กว่าจะได้ความดีมาโปรด
วันที่ 24 ตุลาคม 2548 เวลา 8:25 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

กว่าจะได้ความดีมาโปรด

ก่อนจังหัน

         ระยะนี้เป็นเทศกาลกฐิน กฐินทั่วไปหมด เป็นเวลาหนึ่งเดือน ตั้งแต่เดือน ๑๑ แรมค่ำหนึ่งถึงเดือน ๑๒ เพ็ญ เป็นเขตกฐิน ศรัทธาญาติโยมมีเท่าไรๆ เงินในกระเป๋าไม่เหลือแหละ ทุ่มลงวัดนั้น ทุ่มลงวัดนี้ กระเป๋าแห้งๆ กระเป๋าแห้งแต่หัวใจเต็มด้วยธรรม ด้วยบุญด้วยกุศล เอาของหยาบคือวัตถุแลกเปลี่ยนเป็นของละเอียด คือบุญกุศลใส่หัวใจๆ เอา กระเป๋าแห้งแต่หัวใจเต็มด้วยบุญ พอใจ มันเต็มอยู่ข้างนอกมันเต็มมานานแล้วแหละ ให้มันขาดบ้าง ส่วนภายในมักบกพร่องอยู่เสมอ ให้เต็มเสียที สร้างบุญสร้างกุศล

ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอานะ บาปบุญนี้ติดกับหัวใจ ไม่ได้ไปไหนนะบาปบุญ ติดหัวใจ ใครจะว่าที่แจ้งที่ลับสนุกทำบาปเวลาไม่มีใครเห็น นั้นน่ะสนุกโกย แสดงว่ามันมืดที่สุด มันเลยอาศัยความมืดทำความชั่วเข้าอีก อันนี้ละจมๆ เราเชื่อเหลือเกิน มันจ้าอยู่ในหัวใจนี่ ที่พระพุทธเจ้าพูดตรงไหนๆ ไม่ผิดเลยนะ ไอ้พวกตาบอดหูหนวกมันก็ดัน พวกหน้าด้าน ดันพระพุทธเจ้า แล้วดันไปก็หัวแตกคือมันนั่นแหละ

ให้จำเอานะ เราเป็นลูกชาวพุทธอย่าหลงกลของกิเลสนะ กิเลสหรืออันธพาลก็คือพวกกิเลส คลังกิเลส พวกอันธพาลนะ อย่าไปเชื่อ ให้เชื่อจอมปราชญ์ จอมปราชญ์นานๆ จะมีขึ้นทีหนึ่งๆ ไอ้อันธพาลนี้เต็มโลกเต็มสงสาร มีอยู่ทั่วๆ ไป เราเองก็เป็นอันธพาล ไปหาที่อื่นที่ไหน อยู่ในตัวของเราก็มีอันธพาลนักเลงโต การทำความชั่วช้าลามกอยู่กับตัวเราๆ มีอันธพาลเต็มโลก ส่วนที่จะเสาะแสวงหาคุณงามความดีเข้าสู่ใจ มีน้อยๆ แล้วผู้ที่จะนำสัตว์โลกนั่นก็พระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว อุบัติได้ยากที่สุด

ก่อนที่จะอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าปรารถนามาเป็นเวลาตั้ง ๑๖ อสงไขยแสนมหากัปบ้าง อสงไขยแสนมหากัป ฟังซิ อสงไขยแสนมหากัป กว่าที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ประเภท ๑๖ อสงไขยนี่เป็นพระพุทธเจ้าที่ว่ากว้างขวางมากที่สุด นำสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากทุกข์ได้มากที่สุด แต่ความบริสุทธิ์นั้นเหมือนกัน สำหรับพระบารมีที่กว้างขวางลึกซึ้งคือประเภท ๑๖ อสงไขย ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ยอมเป็นยอมตายมาเรื่อย คำว่า ๑๖ อสงไขย ถ้าแปลเรียกว่าแปลไม่ได้ถึง ๑๖ ครั้ง ถ้าเทียบทุกวันนี้ก็คงเอาล้านตั้งลงไป พอถึงล้านแล้วก็หนึ่งล้านสองล้านไปเลย นี่ก็ ๑๖ อสงไขยนับไม่ได้ ที่หนึ่งที่สองที่สามนับไม่ได้ถึง ๑๖ ครั้ง แล้วยังแถมแสนมหากัปๆ เข้าไปอีก

