เทวดาไม่รับ
วันที่ 18 ตุลาคม 2548 เวลา 8:20 น. ความยาว 52.14 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ ศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

เทวดาไม่รับ

อบรมพระเช้ามืด วันปวารณาออกพรรษา

การปวารณาตัวพระพากันทราบทั่วกัน วันนี้เป็นวันปวารณาเรียกมหาปวารณา ท่านถือเป็นเรื่องราวสำคัญมากทีเดียว การปวารณาตัวคือให้ละทิฐิมานะ ไม่ให้สำคัญว่าตัวมีความรู้ความฉลาดหรือตัวเป็นอาวุโส การปวารณาตัวเรียกว่าการลดทิฐิมานะ ไม่ให้มีอยู่ภายในตัวและการแสดงออกต่อกันไม่ให้มีทิฐิมานะ ใครผิดใครถูกประการใดให้ตักเตือนกันได้ ท่านเรียกว่าปวารณา ลดทิฐิมานะให้เป็นเหมือนผ้าขี้ริ้ว ทำตัวเป็นผ้าขี้ริ้วต่อธรรม ธรรมคืออาวุโส ภันเต ให้เคารพกันเป็นชั้นๆ ด้วย ความผิดถูกชั่วดีนี้ให้ยอมรับกัน ไม่ว่าอาวุโส ไม่ว่าภันเตยอมรับกันทั้งนั้น ท่านเรียกว่าปวารณา

ให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัตินะพระเรา อย่าทำเหลาะๆ แหละๆ การปกครองหมู่เพื่อนเวลานี้ไม่เหมือนแต่ก่อนนะผม เหมือนหูหนวกตาบอดไปอย่างนั้น แต่ก่อนกับปัจจุบันนี้มันเข้ากันไม่ได้แหละ หูหนวกตาบอดทุกวันนี้ แต่ก่อนไม่ได้นะ เดี๋ยวนี้มันก็อย่างว่าเฒ่าแก่มาแล้วไม่ค่อยได้สนใจกับอะไร ตั้งแต่ตัวเองก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่เวลานี้ ให้พากันทั้งอกตั้งใจกันทุกคน

ข้อวัตรปฏิบัติแสดงความสามัคคีต่อกัน ลดลงทุกอย่างความขี้เกียจขี้คร้านเหล่านี้ไม่ให้มี ถึงกาลเวลาแล้วให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ กิจส่วนรวมเป็นการแสดงออกเรื่องน้ำใจต่อกันและกัน ถ้าขาดกิจส่วนรวมแล้วพระเหล่านี้เหลวไหล กิจส่วนรวมเป็นสำคัญมาก อยู่ลำพังคนเดียวใครไม่ค่อยทราบกัน แต่เวลาออกมาแสดงกิริยาความสามัคคีต่อกัน หรือไม่สามัคคียังไงจะทราบกันทันที ให้มีความพร้อมเพรียงสามัคคี หน้าที่การงานข้อวัตรปฏิบัติเป็นเรื่องของเรา ทำเพื่อเรา แม้จะทำรวมกันก็ทำเพื่อเรา ทำอยู่ที่ไหนไม่ให้เผลอสติ สติให้ตั้งอยู่ตลอดเวลาสำหรับนักปฏิบัติ จะไม่ลืมเนื้อลืมตัวอย่างง่ายดาย ต้องมีสติตลอด

ถ้าไม่มีสติใช้ไม่ได้นะ เรื่องสตินี้ใช้ตลอดเวลาทุกอิริยาบถไม่มีเว้น คือสติ ท่านจึงบอกว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ไม่เลือก ความเคลื่อนไหวไปมา ยืน เดิน นั่ง นอน มีสติตลอดเวลา กิเลสเกิดไม่ได้นะ ถ้ามีสติอยู่แล้วกิเลสเกิดไม่ได้ กิเลสจะเกิดขึ้นทางสังขาร พอเราเผลอพับสังขารจะปรุงออกแล้ว นั่นคือสังขารของกิเลส ถ้าไม่ถึงขั้นสังขารที่เป็นธรรมล้วนๆ โดยอัตโนมัติแล้วเป็นกิเลสแทบทั้งนั้น ถ้าสังขารเป็นมรรคแล้ว สติปัญญาอัตโนมัติ สังขารนั้นเป็นธรรม เป็นธรรมแทบทั้งนั้น ให้พากันจำเอา สังขารนี่ละเป็นตัวสมุทัย มันดันออกอยากให้คิดให้ปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ สติจับไว้ไม่ให้มันคิด มันจะมีมากขนาดไหนก็ออกไม่ได้ ผมเคยทำมาแล้วเรื่องเหล่านี้มาสอนหมู่เพื่อนจึงไม่สงสัยว่าจะผิดไป เอาจนกระทั่งอกจะแตกมันอยากคิดอยากปรุง

เพราะจิตเราเคยเสื่อมมาตั้งปีกับห้าเดือน ทดสอบหาเหตุหาผลก็ไม่ได้ ถึงเวลาแล้วมันก็เสื่อม เราพยายามไสขึ้นไปเหมือนไสครกขึ้นภูเขานั้นแหละ ๑๔-๑๕ วันไปถึงเจริญผาสุกเย็นใจสบายใจได้ ๒ คืนเท่านั้น คืนที่ ๓ ไม่เห็นมันเลย มันเสื่อมลงอย่างพรวดพราดๆ อะไรห้ามไม่อยู่ทั้งนั้น เลยมาวินิจฉัยตัวเอง เพราะตอนนั้นเรากำหนดเฉพาะจิต เราไม่ได้ใช้คำบริกรรม มันเผลอไปได้นี่ เพราะฉะนั้นมันจึงเสื่อมได้ซิ ทีนี้พอมาพินิจพิจารณาเป็นที่แน่ใจในการตกลงตัวเองว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปเราจะไม่ให้เผลอสติด้วยคำบริกรรม จะเอาคำบริกรรมติดกับจิตไว้ตลอด

ทีนี้ก็เอาจริง ผมไม่ใช่คนเหลาะแหละนะพูดจริงๆ ไม่ใช่คุย ว่าอะไรเป็นนั้นจริงๆ พอว่าเอาคำบริกรรมกับสติจับติดไว้กับจิตเลย ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่ให้เผลอ พอว่างั้นก็เหมือนว่าระฆังดังเป๋งนักมวยต่อยกันเลย นี่ลั่นใจลงเป็นที่แน่ใจแล้วก็บริกรรมตลอดเลยไม่ให้เผลอ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่ยอมให้เผลอไปไหนเลย ทีนี้ความอยากคิดอยากปรุงมันแสดงฤทธิ์เดชขึ้นมา มันอยากคิดอยากปรุง บังคับไว้ด้วยสติกับคำบริกรรมภาวนา

