เทศน์อบรมพระหลังกรานกฐิน ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อค่ำวันที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
ตั้งสติให้ดีนักภาวนา
เราตั้งวัดนี้ตั้งแต่ปี ๒๔๙๘ ปลายปี ดูเหมือนจะ ๕๐ ปีแล้ว ดูซิป่าต้นไม้ แต่ก่อนมันเป็นหญ้า เขาเรียกหญ้าเบญจมาศเป็นพุ่ม ไม่มีต้นไม้ กระรอกพวกอยู่ฝ่ายนี้ก็อยู่ฝ่ายนี้ พวกอยู่ฝ่ายโน้นก็อยู่ฝ่ายโน้น ข้ามมาหากันไม่ได้ ไม่มีต้นไม้มา แล้วมันก็กลัวคนอยู่แต่ก่อน เดี๋ยวนี้เป็นป่าไปหมด กระรอก พวกสัตว์อะไรอยู่ได้สบาย นี่ ๕๐ ปีต้นไม้สูงขนาดนี้ละ แต่ก่อนมันเป็นไร่เก่าเขา พอมาสร้างวัดนี้แล้วก็ไม่ได้ทำลายแหละ เรียกว่า ๕๐ ปีต้นไม้เหล่านี้
มาสร้างวัดทีแรกหมีมันก็มา หมีใหญ่เข้ามาในวัด มาก็มาเจอกุฏิพระ แล้วหลบไปนี้ไปนั้นไปเจอกุฏิพระอีกก็หลบไปเรื่อย จนกระทั่งเลยพระไปถึงไปได้ หมีใหญ่ พวกเสือมันก็เข้ามา เห็นรอยมันผ่านไปผ่านมาเสือมาสร้างวัดทีแรก พวกเก้งพวกหมูยังมีอยู่เยอะนะ เพราะดงนั้นกับดงนี้ต่อกันอยู่ ตอนนั้นเขายังไม่ทำลายป่า จากนั้นแล้วก็ทำลายป่า พวกสัตว์ที่เคยอยู่ที่นี่ก็เป็นอันว่าอยู่ที่นี่ ที่เขาทำลายป่า สัตว์ก็ตายกับป่าไปเลย แต่ก่อนมีกระรอกอยู่ ๓ ตัว
ไก่ป่ามีทางโน้นฝูงหนึ่ง ทางนี้ฝูงหนึ่ง มันไปตีกันเรื่อยพอได้ยินเสียงทางนี้ขัน ทางโน้นก็ไปตี เอ้า ทางนี้ได้ยินทางโน้นขันก็ยกพวกไปตีกัน ครั้นต่อมาๆ ไก่มากเข้าๆ ทั้งไก่ป่าทั้งไก่บ้าน ออกจากนั้นเลยกลายเป็นไก่บ้าไปหมดทั้งวัดเลย เป็นไก่บ้าแล้วเดี๋ยวนี้ เขาเอามาปล่อยข้างหน้าวัดก็มีมาผสมกัน มันเลยกลายเป็นไก่บ้าไปหมด ไม่รู้จักกลัวผู้กลัวคน สัตว์ในวัดนี่เลยป้วนเปี้ยนอยู่กับคนไม่รู้จักกลัว กระรอกธรรมดามันจะขึ้นไปสูงๆ ไปตามต้นไม้ กระแตวิ่งตามดิน เดี๋ยวนี้กระรอกมันวิ่งตามดินธรรมดาเลย มันอยากไปไหนมันก็ไปของมัน ก็มันไม่กลัว
การเทศน์ เทศน์สอนพระเป็นประเภทหนึ่ง เทศน์สอนโยมเป็นประเภทหนึ่ง ไม่ได้คละเคล้ากันปรกติของวัดป่ากรรมฐาน สอนพระเป็นธรรมะของพระล้วนๆ เพราะไม่มีประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้อง มาทุกวันนี้เลยคละเคล้ากันไปหมด ไม่ทราบว่าจะเทศน์ยังไงต่อยังไง มันต้องเตรียมไว้ทั้งแขนซ้ายแขนขวาถึงจะได้ แขนซ้ายตีพระ แขนขวาตีโยมไปอย่างนั้น ทีนี้ตีทั้งสองแขนมันก็ไม่ถนัด ถ้ายิ่งเอาสองกำปั้นซัดกันนี้ก็เลยไม่เป็นท่า เป็นอย่างนั้นละเดี๋ยวนี้
การเทศน์จะให้ถึงเหตุถึงผลเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ แต่ก่อนเทศน์อยู่ข้างบน เทศน์สอนพระล้วนๆ ธรรมะร้อยเปอร์เซ็นต์หมุนติ้วเลยเทียว ไม่ได้อืดอาดละธรรมะ แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วไม่อืดอาด พุ่งๆ เลย บางทีจนรัวไปเลยเหมือนปืนกล มันเร็ว มันติดเทปเรายังจำได้อยู่ เวลาเทศน์ธรรมะเร่งเต็มเหนี่ยว ธรรมะยังไม่หมด ลมหายใจหมดก่อน ต้องรีบสูบลมหายใจดังฟิ้วๆ ติดเทป นั่นละเทศน์ธรรมะขั้นสูง เป็นอย่างนั้น
พระเราการปฏิบัติจิตตภาวนาไม่ว่าใครก็ตาม เรื่องสติเป็นสำคัญมาก ท่านทั้งหลายอย่าลดอย่าละสติ เช่น อย่างอดอาหารนี่เป็นเครื่องสนับสนุนสติได้เป็นอย่างดี แล้วอย่างอื่นก็พลอยดีไปด้วย สำหรับผู้ที่ถูกในการอดอาหาร ผ่อนอาหาร นี่ดีทางสติ เราอดไปหลายวันเท่าไร สติติดแนบเลยไม่เผลอ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งค่ำไม่เผลอเลย เวลาเรามาฉันเข้าไป มันก็มีผิดๆ พลาดๆ ลงบ้าง ถ้าฉันไปนานมันก็มีเผลอได้ๆ เป็นอย่างนั้นนะ แต่ไม่ฉันก็ไม่ได้ มันก็จะตายจะให้ว่าไง ก็ต้องมีหนักมีเบาบ้างเป็นธรรมดา
แต่อย่างไรการผ่อนการอดอาหารนี้เป็นของดีสำหรับจิตตภาวนา สตินี้เป็นที่หนึ่งขึ้นเลย การภาวนาต้องขึ้นอยู่กับสติ ไม่ขึ้นอยู่กับอะไรก่อนอื่น สติต้องสำคัญ ให้ติดแนบอยู่กับการภาวนาของตน ผู้ที่ริเริ่มในการภาวนา ยังไม่มีอะไรเป็นที่เกาะที่ยึด ก็ให้นำคำบริกรรมเข้ามาเกาะมายึด เช่น พุทโธ หรือ ธัมโม หรือ สังโฆ หรือ อานาปานสติ อารมณ์ใดก็ตาม ตามแต่จริตนิสัยชอบในอารมณ์นั้น ก็ให้นำเข้ามาบริกรรม แล้วมีสติติดแนบเหมือนกันหมด
สติดีเท่าไรๆ กิเลสจะไม่เกิด กิเลสจะเกิดทางสังขาร คือ ความคิดความปรุง สังขารนี่ออกมาจากอวิชชา คือ อวิชชานี้เป็นแหล่งใหญ่ของกิเลสทั้งหลาย มันผลักมันดันออกมาให้เกิด ทีแรกก็เกิดทางสังขาร ความคิดปรุงแพล็บๆ ออกไป นั่นละกิเลสได้ออกทำงานแล้ว แล้วก็กว้านเอาฟืนเอาไฟเข้ามาเผาเรา เพราะฉะนั้น สติจึงเป็นของสำคัญ ถ้าสติดีเท่าไรความคิดปรุงนี้จะปรุงขึ้นมาไม่ได้ เหมือนว่ามีช่องเดียว ช่องที่สังขารมันปรุงออกมา เป็นฝ่ายสมุทัยคือกิเลส ทีนี้เอาธรรมะเข้าไปเป็นงานของธรรม เช่น คำบริกรรม จะเป็นพุทโธ ๆ ก็ตาม ให้สติติดอยู่กับพุทโธ ไม่ต้องเสียดายความคิดความปรุงอะไรทั้งนั้น เพราะคิดปรุงมาตั้งแต่วันเกิด ไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร นี่เราคิดปรุงทางอรรถธรรม เช่น คำว่า พุทโธ ๆ เป็นความคิดเหมือนกันกับความคิดของกิเลส แต่ความคิดทางธรรมะนี้เป็นน้ำดับไฟ เรียกว่าเป็นธรรม ความคิดทางนี้เป็นธรรม ความคิดของกิเลสเป็นกิเลสเรื่อยๆ ไป
การอดอาหารดีทางสติ อดไปหลายวันเท่าไร สติยิ่งติดแนบๆ จนกระทั่งตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาถึงหลับ ไม่เคยเผลอเลย อดไปหลายวันเท่าไรสติยิ่งดี แต่ร่างกายสังขารของเรานี้มันอ่อนลงๆ ทีแรกก็หิวโหย การอดอาหารหิวโหย พอล่วงสองสามวันไปแล้ว ความหิวเบาลงๆ สุดท้ายเลยไม่หิว เป็นแต่ความเพลียนี้มากขึ้นๆ ความอ่อนความเพลียของร่างกายมากขึ้นๆ แต่สตินี้ดีตลอดเลย แต่มันก็ทนไม่ได้ที่เราจะอดไปตลอด มันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะธาตุขันธ์เขาก็ต้องการอาหารของเขา เครื่องบำรุง เราก็จะต้องบำรุง
เพราะฉะนั้น ผู้ปฏิบัติตนให้สังเกตตัวเอง สักแต่ว่าทำไปเฉยๆ ไม่สังเกตไม่ได้ ต้องใช้ความสังเกต อย่างสตินี้เป็นที่หนึ่งเลย สติไม่เว้น ตั้งแต่พื้นๆ ของการบำเพ็ญ ใช้สติบังคับคำบริกรรม คำบริกรรมให้ติดกับใจ คำว่าพุทโธ ก็ให้พุทโธกับความรู้ แล้วก็มีสติกำกับไม่ให้เผลอไปไหน ไม่เสียดายความคิดความปรุง ซึ่งเราเคยคิดมามากแล้ว ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นกิเลสมาเผาเราทั้งนั้น ทีนี้ความคิดของธรรมเป็นน้ำดับไฟ ไม่ได้เผาเรา เวลาเราบริกรรมหนักเข้าๆ ด้วยสติไม่เผลอแล้ว ความคิดความปรุงที่มันดันขึ้นมา อยากคิดอยากปรุง มันจะอ่อนตัวลงไปๆ
ทีแรกเหมือนอกจะแตกนะ มันเคยคิดเคยปรุงแล้วหักกันอย่างแรงๆ เช่น ไม่ให้สติเผลอนี่เท่ากับหักกันอย่างแรง มันอยากคิดมากเท่าไร มันเหนือสติไปไม่ได้ ถ้าลงตั้งสติให้ดีแล้ว ความคิดความปรุงนั้นจะเกิดไม่ได้ เมื่อความคิดเกิดไม่ได้ กิเลสก็ออกไม่ได้ กิเลสออกไม่ได้มันก็ไม่กว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาเรา กิเลสหาประโยชน์ของมัน แต่กลับมาเป็นโทษต่อเราผู้ปล่อยให้จิตใจคิดมากๆ
เพราะฉะนั้น การภาวนาจึงเป็นเครื่องระงับดับความคิดความปรุงทั้งหลายได้เป็นอย่างดี นักปฏิบัติเราขอให้จำให้ดี การสอนเหล่านี้ผมสอนด้วยความแม่นยำ ไม่มีผิดมีพลาด เพราะได้ผ่านมาหมดแล้ว ด้วยความพินิจพิจารณา สังเกตสังกา บวกลบคูณหารมาในการปฏิบัติของตัวเอง จนได้ผลเป็นที่พอใจโดยลำดับๆ นั่นละเวลามาสอนหมู่เพื่อนจึงแน่ใจว่าไม่ผิดๆ เพราะทั้งฝ่ายผิดฝ่ายถูกมันผ่านกับเรามาแล้ว เป็นครูสอนเราทั้งนั้นแหละ
นี่หมายถึงผู้ที่เริ่มฝึกหัดภาวนา ถ้าเพียงแต่นึกหรือเพ่งความรู้เฉยๆ ไม่ได้นะ เผลอได้ไม่สงสัย อันนี้เผลอได้ ถ้าเอาคำบริกรรมติดไว้ แล้วมีสติบังคับอยู่นั่น จิตไม่เผลอ ความคิดความปรุงก็ปรุงไม่ได้ นี่ละทีนี้เป็นเรื่องของธรรมทำงานล้วนๆ กิเลสมาแทรกทำงานไม่ได้ เพราะไม่มีทางปรุง กิเลสจะเกิดขึ้นจากทางสังขารเป็นสำคัญ มันดันออกมานี้หนักมากอยู่นะ แต่มันดันออกมา สติดีเท่าไรก็บังคับไว้ได้ๆ เพราะฉะนั้น จึงว่ากิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนก็เถอะ ว่างั้นเลย ถ้าลงสติดีแล้ว กิเลสเกิดไม่ได้ สตินี้หักห้ามไว้ได้ คลื่นของกิเลสจะเหมือนคลื่นมหาสมุทรทะเลหลวงก็ตาม สตินี้ต้านทานได้อยู่ไม่สงสัย
ขอให้ตั้งสติให้ดีนักภาวนา ในเบื้องต้นเรามีคำบริกรรม อยู่กับคำบริกรรมนี้ก่อน เมื่อจิตได้รับคำบริกรรมอบรมบำรุงส่งเสริมอยู่เสมอแล้ว จะก้าวเข้าสู่ความสงบๆ เมื่อความสงบมีมาก ความรู้นี้จะเด่นตัวขึ้นมาภายในตัวของเรา จนจิตเข้าสู่สมาธิ ความรู้นี้เด่น ทีนี้เมื่อความรู้นี้เด่น คำบริกรรมก็ไม่ค่อยจำเป็นๆ แต่ไปจำเป็นอยู่กับจุดที่รู้ คือ จิตใจที่มีฐานอยู่นั่น เรียกว่าจิตเป็นสมาธิ แล้วเอาสติจับไว้กับฐานที่เป็นสมาธิ นี่เป็นขั้นๆ นะ พอจิตเป็นสมาธิแล้วจะไม่บริกรรม มันหากบอกอยู่ในตัวของมัน คำว่าบริกรรมไม่จำเป็นแน่ะ จับเอาตัวนี้เลย คือความรู้เด่นๆ นี้ ให้รู้อยู่กับนั้นตลอดไปเลย ไม่ให้เผลอเช่นเดียวกับเราบริกรรมนี้ละ
ให้ตั้งอย่างนั้นนักปฏิบัติทั้งหลาย อย่าเผลอ เราจะทำการทำงาน ทีนี้สมมุติว่าขยายออก จากจุดที่ว่าคำบริกรรมอันนี้ ก็ให้เป็นสัมปชัญญะๆ ยังอ่อน ถ้าให้เป็นสติอยู่ตลอดเวลานั้นเหมาะสำหรับนักปฏิบัติ เคลื่อนไหวไปมา ทำข้อวัตรปฏิบัติ ปัดกวาดเช็ดถูนี้ คำบริกรรมนั้นไม่ปล่อยวาง นี่ก็เรียกว่าทำงาน ธรรมทำงานตลอดเวลา สัมปชัญญะนี้เป็นความรู้ตัวอยู่ตลอด นี่ขยายออกมาจากจุดแห่งคำบริกรรมนั้นแล้ว ก็ออกมารู้ตัวไม่ให้เผลอไปข้างนอก ท่านเรียกว่าสัมปชัญญะความรู้ตัวอยู่เสมอ แต่ให้เหมาะจริงๆ ให้มันเป็นสติอยู่กับคำบริกรรม นั่นละเหมาะสมมาก
เมื่อเราทำไปอย่างนี้ไม่นาน สำหรับพระเรานี้แน่ใจว่าตั้งรากตั้งฐานได้ จิตไม่เคยสงบก็สงบได้ ถ้าสติควบคุมดี ท่านเรียกว่าสมถะ คือ ความสงบใจในเบื้องต้น จากนั้นเมื่อสงบมากเข้าๆ จิตก็เป็นสมาธิ คือ ความแน่นหนามั่นคงของใจขึ้นมา สติจะจับอยู่ในจุดความรู้ที่เด่นๆ แห่งสมาธินั้นแล ไม่ปล่อย นี่เป็นขั้นๆ
ทีนี้เวลาจิตมันสงบมากๆ เข้า ความคิดความปรุงมันไม่อยากคิดนะ แต่ก่อนอยากคิดอยากปรุง ถึงขนาดอกจะแตก ไม่ได้คิดเหมือนว่าอยู่ไม่ได้ แต่สติบังคับให้อยู่ได้ มันอกจะแตกให้แตก ไม่ยอมให้เผลอสติ มันก็ออกไม่ได้ ทีนี้ครั้นต่อมาความคิดความปรุง ที่มันดันออกมามากๆ มันค่อยอ่อนตัวลงๆ สติก็แน่วแน่เข้าไป จิตมีความสงบเข้าไปๆ เมื่อสงบมากเข้าไปจิตก็เป็นสมาธิ พอเป็นสมาธินี้จะเปลี่ยนคำบริกรรม งดคำบริกรรมก็ได้ หากเป็นความถนัดใจของตัวเองนะ เราจะไปคาดไม่ได้ ให้เรารู้ตัวของเราเอง
ถ้ามันสนิทกับการกำหนดผู้รู้ คือ จิตที่เป็นสมาธินี้มันเด่นดวงนะ เด่นดวง สติจับอยู่ที่เด่นดวงของจิตนั่นแหละ แล้วก็เป็นสติตลอด ทีนี้ความคิดความปรุงเมื่อจิตเข้าสู่สมาธิ เป็นสมาธิแล้วนั้นมันไม่อยากคิด ความคิดความปรุงต่างๆ ซึ่งมันดันออกมาแต่ก่อน นั่นละเบาลงๆ ถึงขนาดไม่อยากคิด ถ้าจิตเป็นสมาธิจริงๆ เต็มภูมิของสมาธิแล้ว ไม่อยากคิดอยากปรุง มันคิดแย็บๆ ออกมานี้รำคาญ เพราะฉะนั้นผู้ภาวนาทั้งหลายจึงติดในสมาธิ คืออยู่ทั้งวัน เอกจิตเอกธรรม เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์อันเดียวอยู่กับความรู้นี้เท่านั้น ไม่มีอะไรมาเจือปน ท่านเรียกว่าสมาธิแนบแน่น สมาธิเต็มภูมิ
อยู่เท่าไรก็อยู่ได้ นั่งกี่ชั่วโมงก็เพลินอยู่กับความรู้อันเดียวๆ ที่เด่นอยู่ เด่นอยู่นั้นคือความรู้ ไม่รู้กับอะไร รู้อยู่กับตัวเองโดยเฉพาะ ท่านจึงเรียกว่า เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์อันเดียวคือความรู้ เอกจิตเอกธรรม ก็มีอารมณ์อันเดียวนี่ละ เมื่อถึงขั้นนี้แล้ว มันจะไม่อยากคิดอยากปรุง อยู่ได้ทั้งวัน ไม่ว่าอยู่ที่ไหน อารมณ์นี้ไม่คิดไม่ปรุงรำคาญ
นี่ละจิตที่ติดสมาธิได้ตรงนี้เอง เมื่อมันเพลินอยู่ในสมาธิแล้วไม่อยากออก ถ้าคิดออกทางด้านปัญญา ก็เหมือนเราออกทำงาน ไม่อยากทำ เหมือนคนขี้เกียจขี้คร้าน นอนขาขัดห้างอยู่ ไปอย่างนั้นซิ มีแต่นอนๆ นอนอยู่กับสมาธิ สงบแน่วๆ ไม่อยากทำงาน การพิจารณาทางด้านปัญญาเป็นงาน คือคิดคือปรุงทางด้านปัญญา มันไม่อยากทำ ออกที่นี่นะ เมื่อจิตมีความสงบ พอเป็นปากเป็นทางแห่งการพิจารณาทางด้านปัญญาแล้วไม่ว่าขั้นใด ให้พยายามออกพิจารณาทางด้านปัญญา พอสมควรแล้วก็เข้าสู่สมาธิ ถ้าจิตเป็นสมาธิเต็มที่แล้ว เวลาออกปัญญาให้ออก เมื่อเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าภายในหัวอก ผู้พิจารณาทางด้านปัญญา มักจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอยู่ที่หัวอก แล้วให้ถอยจิตเข้ามาสู่สมาธิเรียกว่าพักงาน นั่นละให้ถอยเข้ามาสู่ความสงบ สู่สมาธิเสีย ไม่ต้องไปห่วงปัญญา เวลาเข้าสมาธิอย่าห่วงปัญญา
ทีนี้เวลาออกจากสมาธิแล้ว ก้าวเข้าสู่ทางด้านปัญญา ทำงานทางด้านปัญญาแล้วไม่ต้องมาห่วงสมาธิ ให้ทำงานต่างวาระกันนี้ถูกต้อง เรียกว่า อปัณณกปฏิปทา การปฏิบัติไม่ผิด ถูกต้องๆ ให้ดำเนินอย่างนี้ตลอดไป เวลาจิตเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทางด้านปัญญาเพราะใช้สังขาร ใช้สังขารก็เรียกว่าเป็นงาน มันคิดมันปรุงเกี่ยวกับเรื่องด้านปัญญา แก้ถอดถอนกิเลสเป็นเรื่องของปัญญาทำงานทั้งนั้น เวลาทำไปๆ มันเหน็ดเหนื่อยภายในหัวใจนี่ พูดตรงๆ ก็คือภายในหัวอกนี่ละ มันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
แต่ปัญญาเวลามันเพลินมันไม่อยากพักนะ มันอยากหมุนตัวไปเรื่อย นี้หักเข้ามา เมื่อรู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าแล้ว มันอยากจะคิดทางด้านปัญญาเท่าไรก็ตามไม่ให้คิด ให้เข้าสู่ความสงบ คือสมาธิ พักจิตเรียกว่าพักงานทางด้านปัญญาเสีย ให้อยู่ในสมาธิมีอารมณ์อันเดียว ปัญญาขั้นใดภูมิใดจะแยบคายขนาดไหน ตัดให้หมดเวลานั้น ให้เหลือแต่สมาธิ คือความสงบใจอันเดียวอยู่เท่านั้น จนกระทั่งจิตมีความสงบเย็น ไม่ทำงานการอะไรแล้ว จิตจะเย็น เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนาม สบาย ให้อยู่นั้น
แต่จิตที่เข้ามาพักสมาธินี้ ส่วนมากต่อมาก ต้องบังคับเอาไว้ให้อยู่กับสมาธิ ไม่ให้คิดไม่ให้ปรุง ถึงเวลาแล้วค่อยปล่อยออกทางปัญญา ในขณะที่เป็นสมาธิ แม้จิตจะมีความเยือกเย็นเป็นสุขเหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามก็ตาม ก็ต้องได้บังคับด้วยสติอยู่เสมอไม่ให้ออก ให้อยู่กับสมาธินั่น จนกว่าสมาธิมีกำลังแล้ว มันจะรู้ตัวเอง รู้สึกกระปรี้กระเปร่าภายในใจ มีกำลังภายในใจ คึกคักๆ ภายในใจ ทีนี้ปล่อยจากสมาธิ ปล่อยทางด้านปัญญามันจะหมุนของมันไปเลยละที่นี่ หมุนเรื่อยๆ ไม่ต้องห่วงสมาธิ ปัญญาขั้นนี้มันไม่ห่วงอยู่แล้วละ นอกจากเราได้รั้งเอามาสู่สมาธิเท่านั้นเอง มันจะเพลินทางด้านปัญญา
การพิจารณาทางด้านปัญญาคืออะไร พระพุทธเจ้าสอนเบื้องต้นคืออะไร เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นั่นฟังซิน่ะเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร นี่ละธรรมที่เป็นเครื่องรื้อภพรื้อชาติ รื้อวัฏสงสาร รื้อที่กรรมฐาน ๕ ในเบื้องต้นนี้แหละ เกสา โลมา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง พอไปถึงหนังนั่นมันหุ้มห่อร่างกาย ตัวนี้เป็นตัวพรางตาคนได้ดี เห็นตั้งแต่ผิวหนังบางๆ นี้ว่าสวยว่างาม ว่าอะไรไปหมด แล้วฟากจากนั้นเข้าไปอะไร มีแต่ความสกปรกโสมมเต็มตัวทั้งเขาทั้งเรา นี่ละปัญญาพิจารณาอย่างนี้ ให้ดูเรื่องอสุภะอสุภัง สดสวยงดงาม มันมาหลอกต่างหาก ไม่มีอะไรงามแหละ มีแต่ผิวหนังบางๆ เท่านั้นมันห่อหลอกไว้ทั้งเขาทั้งเรา โลกทั้งหลายจึงหลงกัน เมื่อได้พิจารณาอันนี้ ซ้ำๆ ซากๆ แล้ว เรื่องปัญญาจะคล่องตัวนะ พิจารณาแง่ไหนๆ นี้จะเป็นดาบอันคมๆ ฟันขาดสะบั้นๆ ไปเลย นี่เรียกปัญญาคล่องตัวปัญญามีกำลัง
มันจะเพลินนะที่นี่ พอพิจารณาทางด้านปัญญา ถืออสุภะอสุภังนี้เป็นบทสำคัญ เป็นฐานสำคัญแห่งการพิจารณาในเบื้องต้น จนกระทั่งพิจารณาร่างกายนี้มีความคล่องแคล่วแกล้วกล้าสามารถในตัวเองแล้ว มองไปที่ไหนนี้จะมีแต่อสุภะอสุภังเต็มตัวทั้งเขาทั้งเรา ทั้งหญิงทั้งชาย เวลาชำนาญมากๆ แล้ว เราชำนาญในการพิจารณาของเราอย่างไรบ้าง ในร่างกายของเรา ถ้ามันเด่นอยู่ เห็นตั้งแต่เนื้อ หนังออกหมดมันก็แดงโร่เลยตัวของเรา มองดูคนอื่นก็แดงโร่
ทีนี้พิจารณาเข้าไปถึงร่างกายถึงกองกระดูก มองที่ไหนก็เห็นตั้งแต่กองกระดูก ทั้งเขาทั้งเรา เอ้า ดูเข้าไปตับไตไส้พุง ของเราเป็นอย่างไร ของเขาเป็นอย่างนั้น เทียบกันได้สัดได้ส่วนทุกแง่ทุกมุมนี้เรียกว่าปัญญา ให้พิจารณาซ้ำๆ ซากๆ จนกระทั่งมีความชำนิชำนาญ มันชำนาญเอง เมื่อเราพิจารณา ไม่ว่าส่วนใดก็ตามของร่างกาย เมื่อเราพิจารณาแล้ว มีความชำนาญแล้ว เช่น มองเห็นตัวของเรา เห็นแต่กระดูกนี้ มันก็เป็นกระดูกเต็มตัว มองไปไหนพวกเนื้อพวกหนังไม่เห็นนะ มันจะเห็นตั้งแต่กระดูก โครงกระดูกเต็มตัวๆ มองเขามองเราแบบเดียวกัน เอาให้ชำนิชำนาญเข้าไปโดยลำดับลำดา
ส่วนจุดหมายปลายทางของอสุภะอสุภังจะยุติลงนี้ ผมยังไม่อธิบาย ให้ท่านทั้งหลายพิจารณา เพราะเคยอธิบายให้ฟังแล้ว เอานี้ให้ช่ำชอง อันนี้ให้ช่ำชอง เมื่ออันนี้ช่ำชองแล้ว มันก็อดพูดไม่ได้เหมือนกัน มันพิจารณาเต็มเหนี่ยวของมันแล้ว มันไม่ไปไหนละ เรื่องกองอสุภะอสุภังนี้ เอามาตั้งไว้ตรงหน้า เพ่งดูมันจะไปไหน มันก็หมุนเข้ามาสู่ใจ สุดท้ายก็ใจนี้เองเป็นอสุภะอสุภัง ภาพที่ตั้งขึ้นนั้นออกไปจากใจไปเป็น แต่ใจก็หลงเงาตัวเอง ว่าเป็นอสุภะอย่างนั้นอสุภังอย่างนี้ นั่นเวลาถึงความอิ่มพอของมัน อสุภะจริงๆ เป็นขึ้นจากใจ หัวใจเป็นอสุภะ เป็นสุภะเสียเอง พอรู้อันนี้ชัดเจนแล้วมันปล่อยอสุภะภายนอกที่เราพิจารณาอยู่นั่น ปล่อยออกไป สุดท้ายสิ่งเหล่านี้มาอยู่ที่ใจหมด นี่ละมันจะหมดปัญหาทางการพิจารณาอสุภะอสุภัง ถ้ามันหมุนเข้ามาสู่ใจแล้ว เรื่องร่างกายนี้จะหมดปัญหาไปเลย
ให้พากันเข้าใจ เรื่องการพิจารณาอสุภะอสุภัง มันจะหมดปัญหาแล้วก็รู้ การตัดสินใจตัวเองว่าเป็นขั้นใด กิเลสตัณหาตัวไหนสำคัญจะรู้ในตัวของเราเอง กิเลสตัณหาก็คือกามตัณหาขึ้นอยู่กับร่างกาย ร่างกายขึ้นอยู่กับสุภะสุภัง ความสวยความงาม แก้กันที่อสุภะอสุภัง แก้กันตรงนี้ ตกออกไปเข้าไปสู่ใจ ใจเป็นอสุภะอสุภัง สุภะสุภังเสียเอง นี้มันก็ปล่อยเรื่องภายนอก อสุภะอสุภัง สุภะสุภัง ภายนอกปล่อยหมด ก็มาเป็นอยู่ภายใน เป็นสุภะ อสุภะอยู่ภายใน แล้วมันก็กลืนกันเข้าไปในใจของตัวเอง แล้วพิจารณาให้ช่ำชอง
เมื่อจับรากฐานได้แล้ว ให้เอาอันนั้นละตั้งไว้เสมอ เมื่อตั้งไว้นั้นแล้ว มันจะหมุนเข้ามาสู่ใจ หมุนเร็วเข้าๆ จนกระทั่งพิจารณาเรื่องสุภะอสุภะ สุภังอสุภังไม่ทัน นี่ละที่นี่หมดแล้วนะ เรื่องอสุภะอสุภังนี้หมด พอปรุงขึ้นเป็นภาพเท่านั้น มันจะดับทันทีๆ เร็วลงไปเหมือนแสงหิ่งห้อยๆ แว็บๆ เหมือนฟ้าแลบนั่นละ เวลาภาพปรากฏขึ้น จะพิจารณาเรื่องสุภะอสุภังไม่ทัน ตอนนี้เรียกว่ามันหมด มันหมดอสุภะอสุภังไปแล้ว มันก็เป็นแต่ภาพภายในจิตใจ แต่ต้องตั้งภาพนี้ไปตลอด ต่อไปภาพอันนี้ก็ดับเร็วเข้าๆ สุดท้ายภาพอันนี้ไม่มี ตั้งภาพลงไปดับทันทีๆ จิตใจมันก็ว่าง ทีนี้หมดสภาพแล้วเกี่ยวกับเรื่องรูปเรื่องกายทั้งหลายหมดสภาพ ทุกสิ่งทุกอย่างหมดสภาพ ราคะตัณหาก็หมดสภาพ หมดลงในจุดนี้เอง จากนั้นจิตก็เป็นอัตโนมัติ หมุนตัวด้วยการฝึกซ้อมเรื่องตัวเองเรื่อยๆ ก็กลายเป็นนามธรรมไปเรื่อยๆ
นี่ละนักปฏิบัติ ผมอธิบายให้ฟังเพียงแค่นี้ ให้จำให้ดี ให้พิจารณาเรื่องร่างกายให้เป็นอสุภะอสุภังให้ช่ำชอง จิตจะมีความกล้าหาญชาญชัย รู้สึกอยู่ภายในตัวเอง ความกล้าหาญนี่ เพราะจิตแต่ก่อนมันติดตัวเอง ถ้าว่าสวยงามก็มาติดตัวเองเสียก่อนจะไปติดภายนอก ไม่สวยไม่งามก็ติดตัวเองเสีย แล้วก็ไปติดภายนอก เมื่อแก้ตัวเองในภายในนี้แล้วไม่ติดตัวเอง แล้วภายนอกก็ไม่ติด สุภะ อสุภะ ไม่ติด นั่นเรียกว่าแก้ตัวเอง ผ่านอันนี้ไปได้ ราคะตัณหาก็หมดปัญหาไป
ที่นี่หายกังวลอันนี้ ฝึกซ้อมตัวให้แน่นหนามั่นคงมากขึ้น ละเอียดลออมากขึ้นๆ ทีนี้จิตก็กลายเป็นจิตว่างเข้าไป ว่างมันก็มีแต่กระแสของจิตออกมา ปรุงพับก็ดับไปพร้อมๆ ไล่เข้าไปๆ ถึง อวิชฺชาปจฺจยา นี่การปฏิบัติธรรม เรื่องมรรคผลนิพพานไม่นอกเหนือไปจากที่พิจารณานี่ได้ ใครพิจารณาร่างกายเรื่องสุภะอสุภังได้เป็นอย่างดี ผู้นั้นจะตั้งรากตั้งฐานได้เร็ว ให้เอาให้ดี
สติเป็นสำคัญไม่ว่าจะพิจารณาสิ่งใด สติสำคัญทั้งนั้น เช่นอย่างว่า สุภะสุภัง อสุภะอสุภัง สติต้องติดแนบตลอด จนมีความชำนิชำนาญ นี่การพิจารณา จากนั้นไปแล้ว จิตจะเป็นอัตโนมัติของมัน เรื่องความพากเพียรเพื่อละเพื่อถอนกิเลสนี้ จะหมุนตัวเป็นเกลียวไปเลย ไม่มีใครบอกก็รู้เอง ในเบื้องต้นได้ถูได้ไถเสียก่อน เอาให้หนักนะ ไม่หนักไม่ได้นักปฏิบัติเรา นี่ละมรรคผลนิพพาน อันนี้ละปิดเอาไว้ ปิดมรรคผลนิพพานไว้ เปิดตัวนี้ออกๆ มรรคผลนิพพานจะใกล้ชิดติดพันกันเข้ามา สุดท้ายนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ นั่นเข้าใกล้ชิดติดพัน เพราะจิตใจมันหมุนติ้วๆ ต่อความพ้นทุกข์ เลยนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ ไป ให้พากันพิจารณาอย่างนี้
เรื่องมรรคผลนิพพานอย่าไปคาดไปหมายนะ พระพุทธเจ้าสอนลงในนี้ละ นี่ทางแห่งมรรคผลนิพพาน สิ่งที่ปิดมรรคผลนิพพานก็คืออันนี้เอง เปิดอันนี้ออก มรรคผลนิพพานเราจะรู้เองเห็นเอง ไม่ใช่ดินฟ้าอากาศ กาลสถานที่เวล่ำเวลา มาปิดมรรคผลนิพพาน ตัวของเราเองเป็นผู้ปิดตัวเราเอง ไม่ให้เห็นอรรถเห็นธรรม ไม่ให้เห็นความจริงคือสุภะอสุภะ นี่ที่มันปิดมรรคผลนิพพาน เปิดนี้ออกไป มันก็ปิดบางลงไปๆ เช่น กิริยาของจิตเป็นนามธรรม ปิดบางเข้าไปๆ สุดท้ายก็นิพพานอยู่ชั่วเอื้อม พอเปิดอันนี้หมดแล้ว นิพพานมีหรือไม่มีถามหาอะไร
ไม่ว่าองค์ใดพระเราผู้ปฏิบัติ ฆราวาสก็เหมือนกัน เมื่อถึงขั้นที่ควรจะรู้ รู้ได้ด้วยกันเพราะจิตนี้ไม่มีเพศ ไม่มีเพศหญิงเพศชาย นิสัยวาสนาบารมีที่สร้างมามากน้อย มีได้ด้วยกันทั้งหญิงทั้งชาย ควรหลุดพ้นหลุดพ้นได้ด้วยกันนั่นแหละ ให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
เวลามันยังเป็นอย่างนั้น ความดีงามของเราก็ให้เป็นคู่เคียงกันไป การทำบุญให้ทานมีอานิสงส์มาก คนผู้มีการทำบุญให้ทาน ไปที่ไหนไม่อดอยากขาดแคลน ไปที่ไหนไม่อด เบิกกว้างไปตลอดเวลา เพื่อนฝูงก็มาก จิตใจของเราก็เบิกกว้างออกไป เกิดภพใดชาติใด ไม่มีคำว่าอัดอั้นตันใจด้วยความขาดแคลนในสิ่งที่จะนำมาเสวย นี่อำนาจแห่งทานนี่ละ เบิกๆ ออกไป ไปอยู่ในภพใดชาติใดก็มีแต่อำนาจของทาน อำนาจของบุญกุศลที่เกิดขึ้นจากการให้ทานนี้ ให้เป็นเครื่องเสวย เป็นที่อยู่ที่อาศัยสะดวกสบายไปตามๆ กันหมด
เรื่องศีลเป็นความละเอียดอยู่กับตัวของเราเอง ให้รักษาให้ดี เรื่องภาวนาเป็นเรื่องที่จะเปิดโลกธาตุออกให้หมดจากจิตใจ ให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง อยู่ที่นี่ละ พระพุทธเจ้าแสดงไว้อย่างหาที่ข้องใจไม่ได้เลย การปฏิบัติจะพิสูจน์ธรรมของพระพุทธเจ้า หรือพิสูจน์พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ให้พิสูจน์ข้อปฏิบัติของตัวเอง ให้ตรงแน่วกับธรรม ที่ว่าสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว ให้ก้าวเดินตามนี้ อย่าให้ปลีกให้แวะ นี่ละคือก้าวเดินเพื่อมรรคผลนิพพานอยู่ตรงนี้ อย่าไปหาก้าวตามเวล่ำเวลา เวลานั้นเวลานี้ ศาสนาล่วงไปเท่านั้นเท่านี้ ให้กิเลสมันมาหลอก กิเลสมีอยู่ในใจเราตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่เห็นว่าเมื่อไรมันจะสิ้นจะสุดไป ธรรมะทำไมสิ้นสุดไปได้ หมดไปได้มรรคผลนิพพาน แต่กิเลสเมื่อไรมันจะสิ้นสุดไปได้ ไม่เห็นมันพูด นอกจากมันมาหลอก ต่อไปทำบุญให้ทาน ผลจะมีน้อยอย่างนั้นผลมีน้อยอย่างนี้ แล้วมรรคผลนิพพานจะสิ้นสุดไปเรื่อยๆ สุดท้ายไม่มีมรรคผลนิพพานเลย
นี่ละกิเลสมันหลอกคน คนจึงไม่สนใจ ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป กล้าหาญทำบาปยิ่งขึ้นโดยลำดับ การทำบุญแทบไม่มี นั่น ถ้าลงมีความเชื่อบุญเชื่อบาปนี้แล้ว ทุกอย่างมีกำลังด้วยกัน การทำบุญก็อยากทำ เบื้องต้นมันก็ตระหนี่ถี่เหนียว เพราะยังไม่เห็นเหตุเห็นผล พอทำไปจิตค่อยเบิกกว้างออกไปๆ จนเป็นนิสัยของจิตกับธรรมกับทาน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ไม่ได้ทานอยู่ไม่ได้ มันเป็นอยู่ในจิตนั่นแหละ วันหนึ่งไม่ได้ให้ทานอยู่ไม่ได้ รู้สึกมันว้าเหว่อะไรอยู่ภายในใจของเรานั้นแหละ ถ้าเราได้ทำบุญให้ทานแล้วรู้สึกชุ่มเย็นๆ ภายในใจ
การทำความดีทั้งหลายก็เหมือนกัน จนกระทั่งภาวนา เวลาภาวนาไปเบื้องต้นมันก็ขี้เกียจขี้คร้าน เพราะการภาวนาบังคับจิต การภาวนาเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะบังคับจิต เป็นภาระหนักมาก มันเคยคิดเคยปรุงยุ่งเหยิงวุ่นวาย บังคับไม่ให้มันคิด นี่ละที่ว่าเป็นความทุกข์มาก เราบังคับให้ได้ เอ้ามันไปไหนว่ะ ตั้งลงไปนาฬิกา เบื้องต้นมีข้อกำหนดกฎเกณฑ์ มีข้อบังคับตนไว้ก่อน เอ้า ภาวนา วันนี้เอาให้ได้ ๕ นาที อย่างน้อยเอาแค่ ๕ นาทีก่อน จากนั้นไปก็ ๑๐ นาที บังคับ ในขณะที่เราทำภาวนา ไม่ยอมให้จิตส่งไปที่ไหนเลย บังคับใน ๕ นาที ใน ๑๐ นาที เอ้า บังคับไป ในเขตที่บังคับอยู่นั่นแล ผลจะปรากฏเป็นความดีงามขึ้นมา เพราะสติควบคุมดี เรียกว่าสร้างธรรมขึ้นที่หัวใจด้วยสติ
พอมันได้ผล ทีนี้ไม่ได้คำนึงนะ ว่านั่งกี่นาทีกี่ชั่วโมง ไม่คำนึง พอนั่งปั๊บลงไปนี้ทำงาน จิตมันเพลิดเพลินกับอรรถกับธรรมต่อไป เลยไม่ได้มาสนใจกับเวล่ำเวลา เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แม้ที่สุดร่างกายนี้ เมื่อจิตไม่มาพัวพันกับมัน เป็นกังวลกับมัน มันก็เหมือนไม่มี นั่งภาวนาไปเท่าไรเบาไปหมดๆ ยิ่งจิตลงเสียจนกระทั่งร่างกายหายหมด เหลือแต่ความรู้ที่อัศจรรย์ ที่แปลกประหลาดล้วนๆ อยู่ภายในใจเท่านั้น มันยิ่งดูดดื่ม ทีนี้ไม่ได้ภาวนาอยู่ไม่ได้ ถ้าลงขั้นที่ได้ปรากฏผลเป็นแปลกประหลาดอัศจรรย์ภายในตัวเองแล้ว ผู้นั้นจะมีความกระหยิ่มยิ้มย่องและเสียดายอยู่ตลอดเวลา อยากให้เป็นอย่างนั้นๆ เมื่อเป็นอย่างนั้นก็ต้องภาวนาซิ มันหากให้ขยันภาวนาเอง อยากภาวนาเพื่อให้จิตเป็นอย่างนั้นๆ เรื่อยไป
การฝึกทรมานตนทุกอย่างต้องดีดต้องดิ้น กิเลสมันหนามันแน่น มันไม่ยอมให้ทำความดีงาม กิเลสเป็นเครื่องผูกสัตว์โลกให้อยู่ในวัฏวน กองทุกข์เต็มอยู่กับกิเลส ไม่ได้อยู่ในธรรม คือถึงพระนิพพานความทุกข์ไม่มี มันมีอยู่กับแหล่งของกิเลสนี้ละ ให้สัตว์ทั้งหลายได้รับความทุกข์ความทรมาน เครื่องล่อของมันก็เก่ง ทุกอย่างๆ มันล่อเข้ามาๆ ให้ตื่นกับมันเรื่อยๆ ยิ่งมาสมัยทุกวันนี้มีทุกอย่างที่หลอก เรื่องเครื่องล่อของกิเลส มีมาหมด เราไม่เคยเห็นไม่เคยรู้ ก็เห็นมาๆ เขาส่งเข้ามานั้น เราผลิตไม่เป็น ก็เขาผลิตให้ เอ้า เอามาๆ ก็มาหลอกตัวเองๆ
เราเห็นไหมทุกวันนี้ มีเต็ม ดาษดื่นไปหมด เดินไปไหนเราดูซิจนรำคาญตา มองไปเห็นแต่โทรศัพท์กับหูจ่อกันอยู่ ไม่ว่าหญิงว่าชาย ไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อย มองไปที่ไหน เห็นแต่โทรศัพท์จ่อกันอยู่ มันจะเป็นบ้าแล้วนะพวกนี้ นั่นน่ะเห็นไหมเครื่องล่อมันมี ได้ยินได้ฟังเสียงกันและกันนี้ก็เพลินไป เพลินกับกิเลสนั่นแหละ เพราะฉะนั้นทางพุทธศาสนา พระที่เป็นนักบวชจึงตัดขาดสะบั้นไปหมด สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องอารมณ์ของโลกทั้งนั้นเข้ามากวนธรรมะ เข้ามาเกี่ยวข้องกับพระไม่ได้ เริ่มตั้งแต่หนังสือพิมพ์ นั่นเป็นข่าวเป็นคราวของโลกของสงสาร ของกิเลสตัณหา วิทยุก็เป็นเรื่องของโลกล้วนๆ เป็นเรื่องกิเลสตัณหาที่เป็นภัยต่อจิตใจ ยิ่งโทรศัพท์มือถือด้วยแล้วนี้ขาดสะบั้นไปเลยคอพระ ไม่มีอะไรเหลือเลย ถ้าลงโทรศัพท์มือถือได้เข้ามาติดวัดแล้ว คนนั้นเขียนใบตายให้เลย
เพราะฉะนั้นวัดป่าบ้านตาดนี้จึงมีไม่ได้ โดยฐานที่ว่าอนุโลมเราให้มีเครื่องเดียว สำหรับผู้รับเป็นศูนย์กลาง มันเกี่ยวกับอรรถกับธรรม เกี่ยวกับประชาชน ให้ผู้นั้นเป็นผู้รับ เกี่ยวข้องกับอรรถกับธรรมเท่านั้น แต่ผู้อื่นผู้ใดจะมีไม่ได้ เราบอกตรงๆ มีก็ต้องไล่หนีจากวัด ถ้าไม่อยากให้ไล่ให้รีบเอาหนีเดี๋ยวนี้ ไม่ให้รอนะ เอาหนีเดี๋ยวนี้ ถ้าว่าเผลอตัวไปหามา ถ้ารู้ตัวไปหาเข้ามา ไล่หนีทันทีเลย เอามาด้วยความรู้ตัวฝ่าฝืน นี่เรียกว่าเป็นคนหน้าด้าน พระหน้าด้าน ในวัดนี้จะมีไม่ได้เลย นี่ละเป็นภัยของพระ เป็นภัยของธรรม
เรื่องภัยของธรรมเป็นอย่างนี้ เฉพาะพระเราเหล่านี้เป็นภัยทั้งนั้น ตั้งแต่หนังสือพิมพ์ ข่าวของโลกตั้งแต่พระพุทธเจ้าแสดงพระโอวาท ท่านสอนให้อยู่ที่ไหน ท่านสอนให้เข้าป่าเข้าเขา เพื่อให้ห่างไกลจากอารมณ์ของโลก ข่าวคราวของโลกนั้นแหละ จึงว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ บรรพชาอุปสมบทแล้ว ให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา หรือตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง อันเป็นสถานที่สะดวกแก่การบำเพ็ญสมณธรรม แล้วให้ท่านทั้งหลายอยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด
นี่อนุศาสน์ที่สอนไว้นี้เป็นธรรมจำเป็นมาก ท่านให้ปราศจากเมื่อไร พระทุกองค์ได้ยินได้ฟังจากโอวาทข้อนี้ด้วยกัน นอกจากมันหน้าด้านเท่านั้น เห็นบ้านเป็นป่าไปเสีย ป่านรกป่าอเวจี พระที่หน้าด้านเห็นบ้านเป็นป่าเป็นเขา เป็นที่สนุกรื่นเริงบันเทิง เห็นป่าเห็นเขาเป็นนรกอเวจีไปเสีย นี่ละกิเลสมันกลับตาลปัตรอย่างนี้
เพราะฉะนั้นเราจึงต้องได้ระวัง สิ่งเหล่านี้เป็นภัย ผู้มุ่งต่อมรรคผลนิพพาน เหล่านี้ตัดขาดสะบั้นเลย ไม่ให้มาเกี่ยวข้อง ตั้งแต่หนังสือพิมพ์เป็นข่าวเป็นคราวของโลกทั้งนั้น วิทยุเหมือนกัน จากนั้นก็มาโทรทัศน์ วิดีโอ เหมือนกันหมด จนกระทั่งถึงมาโทรศัพท์มือถือ นี้เครื่องประหารอันใหญ่หลวง เพชฌฆาตอันใหญ่หลวง ทำเอาพระให้คอขาดสะบั้นไปได้เลยไม่สงสัย นี่ไม่ให้มี สำหรับวัดนี้มีไม่ได้บอกตรงๆ ถ้าใครหน้าด้านก็ให้มีมา มีมาก็จะได้ถูกขับจากวัดนี้ทันที เราไม่มีอุทธรณ์นะ ลงได้สั่งสอนแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นของละเอียดพอจะไม่รู้ มันรู้ได้ด้วยกันทุกคน หามาก็แสดงว่าเป็นความหน้าด้านที่สุด ไม่ควรจะอยู่ในวัดนี้กับพระผู้มีหิริโอตตัปปะ อยู่ด้วยกันไม่ได้ ขับไล่หนีเลย นี่สิ่งที่เป็นภัย
เวลานี้มันเข้ามาทุกแง่ทุกมุม เรื่องของกิเลสหลอกลวงโลก หลอกลวงธรรมหลอกลวงพระเรา พระเลยกลายเป็นมูตรเป็นคูถ วัดก็เลยกลายเป็นส้วมเป็นถาน บรรจุมูตรคูถคือพระเณรที่ปฏิบัติเหลวแหลกแหวกแนวไปเสียหมด ส่วนธรรมแท้ๆ ท่านไม่ได้ยุ่งอะไร เช่น อย่างด้านวัตถุ พระพุทธศาสนาท่านไม่ได้ชมเชยในการก่อสร้างนะ ท่านสอนให้ก่อสร้างจิตใจ สร้างศีล สร้างสมาธิ สร้างปัญญา สร้างมรรคผลนิพพานด้วยจิตตภาวนาล้วนๆ ขึ้นไป เรื่องการก่อนั้นสร้างนี้ ให้อยู่แต่พอจำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่จะให้แบบหรูหราอย่างทุกวันนี้ ไปดูซิวัดไหนก็ดี หอปราสาทแดนสวรรค์ยังสู้ไม่ได้ จะเอาไปแข่งแดนสวรรค์ นี่มันแดนนรกของพระไปทำอย่างนั้น ให้พากันจำเอา
นี่สอนเน้นหนักตลอดเรื่องการก่อการสร้าง เป็นข้าศึกกับธรรม เราคิดดูตั้งแต่เราไปอยู่ในสถานที่ภาวนาต่างๆ ไปยังไม่ได้มีที่พัก มีแคร่เท่านั้นไม่ได้มากอะไร แคร่เป็นร้านเล็กๆ เอาหญ้ามามุง เมื่อหน้าฝนมาแล้วก็ต้องมีหญ้ามุง ถ้าธรรมดายังไม่มีฝน เราจะอยู่โคนต้นไม้มีแต่กลดก็ได้ เวลาถึงหน้าฝนมาก็ต้องมีที่มุงที่บังเป็นธรรมดา แต่เป็นแคร่เล็กๆ ท่านไม่ได้สร้างหรูหราฟู่ฟ่าอะไร ที่หรูหราที่สุดคือใจ จิตตภาวนา ให้มีธรรมอยู่ภายในใจตลอดตั้งแต่สมาธิขึ้นไป สมถะคือความสงบใจ สมาธิแล้วก็ปัญญา ปัญญาหลายขั้น ฟาดจนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้นด้วยการอยู่ในกระต๊อบ อยู่ในที่ไม่หรูหราด้วยวัตถุ แต่หรูหราด้านธรรมะ ถามธรรมะขึ้นมาแง่ไหน ตอบได้ผางๆ เลย ไอ้ด้านวัตถุนั้นถามใครว่าธรรมะเป็นยังไง มันไม่รู้นะ อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดีเรื่อยๆ มา เพราะฉะนั้นจึงให้พากันปฏิบัติให้ดี
พระเราไม่สมควรอย่างยิ่งกับสิ่งก่อสร้างทั้งหลาย พระปฏิบัติเราเอาให้ดี นี่ละเป็นแบบแผนแบบฉบับของพระพุทธเจ้าเป็นมาอย่างนี้ ท่านไม่ได้ส่งเสริมว่าการก่อการสร้างหรูหราฟู่ฟ่า เป็นโบสถ์เป็นวิหาร ศาลาโรงธรรมใหญ่ๆ โตๆ ไม่มีในคัมภีร์ พระพุทธเจ้าท่านไม่ทรงชมเชยแต่ไหนแต่ไรมา คำว่าก่อสร้างๆ มีบ้างเล็กน้อยไม่มาก แต่มันมีจะให้ว่าไง พอพระจะออกเที่ยวธุดงคกรรมฐาน พระองค์ทรงแนะนำเวลาออกเที่ยวให้ระมัดระวัง สถานที่ใดไม่สงบอย่าไปท่านว่า
เช่นอย่างวัดที่สร้างใหม่ มีการก่อสร้างอยู่บ้าง นี่เป็นความกังวลท่านว่างั้น อย่าไปอยู่ อย่าไปอยู่สถานที่ชุมนุมชน เช่น ท่าน้ำคนขึ้นลง แม้ที่สุดต้นไม้ที่ทรงดอกทรงผล พวกสัตว์พวกแร้งพวกกามันมาหากินของมัน มันจะเป็นการรบกวนหาความสงบไม่ได้ ท่านแนะไว้หมดไม่ให้ไปอยู่ ให้ไปอยู่สถานที่ที่สงัดๆ นั่นละครั้งพุทธกาลท่านสอนไว้อย่างนี้ คัมภีร์มีนี่ เรานำมาจากคัมภีร์มาสอน ท่านไม่มีการชมเชยที่ว่า สร้างนั้นสร้างนี้ไม่มี มีแต่ให้สร้างจิตใจโดยถ่ายเดียว
เวลาพระสงฆ์เข้ามาเฝ้าพระพุทธเจ้า รับสั่งถามเป็นยังไง อยู่ที่นั่นป่านั้นเขาลูกนั้น เป็นยังไงการภาวนา ท่านไม่ได้ถามว่า อยู่ที่นั่นเป็นยังไง ศาลาถึงไหนแล้ว หอปราสาทบ้านั่นมันถึงไหนแล้ว โบสถ์หลังใหญ่ๆ ถึงไหนแล้วๆ เหล่านี้ไม่มีความจำเป็นในครั้งพุทธกาล อุโบสถลงที่ไหนก็ได้ หลักพระวินัยก็มี จำเป็นอะไรจะต้องสร้างโบสถ์สร้างวิหาร แล้วไปรบกวนประชาชนไปเสีย เลยกลายเป็นศาสนากวนบ้านกวนเมืองไป ไม่ใช่ศาสนากวนกิเลส ตีกิเลสให้ขาดสะบั้นจากใจ เป็นศาสนากวนหัวใจตัวเอง แล้วก็กวนบ้านกวนเมือง ให้ยุ่งเหยิงไปหมด
สุดท้ายโยมกับพระเห็นหน้ากันไม่อยากดูกัน ถ้าว่าเห็นหน้า ไหนโยมเวลานี้ศาลาหรือโบสถ์อาตมายังไม่เสร็จ เอาละนะ ไหนโยมก็คือจะคว้าเอาตับเขามากิน กวนบ้านกวนเมือง กวนญาติกวนโยม ไม่สมควรแก่พระเรา บิณฑบาตเขามาได้กินวันหนึ่งๆ พอแล้ว แต่การบำเพ็ญสมณธรรม หรือธรรมทั้งหลายเพื่อความสงบใจ จนกระทั่งรู้แจ้งเห็นจริงไม่ลดละ มีการส่งเสริมอยู่ตลอดเวลา นี่ชื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรมผู้บำรุงธรรม เพื่อมรรคผลนิพพานจริงๆ ผู้นี้แลจะเป็นเจ้าของสมบัติ คือมรรคผลนิพพานโดยไม่ต้องสงสัย ขอให้เดินตามทางของศาสดาเถอะ
อันนี้มันไม่ได้เดินนะเดี๋ยวนี้ ศาสนามีนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น เดี๋ยวนี้มีแต่เรื่องของกิเลสตัณหามันครอบวัดครอบวา ครอบพระครอบเณรไปหมด มันไม่ได้มีศาสนานะเดี๋ยวนี้ มีแต่หัวโล้นๆ ไปที่ไหนหัวโล้นๆ ประดับตนด้วยสมณศักดิ์ เป็นอะไร อาตมาเป็นสมุห์ใบฎีกาออกมาจากโบสถ์จากวิหาร พอบวชใหม่ๆ แล้วก็ตั้งสมุห์ใบฎีกาให้กัน สมุห์ใบฎีกาแล้วปลัด แล้วพระครูพระคัน จากนั้นก็เป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณ ขึ้นไปสมเด็จยิ่งเป็นบ้าใหญ่โตเลย
นี่ละเรื่องของโลกมันเป็นอยู่ในหัวใจพระ ให้พระเป็นบ้าอยู่เวลานี้ เพราะกิเลสเข้าไปตีหัวใจพระ จนลืมอรรถลืมธรรม พูดเรื่องธรรมไม่อยากฟัง ธรรมเลยกลายเป็นของเสนียดจัญไร เป็นของกีดขวางไปหมด แต่กิเลสเป็นของล่องไปหมดลื่นไปหมด เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นนะ กิเลสมันกำลังล่องลื่นไปหมด ในวัดในวาในพระในเณร มีแต่เป็นทางเดินของกิเลสลื่นไปหมด เรื่องอรรถเรื่องธรรมที่จะลื่นในหัวใจไม่มี เป็นอย่างนั้นเวลานี้ นี่พูดให้ท่านทั้งหลายฟังเสีย
นี่ก็เรียนมาเหมือนกัน คัมภีร์ไหนก็เรียนเต็มกำลังความสามารถ ไม่เพียงแต่เรียนเป็นชั้นมหานะ พระไตรปิฎกค้นจนแหลกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงได้นำคำพูดนี้มาพูดด้วยความอาจหาญชาญชัยจากตำรับตำรา ไม่สะทกสะท้าน เพราะเป็นมาอย่างนั้นจริงๆ อ่านมาอย่างนั้นรู้มาอย่างนั้นพูดตามนั้น หลักความจริงเป็นอย่างนี้ ในครั้งพุทธกาลท่านจึงทรงมรรคทรงผล มีแต่มรรคแต่ผล องค์ไหนเจอเข้าไป องค์นี้โสดา องค์นี้สกิทา องค์นั้นอนาคา องค์นี้อรหันต์ องค์นั้นเป็นกัลยาณภิกษุผู้มีความสวยงามด้วยศีลด้วยธรรม แม้จะไม่สำเร็จมรรคผลนิพพาน ก็จะกำลังก้าวเข้าสู่มรรคผลนิพพานอยู่ด้วยธรรมอันดีงาม
เห็นกันพูดแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมชำระกิเลส ซึ่งเป็นความสกปรกเป็นฟืนเป็นไฟเป็นภัยต่อหัวใจ ท่านพูดตั้งแต่เรื่องชำระสิ่งเหล่านี้ ท่านไม่ได้พูดส่งเสริมสิ่งเหล่านี้เลย แล้วส่งเสริมทางด้านอรรถธรรม เป็นยังไงอยู่ในเขาลูกนั้นป่านั้น ภาวนาเป็นยังไง นั่น ท่านถามเรื่องภาวนานะ บรรดาพระเจ้าพระสงฆ์เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้านี้ รับสั่งตั้งแต่เรื่องภาวนา เป็นยังไงอยู่ที่นั่น การภาวนาเป็นยังไง นั่น ตรงกันข้ามนะกับทุกวันนี้ มีตั้งแต่ด้านวัตถุ เต็มวัดเต็มวาเต็มพระเต็มเณร ไม่ได้มีนามธรรม คือการปฏิบัติตัวเพื่อความเป็นคนดีพระดี มันมีแต่เรื่องเครื่องประดับ อันเป็นเรื่องของกิเลส มากลายเป็นเครื่องประดับของพระ กลายเป็นยศถาบรรดาศักดิ์ไปหมด เลวไปโดยลำดับเวลานี้
ให้ท่านทั้งหลายจำเอาทุกคน พระเราอย่าไปยุ่งกับสิ่งภายนอก ไม่มีอะไรที่จะเลิศยิ่งกว่าอรรถกว่าธรรม ไม่มีอะไรที่จะเลิศยิ่งกว่ามรรคผลนิพพาน คำว่าธรรม คือ โลกุตรธรรม ธรรมเหนือโลกอยู่แล้ว ไม่ว่าธรรมขั้นใดเหนือโลกทั้งนั้นๆ ไม่มีคำว่าธรรมต่ำกว่าโลก เราอย่าเอาโลกกิเลสตัณหาไปเหยียบย่ำทำลายธรรมให้จม ยังเหลือตั้งแต่มูตรแต่คูถ เต็มหัวใจพระเต็มหัวใจประชาชน อย่างนี้ดูไม่ได้นะ เราเป็นชาวพุทธให้ยึดหลักของพระพุทธเจ้าไว้ให้ดี ลูกตถาคตเป็นลูกชาวพุทธ ต้องปฏิบัติตัวให้สมศักดิ์สมศรีของเจ้าของ ให้ได้ครองมรรคผลนิพพาน พระบวชมาก็เป็นแนวหน้าแล้วในการรบกับกิเลสตัณหาประเภทต่างๆ
เอาให้จริงให้จัง ฟาดลงไปให้กิเลสมันหงายลงไป ไม่มีอะไรเหลือแล้วจ้าขึ้นมา ไม่ถามหาพระนิพพาน ถามหาอะไร จ้าอยู่ด้วยกัน ไม่ถามหาพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่ไหน ดูหัวใจนี้ครอบ ซ่านถึงกันหมดเลย เหมือนน้ำไหลลงมาสู่มหาสมุทร มหาสมุทรกว้างขนาดไหน แม่น้ำสายต่างๆ เวลาไหลยังไม่มาถึงมหาสมุทรก็เรียกแม่น้ำนั่นแม่น้ำนี่ เช่น แม่น้ำบางปะกง แม่น้ำเจ้าพระยา เป็นต้น พอเข้าถึงมหาสมุทรแล้วหมด แม่น้ำชื่อนั้นชื่อนี้ไม่มี เป็นแม่น้ำมหาสมุทรเสมอกันหมดเลย
นี่ฉันใดก็เหมือนกัน ขอจิตใจของเรา จะเป็นปุถุชนคนหนาปัญญาหยาบ เมื่ออบรมจิตใจของเราให้ดี ก็เหมือนกับว่าเราไหลเข้าไปสู่มหาวิมุตติมหานิพพาน นี่เทียบกับมหาสมุทรทะเลหลวงนั่นแหละ ก้าวเข้าไปๆ เมื่อเข้าถึงที่แล้วจ้าเหมือนกันหมด พระพุทธเจ้า พระสาวกท่านไม่ถามถึงกัน เป็นอันเดียวกันหมดแล้ว น้ำนู้นไหลเข้าไปสู่มหาสมุทรแล้วเป็นน้ำมหาสมุทรด้วยกัน ธรรมนี้เมื่อเข้าถึงใจ ถึงวิมุตติหลุดพ้นแล้ว เหมือนกันหมด นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ไม่มีความยิ่งหย่อนต่างกันแต่อย่างใด ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวกองค์สุดท้าย เสมอกันหมด นี่เทียบกับแม่น้ำมหาวิมุตติมหานิพพานเป็นอย่างนี้
ท่านมีกาลสถานที่เวล่ำเวลาที่ไหน การประพฤติธรรม การทรงธรรมจากการปฏิบัติของตน ไม่มีกาลเวล่ำเวลานาทีอะไรที่จะมากีดขวางทำลายได้ ถ้าเจ้าของไม่ทำลายตัวเองเสียอย่างเดียว.เจ้าของทำลายตัวเองนี้มันใกล้มากนะ เดี๋ยวขี้เกียจเดี๋ยวขี้คร้านอ่อนแอท้อแท้ นี้มีแต่อุปสรรคกีดขวางหัวใจตนเองให้บำเพ็ญไม่สะดวก จึงขอให้ทุกๆ ท่าน ได้พิจารณาทุกคนๆ
การปฏิบัติธรรม ถ้าลงปฏิบัติตามสวากขาตธรรมนี้แล้วจะไม่เป็นอื่น ธรรมทั้งหมดนี้ชี้เข้าสู่มรรคผลนิพพานทั้งนั้น ขอให้ปฏิบัติตามนี้เถอะ พระพุทธเจ้าไม่ใช่ศาสดาปลอม ศาสดาแท้จริงทีเดียว ธรรมก็เป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วทุกแง่ทุกมุม เป็นความดีงามทั้งนั้นๆ ถ้าปฏิบัติตาม ถ้าปฏิบัติตามกิเลสแล้วมันก็แหลกเหลวกันอยู่อย่างนี้ อย่างที่เราเห็นนี่แหละ อันนี้เป็นคู่ข้าศึกศัตรูกันมาตั้งแต่กาลไหนๆ กิเลสกับธรรม เป็นคู่เคียงกันมา เราผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดก็ฟิตตัวออกปฏิบัติธรรม แล้วก็ผ่านพ้นไปได้ ผู้ที่หลงตามกลมายาของกิเลสก็ติดไปพันไปเรื่อยๆ
อะไรก็ดี อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี เลยลืมศีลลืมธรรม ตายแล้วมีแต่กระดูก หนังห่อกระดูกเท่านั้น ถ้าจะฝังก็ฝัง ไม่ฝังก็เน่าเฟะอยู่อย่างนั้นเอง ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกระดูกเนื้อหนังของเรา มันมีประโยชน์อยู่ที่จิตใจกับอรรถกับธรรม ถ้าใจดีแล้วนั่นละเลิศเลออยู่ที่ตรงนั้น ถ้าใจชั่วแล้วก็ยังเหลือแต่ลมหายใจฝอดๆ พอลมหายใจดับแล้วนี้ ผึงลงเลยแดนนรก
ใครเป็นคนแสดงไว้ว่านรก สวรรค์ พรหมโลก เปรตผี ศาสดาองค์เอกทั้งนั้นสอนไว้แบบเดียวกัน ไม่มีศาสดาองค์ใดมาขัดแย้งกัน ว่าศาสดาองค์นี้สอนอย่างนี้ ศาสดาองค์นั้นสอนอย่างนั้น มาคัดค้านกันอย่างนี้ไม่มี ว่าบาปมีบุญมีแบบเดียวกันหมด นรกมีแบบเดียวกัน สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมีแบบเดียวกัน เพราะท่านรู้ท่านเห็นแบบเดียวกัน ท่านจะมาถกมาเถียงกันหาอะไร
ไอ้พวกเราที่ไม่เห็นนั่นซิ มันอวดดิบอวดดี ลูบไปหมดลบไปหมด บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี อะไรที่มี ก็มีแต่ความอยากความทะเยอทะยาน อยากทำอะไรก็เอาตามต้องการๆ นี่คือกิเลสล้วนๆ นี่ละตัวมันมี ตัวมันจะพาจม ให้พากันจำเอานะ ลงไม่เชื่อพระพุทธเจ้าผู้ฉลาดแหลมคมสุดยอดแล้ว เราจะเชื่อใคร เชื่อกิเลสก็เชื่อมานานแล้ว ใครได้รับความวิเศษวิโสว่าคนนี้เชื่อกิเลส ปฏิบัติตามกิเลสเต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้มรรคได้ผลขึ้นมาอวดพระพุทธเจ้ามีที่ไหน มีแต่ความจมๆ ทั้งนั้นละ ใครดีดใครดิ้นกับเรื่องของกิเลสตัณหาเท่าไรยิ่งดีดยิ่งดิ้นยิ่งจมลงไปๆ ถ้าใครดีดดิ้นออกไปจากกิเลส เพื่อประพฤติปฏิบัติธรรม แหวกว่ายตัวเองออกไปเรื่อยๆ ผู้นั้นจะสูงขึ้นเรื่อย พ้นไปเรื่อย สุดท้ายถึงนิพพานได้ด้วยกัน
เพราะฉะนั้นจึงขอให้ทุกๆ ท่าน นำไปปฏิบัติ พระเราปฏิบัติให้ดีนะ การอยู่ด้วยกันเหมือนอวัยวะเดียวกัน อย่าให้มีข้อขัดแย้งใดๆ เกิดขึ้น เป็นเรื่องหยาบคายที่สุด ทางไหนก็ดี มาปฏิบัติธรรมอย่าเอาเรื่องขัดเรื่องแย้ง เรื่องทะเลาะเบาะแว้งอันเป็นเรื่องกิเลส เรื่องฟืนเรื่องไฟเข้ามาเผากัน ไม่ถูกทางของศาสดา ไม่ถูกทางของผู้ปฏิบัติธรรม เอาละ การแสดงนี้ก็เห็นว่า สมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ แก่เวล่ำเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ (สาธุ)
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|