ยมบาลก็คือกรรมของเราเอง
วันที่ 9 ตุลาคม 2548 เวลา 8:40 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ยมบาลก็คือกรรมของเราเอง

ก่อนจังหัน

พี่น้องชาวไทยเราให้ตื่นเนื้อตื่นตัวนะ ธรรมพระพุทธเจ้ามาประกาศลั่นโลกปลุกพี่น้องทั้งหลาย ให้ตื่นเนื้อตื่นตัวนะ ถูกกิเลสมันกล่อมมาเสียมากต่อมากจนจะไม่มีมนุษย์เหลืออยู่ในเมืองมนุษย์เลย จะไปกองกันอยู่ในนรกหมด เราวิตกวิจารณ์สงสารมากจริงๆ เพราะฉะนั้นธรรมะจึงลั่นขึ้นๆ เด็ดเผ็ดร้อนไม่ใช่อะไร ลากขึ้นๆ นะ อย่ามาคิดว่าขึงขังตึงตังแล้วเป็นภัยต่อพี่น้องทั้งหลายนะ ลากคนขึ้นจากนรก เข้าใจไหมล่ะ ฉุดลากอย่างหนักอย่างเบาอะไรก็แล้วแต่ ปึ๋งปั๋งๆ นั่นน่ะมันจะไหลลงนรกกันเสียทั้งหมดเลย ฉุดลากด้วยความเมตตาสงสาร นี่ละกำลังแห่งธรรม กำลังแห่งความเมตตา ฉุดลากขึ้นๆ ยังจะหลับครอกๆ กันอยู่นี่ดูไม่ได้นะ

พระพุทธเจ้ากระเทือนโลกสามแดนโลกธาตุแล้วยังหมื่นโลกธาตุอีก สอนโลก ท่านเหล่านั้นไปได้ๆ พวกเรามันพวกไหน เอามาพิจารณาตนเองซิ ไปไม่ได้หรือ มันเป็นเพราะอะไร มีแต่กิเลสลากลงๆ โอ๊ย เราสลดสังเวชพูดจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างจนกระทั่งถึงวงรัฐบาลเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองที่สุด ยิ่งเกิดความสลดสังเวช เป็นบ่อแห่งมูตรแห่งคูถแห่งฟืนแห่งไฟ ไปอยู่ในจุดศูนย์กลางแห่งประเทศไทย เราดูไม่ได้นะ ธรรมเป็นธรรมสอนโลก พิจารณาอะไรผิดที่ไหน ถูกต้องๆๆ แล้วมองไปที่ไหนเห็นแต่ความผิดพลาด ลากกันลงมูตรลงคูถลงส้วมลงถานนี่ละ เข้าฟืนเข้าไฟ เลยสุดท้ายเอาใครมาปกครอง ก็เหมือนเอานกกระสามาปกครองพวกกบพวกเขียด จิกกลืนไปๆ

ใครก็ปีนขึ้นตั้งแต่เก้าอี้นั่นละ เขาว่ามือกาวๆ ในการ์ตูนเขาว่ามือกาว พวกนี้ลงได้เกาะเก้าอี้แล้วไม่ยอมปล่อย อู๊ย สลดสังเวชจริงๆ ดูแล้วมันดูไม่ได้กับสายตาของธรรม มนุษย์แท้ๆ เรียนมาสูงเท่าไร สูงมีแต่สูงเรื่องของกิเลสตัณหาจะกินบ้านกินเมือง นี่ละที่ได้ทุเรศมากนะ เจ้าของยังหยิ่งนะนั่น ว่ามีความรู้ชั้นนั้นชั้นนี้ ความรู้เหล่านี้เป็นมหาภัย เป็นอันตรายแก่ตนเองด้วยความสำคัญผิดตนเองนี้อันหนึ่ง แล้วก็เป็นอันตรายต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นี้หนึ่ง จุดศูนย์กลางไม่แน่นหนามั่นคงจะเอาอะไรมามั่นคง จุดศูนย์กลางก็คือหน่วยราชการต่างๆ จนกระทั่งถึงวงรัฐบาล นี่จุดศูนย์กลางที่รักษาบำรุงประชาชนทั้งหลาย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คือท่านเหล่านี้แหละจะเป็นผู้อุ้มชู ไม่ใช่จะมาเป็นผู้เหยียบย่ำทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้จมลงไปนะ

เวลานี้มักเป็นอย่างนั้นเสียมาก กิริยาอะไรแสดงออกมาแยบคายมาก แยบคายท่านั้นแยบคายท่านี้ มีแต่ความแยบคายของกิเลสตัณหาความสกปรกนั่นละ ว่าตัวแยบคายแล้วภูมิใจ ธรรมดูมันดูไม่ได้นะ อย่าเข้าใจว่าความรู้เหล่านี้เหนือธรรมนะ เรียนมาจากไหนก็มาเถอะ คือคนมีกิเลสแหละสอนกัน ได้มาก็มีแต่คลังกิเลสมา ครั้นมาแล้วก็เอากิเลสมาแจกกัน มีแต่ไฟเต็มบ้านเต็มเมือง ธรรมพระพุทธเจ้าให้ความเดือดร้อนแก่โลกที่ไหน เอา พิจารณาซิ พระพุทธเจ้าให้ความเดือดร้อนแก่โลกที่ไหน พระสงฆ์สาวกให้ความเดือดร้อนแก่โลกที่ไหนรายใด เอ้า ว่ามาเป็นรายๆ ไม่เคยปรากฏเลย แต่เรื่องวิชาของกิเลสนี้แหลกๆ ได้มามากเท่าไรๆ ยิ่งเตรียมฟืนเตรียมไฟมาเผาไหม้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของตัวเองให้ฉิบหายไปนะ เราสลดสังเวชจริงๆ

อยากให้วงราชการตื่นเนื้อตื่นตัว ความรู้มากเท่าไรมีแต่ความรู้ที่เป็นภัยต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แล้วก็เข้าใจว่าเป็นคุณแก่ตนเอง พุงป่องแหละ ท้องป่องๆ ท้องป่องมันป่องด้วยฟืนด้วยไฟ เอาสมบัติเงินทองข้าวของที่เป็นของรักสงวนของประชาชนคนทั้งโลกมากลืนเป็นสมบัติของตัวเอง มันเป็นไปได้ยังไง ของเขาเป็นของเขา ของเราเป็นของเรา ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วบาปบุญก็ไม่มี ใครทำได้ยังไงก็ทำเอาๆ เพราะบาปไม่มี บุญไม่มี นี้บาปมีบุญมี อย่าเหนือธรรม อย่าเหยียบย่ำทำลายธรรม อย่าเหยียบย่ำทำลายกรรมดีกรรมชั่วนะ ก็เท่ากับมาเหยียบย่ำทำลายตนเองนั่นละ

เราพูดจริงๆ เราอาจหาญ เลยอาจหาญไปแล้ว ในการสั่งสอนโลกนี่เราไม่เคยว่ากล้าว่ากลัวกับผู้ใด เหนือไปทุกอย่างแล้วด้วยธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจึงสอนได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ที่สอนอยู่เวลานี้ก็คือความเมตตาสงสาร ไม่ได้สอนเพื่อการทำลายพี่น้องทั้งหลายให้มีความบอบช้ำดำเขียวอะไรเลย สอนเพื่อพยุงขึ้น ผู้เป็นหัวหน้าให้ตื่นเนื้อตื่นตัวตน อย่ามัวแต่กอบแต่โกย อย่ามัวแต่รีดแต่ไถ อย่ามัวแต่เป็นบ้ายศบ้าลาภบ้าอำนาจ เดี๋ยวนี้คนไทยทั่วประเทศนี้เขารังเกียจกันเสียมากต่อมาก เข้ามาหูหลวงตาบัวนี้ละ หลวงตาบัวก็พูดตามหลักความจริง เพื่อเป็นคำเตือนบรรดาผู้ที่ผิดก็ขอให้รู้ตัวบ้างเถอะ ตายแล้วจะเอาอะไรไปแก้ มันลบไปหมดแล้วนะ บาปไม่มี บุญไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี มีแต่ไอ้หลังลายเต็มบัญชีมัน คลังมันมีแต่ไอ้หลังลาย

ไอ้หลังลายนี่ละมันจะเป็นตัวฟืนตัวไฟเผาหัวมันน่ะ เพราะไม่ใช่ของเจ้าของ คดนั้นโกงนี้ รีดนั้นไถนี้ ด้วยวิธีการที่แยบคายมากๆ ที่เรียนมาจากประเทศนั้นประเทศนี้ มีแต่คลังกิเลสผู้สอนก็ดี ผู้รับมาก็เป็นคลังกิเลส ก็เอาคลังกิเลสออกกระจายทั่วประเทศเขตแดน เป็นฟืนเป็นไฟไปหมดนะ ธรรมกระจายออกไปที่ไหนเย็นหมด เอามาแข่งกันซิ พิจารณาซิ อย่าให้ตั้งแต่กิเลสมันเหยียบหัวโดยไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเลย ว่าตัวใหญ่ๆ มันไม่ได้ใหญ่หนา ตายแล้วแมลงวันตอมหึ่งๆ เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าไม่เผาก็เน่าไปเลย ถ้าเผาก็เผา ถ้าฝังก็ฝัง เหมือนมนุษย์มนาทั่วไป อย่าทะนงตนในเวลามีชีวิตอยู่ ที่มีผู้ยกยอให้เป็นเจ้าอำนาจ เป็นผู้ปกครองบ้านเมือง แล้วเดี๋ยวนี้มันเป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวงป่าๆ เถื่อนๆ เผาบ้านเผาเมือง เผาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์แล้วนะ ให้พากันรู้ตัวผู้ใหญ่ผู้ปกครองทั้งหลาย นี้เอาธรรมเข้าเตือน

เราไม่ได้เป็นข้าศึกต่อผู้ใด ธรรมก็ไม่เป็นข้าศึกต่อผู้ใด เราพยายามอุ้มเต็มความสามารถ พอตื่นนอนขึ้นมานี้อุ้มแล้วๆ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราไม่มีแม้เม็ดหินเม็ดทรายที่จะไปแตะต้องทั้งสามพระองค์เราไม่มี มีแต่พยุงทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงขอให้เห็นใจหลวงตาหน่อย หลวงตาก็จวนจะตายแล้ว เป็นห่วงเป็นใย ผู้ที่กอบที่โกย ผู้ที่กินที่กลืนไม่มีวันพอ ภูมิใจๆ  กลืนเอาสมบัติของเขาไป ไปเป็นไฟเผาหัวอกตัวเองมันไม่ได้คิดนะ อันนี้ที่น่าสลดสังเวชมาก

ไม่มีใครหันหน้าเข้าสู่ธรรม หันตั้งแต่ลงนรกอเวจี ถ้าพูดถึงเรื่องการลงทะเบียนบัญชีของยมบาล มันจะตายละยมบาลไม่มีเวลาว่าง ผู้ที่ไหลลงไปให้จดบัญชีๆ แต่ผู้ที่จะขึ้นไปสวรรค์นั้นเรียกว่าว่างมือละ ราชการไม่มีงานทำ งานที่จะจดจารึกคนขึ้นไปสวรรค์นิพพานมีน้อยมาก แต่ผู้ที่จะบืนลงนรกนั้นไม่มีว่างเลย ได้กินหรือไม่ได้กินก็ไม่ทราบนะยมบาล น่าคิดอยู่นะ เพราะงานหนามาก คนนั้นแย่งเข้าไป คนนี้แย่งเข้าไป จับมือเขาเซ็น จะลงนรกหลุมไหนๆ จับมือเขาเซ็นให้ ยมบาลเลยจะตาย ท่านทั้งหลายรู้ไหม ยมบาลกำลังจะตายเพราะเรา เราหนักกว่ายมบาลนะ

ยมบาลเป็นผู้ลงบัญชี ยมบาลก็คือกรรมของเราเอง เราอย่าว่าเป็นยมบาลคนนั้นคนนี้นะ กรรมของเราเองแสดงฤทธิ์ขึ้นมาเป็นยมบาลบังคับตัวเอง พากันจำให้ดี โห เราสลดสังเวชจริงๆ ไม่ใช่ธรรมดา สอนโลกเปรี้ยงๆ ปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตาย ธรรมประเภทนี้เราก็ไม่เคยคิดเคยคาดว่าจะรู้จะเห็นจะเป็นขึ้นมา ก็เป็นขึ้นมาแล้วด้วยอำนาจแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าที่ได้ปฏิบัติตามท่านนั้นเอง จึงได้นำมาพูดนี้ โกหกท่านทั้งหลายที่ตรงไหน ไม่โกหก เราสอนเรามาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งป่านนี้ ได้แต่ธรรมที่เป็นที่พอใจๆ ไม่มีธรรมโกหกเข้ามาแฝงหัวใจเลย พอที่จะนำธรรมโกหกนี้ไปโกหกโลกสอนโลกให้ล่มจมไปตามๆ กัน ไม่มี

เราปฏิบัติมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งป่านนี้ ด้วยความถูกต้องดีงามตามธรรมตามวินัยที่องค์ศาสดาสอน ก็ได้พยุงตัวมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงขั้นนี้ พยุงหรือไม่พยุง เราพอแล้วทุกอย่างจากการปฏิบัติธรรม โดยตามเสด็จพระพุทธเจ้าด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรมวินัยให้ถูกต้องมาจนกระทั่งถึงขั้นพอแล้ว เราสอนท่านทั้งหลายเวลานี้เราสอนด้วยความพอแล้วนะ เราไม่ได้หวังเอาอะไรทั้งนั้นจากบรรดาพี่น้อง สามโลกธาตุเราไม่เอาอะไรเลย พอทุกอย่างๆ นิพพานแปลว่าเมืองพอ พอนิพพานพออย่างเลิศอย่างเลอ ไม่เหมือนอย่างพวกโลกทั้งหลายพอกัน พอระยะนี้พอบ่ายมาหิวแล้ว ทีนี้กินข้าว เอ้าพอแล้วๆ พอบ่ายมาหิวแล้ว

คำว่านิพพานไม่มี พออย่างบรมสุขไม่มีอะไรเกินนิพพาน นี่ได้ปฏิบัติมาแล้วไม่ใช่เล่นๆ เต็มอยู่ในหัวใจนี้ สอนท่านทั้งหลายสอนออกมาด้วยความสว่างกระจ่างแจ้ง สอนออกมาจากบรมสุข สอนออกมาจากธรรมที่เลิศเลอ ไม่ได้หยิบมาหลอกคนนั้นคนนี้นะ เราไม่หลอก มีแต่ความเมตตาสงสารที่แสดงอยู่เวลานี้ ขอให้ท่านทั้งหลายไปคิดนะ มันจะจมกันทั้งประเทศของเราที่ว่าประเทศแห่งชาวพุทธ จะจมกันหมด มันวิ่งตามกิเลสตัณหา ความโลภเหลือประมาณ ความโกรธเหลือประมาณ อำนาจบาตรหลวงเหลือประมาณ มีแต่เหลือประมาณๆ ขึ้นชื่อว่าจะเป็นฟืนเป็นไฟเผาตนแล้วเหลือประมาณทั้งนั้น ให้หาธรรมเข้ามาสั่งสมตนเองพอประมาณนะ อันนั้นมันเหลือประมาณอยู่แล้วกิเลส ตัดออกๆ ให้ธรรมพอประมาณเข้าสู่ใจ ท่านทั้งหลายจะเย็น เย็นทีเดียวถ้าลงธรรมเข้าสู่ใจมากน้อย

เปิดเรื่อยๆ เราจวนจะตายแล้ว ใครจะว่าเราโอ้อวดก็ตาม อำนาจแห่งความเมตตาสงสารมันเหนือทุกอย่างเกินกว่าที่จะมาว่าโอ้ว่าอวด เราไม่มีอันนี้ในหัวใจ มีแต่ความเมตตาสงสาร ผู้จะลงมันลงอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้า โลกวิทู รู้หมด พวกเรามันพวกตาบอดบืนลงๆ ผู้ฉุดลากขึ้นก็ฉุดลากขึ้น นี่ซิมันสำคัญตรงนี้ละ คนหนึ่งตาดี คนหนึ่งตาบอด คนหนึ่งเป็นบรมสุข คนหนึ่งเป็นมหันตทุกข์ ลากพวกมหันตทุกข์ขึ้นด้วยอำนาจแห่งบรมสุข บรมเมตตาสุดซึ้งนั่นแหละ ให้พากันจดจำนะบรรดาพี่น้องทั้งหลาย

มันจะไม่มีศาสนาติดตัว ถ้าไม่มีศาสนาติดตัวพวกเราเลวกว่าหมานะ หมาเขาไม่มีอะไรเขาไม่ไปสร้างบาปสร้างกรรมอะไรมาก แต่มนุษย์นี้ไม่สนใจกับธรรม แต่ไปสร้างบาปสร้างกรรมมาก จึงว่าเลวกว่าหมา ให้จำให้ดี หรือใครอยากเป็นหมา ถ้าอยากเป็นหมาก็ให้ไปดูไอ้ปุ๊กกี้ แต่ไอ้ปุ๊กกี้มันดีนะ มันอยู่กับพระเจ้าพระสงฆ์ พระเจ้าพระสงฆ์รักมันทั้งวัด ไอ้หมีไอ้จ้ำหลอดอะไรบ้าง จำโคตรพ่อโคตรแม่มันไม่ได้หมาเหล่านี้ก็ดี มันมีอยู่ ๔ ตัวอยู่นี้ มันเรียบของมันนะ พระทั้งวัดรัก ใครมาก็รักมัน ไอ้เรานี้เป็นยังไงใครรักบ้าง เห็นแต่น่าเกลียดน่าโกรธ น่าโมโหโทโส เพราะไว้ใจกันไม่ได้ มันเร็วยิ่งกว่าลิง การคดการโกงการรีดการไถเก่งมากมนุษย์เรา นี่มนุษย์ที่เลวที่สุดเก่งไปทางที่ชั่วช้าที่สุดแล้วจมนะ เอาละเท่านี้พอ

หลังจังหัน

อำนาจของธรรมถ้าลงได้เข้าสู่ใจก็เหมือนอำนาจของกิเลส อำนาจของกิเลสที่ดันออกมาจากใจนี้มันรุนแรงเต็มเหนี่ยวๆ เหมือนกัน อันนี้รุนแรงและเป็นภัยๆ ต่อโลกทั่วๆ ไป แต่พลังของธรรมคุณของธรรมออกไม่เป็น ผิดกันนะ รุนแรงเหมือนกันแต่รุนแรงไปทางด้านดี อันหนึ่งรุนแรงไปทางฉิบหาย อันหนึ่งรุนแรงไปทางดี พลังของธรรมออกจากใจ พลังของกิเลสก็ออกจากใจ มันอยู่ในใจ ใจดวงนี้เป็นภาชนะรับไว้ทั้งธรรมทั้งกิเลส กิเลสมันไสจิตและบังคับบัญชาอยากให้ทำสิ่งที่ตนต้องการ คำว่าต้องการคือกิเลสมันต้องการไว้แล้ว มันบังคับจิตให้ทำตามความต้องการของมัน จิตก็เลยชอบต้องการไปตามกิเลสบ่งบอก เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงชอบทำตั้งแต่ความชั่ว เพราะกิเลสนี้จะดึงลงตลอด และมีรสมีชาติดีเยี่ยมด้วยนะ ถ้าไม่มีธรรมก็ว่ายอด รสชาติของกิเลสนี้ยอด ถ้ามีธรรมเข้าเทียบปั๊บกิเลสก็หมอบ ท่านจึงว่ารสแห่งธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง รสของธรรมเทียบเข้าปั๊บกิเลสหมอบ ถ้าไม่มีธรรมเข้าเทียบกันแล้ว กิเลสลากตลอดๆ นะ

นี่มันเห็นชัดเจนในภาคปฏิบัติจิตตภาวนา ที่ได้นำมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ไม่ได้ไปคว้าโน้นคว้านี้มาพูดนะ ถอดออกจากนี้ที่เป็นผลสมบูรณ์แล้ว ถอดออกมาสอน เพราะฉะนั้นถ้าว่าเผ็ดร้อนมันจึงเผ็ดร้อนมาก พลังของจิตพลังของธรรมเวลาออก เหมือนกิเลส พลังของกิเลสออกนี้เอากันพินาศเลย เอาให้พินาศเป็นเถ้าเป็นถ่านได้พลังของกิเลส พลังของธรรม กิเลสพินาศได้ ตัวแสบๆ ที่มันทำลายโลกพินาศได้ พลังของธรรม จะเห็นได้บนเวทีสนามรบ ผู้มุ่งต่ออรรถต่อธรรม มุ่งต่อมรรคผลนิพพานจริงๆ ท่านจะใช้สติปัญญา กำลังวังชาเต็มเม็ดเต็มหน่วยตลอดเวลา จิตใจจ่ออยู่กับธรรมที่จะฟัดกับกิเลสๆ ตลอดเวลา สุดท้ายธรรมก็มีกำลังมากขึ้นๆ กิเลสที่มันเรืองอำนาจอยู่ตั้งแต่ก่อนอ่อนลงๆ ธรรมเหนือขึ้นๆ เหยียบแหลกๆ

มาเทียบกันกับที่ว่าเราไปอยู่บนภูเขา ตั้งใจไปฟัดกับกิเลสให้เต็มเหนี่ยว ไปล้มทั้งหงายๆ จนน้ำตาร่วงบนภูเขา เรามาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังกี่ครั้ง เป็นกับเราเองนะ จนน้ำตาร่วงจริงๆ ขึ้นเป็นอุทานนะ ขึ้นเป็นอุทานไม่ได้เป็นคำพูดคำจา โถ มันออกกูออกมึงนะ โถ มึงทำกูขนาดนี้เทียวเหรอ คือเราตั้งหน้าตั้งตาจะฟัดกับมันอย่างเต็มเหนี่ยว แล้วไป สติตั้งพับล้มผล็อยๆ ตั้งเพื่อล้มไม่ได้ตั้งเพื่ออยู่ เห็นอย่างชัดเจน ตั้งขนาดไหนตั้งพับล้มพับๆ เลย นี้เวลากิเลสมีอำนาจมากเห็นประจักษ์กับหัวใจของเรา ตั้งหน้าตั้งตาขึ้นไปจะไปฟัดกับมัน ที่ไหนได้มันเอาเราหงายๆ หงายไม่เป็นท่าเขาเรียกหงายหมา ถ้าหงายเป็นท่าเขาเรียกหงายแมว หงายแมวนี่มันตบได้นะแมว แต่หงายหมามีแต่ร้องแหง็กๆ

         นี่เวลาเราเป็น นี่ก็เอามาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง คือกิเลสอยู่ในใจ เวลามันมีอำนาจเรืองอำนาจนี้ สติคือธรรมนี้โผล่ไม่ได้เลย ล้มผล็อยๆ สุดท้ายน้ำตาร่วงลง โถ ขึ้นอุทานนะ ออกกูมึงเชียวนะ โถ มึงทำกูขนาดนี้เชียวเหรอ เอาละ นั่นมันตอบรับกันนะ อย่างไรมึงต้องพังวันหนึ่งแน่นอน ให้กูถอยกูไม่ถอย นี่คือเคียดแค้นให้กิเลส  ความเคียดแค้นให้กิเลสนี้เป็นมรรค เป็นธรรม ความเคียดแค้นให้สัตว์บุคคลผู้ใดก็ตาม เป็นกิเลส ความเคียดแค้นให้กิเลสซึ่งเป็นตัวภัยแก่ตนนี้เป็นธรรม

         อันนี้ละทำให้มุมานะขึ้นต่อสู้กับกิเลสก็เพราะความเคียดแค้นอันนี้ แต่ก็ไม่มีใครละ โรงงานใหญ่ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่นนั่นเอง ไปหาท่านปั๊บ กราบเรียนท่านอย่างนั้นๆ ท่านก็เพิ่มกำลังๆ สอนแล้วกลับไปอีก หงายมาอีก เราไม่ลืมนะ เอาอีก มันไม่ถอย หงายมาอีก พอหลายครั้งหลายหนเพราะความไม่ถอย ความมุมานะ กิเลสก็เอียงให้เห็นละซี แต่ก่อนมีแต่เราหงายเลยๆ ไม่ได้เอียงนะ หงายเลย เพราะนี้เราต่อยกับกิเลส ต่อยไปต่อยมากิเลสเอียงให้เห็น เอียงให้เห็นก็หมัดซ้ำเข้าไป ได้แง่ละที่นี่ กำลังได้แล้ว จับพับอุบายวิธีการ

         เบื้องต้นเป็นอย่างนี้ เอาเสียจนจะเป็นจะตาย กิเลสมันถึงค่อยอ่อนลงๆ ทีนี้พอกิเลสอ่อนลงธรรมะหนักขั้นละที่นี่ พอถึงขั้นธรรมะหนักนี้ จนกระทั่งไม่หลับไม่นอนทั้งวันทั้งคืน จนจะตายเจ้าของ กลางคืนเวลาเรานอนให้หลับ กิเลสกับธรรมมันฟัดอยู่บนหัวใจ ต่อยกันอยู่ตลอดเวลา นี่อัตโนมัติของธรรมที่ฆ่ากิเลส ตามธรรมดากิเลสมันเป็นอัตโนมัติ ทำลายสัตว์อยู่บนหัวใจโดยอัตโนมัติของมัน ไม่มีใครบังคับ กิเลสทำงานเองตลอดตั้งแต่ตื่นนอนกระทั่งหลับ

         นี่คือกิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์ ขนผลประโยชน์มาให้มัน แต่ความทุกข์ขนให้สัตว์ เหยียบย่ำทำลายสัตว์ให้ได้รับความทุกข์มากโดยอัตโนมัติ พอตื่นนอนขึ้นมาปั๊บมันขึ้นแล้ว กิเลสขึ้นทำงานแล้ว ตาเห็นปั๊บกิเลสทำงาน หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์กับอะไรกิเลสทำงานเอาผลประโยชน์ของมันทั้งนั้น เรามีตั้งแต่ขาดทุนๆ เวลากิเลสมีอำนาจมากเป็นอย่างนี้ มันเทียบกันได้ เวลาขึ้นเวทีถึงรู้ชัด ทีนี้พอเราเร่งทางนี้หนักเข้า มุมานะ ความเคียดแค้นให้กิเลสจึงได้ฝังใจนะ โห ความเคียดแค้นไม่เหมือนกัน นี่เอามาเทียบกัน

         แต่ก่อนเราก็ไม่เคยคิด พอว่าเคียดแค้นเท่านั้นก็เป็นกิเลสไปหมดๆ แต่เวลามาเป็นกับเรา เคียดแค้นให้กิเลสมันมุมานะ ทุกอย่างถอยไม่ได้ อย่างไรจะเอากิเลสที่เป็นภัยต่อเราอยู่ในหัวใจนี้ให้พังๆ ความเพียรมันก็กล้าขึ้นๆ ทุกอย่าง เพราะความเคียดแค้นอันนี้ จึงได้ยอมรับว่า อ๋อ ความเคียดแค้นให้กิเลสนี้เป็นมรรค นั่น จากนั้นก็ฟัดเข้าๆ จนกระทั่งถึงขั้นไม่นอน นี่ละกำลังของธรรมมีมากแล้วนะ พอกำลังของธรรมมีมากแล้ว ธรรมแก้กิเลสเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน แต่ก่อนกิเลสผูกมัดสัตว์ทั้งหลายเป็นอัตโนมัติของมัน ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวของเราเป็นเครื่องมือของกิเลสทั้งนั้น มันเอาไปทำงานมาสังหารเราทำลายเราทั้งนั้นทีเดียว

         ทีนี้พอเวลาธรรมมีกำลังแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวของเรานี้กลายเป็นเครื่องมือของนักรบ ฟัดกับกิเลสแล้วนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย พบเห็นอะไรสัมผัสสัมพันธ์อะไรมันจะเข้าเป็นธรรมะๆ แก้กิเลสๆ ผลที่สุดอยู่โดยลำพังตัวเอง มันก็หมุนของมัน เป็นธรรมะแก้กิเลสตลอดไป จนกระทั่งไม่หลับไม่นอน มันเป็นในตัวของเรา เราพูดไม่ได้อย่างไร  หลับนอน นอนจริงๆ เรื่องนอนนอน แต่เรื่องจิตกับธรรมกับกิเลสมันฟัดกันอยู่ในหัวใจเรานี้ มันไม่ได้หยุดนะ หมุนติ้วๆๆ เราจะหลับจะนอนมันไม่นอน เอาเหนื่อยลุกขึ้นมา ขึ้นมาก็นั่งฟัดกับกิเลส ลงไปเดินจงกรมก็ฟัดกับกิเลสตลอด สุดท้ายแจ้งเป็นวันใหม่ขึ้นมา โถ วันนี้ไม่ได้หลับแล้ว

         มันไม่มีเวลาหยุดนะ เวลาธรรมะมีอำนาจแล้วฆ่ากิเลสไม่มีเวลาหยุดเหมือนกัน เหมือนกิเลสที่มันทำงานโดยอัตโนมัติบนหัวใจสัตว์ไม่มีวันหยุด หยุดแต่เวลาหลับเท่านั้น นั่นละพักเครื่องของกิเลส พอตื่นนอนขึ้นมานี้กิเลสทำงานเป็นอัตโนมัติของมัน ทีนี้ธรรมะเวลามีกำลังแล้ว แต่ก่อนเราไม่ได้เอามาเทียบนะ มันเป็นขึ้นนี้ถึงได้เทียบได้ ไม่เรียนจากใครเป็นกับเจ้าของเอง พอถึงขั้นธรรมะมีกำลังแล้วอยู่ที่ไหนหมุนอยู่นี้ตลอด กิเลสกับธรรมอยู่ด้วยกัน หมุนติ้วๆ ฟัดกันอยู่นั้น

         แม้ที่สุดฉันจังหันนี่มันไม่ได้อยู่กับอาหารการบริโภคนะ เคี้ยวก็เคี้ยวไปอย่างนั้นละ แต่อันหนึ่งมันทำงานด้วยกัน มันฟัดกันกิเลสกับธรรม นี่ละอัตโนมัติ เว้นแต่เวลาหลับ หลับนี่มันหลับไม่ได้จริงๆ เพราะมันเพลินในการฆ่ากิเลส ความเพลิดความเพลินเพราะเห็นโทษแห่งความทุกข์ทั้งหลายที่กิเลสสร้างขึ้นมาๆ เต็มหัวใจ ทีนี้ก็เห็นคุณค่าของธรรมที่ตนได้สร้างขึ้นมาบำเพ็ญขึ้นมาเต็มหัวใจเช่นเดียวกัน เมื่อต่างอันต่างเต็มหัวใจแล้วจะรอได้อย่างไรคนเรา นี่ละที่นี่มันก็หมุนของมันติ้วๆ อยู่ที่ไหนหมุนตลอด

         มันไม่ได้หลับมันจะตาย มันอ่อนหมดนี่ในทรวงอก มันเหนื่อยอยู่นี้ คือปัญญา ปัญญาก็เป็นสังขาร กิเลสที่มันคิดไปเป็นสมุทัยก็เป็นสังขาร มันเป็นสังขารของกิเลสทำลายเรา นี่เป็นสังขารธรรม สังขารเป็นธรรมแก้กิเลส ครั้นเวลาธรรมหนักเข้าๆ มันก็เหนื่อย เหนื่อยในหัวอก เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เอ้า จะพักนอน มันก็นอนไม่ได้ มันไม่ถอยที่จะฆ่ากิเลส แล้วทำอย่างไรๆ นี่ก็เป็นอุบายสดๆ ร้อนๆ ขึ้นมาจากเวทีของเจ้าของเอง เมื่อบังคับให้มันไม่หยุด เอาๆ พุทโธ

         เรื่องสมาธินี้แน่นเหมือนภูเขาทั้งลูกนะ จนกระทั่งติดสมาธิ พ่อแม่ครูจารย์มั่นได้ลากออกจากสมาธิ ออกมาทางด้านปัญญา เวลามันก้าวทางปัญญา มันเพลินทางด้านปัญญาไม่สนใจสมาธิ ทีนี้มันก็จะตาย ต้องกลับจิตเข้ามา พักจิต ไม่พักไม่ได้ ทีนี้พักอย่างไรมันก็ไม่อยู่ มันหมุนกับสติปัญญาฟัดกันตลอด เลยเอาพุทโธ เอาพุทโธ พุทโธๆ ติดกับจิต บังคับสติให้ติดอยู่กับพุทโธ ไม่ยอมให้จิตนี้คิดไปไหนเลย ให้อยู่กับคำว่าพุทโธๆ สติจ่อๆ พอเบามือไม่ได้ คำว่าเผลอเราไม่อยากว่าเผลอนะ ถ้าว่ารามืออย่างนั้นได้ พอเบานี้ปั๊บมันจะโดดซัดกันกับกิเลสเลย ต้องเอาพุทโธๆ ถี่ยิบทีเดียว เหมือนว่าเรียน ก.ไก่ ก.กาเบื้องต้น คือมันผาดโผนทางด้านปัญญา มันไม่ยอมพักสมาธิ 

         บังคับเข้า พอบังคับแน่นหนามั่นคงไม่ให้เผลอ จิตมันก็แน่วลง สงบแน่วละที่นี่ จิตสงบแน่ว หยุดทำงาน เรื่องการฟัดกับกิเลสหยุด คือฟัดกับกิเลสทางด้านปัญญาหยุด ทีนี้เหลือตั้งแต่ความรู้กับพุทโธๆ อยู่ด้วยกัน พอถึงที่แล้วสงบแน่วเลย พอจิตสงบลงเข้าสู่สมาธิเท่านั้น มันเหมือนถอดเสี้ยนถอนหนามออกจากหัวใจของเรา เบาหวิวเลยนะ มีกำลังกระปรี้กระเปร่าขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องบังคับ เรียกว่าเผลอไม่ได้ มันจะออกทางด้านปัญญา ต้องบังคับ จนกระทั่งมันพอตัว สมาธิความสงบนี้ลงไปสู่จุดเต็มที่ พอตัว มีความกระปรี้กระเปร่ารื่นเริงบันเทิงภายในจิตในสมาธิ พอสบายเต็มที่ ได้กำลังทางสมาธิเต็มที่แล้ว พอปล่อยมือเท่านั้นพับ ซัดกับกิเลสนี้หมุนติ้วเลย นี่ได้กำลังมาก เพราะเราได้พักผ่อนมีกำลังขึ้นมาแล้ว

เช่นเราทำงานพักผ่อนนอนหลับ รับประทานอาหาร นี่เรียกว่าเพิ่มกำลัง ถึงจะเสียเวล่ำเวลา สิ้นเปลืองไปบ้างในเวลาเพิ่มกำลัง เอ้า สิ้นไป สิ่งเหล่านี้จะมาหนุนเข้าในตัวของเรา รับประทานคนก็มีความสะดวกสบาย มีกำลังขึ้น การนอนก็มีความสะดวกสบายขึ้น นี่ละผลของกำลังที่เกิดขึ้นจากการหลับนอนออกทำงานทำการได้ อันนี้ผลแห่งความสงบแน่วของจิตที่เราเข้าสู่สมาธินี้ มีกำลังแล้ว พอถอนออกมาซัดกับกิเลสนี้ เหมือนกับว่าไม้ท่อนนั้นแหละ มีดเล่มเดียวกันนี้แหละ คนๆ นี้แหละ แต่ฟันนี้ขาดสะบั้นไปเลย เพราะเหตุไร มีดก็ลับหินแล้ว คนก็มีกำลังแล้ว ฟันอะไรขาดสะบั้นไปเลย สติปัญญาคมกล้าแล้ว นั่น ฟัดกับกิเลสขาดสะบั้นๆ ไปเลย

นี่ถึงเวลามันหมุนมันหมุนอย่างนั้น ธรรมหมุนกิเลสฆ่ากิเลสหมุนอย่างนั้น หมุนไม่มีหยุดมีถอย ทีนี้เมื่อได้อุบายอย่างนั้นแล้ว มันจะเป็นจะตายจริงๆ แล้วพักอย่างว่านะ รั้งเข้ามาด้วยพุทโธ ไม่รั้งไม่ได้กระแสของปัญญาที่ฟัดกับกิเลสมันรุนแรงมาก ทีนี้พอพักได้กำลังแล้วเอาอีกอยู่อย่างนั้นละ เอาอีก จนกระทั่งเรียกว่าทางหยุดถอยไม่มี ถ้าเราไม่บังคับให้พัก รั้งเอาไว้ ต้องรั้งเอาไว้ถึงได้ จนกระทั่งมันพุ่งถึงที่มัน เรื่องสติปัญญาตั้งตั้งแต่ต้น สติเป็นสำคัญมาก ต่อไปปัญญากับสติกลมกลืนกันเข้า แล้วต่อไปสติกับปัญญาเป็นอันเดียวกันพุ่งๆ สติปัญญาอัตโนมัติทำงานแก้กิเลสโดยอัตโนมัติไม่ต้องมีใครบังคับ

ที่ว่าเพียรอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มี นอกจากเพียรเพื่อความพ้นทุกข์นั่นพูดได้ ที่จะเพียรแก้กิเลสไม่มี เพราะมันพุ่งๆ มันต้องรั้งเอาไว้ๆ เพียรอะไรอย่างนั้นต้องรั้งเอาไว้ เพราะมันเห็นโทษของกองทุกข์ เห็นโทษของกิเลสเห็นเต็มหัวใจ เห็นคุณค่าของธรรมทั้งหลายที่จะฉุดลากออกจากทุกข์ ก็เต็มหัวใจเช่นเดียวกัน เพื่อเป็นเช่นนั้นแล้วมันจึงหยุดไม่ได้ จึงกลายเป็นสติปัญญาฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติไปเลย จากนั้นก็ซึมเข้าไป นี่ละสติปัญญาอัตโนมัติ จากสติปัญญาอัตโนมัติก็เป็นมหาสติมหาปัญญา ดูในหัวใจเจ้าของซิ มันซึมเข้าไปๆ กิเลสจะโผล่ออกทางไหนซึมซาบทางนี้ซึมซาบรับกันขาดสะบั้นๆ ไปเลย นี่มันทันกันทันอย่างนั้น มันเป็นเองมันแก้กันเองระหว่างกิเลสกับธรรมแก้กันเป็นอย่างนั้น

จนกระทั่งมันพุ่งขาดสะบั้นไปหมดไม่มีอะไรเหลือเลย สติปัญญาที่หมุนตัวเป็นธรรมจักรนั้นระงับเอง ไม่ต้องไปบังคับให้หยุด สติปัญญาที่หมุนตัวเป็นเกลียวอยู่นั้น พองานหมด พอทำงานเสร็จ  คือกิเลสขาดสะบั้นไปแล้วเรียกว่างานเสร็จแล้ว  วุสิตํ  พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ  นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว งานที่หนักหน่วงที่สุดในโลกนี้คืองานฆ่ากิเลสได้ฆ่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ความรู้ความเห็นที่จะให้ยิ่งกว่านี้อีกไม่มี นั่นหยุด พอฆ่ากิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว สติปัญญาที่หมุนเป็นธรรมจักรก็เหมือนเครื่องมือของเรา มันวางเอง พองานเสร็จแล้วก็ปล่อยเครื่องมือเอง เช่นอย่างมีดหรืออะไรเราฟันเรายำแล้วนี่ พอเสร็จแล้วมันก็ปล่อยเอง

มหาสติมหาปัญญาเป็นมรรคเครื่องฆ่ากิเลสทั้งนั้น พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วมหาสติมหาปัญญายุติเองโดยไม่ต้องบังคับ นั่นละผลที่ได้รับเลิศเลอตรงนั้น โลกไม่เห็นจะให้ว่าไง นั่นละที่พระพุทธเจ้าท่านครอง พระสาวกทั้งหลายท่านครอง ครองธรรมประเภทที่กิเลสขาดสะบั้นลงไป ธรรมแสดงตัวเต็มที่จ้าครอบโลกธาตุไม่มีอะไรปิดบัง กิเลสนั่นละตัวปิดบัง หนักเบามากน้อยหยาบละเอียดเปิดออกหมด ขาดกระจายไปหมด เหลือตั้งแต่ธรรมชาติล้วนๆ นั่นละท่านว่า โลกวิทู รู้แจ้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึงหายสงสัย ปล่อยวางได้โดยสิ้นเชิง ในสามแดนโลกธาตุขึ้นชื่อว่าสมมุติไม่มีอะไรเหลือภายในจิตใจ มีอยู่ตั้งแต่วิมุตติหลุดพ้นเท่านั้น นั่นผู้ครองบรมสุข

บรมสุขกับมหันตทุกข์ต่างกันยังไงบ้างล่ะ มหันตทุกข์ทุกข์แสนสาหัส ทุกข์จนตาย นี่มหันตทุกข์ บรมสุขแต่ไม่มีละบรมสุข บรมสุขตลอดไปเรียกว่านิพพานเที่ยง เมื่อถึงขั้นแล้วเป็นอย่างนั้น ถอดออกมาจากหัวใจซิมาพูดนี่ อย่างที่เราพูดนี้ถอดออกจากหัวใจ ออกจากเวทีระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน นี่ที่ว่าความโกรธแค้นให้กิเลสเป็นมรรคนะนั่น เป็นได้จริงๆ เพราะอำนาจแห่งความโกรธแค้นให้กิเลสจะเอาให้อยู่ จนกระทั่งที่ว่า หือ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เอา ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่งให้กูถอยกูไม่ถอย กูมึงนะ แต่เป็นอยู่ในใจเพราะความเคียดแค้นมากทีเดียวถึงขนาดกูมึง อันนี้ละพกเข้าไว้ในหัวใจเรา แล้วก็เป็นมุมานะละที่นี่ ซัดกันเรื่อยๆ จนกิเลสพัง นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละอำนาจแห่งความพากเพียร

โหย เราสลดสังเวชที่สอนบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ไม่ได้เอามาโอ้มาอวดอะไร มันเต็มอยู่ในหัวใจนี้แล้ว ผ่านมาทุกอย่าง เห็นทุกอย่างรู้ทุกอย่าง ไม่มีอะไรสงสัยแล้วในสามแดนโลกธาตุนี้ แล้วนำมาสอนโลก ยังงูๆ ปลาๆ งุ่มง่ามต้วมเตี้ยมมันดูไม่ได้นะ ถ้าไฟก็กลายเป็นน้ำเป็นท่าเป็นบุญเป็นคุณไปเสีย ที่เป็นบุญเป็นคุณมันก็เห็นว่าเป็นมูตรเป็นคูถเป็นไร้สาระไปเสีย มันบืนใส่ตั้งแต่ฟืนแต่ไฟที่จะเผาไหม้ตนเอง และผู้อื่นให้ได้รับความเดือดร้อนเท่านั้น กิเลสเป็นอย่างนั้น เราจึงได้เตือน อย่างตอนก่อนเทศน์นี่ก็เหมือนกัน ผู้ปกครองบ้านเมืองเป็นสำคัญ ในหัวใจของเรานี้สติเป็นสำคัญ ปัญญาเป็นสำคัญ ที่จะปกครองตนให้เป็นไปเพื่อความเรียบร้อยดีงาม ถ้าไม่มีเจ้าของแล้วก็ไม่มีความหมาย เหมือนสัตว์ไม่มีเจ้าของตายได้ง่าย อันนี้คนเราไม่มีเจ้าของ คือสติปัญญาไม่มีเครื่องบังคับตนเองแล้วเสียคนได้ง่าย จำเอานะ ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ ว่าจะไม่พูดมากอะไรมันฟาดไปสองกัณฑ์สามกัณฑ์ มันเลยเถิดแล้วนะ เอาละไม่ต้องเอวัง มันเลยเถิดแล้วพอ

         ผู้กำกับ        จากหนังสือพิมพ์ โพสต์ทูเดย์ วันอังคารที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๔๘ หัวข้อเรื่องว่า “จากวัดป่าแก้วถึงวัดป่าบ้านตาด” วัดป่าแก้วอยู่ในพงศาวดารสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชครับ

         “พระสงฆ์ในประเทศไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นนิกายเถรวาท นอกจากแบ่งเป็น มหานิกายและธรรมยุติกนิกาย ตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมาแล้ว แต่เดิมยังแบ่งเป็นสองสายคือ สายพระบ้านหรือที่เรียกว่าคามวาสี ซึ่งเป็นฝ่ายคันถธุระกับพระป่า หรือที่เรียกว่าอรัญวาสี ซึ่งเป็นฝ่ายวิปัสสนาธุระ พระในฝ่ายอรัญวาสีนั้นมักมุ่งเน้นการปฏิบัติและที่ตั้งวัดมักอยู่นอกเขตเมือง เสมือนเป็นการปลีกวิเวกจากความสับสนวุ่นวายของเมือง ออกไปปฏิบัติธรรมเพื่อความสงบระงับ แต่โดยที่พระสงฆ์จะดำรงชีพอยู่ได้ด้วยบิณฑบาต หรือข้าวปลาอาหารที่ประชาชนชาวบ้านมีจิตศรัทธาถวายให้เป็นหลัก

         คำว่าภิกษุหรือภิกขุนั้น โดยศัพท์แปลว่า ผู้ขอ

         หลวงตา       อันนี้แปลได้สองอย่างนะ นั่นมหามาทันทีนะ ภิกขุๆ แปลว่าผู้เห็นภัย หนึ่ง ภิกขุแปลว่าผู้ขอ หนึ่ง เอา ผ่านไป มาผ่านมหาได้หรือนี่ เวลาหลวงตาก็หลวงตา เวลามหามันขึ้นทันทีนะ

         ผู้กำกับ        แม้จะเป็นพระป่า หรือพระในฝ่ายอรัญวาสีก็ไม่สามารถตัดขาดจากชาวบ้าน นอกเหนือจากจะต้องประพฤติปฏิบัติโดยชอบ เพื่อรักษาศรัทธาของชาวบ้านแล้ว ยังต้องปฏิบัติกิจเพื่อยังประโยชน์แก่ชาวบ้าน ทั้งในด้านของพิธีกรรม การเทศนาสั่งสอน และกิจอันชอบอันควรของสงฆ์อย่างอื่นด้วย นอกเหนือจากกิจที่พระสงฆ์พึงปฏิบัติต่อชาวบ้านแล้ว พระในฝ่ายอรัญวาสียังอาจแสดงบทบาทต่อผู้ปกครองบ้านเมืองด้วย ทั้งนี้หากศึกษาจากพุทธประวัติจะพบว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีบทบาทโดยมีการแสดงธรรมะแก่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเนืองๆ

         ในประวัติศาสตร์เหตุการณ์ครั้งหนึ่ง ที่เป็นบทบาทอันโดดเด่นของพระในฝ่ายอรัญวาสีคือ ผู้ปกครองบ้านเมืองที่มีการหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงเสมอก็คือ เมื่อครั้งสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ได้ไปขอชีวิตแม่ทัพนายกองของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ให้พ้นจากโทษประหารชีวิต ครั้งนั้นประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า คือพระนเรศวรกระทำยุทธหัตถีได้ชัยชนะแก่พระมหาอุปราชา แทนที่บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลายจะได้รับปูนบำเหน็จความดีความชอบทั่วหน้ากัน มีจำนวนมาก กลับจะถูกลงโทษถึงขั้นประหารชีวิต

         เรื่องราวดังกล่าวพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับ สมเด็จกรมพระยานุชิตชิโนรส ได้บันทึกไว้ว่า หลังจากทรงปูนบำเหน็จแก่ผู้คนช้างม้าที่ทำความชอบในศึกครั้งนั้นแล้ว มีพระราชดำรัสให้ปรึกษาโทษของแม่ทัพนายกองว่า ข้าศึกยกมาถึงพระนคร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ตั้งพระทัยจะรักษาพระพุทธศาสนาและสมณะพราหมณ์ คณาจารย์ อาณาประชาราษฎร์ มิได้คิดเหนื่อยยากลำบาก พระองค์ทรงอุตส่าห์เสด็จยกพยุหโยธาทัพออกไปรณรงค์ด้วยข้าศึก และนายกองนายทัพกลัวข้าศึกยิ่งกว่าพระราชอาญา โดยมิได้ตามเสด็จให้ทัน และละพระคชาธารของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ อยู่ท่ามกลางข้าศึก จนได้ทำการยุทธหัตถีมีชัยชนะต่อพระมหาอุปราชาเสร็จ โทษนายทัพนายกองครั้งนี้จะเป็นประการใด

         พระมหาราชครู พระครูปุโรหิตทั้งปวงปรึกษาไว้ให้ด้วยพระอัยการศึก พบพระกฤษฎีกาว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินงานพระราชสงคราม กะเกณฑ์ผู้คนเข้าในขบวนแล้ว มิได้โดยเสด็จให้ทัน เมื่อชนะยุทธท่านว่าโทษผู้นั้นเป็นอุกฤษฏ์ ให้ประหารชีวิตเสีย อย่าให้ผู้อื่นดูเป็นเยี่ยงอย่าง คำพิพากษาโทษกราบทูล มีพระราชดำรัสให้ลูกขุนมาปรึกษา แต่ทว่าบัดนี้จวนวันจาตุททสีอยู่แล้ว ให้เอานายทัพนายกองเข้าเรือนจำไว้ก่อนสามวัน แล้วจึงสั่งให้สำเร็จโทษโดยพระอัยการศึก

         ครั้น ณ วันอาทิตย์ เดือน ๗ แรม ๑๕ ค่ำ สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว พระราชาคณะอีก ๒๕ รูปเข้ามาถวายพระพรถามข่าวศึก ซึ่งทรงเสด็จแสดงสงครามได้กระทำการยุทธหัตถี มีชัยชนะพระมหาอุปราชา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็แถลงการณ์ซึ่งปราบปัจจามิตรให้ฟังทุกประการ สมเด็จพระพนรัตน์จึงถวายพระพรว่า พระราชสมภารมีชัยชนะแก่ข้าศึก ไฉนข้าราชการทั้งปวงจึงต้องราชทัณฑ์เล่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงตรัสบอกว่า นายทัพนายกองเหล่านี้อยู่ในกระบวนทัพของโยม มันกลัวข้าศึกมากกว่าโยม ละให้โยมสองคนพี่น้องเข้าไปในท่ามกลางศึก จนได้กระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาได้ชัยชนะแล้วจึงได้เห็นหน้ามัน นี่หากว่าบารมีของโยมหาไม่ แผ่นดินนี้ก็จะเป็นของชาวหงสาวดีเสียแล้ว เพราะเหตุดังนี้โยมจึงให้ลงโทษตามอัยการศึก

สมเด็จพระพนรัตน์ จึงถวายพระพรว่า อาตมาพิเคราะห์ดูข้าราชการเหล่านี้ จะไม่รักไม่กลัวพระราชสมภารเจ้านั้นหามิได้ แต่เหตุดังนี้ก็เพื่อจะให้พระเกียรติยศพระราชสมภารเจ้าเป็นมหัศจรรย์เหมือนสมเด็จพระสรรเพชรพุทธเจ้า เมื่อพระองค์เสด็จเหนือ.....(กรุณาติดตามอ่านข้อความเต็มในหนังสือพิมพ์วันที่ดังกล่าว)

นี่คือตัวอย่างอันเป็นแบบฉบับอย่างที่พระสงฆ์ฝ่ายอรัญวาสี ได้แสดงบทบาทต่อผู้ปกครองบ้านเมือง ด้วยวิธีการอันงดงามและประสบความสำเร็จอย่างงดงาม กรณีหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี ที่ออกมาเทศนาสั่งสอนรัฐบาลเมื่อเร็วๆ นี้ นับเป็นการแสดงบทบาทของพระสงฆ์ ถึงแม้จะอยู่ในฝ่ายอรัญวาสี ก็สามารถกระทำให้เป็นปรกติวิสัย ไม่แตกต่างที่ครั้งสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ได้กระทำเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา แต่ความแตกต่างอยู่ที่เนื้อหาสาระและวิธีการ ซึ่งเป็นตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง

         กล่าวคือ นอกจากมิได้ใช้กัปปิยโวหารอันไพเราะ หรือโน้มน้าวผู้มีอำนาจให้มีสติ และแสดงความเมตตากรุณาออกมาด้วยตนเองแล้ว ยังใช้ถ้อยคำอันรุนแรง ตำหนิ โจมตี ในข้อหาร้ายแรงและรุนแรงที่หนักถึงขั้นอุกฤษฏ์ ในลักษณะมองเห็นผู้นำรัฐบาลเป็นศัตรูของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เทศนาของหลวงตามหาบัวจะเหมาะสมหรือไม่ และจะได้ผลอย่างไรหรือไม่ เป็นเรื่องที่ย่อมวิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงกัน ได้อย่างมาก แต่การที่หลวงตามหาบัวออกมาเทศนาด้วยถ้อยคำและข้อกล่าวหารุนแรงเช่นนั้น ย่อมแสดงให้เห็นสถานการณ์ที่แตกต่างอย่างมาก

จากกรณีสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ครั้งนั้นสมเด็จพระนเรศวรมหาราชพึงได้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ทรงมีพระบรมเดชานุภาพ และพระกฤษดาภินิหาร อันบดบังมิได้ สมเด็จพระพนรัตน์ จึงได้ถวายพระพร และขอเมตตากรุณา แต่ครั้งนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโนนั้น หมดศรัทธาความนับถือ รวมทั้งไม่เกรงกลัวต่อรัฐบาล สิ่งที่แสดงออกมาจึงมีรสอันขมขื่นขนาดนี้

         หลวงตา       ใครขมขื่น

         ผู้กำกับ        ฝ่ายรัฐบาล

         หลวงตา       และประชาชนล่ะ

         ผู้กำกับ        ประชาชนก็ชื่นใจ

         หลวงตา       แน่ะ มันต้องแยกหากันซิ มีผลลบผลบวกซิ

         ผู้กำกับ        ปัญหาคือรัฐบาลจะมองการเทศนาของหลวงตามหาบัวเช่นไร ถ้ามองเป็นยาพิษ รัฐบาลนอกจากไม่ได้ประโยชน์แล้ว ยังอาจจะเป็นโทษต่อรัฐบาลได้อีกด้วย แต่ถ้ามองเป็นยาขม รัฐบาลก็ย่อมจะได้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย จบครับ

         หลวงตา       มันก็ชัดเจนแล้วนี่นะ ก็ไม่เห็นมีอะไรคัดค้านแก้ไขกัน ก็ถูกต้องแล้ว ที่เราเทศน์ก็เทศน์เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ที่พี่น้องชาวไทยอุ้มกันทั้งประเทศ ไม่ให้มีอะไรเข้ามาทำลายซึ่งจะเป็นการเสียหายอย่างร้ายแรง เราก็กีดกันอันนี้เอาไว้ อะไรที่จะเป็นความสุขความเจริญแน่นหนามั่นคงแก่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้พากันพร้อมหน้าพร้อมตากันปฏิบัติ พยุง ก็มีเท่านั้น

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก