เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
นักเทศน์ที่ลืมตัว
จังหวัดแม่ฮ่องสอนเราไม่ได้ไปทางถนน ไปทางเครื่องบิน อยู่กลางเขาจริงๆ ช่องสนามบินก็พอเหมาะ ถ้าพลาดแล้วพินาศเลย เราไปสังเกตดู ดูทางขึ้นลงของสนามบิน นอกนั้นมีแต่ภูเขาอันตรายทั้งนั้น ถ้าพลาดก็พังเลย ต้องมาให้ถูกช่องจริงๆ ขึ้นลงให้ถูกช่องมีเท่านั้น ที่อื่นไม่มีที่เลือก เลือกขึ้นเลือกลงไม่ได้ ขึ้นทางนี้ๆ ไม่ได้ ต้องขึ้นลงเฉพาะ อยู่ในท่ามกลางภูเขาจริงๆ เท่าที่ผ่านมาไปหลายเมือง ในเมืองที่มีภูเขามากๆ ก็คือแม่ฮ่องสอน อยู่ในท่ามกลางจริงๆ ท่ามกลางภูเขา แม้แต่เครื่องบินจะลงก็ต้องลงอย่างถูกต้อง ผิดไปนิดหนึ่งไม่ได้ มันเป็นช่องจริงๆ ลง นอกจากนั้นเป็นภูเขาทั้งหมดเลย
เราไม่ได้ไปทางรถยนต์ เลยไม่ทราบว่าทางรถยนต์ไปยังไงมายังไง มีแต่เขาบอกว่าคดเคี้ยวมาก เราไปเครื่องบินจึงไม่ทราบทางรถยนต์ ไม่ทราบเข้าออกทางจังหวัดไหน(ต้องไปเชียงใหม่ ผ่านอำเภอปายก่อนแล้วจึงเข้าจังหวัดแม่ฮ่องสอนเจ้าค่ะ) เราไม่รู้เพราะไม่ได้ไปทางรถยนต์ เครื่องบินก็ขึ้นจากเชียงใหม่ไปเลย เราก็ลืมแล้วจากนี้ไปถึงแม่ฮ่องสอนเวลาเท่าไร ตามธรรมดาเราจะกำหนดไว้หมด เดี๋ยวนี้ลืมแล้วขึ้นแล้วถึงสนามบินเวลาเท่าไรเป็นปลีกย่อยขึ้นมา
ธรรมดาไม่ว่าจะไปสนามใด เรากำหนดอย่างนั้นๆ แต่แม่ฮ่องสอนลืมแล้ว (หนึ่งชั่วโมงครับ) หนึ่งชั่วโมงเหรอ เราลืมกำหนดนาฬิกาลืมดู แต่ว่าเราดูแน่นอน เวลาผ่านมาแล้วเราลืมเสีย ธรรมดาจะไปไหนต้องกำหนดเวล่ำเวลากำหนดกฎเกณฑ์ทุกอย่าง ที่ไปแม่ฮ่องสอนนี้ เราไปพักที่นั่นจึงได้รู้ว่าลูกศิษย์มากนะ มาจากทุกทิศทุกทางกรรมฐาน พอเราไปก็ไปเจอเอาที่นั่น ท่านเหล่านี้อยู่ในภูเขาอยู่ในป่า ท่านไปเที่ยวกรรมฐาน ออกจากวัดป่าบ้านตาดไป พอเราไปพักแม่ฮ่องสอนจึงได้เห็นพระกรรมฐานที่ออกจากวัดป่าบ้านตาดมาเยอะ มาจากที่นั่นมาจากที่นี่ในภูเขา เราก็ชมเชย แต่เวลาจะมาตำหนิก็ตำหนิที่วัดแม่ฮ่องสอนเสียเอง เพราะเป็นวัดป่า ไปหาทางจงกรมที่ไหนไม่มีเลย เอาหนักจริงๆ นะคราวนี้ หนักมาก ดุพระแหลกเลยละ
มันมายังไงพวกนี้ เอาอย่างหนักอยู่มันกระเทือนใจ ค้นหาซอกแซกดูทางจงกรมไม่มีวัดทั้งวัด เราเองเราไปหาเดินจงกรมก็ไม่มีทางจงกรมเดิน เราต้องซอกแซกเข้าไปหาตีนเขานู้น ทางพอเป็นไปได้ เราไปเดินจงกรมอยู่นู้น ทางนี้ไม่มี จึงได้ดุพระละซี ที่ดุพระก็เป็นที่แม่ฮ่องสอนแหละ ดุหนักอยู่นะมันกระเทือนใจมากทีเดียว วัดกรรมฐานพระกรรมฐานไม่มีทางจงกรม มันอยู่ยังไงกินยังไงไม่มีงานทำเลย งานว่างแต่ท้องไม่ว่าง กินทุกวัน มันน่าโมโห
วัดกรรมฐานไปที่ไหนก็มี ธรรมดาวัดกรรมฐานทางจงกรมมีอยู่ทั่วไป ที่เหมาะสมๆ ท่านหากทำของท่านเองอยู่บริเวณกุฏิๆ ก็มี ถ้าอันนี้ไม่สะดวกท่านก็ไปทำอยู่ในป่า ทำอยู่ในที่เหมาะสมๆ แต่นี้เราไปหมดน่ะซิ บริเวณที่พระอยู่ก็หาทางจงกรมไม่เห็น ออกไปบริเวณข้างนอกก็ไม่มี ไปที่ไหนไม่มีเลยจริงๆ มันเป็นยังไง กระเทือนใจมาก ไปหาซอกแซกได้ทางจงกรมนู้น เวลาจะเดินจงกรมก็ไปนู้น ที่นี้ไม่เห็นมี นั่นละที่ดุพระเอาหนัก พอกลับมานี้ไม่นานได้ทราบว่าทางจงกรมทำเรียบร้อยแล้ว มีหลายสาย ทำเรียบร้อยแล้ว แต่เราไม่ได้ถามไป มีทางจงกรมแล้วมีพระเดินจงกรมไหม ซ้ำเข้าไปอีก มันต้องอย่างนั้นซิใช่ไหม ซักเข้าไปซี
เราดูพระกรรมฐานเราดูมากกว่าพระทั้งหลายสิ่งทั้งหลายนะ ยิ่งเป็นสายหลวงปู่มั่นด้วยแล้วเรายิ่งละเอียดลออ เข้าไปแต่ละวัดนี่ซอกแซกดูหมด ผิดพลาดประการใดมานี้ชี้แจงบอก ถ้าไม่หนักก็ชี้แจงบอกธรรมดา ถ้าหนักก็ใส่เปรี้ยงอย่างแม่ฮ่องสอน พระลูกศิษย์ไปอยู่แถวนั้นมากทีเดียว มาปั๊บมองเห็นหน้าจำได้แล้วๆ มีแต่ลูกศิษย์ออกจากวัดป่าบ้านตาด มาจากภูเขาในที่ต่างๆ เราชมเชย แต่มาดูสถานที่ซึ่งเป็นวัดป่าไม่มีทางจงกรมสักสายเลย นี่ซิมันจึงกระเทือนใจมาก ดุเอาแหลก ไปแม่ฮ่องสอนก็มีคราวนั้นแหละคราวดุพระ พอกลับมาเขาก็ทำทางจงกรมกันแหลกเลยเชียว จากนั้นก็ส่งข่าวมาว่าทางจงกรมทำเรียบร้อยแล้ว เราไม่ได้ถามไปว่ามีทางจงกรมแล้วมีพระเดินไหม เราอยากว่าอย่างนั้น ยังว่างอยู่ตรงนี้ก็สอดเข้าตรงนี้ซิ
นั่นละที่ทำงานของพระกรรมฐาน ของพระว่างั้นเลยนะ ในครั้งพุทธกาลบอกอย่างนั้นเลย เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ในป่าในเขาเป็นที่หลบซ่อนผ่อนคลายอารมณ์ต่างๆ ได้สะดวกดีกว่าทุกแห่ง พระพุทธเจ้าท่านจึงสอน พอบวชแล้วก็ รุกฺขมูลเสนาสนํ บอกเลยทีเดียวอนุศาสน์ บรรพชาอุปสมบทแล้วให้เธอทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งอัพโภกาส ให้ไปอยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย ทำความอุตส่าห์อยู่บำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด
พระพุทธเจ้าบ่งบอกจุดสำคัญของพระผู้จะได้รับมรรคผลนิพพาน ท่านไม่ได้บอกว่านั้นตลาด นั้นกระดูกหมู นี้กระดูกวัว ให้เข้าตรงนั้นนะ ท่านไม่ได้บอก แต่มันมุทะลุพระนี่ ที่อย่างนั้นชอบเข้า อย่างนี้ก็ไม่มีพระองค์ไหนพูดแหละ มีแต่เรา ออกมาจากคัมภีร์ด้วยกันไม่มีใครพูด เราพูดตามหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าที่พาดำเนินมา เพราะฉะนั้นจึงพูดได้อย่างอาจหาญชาญชัยทีเดียว ไปที่ว่าไปดุพระ เป็นวงกรรมฐานถึงได้ดุเอาหนัก วัดป่าก็เหมาะสมอยู่นะ อยู่ที่เหมาะสมอยู่ แต่ทางจงกรมไม่เห็นสักสายเดียวเลยนี่ซิ มันสะเทือนใจมาก จึงเอาเสียอย่างหนัก ค้นหาทางจงกรมไม่มี
เราเองจะเดินจงกรมยังไม่ทางจงกรมอีก ต้องซอกแซกเข้าไปไปได้ตีนเขานู้น มันมีทางพอไปได้ตรงนั้น ไปเดินอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่ทางจงกรมนะ ทางธรรมดาแต่พอเป็นไปได้เราก็ไปเดินตรงนั้น นอกนั้นไม่มี ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ตรงไหน นั้นละจุดสำคัญๆ จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ ทุกอย่าง ถ้าผิดพลาดจากนั้นแล้วลงเหวลงบ่อไปเลยแหละ คำสอนพระพุทธเจ้าไม่มีผิดมีเพี้ยนไปแม้นิดหนึ่งไม่เห็น พิจารณาไปตรงไหน ให้พิสูจน์กันทางด้านจิตตภาวนาถึงรู้ได้ชัด
วงศ์ของศาสดาที่สั่งสอนสาวกทั้งหลายมาโดยลำดับนี้ เข้าทางด้านภาวนาเข้าเวทีนี้มันจะถึงกันหมดนะ ไม่ต้องไปเที่ยวดู มันหากเป็นในจิตนี่ เห็นคุณค่าๆ ตลอดไปเลย ไปอยู่ในป่าในเขา โลกทั้งหลายเขาไม่นิยม แต่ธรรมนิยมอย่างนั้น ปลดเปลื้องทุกข์ได้อย่างนั้น กิเลสตัณหาจะขาดออกไปๆ จนกระทั่งขาดสะบั้นไปเลยจากสถานที่เช่นนั้น ไม่ได้ไปขาดอยู่ในตลาดกระดูกหมูกระดูกวัวนะ ท่านจึงได้สอนให้เข้าอยู่ในป่าๆ แต่พระมันดื้อด้านเข้าทุกวันๆ ทุกวันนี้เลยเห็นพวกป่าพวกอะไรเป็นข้าศึกศัตรู ดังที่บ้ามันพูดนั่นแหละ
นักเทศน์ด้วยนะพูด ลืมตัวจนกระทั่งว่าเรานี้เป็นนักเทศน์ทั่วประเทศไทย ลืมตัวขนาดนั้นแหละ แต่ทีนี้เวลาออกมามันไม่มีเหตุผลสมกับเป็นนักเทศน์ละซิ ว่าพระที่อยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริต ฟังซิน่ะ มันกระเทือนใจมาก เราก็ฟาดกลับคืนเสียแหลกเลย ไม่มีค้านมาเลย เอาแต่พระพุทธเจ้าลงมา ถ้าวิกลจริตพระพุทธเจ้าก็วิกลจริตเรื่อยๆ มาจนถึงสาวกทั้งหลาย สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรานี้พวกอยู่ในป่าทั้งนั้นๆ นะ ไม่ได้ยินว่าไปตรัสรู้อยู่ในท่ามกลางกระดูกหมูกระดูกวัว ซัดกันใหญ่แหละ ตรงนี้มันกระเทือนใจมาก เอาอย่างหนักเหมือนกัน เลยเงียบไม่ตอบมา เอ้า ตอบมาซิ หนึ่งหมัดไม่แล้ว ยังสวนมาอีก เอาสองหมัดเข้าไปเลย เข้าใจไหม
อย่างนั้นซิ พูดไม่มีเหตุมีผล พระอยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริต พูดได้ยังไง แล้วปรากฏว่าเป็นนักเทศน์ที่ลืมตัว ว่าเรานี้คือนักเทศน์ในประเทศไทย แต่เวลาออกมาคำว่าเป็นนักเทศน์ลบแหลกเลย ว่าพระอยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริต ต้องชมเชยพระอยู่ในป่าซี พระพุทธเจ้าบำเพ็ญในป่า ตรัสรู้ในป่า พระสาวกทั้งหลายบำเพ็ญในป่า ตรัสรู้ในป่า บรรลุธรรมในป่า แล้วสอนพระสงฆ์ทั้งหลายให้อยู่ในป่าๆ ตลอดมา วงศ์สกุลของศาสดาโดยแท้เป็นอย่างนั้น ท่านไม่ได้บอกให้ไปอยู่ข้างนอกข้างนา มันหน้าด้านเอง พอไปอยู่ในที่หน้าด้านแล้วก็ตำหนิออกมาว่า พระอยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริต เราสลดสังเวชมากนะไม่ใช่ธรรมดา ถ้าหากเป็นคนธรรมดาก็เป็นอย่างหนึ่ง นี้เป็นนักเทศน์เสียด้วย แต่เวลาออกมาคำว่านักเทศน์ลบหมดเลย แหลกหมด ฆ่าตัวเองเลย นั่น
เพราะฉะนั้นธรรมบทนี้ที่มากระเทือนใจเรา เราจึงเอาอย่างหนักทีเดียว เลยเงียบไม่เห็นมาตอบ เอ้า ตอบมา หนึ่งหมัดไม่พอ สองหมัดเราจะไปพร้อมกันเลย เข้าใจไหมล่ะ มันกระเทือนใจมาก หลักเกณฑ์มีอยู่ทำไมไม่ปฏิบัติ ทำไมไม่พูดตามนั้น มันแหวกแนวไปพูดที่ไหน คำว่านักเทศน์ๆ มีความหมายอะไร เทศน์ก็เทศน์ในอรรถในธรรมด้วยความถูกต้องดีงาม แต่เวลามาพูดอย่างนี้มันลบหมดความเป็นนักเทศน์ที่สอนคนให้เป็นคนดี เจ้าของเลวขนาดนี้ไปสอนเขาได้ยังไง นั่นมันบ่งบอก
ผู้ที่ท่านอยู่ในป่านั้นละผู้ที่จะทรงมรรคทรงผล ผู้ที่จะนำธรรมมาสอนโลกด้วยความถูกต้องดีงามและชุ่มเย็นเป็นลำดับ คือท่านผู้อยู่ในป่าด้วยความเป็นธรรม เพื่ออรรถเพื่อธรรมบำเพ็ญ องค์นั้นสำเร็จพระโสดา องค์นี้สำเร็จสกิทา องค์นั้นสำเร็จอนาคา องค์นั้นสำเร็จอรหันต์ มากต่อมากอยู่ในป่าทั้งนั้น นี่ละธรรมของศาสดาเกิดในป่าในเขา เวลาเข้าไปอยู่ในป่าในเขาถึงเห็นคุณค่าของป่าของเขา และคุณค่าของธรรมจะเกิดขึ้นในเวลานั้น
อันนี้เราก็บำเพ็ญมาแล้วนี่ในป่าในเขาเป็นเวลา ๙ ปี มีแต่อยู่ ในป่าในเขาๆ อยู่ในบ้านคนก็เป็นป่าเสีย จากนั้นในเขาแหละมาก ป่านั้นเขาลูกนี้เรื่อยอยู่ตลอด จิตใจมีความรื่นเริงบันเทิง ไปที่ไหนมีแต่อารมณ์ของจิตระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันอยู่ภายในๆ ตลอดเวลาไม่ยุ่งกับใครเลย ถ้าสมมุติว่ามีแขกมีคนมาหาก็เหมือนเราเขียนหนังสืออยู่นี่ ถือปากกาเขียน พอมีแขกคนมา ปากกาก็ต้องถือไว้ยังเขียนไม่ได้ จนกระทั่งแขกคนเรื่องราวผ่านไปแล้วถึงจะมาเขียนได้ นี่ละการเกี่ยวข้องกับใครต่อใคร เป็นการเหมือนกับว่าได้ถือปากกาไว้ ต้อนรับแขก ทำงานกับแขกเสียก่อน พอออกจากนั้นถึงจะเขียนได้
ทีนี้อยู่คนเดียวเขียนทั้งวันเลย สติสตังไม่พรากจากจิตใจ นี่ละกิเลสมันละเอียดขนาดนั้นนะ ขึ้นเวทีถึงได้รู้กัน เอาตัวเรายันเลย เพราะเรานี้แทบเป็นแทบตายมาพอแล้ว เฉียดสลบแต่ไม่เคยสลบ หากเฉียดมาเรื่อยๆ บางทีอย่าว่าแต่สลบ เอ้าตายก็ตาย นู่นน่ะถึงเวลาเด็ดกัน ถึงขั้นที่จะเข้าด้ายเข้าเข็มจริงๆ มันถอยกันไม่ได้ มีแต่พุ่งๆ เลย เรื่องว่าสลบเสล็บไม่ต้องพูด ถึงขั้นตายผึงเลย นั่น แต่มันไม่ถึงขั้นสลบไม่ถึงขั้นตาย อันนี้มันสลบก่อนกิเลส ถ้าลงได้เอากันอย่างนั้นกิเลสสลบก่อน แล้วกิเลสตายไปเรื่อยๆ
เรื่องการบำเพ็ญธรรมอยู่ในป่าของเล่นเมื่อไร เป็นเวลาที่เหมาะสมมากสำหรับผู้บำเพ็ญธรรม อยู่คนเดียวๆ อารมณ์ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันอยู่ภายในใจ ดูกันตรงนั้นๆ ไม่ต้องดูที่ไหน เหล่านั้นเขาไม่ได้เป็นข้าศึกนะ เป็นข้าศึกเฉพาะกิเลสอยู่กับใจนี้ ทำลายใจๆ ธรรมมีคุณค่าชำระอยู่ภายใน มีคุณค่าและโทษอยู่สองอย่างภายในใจ โทษก็คือกิเลส คุณค่าก็คือธรรม ซัดกันอยู่อย่างนั้น ทีนี้ก็เปิดออก กว้างออกๆ เบื้องต้นก็ดังที่ว่าแหละ ก็อยู่ในป่าเหมือนกัน ไปน้ำตาร่วงอยู่ในป่าในเขา ซัดกันกับกิเลสถึงขนาดกูมึง เรามาพูดแล้วท่านทั้งหลายจำได้ไม่ใช่เหรอ นี่ละเวลากิเลสมันรุนแรง ตั้งสติพับล้มผล็อยๆ ตั้งไม่ได้ ตั้งเพื่อล้มเท่านั้น ที่จะให้อยู่ไม่ได้ ตั้งขนาดไหนๆ ก็ล้มเลยๆ
สุดท้ายสู้มันไม่ได้ก็น้ำตาร่วงบนภูเขา ออกกูออกมึงเทียวนะ ออกจริงๆ เราไม่ได้ลืม คือเคียดแค้นให้กิเลส ถ้าเป็นเคียดแค้นให้คนหนึ่งคนใดนี้ตามฆ่าเลยนะ นี่เคียดแค้นให้กิเลสจึงตามฆ่ากิเลสละซิ เรียกว่าความเคียดแค้นอย่างนี้เป็นธรรม ไม่ได้เป็นกิเลส ถ้าเคียดแค้นให้บุคคลผู้หนึ่งผู้ใดหรือสัตว์ตัวใดนั้นเป็นกิเลส ถ้าเคียดแค้นให้กิเลสซึ่งเป็นภัยต่อตัวเอง ต่อสู้มันชำระมันเป็นธรรม เราได้อันนี้ละมาเป็นหลักฝังใจตลอดมุมานะ ถึงขนาดว่ากูมึงเชียวนะ น้ำตาร่วงสู้มันไม่ได้จะไม่กูมึงได้ยังไง
คือการต่อสู้สู้มันไม่ได้ มีอีกอันหนึ่งก็กูมึงสู้กัน โถ มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอนู่นน่ะมันลงในใจเป็นในใจ ไม่ลืมเพราะมันฝังลึกมาก โถ มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ ยังไงมึงต้องพัง นั่นเอากันนะ ผูกอาฆาตเอาไว้ ยังไงมึงต้องพัง ให้กูถอยกูไม่ถอย เวลานี้กูสู้มึงไม่ได้กูยอมรับ กูยอมรับว่าสู้ไม่ได้ แต่กูยังจะไปฝึกมาอีกสู้อีก ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ พ่อแม่ครูจารย์แหละโรงงานใหญ่ พอมาได้รับการอบรมแล้วไปอีกฟัดอีก หงายหมามาอีก สองหงายสามหงาย สองครั้งสามครั้งที่มันเอาหงายหมาๆ พอครั้งต่อไปทีนี้มันก็เอียงบ้าง พอเอียงบ้างก็ซัดใหญ่เลย มันก็ล้มให้เห็น นี่ได้แล้ววิชา วิชาไหนกิเลสถึงล้มจับปุ๊บไว้เลย ทีนี้ก็เน้นหนักๆ ในวิชานั้น ต่อไปจิตก็ตั้งรากตั้งฐานได้ หนักเข้าๆ
พอถึงขั้นมันหนักเข้าจริงๆ แล้วกิเลสโผล่มาไม่ได้นะ นี่ละที่นี่มันไปคิดถึงเรื่องกิเลสฟัดเราหงายหมาๆ ที่นี่เราเอากิเลสหงายหมามันก็เข้าในลักษณะเดียวกัน เวลาธรรมมีกำลังมาก กิเลสหงายหมาๆ เลย เราหงายหมาได้ ทำไมกิเลสหงายหมาไม่ได้ใช่ไหม หมาตัวนี้มันเข้าได้ทุกแบบ เข้าในคนไม่เป็นท่าก็ได้ เข้าในกิเลสไม่เป็นท่าสู้ธรรมไม่ได้ก็ได้ เข้าใจไหมล่ะ มันจับได้หมด
นี่ละการมุมานะที่เคียดแค้นให้มัน ถึงขนาดน้ำตาร่วง กูมึงเทียวนะ เราไม่ลืม คือความถึงใจกับกิเลส โถ มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ น้ำตาร่วง ทำยังไงก็สู้มันไม่ได้เวลานั้น สู้มันไม่ได้เลย มันรุนแรงมาก พอสติตั้งพับล้มทันที ขนาดที่ว่าตั้งใจตั้งนะ ล้มทันทีๆ นี่กระแสของกิเลสรุนแรง ทีนี้เวลาไปฝึกมาหลายครั้งหลายหน ธรรมก็มีกำลังมากขึ้นๆ พอมากขึ้นจริงๆ ถึงขั้นที่กิเลสโผล่ออกมาไม่ได้เลย กิเลสโผล่ออกมานี้ขาดสะบั้นๆ นี่ละสติปัญญาแก่กล้าเป็นอย่างนั้น เหมือนกับกิเลสมีกำลังวังชาแก่กล้า ตั้งสติพับล้มผล็อยๆ ขนาดที่ว่าตั้งใจตั้งขนาดไหนก็ตาม ล้มให้เห็นต่อหน้าต่อตา นี่ละมันจะไม่เคียดแค้นยังไงคนเรา
ทีนี้พอถึงขั้นสติปัญญามีกำลัง กิเลสโผล่ขึ้นมาไม่ได้ขาดสะบั้นๆ ที่เรียกว่าหงายหมา เข้าใจไหม ขาดสะบั้นไม่มีท่าสู้เรา ก็เหมือนมันหงายหมา เทียบนะ หงายหมูหงายหมาใครจะไปว่าเรื่องหยาบเรื่องโลน นี่ไม่มีเจตนาอย่างนั้น พูดอย่างนี้เป็นน้ำหนัก หงายหมานี่ก็คือว่าไม่เป็นท่าเอาเสียเหลือเกิน พูดง่ายๆ มันหนักตรงนี้ ถึงขนาดหมา มันไม่เป็นท่าว่าอย่างนั้นแหละ ไม่ได้เป็นคำหยาบโลนอะไร ดังที่เขาว่าหลวงตาบัวเทศน์หยาบเทศน์โลน พวกเปรตมันว่าอย่างนั้น เราเคยฟัดกับกิเลสด้วยวิธีการอย่างนี้ จะว่าหยาบโลนหรือไม่หยาบโลนก็ตาม ฟัดกับกิเลส กิเลสหงายได้ด้วยอันนี้ละ ที่เขาว่าหยาบโลนๆ คือวิธีที่รุนแรง เข้าใจไหม ฟัดกันลงไปๆ
จนกระทั่งกิเลสโผล่ขึ้นมาไม่ได้นะ พอโผล่ขึ้นมานี่ขาดสะบั้นๆ นี่เวลาสติปัญญามีกำลังมาก เช่นเดียวกับกิเลสมีกำลังมากเอาเราหงายหมาๆ ตั้งสติไม่ได้ล้มผล็อยๆ พอสติปัญญามีกำลังมาก กิเลสโผล่ขึ้นมาไม่ได้ ฟาดหงายหมาเหมือนกัน หงายหมาหงายหมีหงายไอ้ปุ๊กกี้หงายไอ้หยองไปเลย มันหลายหงาย หมามีกี่ตัวหงายเหมือนกันหมด หมาสี่ตัวในนี้หงายเหมือนกันหมดเวลามีกำลัง ต้องเอามาตลกบ้างซิหมาเป็นไรไป ก็เราเลี้ยงมันไว้ หมาเอามาเป็นข้อเปรียบเทียบ
ถึงขั้นเวลามันเอาจริงๆ จนกระทั่งมันว่างไปหมด พิจารณาหาตรงไหนๆ กิเลสไม่ปรากฏๆ จนพูดขึ้นมา ไม่ใช่ความสำคัญนะ พูดขึ้นมา คือหาที่ไหนก็ไม่เจอ เหอ มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ แต่ยังไม่สำคัญตนว่าเป็นอรหันต์นะ คือกิเลสไม่มีเวลานั้นมันหมอบ เพราะอำนาจของธรรม สติปัญญาธรรมจ้าอยู่ตลอดเวลา อะไรโผล่ขึ้นมาพับขาดสะบั้นๆ ทีนี้เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วมันก็หมอบไม่แสดงตัว คุ้ยเขี่ยขุดค้นหาที่ไหนก็ไม่เจอ
เหอ นี่มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ ว่าเฉยๆ แต่เรายังไม่ได้สำคัญตนว่าเป็นอรหันต์นะ ยังมีกิเลสอยู่งั้นแหละ แต่เวลานั้นกิเลสมันหมอบ จึงว่า เหอ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ สักเดี๋ยวโผล่ขึ้นมาแล้ว โผล่ขึ้นมาก็ซัดกันเรื่อย ว่าไปเฉยๆ ว่าตั้งท่าที่จะฟัดกิเลสอยู่นี่ ตัวไหนโผล่ขึ้นมา เอา มา ว่างั้น ยังไม่ได้สำคัญตน นี่ละเวลาสติปัญญามีกำลังกล้าเป็นอย่างนั้น กิเลสแย็บออกมาไม่ได้เลย ขาดสะบั้นๆ
มันเทียบกันได้ เวลากิเลสมีกำลังกล้า ธรรมแย็บออกมาไม่ได้ ล้มเลยๆ ขาดสะบั้นไปเลย ทีนี้เวลาสติปัญญามีกำลังกล้าแล้วกิเลสโผล่ออกมาไม่ได้เลยเหมือนกัน ขาดสะบั้นๆ ไปเลย จากนั้นก็หมุนเข้าไปๆ เหล่านี้มันเข้าไปขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้วนะ มันเป็นของมันเองคือมันหมุนติ้ว แย็บออกมาตรงไหนรู้ทันทีๆ ไม่งั้นจะว่ามหาสติมหาปัญญาได้ยังไง มันรู้ทันทีๆ ขาดไปพร้อมกันๆ จนกระทั่งวาระสุดท้ายพังหมด ซัดลงไปขาดสะบั้นลงไปหมดไม่มีอะไรเหลือ จ้าขึ้นมาครอบโลกธาตุไม่ได้ถามใคร นี่ไม่ใช่เป็นอรหันต์น้อยขึ้นมาแล้วเหรอ ไม่ว่าเลยนะ อรหันต์น้อยก็ตาม อรหันต์ใหญ่ก็ตาม หมดปัญหาโดยสิ้นเชิง ธรรมชาตินี้ตัดสินปึ๊ง สนฺทิฏฺฐิโก วาระสุดท้ายตัดสินลงไปแล้วขาดสะบั้นลงไป อรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ไม่ถามถึงเลย ให้เข้าใจเสียนะ
นี่ละการรบกับกิเลส เวลาน้ำตาร่วงเราก็ไม่ลืม นี่ละขั้นที่ว่าแพ้อย่างหลุดลุ่ยนะ น้ำตาร่วงเลย แพ้กิเลสอย่างหลุดลุ่ย ทำยังไงก็สู้มันไม่ได้ ก็เลยเอาน้ำตาสู้ละซี จากนั้นมาก็ฟัดกันอีก สุดท้ายน้ำตานี้ก็มาลบล้างกันอีก น้ำตาวาระสุดท้ายเป็นน้ำตาสลดสังเวชอัศจรรย์ธรรมออกมาเองนะ ร่างกายไหวไปเลย พออันนี้ผางขึ้นมาเท่านั้นร่างกายนี้ไหวไปเลยทีเดียว เหมือนว่าแดนโลกธาตุสะเทือนไปหมด ความจริงสะเทือนอยู่ที่ร่างกายกับจิต มันสะเทือนกันอย่างรุนแรงระหว่างกิเลสกับธรรมขาดจากกันอย่างสะบั้นหั่นแหลกเลย อันนี้ก็น้ำตาร่วง น้ำตาร่วงคราวนี้ไม่ได้พูด หือ มึงดีขนาดไหน ไม่ได้ว่านะ เงียบเลย อรหันต์น้อยก็ไม่ถาม อรหันต์ใหญ่ก็ไม่ถาม น้ำตานั้นพังๆ ไม่ต้องบอก เป็นเองพังเลยทันที เกิดความอัศจรรย์ในธรรมทั้งหลาย
นี่การบำเพ็ญตนตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานมาก็จิตดวงนี้ คนๆ นี้ บำเพ็ญไปๆ สูงขึ้นมาๆ จนกระทั่งฟาดอันนี้แหลกเลย นี่การฝึกฝนอบรมมันดีอยู่เรื่อยๆ แหละถ้าเราฝึกเรื่อยๆ จิตนี้ดีจนถึงขั้นดีเลิศโดยที่ไม่คาดไม่หมาย เลยคาดเลยหมายเราไปทั้งหมดธรรมชาติอันนี้ เราจะคาดจะหมายไม่ถูก ลงถึงธรรมชาตินี้แล้วไม่มีอะไรหมายได้ เป็นสมมุติทั้งมวลเข้าไปได้ยังไงกับวิมุตติน่ะ นี่ละการฝึกฝนอบรม
ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ อกาลิโกๆ ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาใดที่จะมาทำลายได้ ขอให้มีความเพียรเถอะว่างั้นเลย มรรคผลจะเกิดขึ้นตลอดเวลาๆ อกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่ จะเกิดมาเรื่อยๆ อย่างนั้นละ ทีนี้คุณค่าแห่งการสมบุกสมบันของเราแทบเป็นแทบตาย เหมือนหนึ่งว่าจะตายสดๆ ร้อนๆ นั่นละฟัดกับกิเลส เวลาอันนี้ผ่านไปแล้ว พอกิเลสตัวเป็นข้าศึกขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจแล้ว ตั้งแต่ขณะนั้นมาไม่ปรากฏว่าได้รบกับกิเลสตัวใด
ทีนี้แสนสุขบรมสุข ก็คือมหันตทุกข์จากกิเลสนั้นเอง พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วก็เป็นบรมสุขขึ้นมา ท่านจึงเรียกว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว สิ่งที่ควรประพฤติปฏิบัติควรรู้ควรเห็น ได้รู้ได้เห็นเรียบร้อยแล้ว กิจอื่นที่จะยิ่งไปกว่านี้ไม่มี ยิ่งไปกว่านี้คืองานการที่ฆ่ากิเลส ที่จะยิ่งกว่านี้ไม่มี จากนั้นมากิเลสไม่มี หมด ท่านก็อยู่เป็นบรมสุขตลอดอนันตกาล นั่น คุณค่าแห่งการปฏิบัติด้วยความเอาเป็นเอาตายเข้าว่า เวลาแสดงผลให้ก็เป็น อกาลิโก ตลอดเวลา บรมสุข นี่ละเรื่องเป็นทุกข์ในการสร้างความดี มีสิ่งที่จะเสวยได้ประจักษ์ใจ การวิ่งตามกิเลสไม่มีอะไรที่จะเป็นจุดหมายปลายทาง ไม่มี
ได้เท่าไรๆ ยิ่งคืบยิ่งคลานยิ่งบึกยิ่งบึนไปตามกิเลส หาความสุขไม่มี ตั้งแต่คนอนาถาขึ้นมาถึงมหาเศรษฐีก็ลองดูเถอะ ใหญ่เท่าไรกิเลสยิ่งตัวใหญ่ ความทุกข์ยิ่งใหญ่อยู่กับมหาเศรษฐี ตาสีตาสาตามท้องนาหาเช้ากินเย็นเขาไม่ได้ทุกข์มากนะ ไอ้ผู้ที่ได้มากเท่าไรๆ ยิ่งคืบยิ่งคลานยิ่งบึกยิ่งบึน พวกนี้เป็นทุกข์มาก แล้วหาที่หมายไม่มี ที่ได้มาแล้วก็คอยแต่จะหลุดลอยไป ยังหามาใหม่เรื่อยๆ แล้วความทุกข์ตลอดไปเลย แต่ส่วนธรรมนี้หามาเท่าไรได้มากเท่าไรๆ ยิ่งปล่อยวางความกังวลวุ่นวาย ความอยากความทะเยอทะยานปล่อยลงๆ ไม่อยากอะไรๆ มีแต่อยากความพ้นทุกข์รุนแรงๆ
รุนแรงก็ด้วยความเพลิดเพลินกับการฆ่ากิเลส เช่นอย่างจะให้เข้าพักสมาธิ ธรรมดามันไม่ยอมเข้ามันเพลินในการฆ่ากิเลส ท่านว่าจิตเป็นอัตโนมัติฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ ไม่ว่ายืนเดินนั่งนอนหมุนอยู่ตลอดเวลา แม้ที่สุดเราฉันจังหันอยู่นี้ มันไม่ได้อยู่กับอาหารการกินนะ ทางนี้ก็เคี้ยวไปกลืนไปๆ แต่กิเลสกับธรรมมันฟัดกันอยู่ภายในใจ มันทำงานของมัน เหมือนเราคิดเรื่องกิเลสทั้งหลายเราจะกินเราจะนอนคุยอะไรก็ตาม เรื่องกิเลสมันทำงานมันก็คิดของมันไปเรื่อยๆ ทีนี้พอถึงขั้นธรรมทำงานแล้วจะทำอะไรมันก็ทำงานของมันไปเรื่อย ฆ่าจนกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วนั่นเรียกว่าหมดงาน จากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรมากวนใจ แสนสบายตลอดเวลา
พระพุทธเจ้าสาวกทั้งหลายท่านแสนสบาย ไม่มีอะไรกวนเลย จึงเรียกว่ากิเลสสิ้น เช่นอย่างท่านเทศนาว่าการขนาดแผดเผาเหมือนฟ้าดินถล่ม ก็เป็นแต่เรื่องของธรรมแสดงลวดลายต่างหาก กิเลสไม่มีในนั้น แล้วจะเอาความโกรธความเคียดแค้นมาจากไหนในธรรมไม่มี เป็นแต่เพียงอำนาจของธรรมพลังของธรรมออก ตามความหนักเบามากน้อย ที่ควรแก่เหตุการณ์ออกจากนั้น แต่ไม่มีกิเลสมาแฝง จะทำอะไรให้มีก็ไม่มี จึงเรียกว่าสิ้นกิเลสซิ เขามาฆ่าต่อหน้าต่อตาจะให้เคียดให้เขาก็ไม่มีที่จะเคียด ก็กิเลสมันหมดไปแล้วเอาอะไรมาเคียด นั่น จึงเรียกว่าบริสุทธิ์
การประพฤติธรรมไม่มีศาสนาใด พูดตรงๆ ที่จะเลิศเลอสุดยอดยิ่งกว่าพุทธศาสนานี้ชี้บอกแนวทาง กิเลสอยู่ในหัวใจลากออกมาฆ่าได้หมด โลกทั้งหลายใครสอนให้ไปละกิเลสภายในใจไม่มีนะ ตัวภัยจริงๆ ก็กิเลสอยู่ภายในใจนี้เป็นภัยต่อใจ เป็นภัยต่อส่วนรวมไปเรื่อยๆ คือกิเลส มีมากมีน้อยเท่าไรยิ่งทำความกระทบกระเทือนแก่ส่วนรวมมาก นอกจากจะทำความกระทบกระเทือนให้ตัวเองแล้ว ยังทำความกระทบกระเทือนให้แก่ผู้อื่นมากนะ ทีนี้เวลาอันนี้สิ้นซากลงไปแล้วดับเงียบเลยไม่มีอะไรเหลือ แล้วกิเลสตัวไหนจะแก้ก็ไม่มีอะไรจะแก้ ความโลภมาจากไหนไม่มี ความโกรธไม่มี ความหลง ราคะตัณหาไม่มี มีแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ นั่นแหละคุณค่าของการปฏิบัติธรรม
เราไม่ได้ขนาดนั้นก็ให้เป็นลูกศิษย์ที่มีครูสอน ควรจะมีแบบมีฉบับมีข้อบังคับภายในตัวเอง เพื่อการบำเพ็ญความดีงามทั้งหลาย ถ้าจะปล่อยให้แต่กิเลสดึงไปๆ ไม่คัดค้านต้านทานมันบ้างแล้วจมได้นะคนเรา จมได้ ถ้ามีธรรมเป็นเครื่องยับยั้งไว้บ้างแล้วจะรอดตัวออกมา มีส่วนได้บ้างๆ ไม่เสียแบบล่มจมโดยถ่ายเดียวไปกับกิเลส จึงขอให้พากันตั้งใจปฏิบัติ
การพูดนี้ถอดออกมาจากหัวใจมาพูด เราไม่ได้ไปหาคว้าเอาที่ไหนมาพูด งูๆ ปลาๆ ลูบๆ คลำ เราไม่มี เอาออกจากนี้เพราะการบำเพ็ญแก้กิเลสก็แก้ภายในจิตใจ หนักเบามากน้อยรู้กันอยู่ที่นี่ กิเลสขาดไปมากน้อยรู้กันอยู่ที่นี่ กิเลสขาดสะบั้นไปหมดก็รู้กันอยู่ที่นี่ นำอุบายวิธีการเหล่านี้มาสอน เพราะฉะนั้นจึงไม่มีผิด การสอนโลกในธรรมทุกขั้นจนถึงนิพพาน พูดให้ตรงศัพท์ตรงแสง นี้บรรจุไว้หมดแล้วจึงไม่มีทางสงสัย การสอนจึงแม่นยำๆ ขอให้พี่น้องทั้งหลายจดจำเอา ที่ปากอมขี้มันมาเห่าเทศน์หยาบเทศน์โลนเทศน์ว่างั้นว่างี้ ตัวปากมันมีแต่ขี้มันไม่ว่า อมขี้มาพูดมันไม่ว่า อันนี้ปากอมธรรมสกปรกไปที่ไหนหยาบโลนไปที่ไหน ปากอมธรรมกับปากอมขี้ต่างกันเข้าใจไหม ปากอมขี้หวานขนาดไหนก็หวานกับขี้นั่นแหละ แน่ะ ปากอมธรรมแผดขนาดไหนก็แผดกับธรรม พากันจำเอานะ เอาละพอ
วันนี้จะไปกฐินทางไหนบ้างล่ะวันนี้ (ภูช่อฟ้า อาจารย์เส็งเจ้าค่ะ อยู่ใกล้ๆ ถ้ำกลองเพล เป็นวัดใหม่เจ้าค่ะ) ภูช่อฟ้า ธรรมลีหรือตั้งชื่อ หรือใครตั้งเราอยากจะถามผู้ตั้งชื่อ ธรรมลีหรือตั้ง ธรรมลีนี้ตั้งแต่บวชแล้วนะ ติดสอยห้อยตามเราสลัดเท่าไรไม่ยอมออกนะ ธรรมลีติดเหนียวยิ่งกว่าปลิง ธรรมลีนี้เก่งมากติด สลัดยังไงไม่ออกๆ เลย เราหาอยู่องค์เดียวเรา ธรรมลีนี้สอดตามจนได้ ทีนี้ที่ว่าเราจะดัดสันดานเราไปอยู่ในป่าช้า แต่เราไม่รู้ว่าธรรมลีนี้กลัวผี เราเลยเสียท่า เราเข้าไปอยู่ในกลางป่าช้า ให้ธรรมลีอยู่ริมทุ่งนา แต่เป็นที่สงัดด้วยกันทั้งนั้นละ ทางบ้านชะโนดดง จังหวัดมุกดาหาร ติดตามเราไปคนนี้น่ะติด นอกนั้นพังไปหมดแล้วคนนี้ติดจนได้
เราก็โมโหเพราะเราหาอยู่คนเดียวเราโดยลำพัง พอไปอยู่ที่นั่นเราก็ไปอยู่ในป่าช้าเขา บ้านชะโนดดง แล้วป่าช้าที่ไหนสงัดเข้าไปอยู่กลางป่าช้าเลยเราสบาย คนไม่กล้าเข้าไปละป่าช้า เราเห็นว่าเป็นที่สงัด ไล่ธรรมลีไม่ให้ธรรมลีไปกวนความหมายว่างั้น ไล่ธรรมลีออกไปริมทุ่งนานู้น ทางนั้น โอ๋ย เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น ตอนนั้นไม่ได้พูดนะ ออกมาแล้วถึงมาพูดทีหลัง อู๊ย เราเสียดายอยากพาธรรมลีกลับคืนไปอีก ไล่ธรรมลีให้อยู่โน้น ธรรมลีก็สบาย โอ๊ย ปานขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นว่านั้นนะ ท่านอาจารย์ท่านไปอยู่ในป่าคนเดียวท่าน คือไม่ให้ใครไปกวนอยู่นั้น ก็เราไปคนเดียว อีตาบ้านี้ติดตามเราซิ จึงว่าไล่ไม่ให้ยุ่งเรา ถ้าหากรู้ว่าธรรมลีนี้กลัวผีเราจะไล่ธรรมลี เราก็อยู่ริมทุ่ง กลางคืนเปิดหนีเลยเข้าใจไหม จะดัดอย่างนั้น
แต่นี้ก็อย่างว่าละบาปมันก็แพ้บุญตลอดไป ออกมาแล้วจึงพูด อู๊ย ดีใจมากท่านเข้าไปอยู่ในกลางป่าช้า ท่านไล่เราออกมาอยู่ริมทุ่งนา อู๊ย เหมือนขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น เราก็เสียดายเราอยากคืนไปอยู่ป่าช้านั้นอีกคราวหลัง มันผ่านมาแล้ว นี่ติดตามมาตั้งแต่บวช บวชวันถวายพระเพลิงพ่อแม่ครูจารย์มั่น พอบวชแล้วติดตลอดเลยธรรมลีนี้ แต่เป็นผู้ตั้งใจดีมากเชียว ตั้งแต่บวชทีแรกเอาจริงเอาจัง แล้วติดมาเรื่อยตลอด ออกจากนี้ก็ไปอยู่ผาแดงเท่านั้นเอง ถึงจะอายุพรรษาแก่แล้ว ไปแล้วก็มาๆ อยู่อย่างนั้นละตลอดจนกระทั่งทุกวันนี้ นี่เป็นเศรษฐีธรรมนะนั่น เงียบๆ ท่านผ่านไปนานแล้วนะ ผ่านไปสัก ๓๐ ปีแล้วมั้ง
ตั้งแต่เราไปอยู่ห้วยทราย ท่านก็กำลังหมุนติ้วๆ ตอนเราอยู่ห้วยทราย ท่านจะได้กี่ปีนะ ออกจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพแล้ว ไปอยู่ห้วยทรายมันก็สงัดนี่ไม่มีใครเลย คือวัดนั้นเป็นวัดป่าช้า อยู่ที่นั่น ๔ ปีนะห้วยทราย อยู่นั้นก็เพราะผู้เฒ่าแม่แก้วนั่นเอง ผู้เฒ่าแม่แก้วที่เราไล่ลงจากภูเขาร้องไห้อี้ๆ นั่นเห็นไหมล่ะความรู้มันเถียงครูขนาดนั้นเห็นไหม เห็นเราก็บอกว่ายอมรับแล้ว นี่ละจะเป็นครูเป็นอาจารย์ของเรา พูดกับพวกแม่ชีแม่ขาวทั้งหลาย บอกว่าองค์นี้ละจะเป็นครูเป็นอาจารย์ของเรา ครั้นเวลาขึ้นไปแล้วแกเก่งกว่าครูละซี ความรู้นี้ โอ๋ย รู้ภายนอกพิสดารมาก เราตีเข้ามาๆ เพราะมันไม่ใช่ความรู้จะแก้กิเลส เราผ่านมาหมดแล้วนี่
ทีแรกไปแกก็เล่าให้ฟังว่าญาท่านมั่น หลวงปู่มั่นเรานี้ เวลาท่านจะไปท่านสั่งอย่างเด็ดขาดว่างั้นนะ นี่ถ้าหากว่าเป็นผู้ชายเราจะบวชเป็นเณรให้แล้วไปกับเราเลย แต่นี้มันเป็นผู้หญิงเป็นไปไม่ได้ เวลาเราไปนี้ห้ามภาวนา ไม่ให้ภาวนา เอ้า จะเป็นบ้ากับโลกเขาก็แล้วแต่เถอะท่านว่างั้น แล้วท่านก็ไป แกพูดคำว่า ท่านห้ามไม่ให้ภาวนา เราสะดุดกึ๊ก ต้องมีอันหนึ่งเราคอยจับนะ พอไปแกก็เริ่มเล่าขึ้นมาเรื่องความรู้แปลกๆต่างๆ อ๋อ อันนี้เองที่ว่าท่านห้ามไม่ให้ภาวนา แต่ท่านยังมีทิ้งท้ายไว้อีกอันหนึ่ง ต่อไปจะมีครูอาจารย์มาสั่งสอนอยู่แหละท่านว่างั้น
พอดีเราไปแกก็ยอมรับเลยว่าองค์นี้ละจะเป็นครูเป็นอาจารย์ของเรา ครั้นเวลาไปแล้วความรู้แกเก่งกว่าครูละซิ สอนยังไงก็ไม่ลง สอนอะไรก็ไม่ลง ตีเข้ามาๆ ยังไงก็ไม่ลงเพราะแกติดเข้าใจไหม นี่ละความติด เสียงครูอาจารย์ไม่ค่อยฟังละ ฟังแต่เสียงตัวเอง จนกระทั่งสุดท้ายไล่เข้าเท่าไรก็ยังไม่ลงๆ ละซิ ทีนี้ก็ไล่ลงภูเขาเลย ร้องไห้อี้ๆ ลงไป พาพวกขึ้นไป คือวันพระเขาจะไป ๔ โมงเย็นเขาจะขึ้นไปภูเขาที่ห้วยทราย ภูเขาอยู่ข้างบนทางด้านตะวันตก ให้พระอยู่ข้างล่าง เราภาวนาอยู่ข้างบนสบายๆ มีเณรหนึ่งอยู่กับเรา เณรก็มหาภูบาลนั่นแหละเณร นั่นละครั้งสุดท้ายยังไงก็ไม่ไหว ทีนี้จะเอาใหญ่ละที่นี่
พอขึ้นไป คือทีแรกก็มัดเข้าๆ ครั้นเวลาถามถึงเรื่องที่เราเทศน์อย่างดุเดือดนั้นน่ะ มันก็ไม่เข้าหูแกไม่เข้าใจแกสู้ความรู้ของแกไม่ได้ ก็ไปเถียงเราอยู่บนภูเขาละซิ พอเถียงเราก็ไล่ลงภูเขาเดี๋ยวนั้นเลย ไปสถานที่นี่ไม่มีนักปราชญ์ มีแต่คนโง่เขลาเบาปัญญา ใครเป็นจอมปราชญ์ไป ไล่ลงไป ร้องไห้อี้ๆ ลงไปเราเฉย ไปยังไงไม่ทราบนะ ได้สี่วัน ไล่ลงไปร้องไห้อี้ๆ ลงไปได้สี่วันแล้วโผล่ขึ้นมาอีก เหตุที่แกจะขึ้นมาอีก คือว่าทำไมไปหาครูอาจารย์ท่านไล่ลงนี้เราหมดที่พึ่งแล้ว หมดที่ยึดที่เกาะแล้ว แล้วมาหาครูอาจารย์นี้ท่านก็ไล่ลงเสีย เราจะไปพึ่งใคร แกก็มาพิจารณาเห็นโทษของแกเอง ที่ท่านไล่ลงเพราะเหตุใด เพราะไม่ฟังคำท่าน
เราหวังเป็นลูกศิษย์ของท่านแล้วทำไมไม่ฟังท่าน ไปเก่งกว่าท่านท่านก็ไล่ลง สมควรแล้วแหละว่างั้น ท่านสอนว่าไงให้ปฏิบัติตามท่านสอนบ้างซิ ทีนี้เลยปล่อยเรื่องของแกทั้งหมดมาปฏิบัติตามเรา เอา ท่านสอนว่ายังไงให้ปฏิบัติตามนั้น พอปฏิบัติจิตก็ลงพรึบๆ เลย สว่างจ้าไปหมดเลย นั่นเห็นไหม พอออกจากที่สมาธิก็กราบไปทางภูเขา ตอนเช้านะ กราบไปทางบนภูเขา ลงใจอย่างสุดขีดแล้วที่นี่ เพราะฉะนั้นวันนี้ถึงขึ้นมา ได้ ๔ วัน ขึ้นมาหาอะไร เรากำลังปัดกวาดอยู่ ขึ้นมาอะไรนักปราชญ์ใหญ่ เราใส่หมัดอย่างนั้นนะ จอมปราชญ์ขึ้นมาหาอะไร มาหาคนพาลเหรอ
เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อน เรากับเณรก็เลยมานั่งด้วยกัน เขาขึ้นมาทั้งพวกเขาแหละขึ้นมานั่งมาเล่าให้ฟังๆ เอ้อ ที่นี่เข้าช่องแล้ว จากนั้นเราก็อธิบายต่อ ที่ว่าไล่ลงภูเขาก็หมดปัญหาไป ที่แกร้องไห้อี้ๆ ก็หมดปัญหา พอได้อุบายจากการภาวนาที่เห็นโทษของตัวเอง เอาธรรมของเราไปปฏิบัติแล้วมันก็ขึ้นอย่างว่า เราก็สอนต่อไป พอจากนั้นแล้วจิตแกก็หมุนติ้วเลย นั่นละก็ผ่านไปได้ ดูเหมือนปี ๒๔๙๓ เราจำพรรษาหนองผือ ๒๔๙๔ จำห้วยทราย ๒๔๙๕ นั่นละแกก็ผ่านได้เลย แกก็เร็วอยู่นะแม่ชีแก้ว เราอยู่ห้วยทราย ๔ ปีก็เพราะแม่ชีแก้วนี่เอง พอแกผ่านแล้วอยู่สบาย จากนั้นเราก็ลงไปจันท์ ธรรมลีก็เร่งแต่นู้นละ หมุนติ้วแล้วนะตอนนั้น นี่ละองค์หนึ่งที่เป็นเศรษฐีธรรมเงียบๆ ธรรมลี ผ่านมานานอยู่นะ ตั้งแต่อยู่ห้วยทราย ก็นานแล้วนะ พอจากนั้นมาแล้วก็ผ่านได้ เอาละเลิกกัน
ยอดกฐินวัดป่าบ้านตาด ๑๓,๐๒๓,๐๓๓ บาท พูดในขณะนี้นะ ได้มาเรื่อยๆ มันขึ้นไปเรื่อยละ จะขึ้นถึง ๑๔-๑๕ ล้านเราก็ไม่รู้กับมันละ ก็มันมาเรื่อยจะว่าไง
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz
|