นี่ละท่านสร้างพระบารมี ไม่มีใครที่จะทุกข์ยากลำบากแสนสาหัสเหมือนท่านผู้ปรารถนาเป็นโพธิสัตว์เป็นพระพุทธเจ้า นั่นละท่านขวนขวายกว่าจะได้ความดีมาโปรดโลกโปรดสงสาร แต่ละพระองค์นี้ ๑๖ อสงไขยแสนมหากัปบ้าง อสงไขยแสนมหากัปบ้าง อสงไขย คือนับไม่ได้ หน นับไม่ได้ หน แล้วก็แสนมหากัปอีก กว่าจะได้มาเป็นพระพุทธเจ้ามาสอนโลก มาแก้อันธพาล อันธพาลของสัตว์โลก มันเป็นอยู่ในหัวใจๆ ท่านเอามาแก้ตรงนี้

คำสอนทุกอย่างจึงแม่นยำๆ ไม่มีผิดมีพลาดไปเลย รวมลงแล้วเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกอย่างๆ แล้ว ให้พากันจำ อย่าพากันดื้อด้านนะ ดื้อด้านเท่าไรมันยิ่งจะจมๆ ผลไม่ไปไหนละ ผลแห่งความดื้อด้านจะมาหาตัวเราเองๆ จอมปราชญ์ท่านสอนขนาดนั้นยังไม่ยอมฟังเสียง แต่อันธพาลแย็บขึ้นตรงไหนคว้ามับๆ พวกอันธพาลนักเลงโตคือความชั่วช้าลามก ได้ข่าวที่ไหนๆ ดิ้นไปตามกัน หาทำแต่ที่ลับๆ สุดท้ายที่แจ้งก็ทำ

อย่างที่เขาทำกันอยู่เวลานี้ ในวงราชการนั่นละทำกันอยู่เวลานี้ ดูเอา พูดกลางๆ อย่างนี้ละ ที่แจ้งที่ลับอยู่ในนั้นหมด ใต้โต๊ะเหนือโต๊ะอยู่ในนั้นหมด บรรดาประชาชนจนจะไม่มีตับมีปอด พวกนี้จึงต้องการอยากเป็นนั้นอยากเป็นนี้ เพราะมันได้กินตับคนอร่อยดี จะขวนขวายหามาด้วยกำลังของตนมีน้อยมากเวลานี้ เพราะกิเลสมันหนาๆ เราอย่าให้เป็นอย่างนั้นนะ เอ้าบึกบึน มีเท่าไรควรจะทำบุญให้ทาน เอาทุ่มลงไปถึงเวลาทุ่ม เวลาเก็บ เก็บ เวลาใช้ ใช้ อย่างนั้นเรียกว่าเป็นคนฉลาด

พระพุทธเจ้าเองซึ่งเป็นผู้ฉลาด สอนเรื่องบุญเรื่องกุศลมีใครมาสอน สอนบาปสอนนรก เรื่องสวรรค์ชั้นพรหมใครสอนได้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าสอนได้ รู้ได้เห็นได้จึงมาสอนได้ พวกเราไม่เห็น ไม่เห็นแล้วยังจะลบไปอีก จมนะ อย่าว่าไม่บอก จม พากันจำให้ดี นักภาวนาเราก็เหมือนกัน ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ อย่าสนใจกับสิ่งใดในโลกนี้ ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรม ให้พยายามเอาจิต จิตนี้ละตัวจมอยู่เวลานี้ เอาขึ้นให้พ้น ถ้าพ้นแล้วก็เลิศเลอตรงนี้ละ อย่าไปสนใจกับอะไร เราบวชมาเพื่อมรรคเพื่อผล ไม่ได้สนใจกับเรื่องโลกเรื่องสงสาร อยู่ที่ไหนมันก็มี เรื่องธรรมนี้มีได้ยากนะ ให้พยายามอุตส่าห์ เอาละเท่านี้พอ ให้พร

หลังจังหัน

เข้าใจไหมถ้ำเจีย เจียๆ เข้าใจหรือเปล่า ในหนังสือก็ยังบอกแล้ว คำไพพี่ชายเรา ครูถาม คำไพลุกขึ้นตอบ ค้างคาวแปลว่าอะไร ครูเขาถามค้างคาวแปลว่าอะไร พวกเพื่อนๆ นั่งอยู่ด้วยกันในโรงเรียน ครูถามแต่ละคนจะลุกขึ้นตอบ ค้างคาวแปลว่าอะไร ลุกขึ้นมันก็ยิ้มๆ ไม่ทราบจะเอาอะไรมาตอบ พวกเพื่อนๆ อยู่ข้างๆ ก็กระซิบบอก บอกว่าค้างคาวแปลว่าเจีย พวกเดียวกันบอก แกก็ตอบว่า ค้างคาวแปลว่าเจีย แล้วเจียแปลว่าอะไร ครูถามอีก เอ้า งง เราก็อยู่ติดๆ กัน แต่เราเรียนสูงกว่าพี่ชายนะ เราได้ ป.๑ แล้ว พี่ชายยังไม่ได้ขึ้น ดูมันได้สักชั้นไหมบักห่านี่น่ะ หือ มันไม่น่าจะได้สักชั้น เราลืมแล้วแหละ แล้วเจียแปลว่าอะไร ครูเขาย้ำเข้าไป ตอบไม่ได้อีก พวกนั้นมันก็ตลกกันบอก แปลว่า ดังวีก ดังวีกคือจมูกวิ่น เราก็เลยไม่ลืม เราได้ทันทีนะพอครูถามว่าอย่างนั้น ค้างคาวแปลว่าเจียก็ได้ทันที แล้วเจียแปลว่าอะไร แปลว่าค้างคาวก็ได้ทันที ไอ้นี่บอกเจียแปลว่าดังวีก โอ๊ย บักห่าเอ๊ย โมโหเราก็ดี ทำไมแค่นี้ก็คิดไม่ออก

เรายังไม่ลืมนะความคิด เอ๊ เป็นเด็กมันทำไมคิดไปทางพาลมันก็เป็นพาล ฉลาดเป็นพาล ไปขโมยอ้อยเขา เราออกมาไปเจอเจ้าของมา เจ้าของก็ญาติกันนั่นแหละ ป้าฝ้าย ฝ้ายคือขาว แกคนขาวสวยงามมาก เรียกว่าป้าฝ้าย เอาอ้อยออกมาคนละลำกับพี่ชายดังวีกนี่ละ เจียดังวีก เอาออกมาแล้วเจ้าของเขาก็มาพอดี เราไม่ลืมนะเพราะมันเรื่องสำคัญจะลืมได้ยังไง แกมายืนยิ้มๆ ก็มันเด็กจนเกินกว่าจะถือสีถือสา เลยเป็นเรื่องตลกไป พอเอาอ้อยออกมาก็มาเจอกับเจ้าของ แกมายืนอยู่ตรงนั้นละ แกไม่มีนะหน้าบึ้งหน้าเบี้ยว ยิ้มๆ

แกถามว่า เด็กเหล่านี้ทำไมสูขโมยอ้อยกูล่ะ แกพูดยิ้มๆ ผมไม่ได้ขโมยนะป้า เราเองเราก็ไม่ลืม ผมไม่ได้ขโมยนะป้า ผมผ่านไปผ่านมาเห็นอ้อยแล้วผมหิวมาก ก็เลยชวนพี่ชายเข้าไปตัดอ้อย พอตัดแล้วจึงจะแบกอ้อยนี้ไปหาป้าแล้วถึงจะไปบ้าน ถ้างั้นป้าก็เอาเสีย โอ๊ย กูไม่เอาแหละ สูตัดมาแล้วก็เอาเสีย อุ๊ย ยิ้มใหญ่เลย ไปบ้านก็พูดอย่างเปิดอกเลย พอดีพูดให้ตาฟังละซี ตาฟัดเอาเสียแหลกเลย เราก็ไม่ลืม ความจริงมันขโมยร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังบอกว่าผมไม่ได้ขโมยนะป้า สำคัญตรงนี้นะ

คือความจริงมันขโมยร้อยเปอร์เซ็นต์ เวลาไปเจอเจ้าของยังบอกผมไม่ได้ขโมยนะป้า ผมเดินผ่านไปผ่านมา เห็นอ้อยผมอยากอ้อยหิวอ้อย เลยชวนพี่ชายไปตัดอ้อยแล้วถึงจะไปบ้านป้า ให้ป้าดูแล้วก็จะเอาไปบ้าน ถ้างั้นป้าก็เอาเสีย โอ๊ย กูไม่เอาแหละ สูตัดมาแล้วก็เอาเสีย แกยิ้มตลอดนะ ก็เด็กเกินจะไปถือสีถือสา ประการหนึ่งก็เป็นญาติกันด้วยแล้วจะไปถืออะไร

เอ๊ มันก็ฉลาดเหมือนกันนา มันคิดมาพูดได้ ขโมยเขาแล้วยอมรับว่าขโมยเขากลับไม่ยอมรับ ผมไม่ได้ขโมยนะป้า ดูซิน่ะ ผมเดินผ่านไปผ่านมาผมหิวอ้อยมาก เลยชวนพี่ชายไปตัดอ้อยแล้วก็จะเอาไปที่บ้านป้า บอกป้าแล้วถึงจะแบกอ้อยไปบ้าน ถ้างั้นป้าก็เอาเสีย ดูซิน่ะ โอ๊ย กูไม่เอาแหละ สูตัดมาแล้วก็เอาเสีย โอ๋ย ยิ้มใหญ่เลย สำคัญมันโกหกแล้วบอกว่าไม่ได้ขโมยนี่ซิ เอ๊ ชอบกลนะ ไปทางนั้นมันก็ฉลาดโกหกแปลกอยู่ เราไม่ลืม ก็ดีได้เอามาพูดเสียทีหนึ่ง มันเป็นอย่างนั้นก็ต้องพูดตามเรื่อง เราชมเจ้าของป้าฝ้ายน่ะ เด็กก็รู้ผิดรู้ถูก เจ้าของจะหน้าบึ้งหน้าเบี้ยวโกรธกริ้วอะไรนี้มันก็รู้ใช่ไหม นี่ยิ้มตลอดนะ ประการหนึ่งแกก็รู้แล้ว หนึ่งเป็นญาติกัน สองก็เด็กเกินกว่าที่จะมาถือสีถือสา ปล่อยให้เป็นเรื่องเด็กไป

มาก็ยิ้มๆ เด็กเหล่านี้สูทำไมขโมยอ้อยกูล่ะ แกพูดนิ่มนวลมาก สูทำไมขโมยอ้อยกูล่ะ ทางนี้ตอบว่าผมไม่ได้ขโมยนะป้า มันขโมยแท้ๆ บอกว่าผมไม่ได้ขโมยนะป้า ผมผ่านไปผ่านมาผมหิวอ้อยมาก เพราะมันติดทางอยู่นี่ ถ้างั้นป้าก็เอาไปเสีย โอ๋ย กูไม่เอาแหละ สูตัดมาแล้วก็เอาเสีย เราไม่ลืมนะ ไปทีนี้ก็เปิดอกละซิเรา ไปเปิดอกให้ตาฟัง ตาฟังแล้วตอนเช้าตาก็ไปบ้านเขา ไอ้เด็กสองตัวนั่นน่ะ ไอ้ไพกับไอ้บัวมันไปขโมยอ้อยสู สูรู้ไหม แกก็เลยเอาคำพูดของเราที่ตอบแกมาพูดนะ เขาไม่ได้ขโมยนะน้า เขาบอกว่าเขาหิวมาก เขาตัดอ้อยแล้วเขาจะเอาอ้อยมาบอกฉันแล้วเขาจะเอาไปบ้าน ตัวขโมยใหญ่มันมาเล่าให้กูฟังแล้ว บอกว่าตัวขโมยแหละมันไปเล่าให้กูฟังทุกอย่างแล้ว ทางนั้นเขาก็ไม่สนใจ ขโมยไม่ขโมยก็ช่างเถอะ เขาไม่ฟัง นั่นละตาได้เรื่องมา จะเอาตำรวจมามัดเรา เราก็ไม่ลืม คือกลัวจะเสียนิสัยเด็ก เดี๋ยวเด็กจะขโมยต่อไป เพราะฉะนั้นจึงไม่เสริม ดัดไว้อย่างนั้น เราก็ไม่ลืม

(ผู้กำกับ นสพ.ประชาชน วันอาทิตย์ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๔๘ ประเทศลาว เขาลง หลั่งไหลน้ำใจสู่พี่น้องชาวเหนือ ประธานมูลนิธิช่วยเหลือคนยากจน แห่ง สปป.ลาว พร้อมทั้งประธานที่ปรึกษาและคณะ ได้นำสิ่งของต่างๆ พร้อมน้ำใจไปมอบให้แก่ประชาชนผู้ยากจนที่แขวงหัวพัน....การให้ความช่วยเหลือของมูลนิธิครั้งนี้ เกี่ยวกับสิ่งของต่างๆ ได้รับความช่วยเหลือจากหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน จากประเทศไทย โดยผ่านทางมูลนิธิ ประกอบด้วยข้าวเหนียว ข้าวเจ้า น้ำปลา ผ้าห่ม ขนมปัง ผ้าเช็ดหน้า เสื้อ และรถเข็นสำหรับคนป่วยคนพิการ

ประธานมูลนิธิกล่าวว่า สิ่งของทั้งหมดที่ได้มอบให้ประชาชนผู้ยากจนที่แขวงหัวพันในครั้งนี้ได้รับจากความเมตตาของท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งประเทศไทย จบครับ)

ก่อนกฐินวันหนึ่งหรือไงเราได้เข้าไปโรงพยาบาล โทรไปบอกว่าหมออยู่ไหม เราจะไปโรงพยาบาลตรวจตาสักหน่อย ทางโน้นรับทราบแล้วเราก็ไป ไปตรวจตาก็เป็นอย่างที่ผิดสังเกต หมอเขาเลยบอกว่าให้มาประมาณเดือนละครั้งๆ ความดันสูงขึ้นถึง ๑๙ ข้างซ้าย ๑๖ ยังธรรมดาอยู่ ทางขวาที่เราว่าผิดสังเกตขึ้นถึง ๑๙ ต้องได้ระวัง มันใกล้ขีดอันตราย เขานัดให้ไปเดือนละครั้งไปดู เคลื่อนไหวอะไรจะได้แก้ได้ทันท่วงที พอดีที่เราไปตรวจนั้นเขาก็บอกว่า นี่เครื่องมือที่หลวงตาสั่งพึ่งตกมา กำลังตรวจอยู่นี้ เราเลยถามว่าเท่าไรล่ะ ถามไปอย่างนั้นละก็มันอยู่ต่อหน้า ถามว่าเครื่องนี้เท่าไร สองล้านห้า เราก็ถามไปเฉยๆ เครื่องหนึ่งอยู่ข้างใน พึ่งตกมาสองเครื่อง อันนั้นไม่ถาม

คือตาเราเห็นสำคัญมากกว่าทุกอย่างในอวัยวะของเราที่ใช้ออกภายนอก ตาสำคัญมาก คือหูหนวกตายังเห็นอยู่ยังดีนะ พอตื่นขึ้นมาตานี้จะใช้งานก่อนเพื่อน ดูนั้นดูนี้ หูหนวกก็ไม่เป็นไร ตาบอดไม่ได้นะ ถ้าตาบอดหมดความหมาย มหาเศรษฐีก็หมดความหมายลงทันที ขึ้นไปนอนเฝ้าสมบัติอยู่ก็ไม่มองเห็น อะไรๆ มองไม่เห็น เรียกว่าจนตรอกที่สุดคือตาบอดคนเรา ทั้งๆ ที่มีชีวิตอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างพอสัมผัสสัมพันธ์ได้ ง่อยเปลี้ยเสียแข้งเสียขาคืบคลานไปยังได้ตายังดี ถ้าตาเสียเสียอย่างเดียวหมดความหมาย เราคิดอย่างนี้ละจึงได้ช่วยทางตา

ที่อุดรนี้เรียกว่าทุ่มกันเลยทางตา เพราะเราไปทีไรคนที่ไปตรวจตาเต็มห้อง อย่างเราไปตรวจวันนั้นเกือบบ่าย ๓ โมงแล้ว นู่นเราไปส่งของที่โรงพยาบาลพังโคน แล้วเลยไปสกลนคร โทรศัพท์ไปบอกแล้วตอนบ่ายประมาณเท่านั้นจะกลับมา หมอเขาก็รออยู่แล้ว พอมาก็เข้าเลย ตรวจก็อย่างว่าแหละ เขานัดให้เดือนหนึ่งๆ ให้ไปตรวจทีหนึ่งเพราะใกล้ขีดอันตราย เราเห็นตาเป็นสำคัญมาก เพราะฉะนั้นเราจึงทุ่มเลย ไม่ว่าใครอยู่ที่ไหนตาสำคัญหมด

พูดแล้วยังไม่แล้วนะ เราพูดว่าตาสำคัญมากแล้วค้านเข้ามาว่าไม่สำคัญ เรายกตัวอย่าง มันหากมีเข้าใจไหม ยกตัวอย่างเดี๋ยวนั้นเลย เอ้า คนในศาลาทั้งหมดนี้ตาบอดทั้งหมด ทีนี้ถึงเวลากลับบ้าน เอ้า กลับบ้าน เรามีไม้อันหนึ่งติดมือเรา ตีคนนั้นตีคนนี้ คนนั้นวิ่งไปชนต้นเสาๆ วิ่งชนฝา วิ่งชนกันล้มระเนระนาด ทางไม้นี้ตีเรื่อยๆ มันก็ยิ่งกลัวใช่ไหม ตีไปตีมาไม่มีทางออกขี้ทะลัก เป็นยังไงตาสำคัญไหม ลงขี้ทะลักแล้ว นี่ละสำคัญอย่างนี้ เราไม่อยากเห็นคนชนกันๆ ขี้ทะลักอยู่ในศาลาหลังนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงหาอันนี้ไว้เพื่อกันอันนี้ มันจำเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตาบอดเอาดูซิน่ะ ถ้าลงตาบอดไม่เป็นท่า อะไรหมดความหมายทันทีเลย เราจึงสนใจอันนี้มาก

ก็ไปผ่าตัดตามาแล้วนี่ พอมาถึงวัดอยู่ได้สามวันเข้าไปเลย เชิญหมอเชิญพยาบาลมาทันทีเลย เอากันเดี๋ยวนั้นเลย ทุ่มกันเลยนะ ตกลงกันเวลานี้หมอยังไม่ครบ บอกว่าถ้าเครื่องมือครบหมอจะครบไหม ครบว่างั้น เอ้าถ้างั้นเอาเลยสั่งเลย อะไรจำเป็นสั่งเลยเดี๋ยวนี้ ทุ่มกันเลยละ ทางนี้ก็สั่งเต็มที่เลย เอามาจนพอในเวลานั้น หมอก็พอ ต่อจากนั้นเราก็เปิดไว้เลย ขัดข้องอะไรเรื่องตา ถ้าควรจะซ่อมให้รีบซ่อม ซ่อมไม่ได้ให้รีบสั่งมาโดยไม่ต้องมาขออนุญาตจากเรา เราเปิดให้แล้ว เมื่อส่งเครื่องมือตามาหมอรับรองคุณภาพแล้วส่งบิลไปหาเรา เราถึงจะส่งเงินไปตามบริษัทที่ของมา อย่างนั้นเรื่อยมา ขอมาเรื่อยส่งไปเรื่อยอย่างนี้ละ

จนกระทั่งมาสุดท้ายนี้พร้อมกันกับทางเวียงจันทน์เรา ทางนี้ขอเครื่องมือตา ๗ ล้านเท่าไรแสน ทางโน้น ๘ ล้านหรือไง เราให้พร้อมกันหมดเลย ทางนั้นตกมายังไม่หมดใช่ไหม ทางนี้ก็ตกมายังไม่หมด จ่ายเรื่อยๆ อย่างนี้ เพราะตาเป็นของสำคัญมากทีเดียว ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยตานะ ขอให้ตายังดีเถอะ ง่อยเปลี้ยเสียแข้งเสียขาไปได้สบาย ตานี้ดูได้หมด ไปที่ไหนตาจะต้องออกก่อนๆ ถ้าตาบอดเสียอย่างเดียวหมดความหมาย เราเอาจุดนี้ เวลานี้ก็กำลังพิจารณากันอยู่ คือเอาที่โรงพยาบาลศูนย์นี้แล้วก็จะไปตามจุดต่างๆ ไปแบบเดียวกันนี้ จะทุ่มลงเรื่องเครื่องมือแพทย์ๆ ตามกำลังสมบัติของเรามีมากมีน้อย จากนี้แล้วไปนั้น จากนั้นแล้วไปภาคนั้นภาคนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าเรายังไม่ตายเราจะทำอย่างนี้ เพราะเห็นว่าตาเป็นของสำคัญ เรื่องตาก็มีเท่านั้นละ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก