเราเต็มไปด้วยกาฝากนะ กลืนทางนั้นกินทางนี้อยู่อย่างนั้น
ที่พูดวันนี้มีแต่พูดเรื่องกาฝากมหาภัยที่จะกัดศาสนาให้แหลกเหลวลงไป ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเลยมีความวุ่นวายไปตามๆ กัน นี่อย่างพระท่านอยู่ในป่าท่านยุ่งกับอะไร ท่านปฏิบัติตามศีลตามธรรมตรงแน่วเลย ไม่มีเคลื่อนคลาดไปไหนเลย อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก มาเจอกันพูดแต่เรื่องหลักธรรมหลักวินัย เรื่องมรรคเรื่องผล จนกระทั่งถึงนิพพาน ท่านพูดตามหลักธรรมของศาสดาอย่างแท้จริง อันนี้ผู้ถือศาสนานำมาพูดมีแต่เรื่องกาฝากทำลายศาสนาเป็นลำดับลำดามา ไม่ว่าส่วนย่อยส่วนใหญ่ ตลอดถึงว่าจะเป็นผู้ยศถาบรรดาศักดิ์ขนาดไหน ยศถาบรรดาศักดิ์ของกาฝากทั้งนั้นละ ทำลายศาสนา
อย่างมียศมีลาภมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นบ้าไปเลย บ้ากาฝาก นี่ละมันน่าทุเรศนะ ไอ้เรื่องยศเรื่องลาภเรื่องอะไรมันมีความสำคัญอะไรกับเรื่องศาสนา บวชแล้วไล่เข้าไปในป่าให้บำเพ็ญศีลบำเพ็ญธรรม ออกมาแล้วเป็นสรณะของพวกเรา สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นี่ละที่ดำเนินตามทางของศาสดาเป็นอย่างนี้ อันนี้มันมีแต่เรื่องกาฝากคอยกัดคอยกินคอยกลืนศาสนาให้แหลกเหลวไปคนละทิศละทาง เวลานี้พวกกาฝากกำลังมาเป็นเนื้อเป็นหนังของศาสนา แล้วกลืนศาสนาให้หมด ก็เหลือแต่กาฝาก ตัวกาฝากเองที่มันกินต้นไม้หมดแล้วมันก็ตายเหมือนกัน มันจะไปฝากฟ้าแดนดินที่ไหนคนชั่วคนเลวเหล่านี้
อย่าเข้าใจว่ามันจะไปหาความสุขความเจริญ มรรคผลนิพพานมาแข่งพระพุทธเจ้าเลย ไม่มี พวกนี้พวกล่มจม เวลานี้ก็ก่อกวน ศาสนานี้ก็ก่อกวนกันอยู่อย่างนี้แหละ เห็นไหมล่ะก่อกวนกันอยู่ทุกแบบทุกฉบับ ตั้งนั้นขึ้นมาตั้งนี้ขึ้นมามันมีแต่กาฝาก มันไม่มีอรรถมีธรรมอยู่ในนั้นเลย ตัวของพระก็หัวโล้นๆ ผ้าเหลืองครอบ แต่กิริยาอาการออกมันออกเป็นกาฝากไปเสียทั้งหมด ที่จะทำลายตนและผู้อื่นให้เสียหายไปตามๆ กันหมด ของที่แท้จริงมันไม่มีนะ
พูดให้ชัดเลย เต็มเหนี่ยวเลยนะ ให้ไปหาได้ในป่า พูดให้ชัดเลยนะ ไปหาผู้ทรงอรรถทรงธรรมไปหาได้ในป่า ไม่ค่อยได้อยู่ล่ะในตลาดกระดูกหมูกระดูกวัว มีอยู่ในป่าๆ ท่านตั้งอกตั้งใจจริงๆ พระทั้งหลายอยู่ในป่า ท่านตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ ท่านไม่ยุ่งกับใครเลย สั่งสมแต่คุณงามความดีด้วยศีลด้วยธรรมของตัวเอง ปฏิบัติตลอดมา นี่เรื่องศีลเรื่องธรรมจะไปอยู่ในป่านะ ในตลาดลาดเลเหล่านี้จะมีแต่กาฝาก กลืนอยู่ทุกแห่งทุกหน อยู่ที่ไหนกลืนกันที่นั่นๆ จะหาความสุขความเจริญจากกาฝากเหล่านี้ไม่มี ถ้าความฉิบหายมีได้ทั่วๆ ไป
ผู้ที่ทรงอรรถทรงธรรมจริงๆ ท่านไม่ได้ยุ่งกับสิ่งเหล่านี้ ที่มาประกาศกันลั่นอยู่วันนี้ก็เพราะเอาเรื่องกาฝากนั่นเองมาพูด ถ้าของดีมาพูดกันหาอะไร ต่างคนต่างดีก็ไม่มีเรื่องมีราว ที่มาพูดวันนี้พูดแต่เรื่องกาฝากที่ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ทั้งนั้นแหละ มันน่าทุเรศไหมล่ะคนไทยเรา มันยินดีในศาสนาเมื่อไร แม้บวชเข้ามาในวัดในวามันก็ไม่ได้ทำงานในวัดนะ ไม่ได้ทำงานตามหน้าที่ของพระของเณรซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติตามศีลตามธรรมเพื่อมรรคเพื่อผล เพื่อสวรรค์-นิพพานนะ มันปฏิบัติตัวเป็นมูตรเป็นคูถไปหมด
วัดหนึ่งๆ นี้มันเป็นส้วมเป็นถานไปแล้วเวลานี้ บรรจุแต่ของสกปรกในวัดในวา เข้าไปดูซิ ถ้าว่าเราหาเรื่องหาราว กุฏิกุต่างนั้นหรูหราฟู่ฟ่าสวยงาม มันเป็นเรื่องของกิเลสไปทั้งหมด แล้วเครื่องประดับประดามีอะไรลายคงลายครามมีอยู่ตามนั้น นี่เครื่องประดับประดา มันไม่มีศีลมีธรรม จึงเรียกว่าวัดนี่เป็นเหมือนกับส้วมกันถานก็ได้ วัดที่เป็นอย่างนั้นนะ เราไม่ได้ตำหนิทุกวัดไป วัดที่ทรงศีลทรงธรรม วัดที่เป็นวัดจริงๆ ก็มี ที่เป็นส้วมเป็นถานน่ะมีมากเวลานี้ ทีนี้พระเณรปฏิบัติตัวเหลวแหลกแหวกแนว ไม่ได้มองดูศีลดูธรรมเลย ปฏิบัติตัวเป็นมูตรเป็นคูถ เรียกว่าพระเหล่านี้กลายเป็นมูตรเป็นคูถไปหมด แล้วเข้าอยู่ในวัด วัดก็เลยกลายเป็นส้วมเป็นถานไป
เวลานี้มักมีแต่อย่างนั้นละเต็มบ้านเต็มเมืองนะ น่าสลดสังเวชไหมล่ะศาสนาของพระพุทธเจ้า องค์ที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว สอนแต่สิ่งที่เลิศเลอสุดยอดมาให้สัตว์โลกได้ยินได้ฟังได้ปฏิบัติตาม มันแหวกไปหาส้วมหาถานไปเสียอย่างนี้จะให้ว่าไง การชำระกันวันนี้มีแต่เรื่องส้วมเรื่องถาน เรื่องกาฝากมหาภัยต่อศาสนาและตัวเองทั้งนั้นแหละ มันไม่ได้หาของดิบของดีอะไร เราพูดเราพูดสลดสังเวชจริงๆ นะ เพราะการปฏิบัตินี้เรียนมาด้วยกันทุกคน ไม่ว่าผู้อยู่ในป่าในบ้านเรียนมาจากคัมภีร์เดียวกัน คำสอนของพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอย่างไรเข้าใจกัน ไปอยู่ในป่าก็เข้าใจ ท่านอยู่ในป่าท่านยิ่งอยู่กับธรรมกับวินัย ท่านรับคำสั่งสอนมาแล้ว ศึกษาเล่าเรียนมาแล้วท่านอยู่กับธรรมกับวินัย ท่านไม่ได้อยู่กับส้วมกับถานนะ ด้วยการปฏิบัติตัวเหลวแหลกแหวกแนวอย่างนั้น มันจึงน่าสลดสังเวชนะ
การพูดวันนี้ไม่ได้พูดเรื่องอะไรนะ พูดเรื่องกาฝากมหาภัย เราพูดเรื่องส้วมเรื่องถาน มันเจือปนอยู่กับมหาภัยนั่นแหละ เป็นความสกปรกของผู้ปฏิบัติศาสนา เอากิเลสออกหน้าออกตาก็มีแต่ส้วมแต่ถานเต็มตัว มองหาพระก็ไม่เห็น มองหาคนก็ไม่เห็น เห็นแต่มูตรแต่คูถ ความสกปรกเลวร้ายเต็มภายในตัวๆ ทีนี้เวลาระบายออกมามันก็ระบายออกแบบนั้นละ ที่มาชำระกันเวลานี้ก็ชำระพวกส้วมพวกถาน คือความผิดพลาดต่างๆ ที่ไม่ตรงตามหลักธรรมหลักวินัยนั้นแล ถ้าตามหลักธรรมหลักวินัยจำเป็นอะไรจะต้องมาประกาศโฆษณาสอนกันอย่างนี้ ก็ถูกมาแล้วสอนกันไปหาอะไร ชำระกันหาอะไร
นี่ก็คือมันขัดมันขวางต่อพุทธศาสนาอย่างร้ายแรงนั่นเอง เวลานี้แทบจะไม่มีพุทธศาสนาที่แท้จริงเหลือยู่แล้วนะ มันมีแต่ชื่อของศาสนา เรียนมาเท่าไรก็เป็นอะไรประสาเรียนมา จำมาๆ ใครเรียนก็จำได้ เด็กเรียนก็จำได้ ผู้ใหญ่เรียนก็จำได้ ผู้หญิงเรียนผู้ชายเรียนจำได้ด้วยกัน พระเรียนก็จำได้ ฆราวาสเรียนก็จำได้ จำได้เฉยๆ ความดีหรือกิเลสไม่ได้ถลอกปอกเปิกออกจากการจำได้แม้นิดเดียวเลย ต้องเป็นภาคปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เรียนมามากน้อยเข้ามาปฏิบัติ นั่นเป็นผลเป็นประโยชน์ เกิดจากการปฏิบัติ ซึ่งสืบเนื่องมากจากการศึกษาเล่าเรียนมา นี่แหละเรื่องศาสนาแท้เป็นอย่างนี้
เราอดไม่ได้ เราได้เห็นทั่วประเทศไทยแล้ว ไปที่ไหนเห็นหมดๆ ตาเราไปด้วย หูเราไปด้วย หัวใจเราก็ไปด้วย สัมผัสสัมพันธ์ทุกสิ่งทุกอย่าง ดีชั่วจะไม่พ้นจากสายตาหูเรานี้ไปได้ แล้วก็เข้าสู่ใจ เห็นหมด ที่ไหนควรชมก็ชม ที่ไหนควรตำหนิ ถ้าจะตำหนิก็ตำหนิได้เลย เพราะได้เห็นมาแล้วด้วยกัน เราจึงพูดไม่สงสัย เท่าที่ผ่านมาแล้วนี้ เท่าที่เห็นใกล้เคียงกับองค์ศาสดาก็คือผู้ปฏิบัติ เอายกขึ้นมาเลยว่า ท่านเหล่านี้มักอยู่ในป่าในเขา บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผาหรือป่าช้าป่ารกชัฏ ท่านอยู่สบายๆ เพื่อบำเพ็ญอรรถธรรม วันหนึ่งท่านชำระจิตใจตั้งแต่ตื่นนอน
สติบังคับกิเลสตัณหาซึ่งเป็นข้าศึกตลอดเวลา ชำระไม่หยุดไม่ถอย ท่านเรียกว่าความเพียร ทีนี้สิ่งจอมปลอมสิ่งเลวร้ายทั้งหลายซึ่งอยู่ภายในใจนี้ค่อยจางออกไปๆ จิตใจได้รับความสงบเพราะการชำระสะสาง การบำรุงรักษา แล้วจากความสงบแล้วก็เป็นจิตที่สว่างไสว จิตแน่นหนามั่นคงขึ้นโดยลำดับๆ จากการปฏิบัติในป่าในเขา นี้เป็นส่วนมากนะ อยู่ในบ้านในเรือนก็มี แต่มีน้อยมาก ไม่เหมือนที่อยู่ในป่า ผู้ที่ท่านอยู่ในป่า เช่นพระกรรมฐานท่านอยู่ในป่า ท่านตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตามอรรถตามธรรมจริงๆ ด้วยความมุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์ นี่สำคัญมาก
จึงทำให้ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หิริโอตตัปปะเต็มหัวใจ มีความละอายกลัวต่อบาปตลอดเวลา แล้วชำระจิตใจไปตลอด ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ท่านชำระจิตใจของท่านเรื่อยไป การบำเพ็ญความดีอยู่ตลอดเวลาทำไมความดีจะไม่ปรากฏ ผลแห่งความดีก็คือความสงบทางด้านจิตใจ ทางกายของเราก็ไม่แสดงสิ่งใดที่ขัดต่อพระธรรมพระวินัย ภายในใจก็บำรุงจิตใจด้วยความพากความเพียร จิตใจก็มีความสง่างามขึ้นมา โดยลำดับ จนสง่างามขึ้นหนักขึ้นๆ จนกระทั่งทะลุถึงมรรคผลนิพพานจากการปฏิบัติ และตามที่ไปอยู่ตามป่าตามเขานั้นมากต่อมาก เราชมเชยตามนี้ ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้นี้ ไล่พระเข้าอยู่ในป่าในเขา เพื่อจะบำเพ็ญความดีงามให้เห็นประจักษ์ใจ แล้วออกมาเป็นสรณะของโลกได้ เราชมเชยก็ชมเชยอย่างนี้
ที่ไม่ชมเชยก็เห็นอยู่แล้ว ชมเชยไปหาอะไร ก็มันไม่มีสิ่งที่น่าชมเชย นอกจากมีสิ่งที่น่าตำหนิ ตำหนิทั่วโลกไปเลย มันมีแต่เรื่องสกปรกอย่างนั้นมากต่อมาก ผู้ที่จะชำระสะสางความสกปรกออกจากจิตใจนี้มีน้อยมาก ต่อไปนี้ศาสนาพุทธเราแทบจะไม่มีแล้วนะ ค่อยหมดไปสิ้นไป เดี๋ยวนี้เป็นเกาะเป็นดอน พูดให้เต็มยศตามอรรถตามธรรม ก็มีอยู่ตามป่าตามเขา ท่านเหล่านี้ท่านตั้งใจปฏิบัติอรรถปฏิบัติธรรมจริงๆ อรรถธรรมจึง ชอบอยู่ในท่านผู้เช่นนั้น เพราะท่านเป็นผู้บำรุงรักษา ธรรมทั้งหลายก็ค่อยเจริญขึ้นภายในจิตใจ ผู้นี้แลเป็นผู้จะทรงมรรคทรงผล แล้วผู้นี้แลจะมาสั่งสอนสัตว์โลก โลกหรือประชาชนทั่วๆ ไป ด้วยความแม่นยำแห่งจิตใจ ออกจากธรรมที่เต็มอยู่ในหัวใจแล้วโดยลำดับลำดา
นี่ละผู้ที่จะทรงศาสนา เราให้ไปปฏิบัติซิ ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ใครทรงได้ทั้งนั้นแหละทรงศาสนา ไม่เลือกหญิงเลือกชาย เลือกชาติชั้นวรรณะ อยู่กับผู้ปฏิบัติดี ผู้ปฏิบัติชั่วก็ไม่เหลือกเหมือนกัน มันชั่วไปได้ ขอพากันพินิจพิจารณา สรุปความลงแล้วว่า วันนี้มาชำระล้างสิ่งสกปรกทั้งหลายที่มีเต็มบ้านเต็มเมือง เอามาชะมาล้าง มาประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่าอะไรเป็นของจริง อะไรเป็นของปลอม วันนี้ชี้แจงเรื่องของปลอมที่ไม่ถูกต้องตามอรรถตามธรรมตามวินัย นอกจากนั้นยังผิดไปทางกฎหมายอีก เพราะความเลวร้ายของคน มันไม่มียางอายล่ะ พวกที่เลวร้ายไม่มียางอาย
ใหญ่เท่าไรยิ่งเอาอำนาจบาตรหลวงของตัวเองมาข่มขี่ประชาชน ตั้งข้อนั้นตั้งคนนั้นขึ้นมา ตั้งกฎเกณฑ์นี้ขึ้นมา กฎเกณฑ์ขึ้นมาด้วยลิ้นของมัน ลิ้นนี้แหลมคมนะ ตั้งข้อนั้นตั้งข้อนี้ และเอาลิ้นนี่มาเป็นกฎหมาย เวลามันใช้จริงๆ มันไม่ได้เอากฎหมายมาใช้ มันเอากฎหมอยมาใช้ เข้าใจไหม เดี๋ยวนี้มักจะมีแต่มีแต่กฎหมอยละ อำนาจกฎหมอยเต็มบ้านเต็มเมือง ข่มขู่คนทั้งหลายไม่มีเหตุมีผล ไม่มีหลักมีเกณฑ์ ฟังแล้วมันสลดสังเวช เราเอาธรรมฟัง เราจับด้วยธรรมของเรา เราไม่ได้ตีผู้ใด ส่วนมากเป็นอย่างนั้นก็ต้องพูดว่าเป็นอย่างนั้น
นี่ละมันเลอะเทอะขึ้นไปโดยลำดับลำดา เป็นผู้ใหญ่ใหญ่เท่าไรยิ่งใหญ่ป่าๆ เถื่อนๆ อำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ อะไรมาใช้ก็ป่าเถื่อน ประชาชนมันจะมีความชุ่มเย็นได้อย่างไร ก็เป็นฟืนเป็นไฟเผากันซี นี่ละเราสลดสังเวชตรงนี้นะ การปฏิบัติให้บ้านเมืองเจริญศาสนาเป็นสำคัญมาก ในเมืองไทยของเราถือพุทธศาสนา ไม่ว่าข้าราชการงานเมืองในแผนกใดก็ตามขอให้มีธรรมในใจ ปฏิบัติออกด้วยความเป็นธรรมแทรกๆ อยู่บ้าง แทรกอยู่บ้างเถอะ ในสังคมหรือราชการหน่วยนั้นๆ จะมีความสงบร่มเย็นต่อกันๆ แล้วก็สงบร่มเย็นกระจายความร่มเย็นออกไปสู่ภายนอก
คำว่าราชการ นับตั้งแต่พื้นๆ ราชการจนกระทั่งถึงรัฐบาล รัฐบาลที่เป็นผู้ใหญ่เท่าไรควรจะเป็นผู้มีศีลมีธรรม ให้หนักแน่นในศีลในธรรม เป็นตัวอย่างของโลกโดยลำดับ เพราะรัฐบาลเป็นหัวใจของชาติ การแสดงออกมา แสดงออกมาแก่หัวใจของชาติที่มีอรรถมีธรรมแล้วจะสงบร่มเย็น ถ้าแสดงออกมาแบบอำนาจป่าๆ เถื่อนๆ อย่างนี้ใช้ไม่ได้นะ ดังที่เวลานี้เราก็เคยพูดแล้ว ไม่ใช่พูดธรรมดา ก็มันทนไม่ไหว ที่เขามาร้องเรียนด้วยความไม่พอใจ มันแสลงหูแสลงตา ตำใจตำตาเขาตลอด เขาก็มาร้องเรียนๆ มาฟ้องก็ถูก มาเล่าเรื่องความทุกข์ความทรมานของใจตัวเอง ที่ได้รับการบีบคั้นด้วยวิธีการต่างๆ
ย่นเข้ามาก็คือวงรัฐบาล เขาว่าอย่างนั้นนะ รัฐบาลแต่ก่อนก็เคยตั้งมานานแสนนาน เปลี่ยนรัฐบาลก็เปลี่ยนมานานแสนนาน นี่ประชาชนเขาพูดนะ แต่ไม่มีรัฐบาลใดที่จะทำความเดือดร้อนแก่ประชาชน เป็นอำนาจป่าๆเถื่อนๆ เสียมากต่อมาก ทีนี้เขาแจงไปถึงอำนาจป่าเถื่อนของรัฐบาลไปอีกนะ โห สถานที่ใดมันจะต้องเอาอำนาจป่าเถื่อนนี่ไปบีบบังคับไว้หมด เพราะฉะนั้นประชาชนนี่เขาเรียกร้อง หรือเขาฟ้องร้องไปหาศาล ศาลนี้ก็ถูกอำนาจป่าเถื่อนครอบไว้แล้ว ศาลใดๆ ก็ตาม ราชการหน่วยใดมีหน้าที่อย่างไรก็ตาม อำนาจป่าเถื่อนนี้มันไปบีบไปบังคับไว้แล้วๆ ก็ทำท่ามาให้ประชาชนหรือ ให้หน้าที่ของศาลเขาทำหน้าที่ของเขา ความจริงตัวเปรตใหญ่ตัวยักษ์ใหญ่มันไปบีบบังคับเขาไว้ ศาลต้องให้ตัดสินตามความจริง ให้ตัดสินตามมันนั้นแหละ ตามอำนาจป่าเถื่อน มันเอาอำนาจไปบีบไว้หมดเลยนะ
พวกถืออำนาจป่าเถื่อนแล้วประชาชนจะมีความสงบร่มเย็นได้อย่างไร หน่วยราชการหน่วยไหนบีบไปหมด ตลอดถึงตำรวจทหารเข้าไปบีบในนั้นหมดนะ ศาลใดก็ตามเถอะมีแต่อำนาจป่าเถื่อนนี้ไปบีบไว้หมด แล้วก็ให้แสดงออกมา ดังที่เขาพูดเมื่อเร็วๆนี้ ที่ว่ารัฐบาลฟ้องประชาชนตาดำๆ เขาบอกเบื้องต้นก็ว่าคุณทักษิณนายกรัฐมนตรีไปฟ้องคุณสนธิ ลิ้มทองกุล คุณสนธิมันเป็นลูกของชาติ รัฐบาลเป็นพ่อของชาติ พ่อของชาติมากินลูกของตนเองนี้มันสะดุดใจมาก เราจึงได้ว่า แล้วห้าม อย่าทำ รายได้ไม่ได้เหมือนกับรายเสียนะ รายเสียล่มจม แล้วจะเรียกร้องเงินเขาสี่ร้อยล้านห้าร้อยล้านอะไรอย่างนี้ มันไม่มีความหมายนะ ไปเรียกเขาเท่าไรๆ ไม่มีความหมาย
สิ่งสำคัญที่สุดคือเราเป็นผู้ฟ้อง เป็นพ่อของชาติของแผ่นดินไทยเราไปฟ้องเขา นี่ล่มจมอยู่ที่ผู้ฟ้อง ได้สมบัติมาเท่าไรก็เหมือนกับเอาเงินทองข้าวของเอารางวัลค่าฟ้องเขานั่นน่ะมาเป็นฟืนเป็นไฟเผาศพผู้ที่ไปฟ้องเขา คือนายกฯนั่นแหละ เราจึงบอกอย่าทำ เราว่าอย่างนี้นะ พ่อมากินลูกแล้วเหรอ เราก็พูดตรงๆ ทีนี้เขาก็หลีกเลี่ยงไปว่านี่ไม่ใช่นายกฯไม่ใช่รัฐบาล เป็นเรื่องของบุคคลฟ้อง นี่มันก็มาให้จับได้อีก มันเปิดมันออกมาแล้วนะ มันรักษากัน ใส่กันบ้างแล้วเรา พวกนี้พวกอำนาจป่าเถื่อน ไปบีบบังคับไว้หมด ที่ไหนๆ ไปบีบบังคับไว้หมด
พี่น้องทั้งหลายให้ระวังนะ ถ้าสมมุติว่าคัดเลือกข้างหน้าเท่าไรๆ มันไม่เสียดาย มันจะเอาคะแนน เข้าใจไหม แล้วมันจะมาเป็นนายกฯอีก เป็นยักษ์อีก กินชาติบ้านเมืองต่อไป มันจะหว่านไปหมด นี่ให้ระวังให้ดีนะ เวลาต่อไปนี้ที่ว่าจะเลือกนายกฯขึ้นไป เมื่อมันสิ้นสมัยแล้วเขาอยากจะเป็นนายกฯอีก เขาจะเอาเงินนั่นแหละ เงินที่ไหนเราไม่สงสัย ก็เงินของรัฐบาลนั้นแหละ จะมาหว่านให้ประชาชน ประชาชนนี้ก็เหมือนปลาตัวโง่ พอเห็นเหยื่อล่ออยู่ปลายเบ็ดมันก็โดดไปงาบเอาปลายเบ็ดน่ะซิ ทีนี้เบ็ดกระตุกทีเดียวเลือดสาดปาก เห็นไหม
เหยื่อล่อคือเอาเงินไปล่อ ให้ไปหย่อนบัตรเขา ถ้าไม่หย่อนมันมีฉากหลังอีกนะ มันตามฆ่าเข้าใจไหมล่ะ เมื่อมันเอาเงินมาหย่อนให้ใครแล้วมันจะต้องติดตาม ถ้าไม่ทำตามมัน มันจะตามฆ่าลับๆ ๆ ฆ่าไปหมดเลย นี่เห็นไหมมันเป็นอย่างนี้ จำให้ดีนะคำนี้ไม่ผิด เราได้พิจารณาหมดแล้ว เอาเงินไปหว่านหมด ประชาชนเห็นแก่เงินละซิ ไม่เห็นแก่ชาติ แก่ศาสนา-พระมหากษัตริย์ ก็เป็นปลาตัวโง่ให้เอาเหยื่อใส่ปลายเบ็ด แล้วตวัดทีเดียว พวกเลือดสาดพวกนี้น่ะ พวกกินเบ็ดก็เรียกพวกเลือดสาด จำให้ดีทุกคนนะ
นี่ละเมืองไทยเรามันสกปรกถึงขนาดนั้นแล้ว จนจะไม่มีอะไรเหลือแล้วเวลานี้ ใครมีเงินมากๆก็สาดไปๆ สาดไปแล้วก็มาเป็นนายกฯ เป็นผู้ใหญ่อีกก็กินบ้านกินเมืองต่อไปอีกอย่างนี้ละ ให้จำทุกคนนะ นี้พูดด้วยความเป็นอรรถเป็นธรรม เรื่องราวเป็นอย่างนี้ พิจารณาไปอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น นี่ละพวกอำนาจบาตรหลวง ถ้าขึ้นไปแล้วก็เป็นอำนาจบาตรหลวงต่อไปอีก กินไปอีก เงินนี่เสียไปเท่าไรมันยากอะไรก็เอาคืนมาได้หมด คืนมาก็เพื่อเข้าพุงเจ้าของ จะเป็นอะไรไป
ถ้าว่าความโลภก็บ้าโลภอยู่ในวงนั้นแหละ อยู่ในวงรัฐบาลที่สกปรกทุกอย่าง บ้าก็บ้าอำนาจ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในนั้นหมด เป็นเจ้าอำนาจอยู่ในนั้นหมด ไปเที่ยวครอบงำไว้หมดๆ นั่นแหละ นี่ละอำนาจป่าเถื่อน มันเป็นอยู่หมดเวลานี้นะ ท่านทั้งหลายรู้ไหม นี่อยู่ในป่าหากรู้ เข้าใจไหม ถึงเวลาที่จะมาพูด พูดได้ตามหลักความจริง ใครจะมาฆ่ามาแกงเป็นกับตายอยู่กับตัวของเราคนเดียว ใครฆ่าไม่ฆ่ามันก็ตาย เราเรียนจบหมดแล้วเรื่องความเป็นความตาย คำว่ากล้าเราจึงไม่มี คำว่ากลัว เรื่องกลัวเป็นกลัวตายหรือกล้าไม่มี
เราพูดตามอรรถตามธรรมให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ด้วยความบริสุทธิ์แห่งธรรมของเราที่นำแสดงออกไป จะเป็นอย่างนี้แน่นอน ข้างหน้าก็ดี ปัจจุบันก็เป็นให้เห็นอย่างนี้ เป็นอย่างไรใครเคารพนับถือไหมเวลานี้ ก่อความเดือดร้อนให้ประชาชนมากขนาดไหน จนถึงเขามาร้องเรียน เราจะเป็นจะตาย เราก็ได้กระตุกทางรัฐบาลเสียบ้าง เพราะเราก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน มาฟ้องร้องเรานี่ละให้พูด เวลาที่ควรพูดเราก็พูดดังที่เห็นอยู่เวลานี้นะ
นี่มันมีแต่เรื่องสกปรกเต็มบ้านเต็มเมือง ก็เพราะไร้ศีลไร้ธรรม ไม่มีศีลธรรม ถ้ามีศีลธรรมภายในใจแล้วทำไม่ลง เอาพูดให้ชัดเจน เรายัน เอาตัวของเราเป็นประกันเลย นี่เรานำพี่น้องทั้งหลายมาเป็นเวลา ๖-๗ ปีนี้แล้ว เงินบาทหนึ่งเราไม่เคยแตะนะ ฟังซิ เคยมีที่ไหน ท่านทั้งหลายเคยเห็นไหม แต่มันมีแล้วในหลวงตาองค์นี้นะ เราทำด้วยความบริสุทธิ์ หัวใจเราบริสุทธิ์ล้วน ๆ การที่จะแยกอันนี้มากินเพื่อตัวเองมันเป็นมลทิน จะมาเข้ากับใจที่บริสุทธิ์นี้ไม่ได้ ปัดออกๆ ทันที อันใดที่เป็นความดีงามเป็นอรรถเป็นธรรมออกหมด ที่จะมาหาเรานี้ไม่มี เพราะอันนี้สะอาดเต็มที่แล้ว ความสกปรก เช่นเอาเงินเขามาบาทหนึ่งเป็นความมัวหมอง เข้ามานี้ไม่ได้ ปัดทันทีเลย นี่เราปฏิบัติมาอย่างนี้ เราจึงพูดได้เต็มปากกับสิ่งสกปรกทั้งหลาย พร้อมทั้งความสะอาด เราก็พูดได้เต็มหัวใจของเรา ไม่มีอะไรในโลกนี้ เราช่วยเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มความสามารถของเราด้วยความเมตตาทั้งนั้น
วันนี้ก็พูดถึงเรื่องการประชุมนี้ก็สรุปความลงแล้วว่า ชำระสะสางกาฝากมหาภัย มันเต็มบ้านเต็มเมืองที่นำมาแจงอยู่เวลานี้ แจงพวกกาฝากมหาภัย กินบ้านกินเมืองไม่มีเหลือ ก็คงจะพอแก่กำลังวังชาธาตุขันธ์กันละนะ ไม่พูดอะไรมาก มันได้มากพอไปแล้ว ไม่ต้องเอวํเพราะเราไม่ได้ตั้งนะโม เอาละหยุด ขอความสวัสดีจงมีแด่บรรดาพี่น้องทั้งหลายที่มาประชุมด้วยความรักชาติด้วยกัน และให้นำไปปฏิบัติตามที่ข้อประชุม มีการตกลงอะไรให้ปฏิบัติตามนั้น สมกับเราเป็นผู้รักชาติรักศาสนา ให้ปฏิบัติอย่างไร ข้อปรึกษาหารือกันควรจะเป็นอย่างไร สั่งเสียกันอย่างไร ให้ปฏิบัติตามข้อประชุมนั้นนะ จึงสมชื่อสมนามว่าเราเป็นผู้รักชาติ รักศาสนา รักพระมหากษัตริย์ อย่าสักแต่ว่ามาฟังแล้วไป ๆ เฉยๆ ใช้ไม่ได้นะ เอาละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|