วันแรกนี้หนักมากทีเดียว เหมือนตกนรกทั้งเป็นอกจะแตก แต่มันก็คิดไม่ได้เพราะเราไม่ให้คิด นั่นละที่นี่กิเลสมันก็เกิดไม่ได้ คำบริกรรมนี้เป็นคำของธรรมอบรมจิตใจรักษาจิตใจ ใจเมื่อสังขารตัวกิเลสไม่รบกวนมันก็สะดวกสบายเย็นไปๆ สงบ นี้ก็สงบได้ จากนั้นก็ต่อไปเรื่อยไม่ให้เผลอ จนกระทั่งตั้งจิตได้ถึงขั้นที่เจริญแล้วเสื่อมไม่เสื่อม ค่อยขึ้นไปเรื่อยๆ จึงจับได้แน่นอนว่านี้เป็นเพราะขาดคำบริกรรม สติเผลอไปตรงนี้ละ พอมันไม่เผลอแล้วมันก็ไม่เสื่อม นี่ละเราจับไว้ขนาดนั้นนะแล้วไม่เสื่อมเลย

มันสงบลงถึงขนาดที่ว่า บริกรรมติดๆ กันไปนี้ เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบแล้วคำบริกรรมหายเลย ปรุงก็ไม่ขึ้น ก็สงสัยตัวเอง ทำไมจึงบริกรรมไม่ได้เพราะเหตุไร มันบริกรรมไม่ได้เลยขาดตรงนั้น นึกไม่ออกเลยนึกไม่ขึ้น ก็ยังเหลือตั้งแต่ความรู้ที่ละเอียด เอาสติจับไว้ที่ความรู้แทนคำบริกรรม เอาอย่างนั้นตลอดมามันก็เจริญขึ้นได้เรื่อยๆ นี่ละการทำเบื้องต้นเป็นอย่างนั้น ให้พากันจำเอา ความพากเพียรอย่าลดละ ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติจริงๆ เรื่องความพากเพียร

สอนหมู่เพื่อนให้ตั้งใจภาวนา เรื่องสติอยู่ที่ไหนอย่าให้เผลอนะ นี่ละคือความเพียร ทำข้อวัตรปฏิบัติจิตอยู่กับตัวไม่ให้เผลอ สติควบคุมไว้ไม่เผลอละ ถ้ามีสติควบคุมอยู่ไม่เผลอ ถ้าเผลอเมื่อไรเป็นคิดเป็นปรุง นั่นละสร้างกิเลสขึ้นมาแล้ว เอาไฟเผาตัวละ จิตถ้าเจริญแล้วก็เสื่อมได้ ถ้าสติติดอยู่แล้วไม่เสื่อม ตั้งขึ้นได้ๆ พอไปถึงขั้นสงบก็ให้สติติดอยู่กับความสงบ เมื่อถึงขั้นสงบจริงๆ แล้วคำบริกรรมมันก็ไม่จำเป็น มันจะเด่นอยู่ที่ความรู้ ให้สติจับอยู่ที่ความรู้อีกต่อกันไปเรื่อยๆ พากันจำเอา เอาละพากันกราบเสีย

หลังจังหัน

         วันนี้เป็นวันปวารณาออกพรรษา ทั่วประเทศไทยปวารณาวันนี้ ปวารณา แปลว่า เปิดโอกาสให้กันและกันทั่วแดนแห่งสังฆมณฑล คือเปิดโอกาสให้แนะนำตักเตือนกันได้ ไม่ให้ถือทิฐิมานะฐานะสูงต่ำประการต่างๆ เหนือธรรมเหนือวินัย ธรรมวินัยท่านแสดงไว้แล้ววันนี้เป็นวันปวารณา เป็นวันเปิดโอกาสให้กันและกันสำหรับพระสงฆ์ไทยเรา เรียกว่าปวารณาในพระสงฆ์ สงฺฆมฺ ภนฺเต ปวาเรมิ ข้าพเจ้าขอปวารณาตัวต่อสงฆ์ ทิฏฺเฐน วา ได้เห็นก็ดี สุเตน วา ได้ยินก็ดี ปริสงฺกาย วา ทำให้เคลือบแคลงสงสัยก็ดีในอาการของข้าพเจ้าที่ไม่ชอบธรรม ผิดพลาดประการใด เราจะยอมรับ เราจะปฏิบัติตัวแก้ไขตามนั้น นี่เป็นคำปวารณากัน พระพุทธเจ้าเปิดโอกาสให้แนะนำตักเตือนสั่งสอนกันได้ ท่านสอนว่าอย่างนั้น แนะนำสั่งสอนแล้ว จากนั้นผู้รับจะปฏิบัติตามด้วยความพอใจทุกอย่าง

วันนี้เป็นวันเปิดโอกาสให้กัน ถ้าตามหลักธรรมหลักวินัยหลักศาสนาของพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านเปิดโอกาสให้กันตลอดเวลา ให้แนะนำตักเตือนสั่งสอนหรือดุด่าว่ากล่าวได้ในความเป็นธรรม ท่านปวารณากันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพระสงฆ์ที่มุ่งอรรถมุ่งธรรมจึงเปิดตัวไว้ตลอดสำหรับอรรถธรรมจากผู้แนะนำสั่งสอนประการใด หนักเบามากน้อย ยอมรับปฏิบัติตาม ท่านว่าปวารณา คือเปิดโอกาสให้

คนเราเมื่อเปิดโอกาสให้กันและกันแล้วก็อยู่กันเป็นผาสุก พระสงฆ์ก็อยู่เป็นผาสุก เราขอชมวัดป่าบ้านตาด บรรดาพระสงฆ์ที่มาจากทั่วประเทศไทยและทั่วโลก มาจากประเทศนั้นประเทศนี้ ที่มาอาศัยอยู่นี้ ไม่เคยมีความขัดแย้ง ไม่เคยมีการทะเลาะเบาะแว้งและไม่ลงรอยกันแม้แต่น้อย ไม่ปรากฏเลย ตั้งแต่สร้างวัดป่าบ้านตาดมา รับก็เรียกว่าพระทั่วประเทศไทยทุกภาค วัดป่าบ้านตาดเป็นวัดของพระทุกภาคและทั่วโลก พวกฝรั่งมังค่าที่ไหนมาเต็มไปหมด ท่านเหล่านี้ท่านไม่ได้แบกฐานะของท่านมาอวดธรรม แบกฐานะของท่านมาอวดศาสนานะ ท่านไม่แบก ท่านทิ้งไปหมด

เหมือนครั้งพุทธกาล มีพระราชามหากษัตริย์เป็นสำคัญ ซึ่งมีจำนวนมากออกมาบวชในพุทธศาสนา ไม่ได้แบกความเป็นกษัตริย์ ยศถาบรรดาศักดิ์ ทุกอย่างตัดทิ้งไปหมดเลย ออกมาเฉพาะองค์ท่าน อุปสมบทเสร็จแล้วก็เข้าป่าบำเพ็ญสมณธรรม สำเร็จธรรมขึ้นมาเป็นชั้นๆ ตั้งแต่อริยบุคคลชั้นต่ำ โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ นี่ธรรมที่ท่านสำเร็จมาจากป่า ที่เรียกว่ามหาวิทยาลัยป่า ครั้งพระพุทธเจ้าเป็นมหาวิทยาลัยมาก่อนแล้ว มหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้าอยู่ในป่าในเขา เวลาบวชแล้วสอนพระไล่พระ พระก็คือลูกของท่านนั้นเอง ท่านไล่ลูกของท่านเข้าอยู่ในป่าในเขา รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้ว ให้เธอทั้งหลายไปเที่ยวอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง อันเป็นสถานที่สะดวกสบายในการบำเพ็ญสมณธรรม ปราศจากสิ่งรบกวน และขอให้ท่านทั้งหลายจงพยายามอยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด นี่เป็นพระโอวาทของพระพุทธเจ้า

ในเบื้องต้นบวชมาพระจะต้องได้รับพระโอวาทข้อนี้ด้วยกันทุกองค์ ไล่เข้าป่าเข้าเขา บรรดาพระราชามหากษัตริย์ได้รับพระโอวาทข้อนี้แล้วเข้าป่าเข้าเขา สำเร็จออกมาเป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ของสัตว์โลกทั้งหลาย ด้วยความชอบธรรมอันหาที่เปรียบไม่ได้แล้ว นี่ละพระครั้งพุทธกาลเป็นอย่างนั้นเรื่อยมา ท่านไม่ถือเนื้อถือตัว ไม่ได้มีทิฐิมานะฐานะสูงต่ำอะไรไม่มี ท่านตัดออกหมดเลย

อย่างพระที่มาจากประเทศต่างๆ เช่นอย่างเมืองนอก ท่านเป็นเศรษฐีก็มีมาอยู่นี้ ท่านไม่แสดงความเป็นเศรษฐีเลย ท่านมุ่งต่อความเป็นเศรษฐีธรรม ท่านมุ่งมาฟังโอวาทจากครูบาอาจารย์ที่แนะนำสั่งสอน แล้วปฏิบัติไปด้วยความพออกพอใจ ไม่ปรากฏว่ามีพระองค์ใดที่มาจากเมืองนอกก็ดี ในเมืองไทยก็ดี ได้อวดทิฐิมานะ หรือเอาสมบัติเงินทองเอาข้าวเอาของ เอายศถาบรรดาศักดิ์มาอวดศาสนธรรม อวดธรรมของพระพุทธเจ้า อวดครูบาอาจารย์นี้ไม่เคยมี สำหรับวัดป่าบ้านตาดนี้เราชมเชย ไม่เคยปรากฏเลยที่มาอยู่นี้

แล้วพระที่จะทะเลาะเบาะแว้งกันในวัดในวานี้ก็ไม่เคยมี ตั้งแต่สร้างวัดป่าบ้านตาดมาจนกระทั่งบัดนี้ สมเจตนาที่ท่านมุ่งหมายมาเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริงๆ สมบัติเงินทองข้าวของ ความรู้ความฉลาดสามารถประการใดที่ท่านเคยครองอยู่ในความเป็นฆราวาส เวลาเข้ามาสู่อรรถสู่ธรรมแล้วท่านถือธรรมเลิศยิ่งกว่าสมบัติทั้งหลายเหล่านั้น ท่านเทิดทูนธรรมด้วยการปฏิบัติโดยความตั้งอกตั้งใจจริงๆ เรื่อยมา นี่ที่ควรชมเราก็ชม

พระมีน้อยเมื่อไร เมืองนอกเมืองนา ประเทศนั้นประเทศนี้ เต็มอยู่ในวัดป่าบ้านตาด ถ่ายเทกันออกไปเรื่อย พระในเมืองไทยเราก็เหมือนกัน ท่านมาท่านก็แบบเดียวกัน ท่านเป็นขนาดไหนก็ตาม ดอกเตอร์ดอกแต้ที่ไหนท่านก็ไม่สนใจ ท่านสนใจแต่อรรถธรรมอย่างเดียวที่เลิศเลอครอบโลกธาตุ เรียกว่า โลกุตรธรรม แปลว่า ธรรมเหนือโลก โลกไหนก็ตามทั้งสามนี้ธรรมเหนือหมดทั้งนั้น ท่านมุ่งปรารถนาต่ออรรถต่อธรรม กราบไหว้บูชาธรรม ปฏิบัติตามธรรมนี้ตลอดมา

เพราะฉะนั้นในวัดนี้เท่าที่ผ่านมาแล้ว แต่อนาคตกาลข้างหน้าไม่ต้องนำมาพูด พูดปัจจุบันย้อนหลังที่ควรจะพูดได้ เพราะได้ผ่านมาเรียบร้อยแล้วพูดได้ อย่างนี้เราก็ไม่เคยเห็นพระวัดนี้ทะเลาะเบาะแว้งกัน ด้วยทิฐิมานะฐานะสูงต่ำ เอามาอวดกันอย่างนี้ไม่เคยมี มีตั้งแต่มาศึกษาปรารภด้วยความสงบเย็นใจ ปฏิบัติตนตลอดเวลาอยู่ในป่า เพราะฉะนั้นในบริเวณศาลาหลังนั้น(ศาลาใน) เราจึงกำหนดบริเวณให้อยู่ให้เที่ยว เช่น ศาลาหลังอยู่ข้างใน ประชาชนที่มาก็ให้อยู่ในบริเวณนี้ นอกนั้นเป็นบริเวณของพระที่บำเพ็ญสมณธรรม ไม่ให้ไปรบกวนท่าน

เราสั่งอย่างเด็ดขาดเลยไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง ประชาชนก็ไม่มีใครเข้าไปยุ่ง นอกจากคนรับใช้พระเท่านั้นเป็นธรรมดา ก็ลูกของพระที่ใช้ประจำอยู่ในครัวเรือนหรือในวัดในกุฏินั้นๆ เท่านั้นเอง เป็นคนสองคนสามคนเท่านั้น นี่ก็เป็นคนที่พระท่านไว้ใจ ไม่จุ้นจ้าน รู้จักกฎระเบียบของพระ ไปด้วยความสงบเสงี่ยมงามตา ไม่แสลงหูแสลงตา ให้พระท่านเกิดความขัดข้องภายในใจไม่มี ประชาชนที่เข้าไปเกี่ยวข้องมีไม่กี่คน นอกนั้นไม่ให้เข้าไป ใครก็ตามไม่ให้เข้าไป ให้พระท่านบำเพ็ญสมณธรรม

สถานที่บำเพ็ญนั้นมีกุฏิอยู่ไม่กี่หลัง ที่รอบๆ ศาลาวัดภายใน นอกนั้นเป็นกระต๊อบกระแต๊บๆ ไปหมดเลยอยู่ข้างใน ถ้าดูแล้วดูไม่ได้ เป็นเศรษฐีก็มีอยู่ในนั้นจะว่าไง เป็นดอกเตอร์ดอกแต้มีหมดอยู่ในนั้น ท่านอยู่ได้สบายๆ เพราะธรรมพาอยู่ พระพุทธเจ้าเสด็จออกจากพระราชวัง ท่านทรงห่วงใยในหอปราสาทราชมณเทียรที่ไหน เข้าป่าเข้าเขา บิณฑบาตขอทานเขากินเหมือนคนทั่วๆ ไป ท่านเป็นกษัตริย์ท่านทำไมท่านทำได้ลงคอ พิจารณาซิ

ในสมัยนั้นก็ยังไม่มีพุทธศาสนาที่ประกาศเรื่องการให้ทานเป็นพื้นเป็นฐาน แต่เป็นนิสัยของคนที่มีความเมตตารักใคร่ใฝ่ธรรมแล้ว เขาทำบุญให้ทานธรรมดา เวลาพระลัทธิใดก็ตามเข้าไปเที่ยวบิณฑบาต เรียกว่าบิณฑบาต เขาก็ให้ทานๆ ตามธรรมดามา พระองค์ก็เสวยนั้นแหละ ครั้งแรกจะเสวยไม่ลง เพราะของนี้กับของในพระราชวังต่างกันยังไงบ้าง พระองค์ก็น้อมเข้ามาหาพระองค์เอง ว่าอันนี้เป็นของไม่ควรอย่างนั้นไม่ควรอย่างนี้ เป็นของสกปรกหรือเป็นอะไรนี้ พระองค์ชี้เข้ามาในพุงนี้เลย พุงของเรานี้สกปรกยิ่งกว่าสิ่งภายนอก แล้วสิ่งภายนอกกับสิ่งนี้มันควรแก่กัน เพราะเป็นของสกปรกที่จะบำรุงซึ่งกันและกันให้เป็นอยู่ได้ในชีวิตของเราเอง ทำไมจึงเห็นว่าไม่ควร

อาหารอยู่ในท้องของเรานี้สกปรกขนาดไหน ยังอยู่กันได้มาจนกระทั่งบัดนี้ อาหารภายนอกถึงจะตำหนิว่าเขาสกปรก แต่เวลาเข้ามาบำรุงภายในร่างกายนี้ก็เป็นเครื่องบำรุงร่างกายความสกปรกของร่างกายเต็มอยู่นี้ให้เจริญรุ่งเรือง ทรงธาตุทรงขันธ์ไปได้ ทำไมจะกินไม่ได้ นั่นพระองค์บังคับนะ ของเรานี้สกปรกยิ่งกว่าภายนอก บังคับให้เสวย นั่นเห็นไหมพระพุทธเจ้า ท่านตีเข้าหาธรรมทั้งหมดนั่นแหละ จนได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา เป็นสิ่งที่เหลือเฟือที่ไหนพระพุทธเจ้าทรงผ่านมา ไม่มีคำว่าเหลือเฟือ มีแต่อดอยากขาดแคลนแร้นแค้นกันดารไปทั้งนั้น นี่ศาสดาองค์เอกของเรา ออกมาจากสถานที่ขาดแคลน ได้รับความทุกข์ความลำบาก

บรรดาพระสงฆ์สาวกทั้งหลายที่ได้มาบวชกับพระพุทธเจ้า ได้รับพระโอวาทแล้วก็ออกปฏิบัติ นับแต่พระราชามหากษัตริย์ พ่อค้าประชาชนคนธรรมดาลงมา ปฏิบัติแบบเดียวกันหมด ไม่มีว่าข้าเป็นกษัตริย์ ข้าเป็นเสนาบดี ไม่มี ศากยบุตรลูกศิษย์ตถาคตอันเดียวกัน เข้ากันได้สนิทหมด นี่ละธรรมไปถึงไหนเข้ากันได้สนิท ไม่มีการที่จะถือชาติชั้นวรรณะฐานะสูงต่ำ เอามาอวดมาเบ่งกันไม่มี สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งทำลาย ถ้ามาอวดมาเบ่งแล้วทำลาย ระแคะระคายซึ่งกันและกัน ฐานะสูงอย่างนั้น อันนี้ต่ำ มาเหยียบย่ำทำลายกัน ส่วนธรรมนี้สูงแล้วทุกอย่าง ปฏิบัติตามธรรมสูงด้วยกันด้วยอรรถด้วยธรรม เสมอกัน มีความสนิทสนมตายใจกันได้ทั้งนั้น ท่านนำธรรมเหล่านี้มาปฏิบัติท่านก็สงบร่มเย็น เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราตลอดมาทุกวันนี้

ทีนี้ย่นเข้ามาหาวัดป่าบ้านตาดที่เคยปกครองพระเณรทั้งหลายอยู่ ไม่ว่ามาจากเมืองนอกเมืองใน เมืองนอกคือประเทศต่างๆ มาอยู่ในวัดนี้ไม่น้อย และเมืองในก็คือเมืองไทยเราทั่วประเทศมาอยู่ที่นี่ ท่านอยู่ด้วยกันด้วยความผาสุก ท่านไม่ยกเรื่องฐานะสูงต่ำอวดดีอวดเบ่งอย่างนั้นเข้ามาคละเคล้า ซึ่งเป็นฟืนเป็นไฟจะเผาไหม้กัน เข้ากันไม่สนิท ท่านเอาแต่ธรรมล้วนๆ มาหากัน อยู่ด้วยกันด้วยความเป็นธรรม แนะนำตักเตือนกันได้ ใครผิดใครถูกประการใดก็แนะนำตักเตือนสั่งสอนกันได้

เราที่เป็นอาจารย์สอนคนเราจะยกตัวอย่างให้พี่น้องทั้งหลายฟังนะ สมควรว่าเป็นอาจารย์สอนพระสอนเณรสอนประชาชนไหม เราพูดให้ฟังชัดเจน ตัวเราเองเป็นผู้เป็น ที่อยู่เราแต่ก่อนเป็นกระต๊อบเล็กๆ เราทำงานอะไรอยู่ก็ไม่รู้แหละ แล้วมองดูนาฬิกา ความเข้าใจของเราว่านาฬิกาเลยเวลาปัดกวาดไปแล้ว ตามธรรมดานัดปัดกวาด ๔ โมง ปัดกวาดกันทั่ววัด ต่างคนต่างมีนาฬิกา ไม่ต้องเคาะระฆังอะไรให้ทราบ ถึงเวลาแล้วต่างคนต่างออก ทีนี้เราก็ดูนาฬิกาของเรา มองดูนาฬิกาเข้าใจว่ามัน ๔ โมง ๒๐ นาทีไปแล้ว ปุ๊บปั๊บออกจากที่เลย เพราะการทำข้อวัตรปฏิบัติเรากับพระกับเณรเหมือนกัน ดีไม่ดีเรารวดเร็วยิ่งกว่าพระ สมัยที่ยังหนุ่มน้อยนะ การทำข้อวัตรปฏิบัติเหมือนกันกับพระกับเณร ดีไม่ดีคล่องตัวกว่าพระกว่าเณรอีก

พอมองดูนาฬิกาเข้าใจว่ามันเลยเวลาแล้ว ปุ๊บปั๊บโดดลงคว้าไม้ตาดปัดกวาดออกไปศาลา ไม่เห็นพระสักองค์เดียวเลย มีแต่เรากวาดออกไป มีเณรหนึ่ง ชื่อเณรจรวด จรวดมันก็ลูกของพระ เดี๋ยวนี้มันก็อยู่นี้ละจรวด มันสึกออกไปมีลูกมีเมีย มันมาตั้งแต่เป็นเด็กแล้วก็มาเป็นเณรอยู่วัดป่าบ้านตาด มันรักษาศาลาอยู่นั้น มันเห็นเราปัดกวาดออกไปก็คงจะขวางตามันละ พอไปก็ขู่ละซิ เณรๆ เป็นยังไงพระวัดนี้มันตายกันหมดแล้วเหรอ ขึ้นอย่างเด็ดนะ ถึงเวล่ำเวลาปัดกวาดแล้วทำไมจึงไม่เห็นใครมาปัดกวาด เป็นยังไงมันตายกันหมด แล้วใครจะกุสลาใครล่ะ มันตายกันหมดทั้งวัดแล้ว เป็นยังไงเณร

คือเณรมันขัดตามัน มันก็เลยเอาไม้กวาดมากวาดแคร็กๆ จี้เณร หือ เณร เป็นยังไงพระวัดนี้มันตายกันหมดแล้วเหรอ ใครจะกุสลาใคร ถึงเวล่ำเวลาไม่รู้กันเหรอ เณรก็บอกว่าเวลานี้นาฬิกาพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที คือ ๔ โมงปัดกวาด เข้าใจไหมล่ะ กำหนดกัน ๔ โมงปัดกวาด เราดูนาฬิกาเข้าใจว่า ๔ โมง ๒๐ นาทีเลยปัดกวาดออกมา เณรบอกว่า นาฬิกาพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที พอว่าเท่านั้นเราก็ เหอ ขึ้นเลย เณรก็ซ้ำอีกว่า นาฬิกาพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที เออ ถ้าอย่างนั้นหยุดๆ ขึ้นทันที เข้าใจไหมล่ะ หยุดๆ อย่ามาปัดกวาดมันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด นั่นเห็นไหมล่ะ ทีแรกแผดจะกัดจะฉีก พอเณรว่าอย่างนั้นเราก็ว่า หยุดๆ อย่ามาปัดกวาดจะเป็นบ้ากันทั้งวัด เราจะไปแก้บ้าของเรา เดินปึ๋งๆ กลับคืนเลย

นักธรรมะต้องเป็นอย่างนั้นใช่ไหม ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก ทีแรกเข้มข้นเหมือนว่าจะต้มยำพระทั้งวัดเลยทีเดียว พระไม่เห็นมาปัดกวาดถึงเวลาแล้ว มันเป็นยังไง ใครจะกุสลาใครมันตายกันหมดทั้งวัดแล้ว พอเณรตอบมาเท่านั้น มันเป็นบ้าเราคนเดียว นาฬิกาพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที เหอ ขึ้นเลย เณรก็ย้ำอีกว่า นาฬิกาพึ่งได้ ๓ โมง ๒๐ นาที เอ้า ถ้างั้นหยุดๆ ทันทีเลยนะ เอ้าหยุดๆ เดี๋ยวมันจะเป็นบ้ากันทั้งวัด ใครอย่ามาปัดกวาดถ้าไม่อยากเป็นบ้า เราจะไปชำระบ้าของเราเอง เดินกลับปุ๊บๆ เลย

เณรมันคงจะหัวเราะแหละ เวลาพระมาคงจะเล่าให้พระฟัง นี่เหตุผลเข้าใจไหม จะไปถือว่าเราว่าเขาว่าใหญ่ว่าน้อยไม่ได้ ความผิดความถูกเป็นธรรม ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก เป็นธรรม นี้เราก็ยอมรับด้วยความเป็นธรรม จะกัดจะฉีกพระอยู่ สุดท้ายก็เลยให้พระมากัดฉีกเราคนเดียว มาปกครองพระเณรยังไงอาจารย์ผีบ้าองค์นี้ จะว่าอย่างนั้นก็ได้ใช่ไหม เอาต้มยำเสียไม่ดีเหรอ พระเณรว่าอย่างนั้นเราก็ต้องยอมรับท่านเพราะเราผิดใช่ไหม แต่ท่านก็ไม่ทำ นี่ความเป็นธรรม ท่านทั้งหลายให้จำเอา

         การปกครองหมู่เพื่อนเราไม่ได้เอาอำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ เข้ามาปกครอง เราเอาธรรมเป็นเครื่องปกครอง ดังเวลานี้ก็ทราบ ขัดกับธรรมเหล่านี้ ขัดกับศาสนาอยู่มากทีเดียว ได้ทราบมาภายใน ไอ้พวกอำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ เวลานี้กำลังเบ่งอำนาจป่าเถื่อนของตน กำลังเป็นบ้าอำนาจ นี่ฟังว่าจะมาสั่งให้หมอจักรธรรมหนีไป เพราะหมอจักรธรรมนี้เป็นคนของหลวงตาบัว ฟังซิน่ะมันฟังได้ไหม หมอจักรธรรมที่ทำงานอยู่สำนักงานพุทธศาสนา นี่จะสั่งให้ย้ายหนี เพราะคนๆ นี้เป็นคนของหลวงตาบัว

เราฟังเฉยๆ เราทราบมาอย่างนี้นะ จะเป็นความจริงแค่ไหนแล้วค่อยพิจารณากันไป ว่าเป็นคนของหลวงตาบัวนายแพทย์จักรธรรมนี้ แล้วถือหลวงตาบัวเป็นข้าศึก จะย้ายไป ฟังว่าจะย้าย อย่างน้อยย้าย มากกว่านั้นอาจจะต้มยำหมอจักรธรรมก็ได้ เพราะอำนาจป่าๆ เถื่อนๆ มันกำลังหลงน้ำลายบ้ามัน สั่งสุ่มสี่สุ่มห้า บ้าป่าๆ เถื่อนๆ บ้าอำนาจ บ้ายศ เดี๋ยวนี้กำลังเป็นบ้ายศ ในวงรัฐบาลของเรานี้แสดงฤทธิ์เดชผิดปรกติมากเวลานี้ ในสายตาของธรรม ธรรมดูด้วยความเป็นธรรมล้วนๆ

อย่างที่ว่าหมอจักรธรรมนี้เป็นคนของหลวงตาบัว มันฟังได้ไหม หมอจักรธรรมเป็นคนของประชาชนทั่วประเทศ นี่ซิมันเข้ากันไม่ได้ ทีนี้ถ้าเราพูดตามหลักธรรมแล้ว หมอจักรธรรมเป็นคนของประชาชน ไม่ใช่เป็นคนของหลวงตาบัว จะย้ายหมอจักรธรรมไม่ได้ ผิด กระเทือนเมืองไทยเราหมดเลย นี่ถ้าพูดตามหลักธรรม นี่เขาจะสั่งเขาจะย้ายแบบไหน เขาจะต้มยำแบบไหน ด้วยอำนาจป่าเถื่อนเรายังไม่ทราบได้นะ เราคอยฟังไป

เวลานี้กำลังแสดงฤทธิ์อำนาจป่าเถื่อน กำลังแสดงฤทธิ์ออกมาทางศาสนา เฉพาะอย่างยิ่งก็มาโดนหลวงตาบัวนี่ละ อะไรเอะอะก็ว่าคนหลวงตาบัว ถ้าเป็นคนหลวงตาบัว จะย้ายมันหมด จะต้มยำมันหมดเข้าใจไหม ลักษณะเป็นอย่างนั้น เทียบกันได้แล้ว นี่เราก็ทราบเป็นอย่างนี้แหละ นี้เป็นคนของประชาชน มาย้ายเขาทำไม ถ้าไม่เป็นบ้าว่างั้นเลย ถ้าคนเป็นบ้าถึงย้ายไป อันนี้เป็นคนของคนนั้นคนนี้ เป็นคนของประชาชน

เราก็เป็นอาจารย์ของคนทั่วประเทศของประชาชนเหมือนกัน สอนด้วยความเป็นธรรม ไม่มีอะไรผิดพลาดไปตรงไหนเลย พอที่จะมายกว่าเป็นคนของหลวงตาบัว หลวงตาบัวทำความผิดพลาดต่อชาติบ้านเมืองที่ตรงไหน จึงต้องมาสั่งมาเสียบีบบังคับคนของหลวงตาบัวให้เกิดความบอบช้ำไปตามๆ กันอย่างนี้ฟังไม่ได้เลยนะ ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ ผิด พูดตรงๆ ธรรมเป็นอย่างนั้นนะ ธรรมย่อมตรงไปตรงมา นี่เป็นคนของประชาชน ที่ย้ายเข้ามาก็ด้วยความเป็นธรรมๆ เหตุที่จะย้ายไปที่ไหนต้องมีธรรม ย้ายด้วยความเป็นธรรม อย่ามาย้ายด้วยอำนาจป่าๆ เถื่อนๆ อวดฤทธิ์อวดเดชอวดอำนาจ อย่างนั้นใช้ไม่ได้เลย

ไม่ควรที่จะมาปกครองเมืองไทยเรา ไม่ควร ถ้าเป็นคนของรัฐบาลไม่ควรมาเป็นรัฐบาล มันเลอะเทอะไปหมด เหยียบย่ำทำลายหัวใจประชาชนทั้งประเทศให้บอบช้ำด้วยอึ่งอ่างสองสามตัวเท่านั้น ไม่สมควร นี้เราพูดตามความเป็นธรรม เราไม่ได้พูดนอกเหนือไปจากนี้ ที่ย้ายหมอจักรธรรมออกไปว่าเป็นคนของหลวงตาบัว หมอจักรธรรมไม่ใช่คนของหลวงตาบัว ไม่ออก นี่ถ้าพูดตามหลักธรรมนะ เราเป็นคนของประชาชน เอาออกทำไม ผู้ย้ายเป็นคนของใครจึงต้องมาย้ายอย่างนี้ มันต้องย้อนกันเข้าละ นี่ละเรื่องราวเป็นอย่างนี้

มันป่าเถื่อนเข้าไปทุกวันๆ นะเวลานี้ เราวิตกวิจารณ์กับชาติบ้านเมืองของเราอยู่ เฉพาะอย่างยิ่งวงรัฐบาลรู้สึกจะแหวกแนว แสดงฤทธิ์แสดงอำนาจป่าๆ เถื่อนๆ ออกมา ให้แสลงหูแสลงตา บอบช้ำจิตใจประชาชน จนกระทั่งวงศาสนาก็ถือเป็นข้าศึกแล้วเวลานี้ จากนั้นรัฐบาลกับศาสนาก็เป็นข้าศึกของกัน เวลานี้รัฐบาลเป็นผู้ใหญ่หรือเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองก็เท่ากับเป็นเพชฌฆาตของศาสนาก็ได้ ไม่ผิดกัน เพราะเป็นผู้ใหญ่ จะทำอะไรๆ ก็ได้

เราไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เพราะธรรมไม่อำนวย การปกครองบ้านเมืองต้องปกครองด้วยความเป็นธรรม อำนาจใดที่เป็นธรรมที่จะนำมาบังคับบัญชา เอา ให้ทำตามกฎหมาย กฎหมายเป็นธรรมแล้ว กฎหมายมาจากธรรม ธรรมมาเป็นกฎหมาย แล้วทีนี้ออกจากกฎหมายแล้ว ถ้าคนชั่วไปครองกฎหมายแล้วกฎหมายนี้จะกลายเป็นกฎหมอย กฎหมา กฎหมัดไป เป็นไปได้ทุกอย่าง แล้วแต่ลิ้นมันจะดิ้นไปอย่างไร มันพาดิ้นไปได้หมดอำนาจบาตรหลวง พูดก็ไพเราะเพราะพริ้ง หลอกลวงเขาให้เคลิ้มหลับ ผู้ดีมี ผู้ชั่วมี ผู้ฉลาดมี ผู้โง่มี มันจะหลงไปตามด้วยกันทุกคนเหรอมนุษย์เรา ความผิดถูกชั่วดีเคยฟังกันมาแต่วันเกิดทำไมจะไม่รู้กัน

นี่ละมันน่าคิดมากนะเวลานี้ ว่าเป็นคนหลวงตาบัว หลวงตาบัวนี้กระเทือนศาสนานะ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา จะถือศาสนาเป็นข้าศึก ขึ้นชื่อว่าศาสนาจะไม่ให้มีในเมืองไทยแล้วละ คนของหลวงตาบัวๆ นี่คนของศาสนานั่นเอง พูดง่ายๆ มันจะเข้าตรงนั้นแล้วนะเวลานี้ เราทราบอย่างนี้ละ จะจริงหรือเท็จก็ทราบมาอย่างนี้ เราก็พูดตามความเป็นจริงของอรรถของธรรม เราไม่หาเรื่องหาราวใส่ผู้ใดเลย ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วผิด เป็นอย่างที่ว่านี่ มาบังคับบัญชาสั่งย้ายอย่างนั้นสั่งย้ายอย่างนี้ ด้วยอำนาจป่าเถื่อนของตัวเอง เบ่งเหมือนอึ่งอ่างอย่างนี้ใช้ไม่ได้

วัวคือเรื่องของธรรม วัวใหญ่โตมาก ให้มองดูธรรมบ้าง อย่าไปอวดอึ่งอ่างพองตัวๆ แล้วอึ่งอ่างนั่นละมันท้องระเบิด ท้องแตกคืออึ่งอ่าง มันเบ่งตัวมันออกแข่งกันกับวัวทั้งตัว แล้วจะเบ่งอำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ อึ่งอ่างของตัวเอง ไปแข่งธรรมแข่งกรรม มันแข่งไม่ได้นะ เดี๋ยวท้องเจ้าของจะระเบิดนะ ให้พากันรู้เนื้อรู้ตัวเสีย เราเป็นลูกชาวพุทธอย่าหลงยศหลงลาภ อย่าเป็นบ้ายศบ้าลาภจนเกินไป จนมองเห็นประชาชน เป็นหมาไปหมด เห็นเป็นเทวดาตั้งแต่เรา

เทวดาเขาก็ไม่รับคนประเภทนี้ ในเทวดาชั้นไหนก็ไม่เคยมี คนที่เบ่งๆ ต่อประชาชนทั้งหลายให้ได้รับความบอบช้ำ ตายไปแล้วได้ไปสวรรค์ คนนี้เขาเก่งนะ เขาเบ่งกับประชาชนเขาไปสวรรค์ เทวดาบนสวรรค์เขาจะไม่รับไว้เหมือนกัน แล้วมันจะไปอยู่โลกไหนก็ไม่ทราบ คอยดูคนประเภทนี้มันจะไปอยู่โลกไหนเราคอยดูก็แล้วกัน เรื่องป่าช้าไปด้วยกันทุกคน ตายแล้วไม่เผาก็ฝัง ไม่งั้นแมลงวันตอมหึ่งๆ เหมือนกันหมดไม่มีใครต่างกัน เวลานี้ก็มีแต่พองตัวลืมเนื้อลืมตัวไปด้วยอำนาจป่าๆ เถื่อนๆ เท่านั้นเอง เรื่องธรรมท่านไม่เป็นป่าเป็นเถื่อน ท่านเป็นธรรมล้วนๆ นี่ก็เป็นธรรมสอนโลก ใครอย่าเป็นอย่างนั้นนะ

อำนาจป่าๆ เถื่อนๆ อย่านำมาใช้ในลูก ในหลาน ในผัว ในเมียเหมือนกัน ผัวผิดให้ยอมรับว่าผิด เมียผิดให้ยอมรับว่าผิด ลูกผิดให้ยอมรับว่าผิด พ่อแม่ผิดให้ยอมรับว่าผิด อยู่กันได้กระทั่งวันตาย ครอบครัวผัวเมียคู่นี้ ถ้าปีนเกลียวกันแล้วเย่อหยิ่งจองหอง ตัวผิดไม่ยอมรับผิด ถือสิทธิ์เป็นผัวบ้าง ถือสิทธิ์เป็นเมียบ้าง ถือสิทธิ์เป็นลูกบ้าง แม่ก็ถือสิทธิ์เป็นแม่ ทะเลาะกันหาเหตุหาผลไม่ได้ แหลกครอบครัวนี้นะ ต้องเอาศีลเอาธรรมเป็นเครื่องยอมรับกันอยู่กันได้ นี้โลกเราจะอยู่กันได้ด้วยศีลด้วยธรรม ด้วยความถูกต้องดีงาม ไม่ได้อยู่ได้ด้วยอึ่งอ่างพองตัว อำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ เอามาใช้ในเมืองไทยซึ่งเป็นเมืองของชาวพุทธแล้วยิ่งขัดกันมากมาย ไม่ควรจะนำมาใช้เลย ขัดกันที่สุดเลย เราเตือน

นี่ละธรรมเหนือโลก ใครจะว่าเราเป็นภัยต่อผู้ใดก็ตาม เราไม่เคยเป็นภัยต่อผู้ใด สอนโลกด้วยความเมตตาล้วนๆ ความผิดความพลาดสอนบอกตามความผิดความพลาด จะว่าหยาบหรือละเอียดเรื่องราวมันเป็นอย่างนั้นก็เดินไปตามเรื่องราว เรื่องราวเป็นหลุมเป็นบ่อก็เดินไปตามหลุมตามบ่อ แม้ที่สุดไปเจอเอาส้วมก็เหยียบส้วมไป ไม่มีทางไปทางอื่นก็ต้องไปอย่างนั้นได้ ไอ้เรื่องการพูดการจาไพเราะเพราะพริ้งสำนวนอ่อนหวาน หรือกระแทกแดกดันดุด่าว่ากล่าวเป็นทางเดินของธรรม ธรรมท่านควรจะก้าวเดินยังไงท่านเดินของท่านอย่างนั้น จะหลีกไปไม่ได้ไม่ใช่ธรรม ทางเดินอยู่ตรงนี้ก็ต้องไปนี้เรียกว่าธรรม

การแนะนำสั่งสอนโลกมีทั้งหยาบทั้งละเอียด เพราะโลกพูดง่ายๆ มันเต็มไปด้วยความหยาบ หาความละเอียดไม่ค่อยมี ธรรมก็ต้องเหยียบไปหาที่ความหยาบ เขาก็หาว่าธรรมหยาบเสีย ตัวมูตรตัวคูถนั้นเขาหาว่าเป็นเทวบุตรเทวดา หรือเป็นแก้วเป็นแหวนมาจากไหนก็ไม่ทราบ กับคนจิตใจที่มีความลามกจกเปรตขนาดนี้แล้วจะไม่ยอมรับความดี จะรับตั้งแต่ความชั่วเอามาเผาตัวเองและเผาคนอื่นเท่านั้น

วันนี้ก็ได้พูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องเข้าพรรษาออกพรรษาตลอดถึงการบ้านการเมือง ในนามของธรรมว่าเป็นธรรมสอนโลก เราก็สอนไปตามหลักความจริงอย่างนี้ ขอให้พินิจพิจารณา การที่พูดอย่างที่ว่านี้จะโยกย้ายกันด้วยความไม่เป็นธรรมผิดทั้งนั้น ไม่ควรอย่างยิ่ง ใครเอาอำนาจอันป่าเถื่อนมาใช้ใช้ไม่ได้ คนๆ นี้ไม่สมควรจะอยู่ในตำแหน่ง เอาอำนาจป่าเถื่อนมาบีบบังคับผู้น้อย มาบีบบังคับประชาชนหรือหน่วยราชการต่างๆ มาบีบบังคับด้วยอำนาจป่าเถื่อนใช้ไม่ได้เลย คนๆ นี้ถ้าควรขับให้ขับออกหนี ควรเตือนให้เตือน ว่าไม่ถูกก็ให้บอกว่าไม่ถูก หนักกว่านั้น หนักเข้าไปๆ ควรเขี่ยๆ เลย คนประเภทนี้หนักประเทศ ทำลายประเทศชาติทำลายจิตใจของคนทั้งประเทศให้บอบช้ำไปตามๆ กันใช้ไม่ได้ เรื่องธรรมเป็นอย่างนั้น พูดอย่างตรงไปตรงมา เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ละแล้วมีอะไรที่จะพูดอีกบ้างล่ะ หรือไม่มีนะ เท่านั้นเสียก่อนละมันเหนื่อยเราก็เหนื่อย

เอ้อ ทีนี้ยังมีเงื่อนต่ออีกนะ เงื่อนต่อเล็กน้อย ในวัดหลวงตาบัวนี้น่ะ สำหรับพระเณรเท่าที่เราผ่านมาในการปกครองใกล้ชิด คือปกครองพระเณรใกล้ชิดติดพันกันมาตลอด เราไม่เคยเห็นพระองค์ไหนที่ปากเปราะปากแปะปากบอน เที่ยวยุแหย่ก่อกวนคนนั้นคนนี้ องค์นั้นองค์นี้ให้ได้รับความบอบช้ำ ไม่มี แต่ในครัวเราไม่ไว้ใจ มีไหมในครัว พวกปากบอนพวกยุแหย่ก่อกวน พวกอยู่ไม่เป็นสุข พวกหมาขี้เรื้อนอยู่ในครัวมีไหม เราอยากถามหา ถ้ามีไล่หนีให้หมดไม่ให้อยู่นะ ในครัวมันมามันไม่ได้ภาวนา มันจะหาเรื่องหาราวคนอื่น หายกโทษคนอื่น คนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี แล้วก็ปากบอนนั่นละไปเที่ยวยุแหย่ก่อกวนคนนั้นคนนี้ ให้คนอยู่ดีๆ ให้แตกร้าวกัน มีไหมในครัวของวัดป่าบ้านตาด

มันไม่ได้มาปฏิบัติธรรม หาตั้งแต่ยุแหย่ก่อกวน หาแต่เรื่องแต่ราว ดีไม่ดีเขียนจดหมายไปกวนคนอื่น ไปยุแหย่ก่อกวนคนอื่นให้เขาแตกร้าวมีไหมอยู่นี่ ถ้าเราจับได้ยังไงก็บอกตรงๆ นะ ถ้าเราจับได้แล้วไม่มีอุทธรณ์เท่านั้นเอง ชี้ขาดทันทีเลย มันมีไหม ถ้าหากว่าจะมีอยู่บ้างไม่ถึงอันตรายให้รีบแก้ตัวเองนะ ถ้ามีมากควรหนีไปให้รีบหนี อย่าให้ได้ไล่ ถ้าผู้ไม่เป็นก็ให้ปฏิบัติตัวให้ดีก็แล้วกัน วันนี้มันมีเหตุผลกลไกที่จะมาเกี่ยวข้อง เราพูดถึงวัด วัดเราปกครองทั้งสองด้าน ทั้งฝ่ายครัวฝ่ายผู้หญิง ทั้งฝ่ายพระด้วย แล้วพระเป็นอย่างนั้นๆ แล้วฝ่ายฆราวาสฝ่ายผู้หญิงเป็นยังไงเราก็ต้องถามมา เพราะเราเป็นผู้ปกครองนี่น่ะ ที่ถามมาย่อๆ นี่ พากันพิจารณานะ มันหายุแหย่ก่อกวนเรื่องนั้นเรื่องนี้ คนหนึ่งหาแต่เรื่อง ไม่ได้หาธรรมนะ หาแต่เรื่องนี่มีไหม มีเท่านั้นล่ะ เอาแค่นี้ก่อน

ผู้กำกับ หลวงตาเมตตาให้อ่านนะครับ

ที่ รล ๐๐๐๓.๗/๒๕๓๔       สำนักราชเลขาธิการ พระบรมมหาราชวัง กทม. ๑๐๒๐๐

วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๘

เรื่อง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานผ้าไตร

เรียน นายแพทย์ปราโมทย์ โสภาคย์

อ้างถึงหนังสือลงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘

ตามหนังสือที่อ้างถึง ขอให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณา ขอพระราชทานผ้าพระกฐิน เพื่อเชิญไปทอดถวาย ณ วัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี ในวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๔๘ ความแจ้งอยู่แล้วนั้น ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานผ้าไตร ๑ ไตร จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และกรุณาติดต่อในรายละเอียดเรื่องนี้ กับกองพระราชพิธีสำนักพระราชวังโดยตรงต่อไป

ขอแสดงความนับถือ

ลงชื่อ ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ

รองราชเลขาธิการ ปฏิบัติราชการแทนราชเลขาธิการ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก