ช่วยคนจะจมลงในนรก
วันที่ 8 ตุลาคม 2548 เวลา 8:40 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ช่วยคนจะจมลงในนรก

ก่อนจังหัน

เราภูมิใจเห็นบรรดาพี่น้องทั้งหลายหันหน้าเข้าวัดเข้าวา ยังจะพอมีหวังติดเนื้อติดตัวติดหัวใจบ้างนะ ธรรมเท่านั้นที่ท่านทั้งหลายจะฝากเป็นฝากตายได้ คือบุญคือกุศลนี้ นี้ฝากเป็นฝากตายได้เลย มีมากมีน้อยให้สงวนให้รักษาให้แสวงหามาธรรมนี่ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงชมเชยที่สุด เทิดทูนที่สุดคือธรรม ไอ้เรื่องความโลภ ความได้ไม่พอ กินไม่พอ ไอ้บ้าลาภบ้ายศ บ้าสรรเสริญเยินยอนี้พาคนจมลงนรก สดๆ ก็จม ตายแล้วก็จม ที่เขามีเงินทองมากๆ ด้วยความโลภของเขา อย่าเข้าใจว่าเขาจะมีความสุข หัวใจมันร้อนเป็นไฟนะนั่น เอาธรรมจับเข้าเห็นหมดเลย แต่พวกตาบอดมันดูกันตั้งแต่คนนั้นร่ำคนนี้รวย คนนั้นยศถาบรรดาศักดิ์สูง เรื่องของกิเลสหลอกเป็นบ้ากันเร็วนะ ธรรมท่านดูปั๊บท่านรู้ทันทีๆ อันนี้ละที่มาสอนโลก ธรรมที่ดูปั๊บๆ รู้ทันที

สัตว์โลกทั้งหลายไหลลงนรกๆ ไม่มีใครเห็นกันเลย ธรรมดูหมด ไหลขึ้นสวรรค์เป็นยังไงๆ ขึ้นสวรรค์เพราะอะไร ลงนรกอเวจี เป็นเปรตเป็นผีเสวยกรรมต่างๆ มากน้อยอยู่ตลอดเวลาเพราะอะไร ท่านดูหมดแล้ว แม้ที่สุดที่ไปตกอยู่ในนรก พระพุทธเจ้าทรงทราบตลอดทั่วถึงว่า สัตว์นรกแต่ละตัวๆ โคตรแซ่ของเขามาจากไหนๆ จึงมาตกนรกอย่างนี้ ภพก่อนเขาเป็นอะไรก่อนมาตกนรกๆ นี้ ก็เหมือนคนติดคุกติดตะราง เข้าไปถามดูซิน่ะในเรือนจำนั่นน่ะ เขามีโคตรมีแซ่มีวงศ์เหมือนกัน มีลูกมีพ่อมีแม่มีญาติมีวงศ์เหมือนกัน แต่เขาแยกตัวออกมาเป็นอย่างนั้นเพราะเขาทำความผิด พวกนั้นไม่ได้มาเขาก็มาติดคุก ญาติวงศ์ทั้งหลายไม่ติดเขาก็ติด มันแยกไปอย่างนี้ละ

คนติดคุกติดตะรางไม่ใช่คนไม่มีที่มานะ มี มีญาติมีวงศ์มีพ่อมีแม่มีเพื่อนมีฝูงเหมือนกัน แต่เวลาทำลงไปแล้วอะไรช่วยไม่ได้ กรรมของมันเท่านั้นไสเข้าไป ผู้ที่จะลงนรกก็เหมือนกัน ไม่มีอะไรช่วยได้นะ ไปตกนรกหมกไหม้สัตว์นรกแต่ละตัวๆ มีจำนวนมากขนาดไหน พระองค์ทรงทราบหมด มาจากสกุลใดๆ ภพใดชาติใด เรายังจะไปบีบนรกไม่ให้มีอยู่เหรอ ปิดนรกไม่ให้มีเหรอ ก็สัตว์โลกกองกันพิลึกพิลั่นมากมายก่ายกองในนรกกองอยู่นั้น มีหรือไม่มีพิจารณาซิ

เราพูดด้วยความสลดสังเวชนะ วันหนึ่งๆ ดูตลอดเวลาในหัวใจนี้นะ แต่ก่อนก็ไม่ได้ดู มัวเมาเหมือนโลกทั่วๆ ไปใจดวงนี้ เขาเป็นยังไงเราเป็นอย่างนั้น แต่เวลาหมุนเข้าสู่ธรรม ธรรมท่านชี้แจงยังไงๆ จิตมันค่อยเปิดออกๆ ทีนี้มันก็ใกล้ชิดติดพันกับอรรถกับธรรมเข้าไป ห่างเหินจากความชั่วช้าลามกออกไป เปิดเข้าไปๆ สุดท้ายก็มาจ้าในหัวใจนี้ กราบพระพุทธเจ้าอย่างราบเลยนะ กราบพระพุทธเจ้าอย่างราบหาที่ค้านไม่ได้เลย ธรรมทุกแง่ทุกมุมที่เป็นอยู่ในหัวใจได้มาจากใคร ได้มาจากพระพุทธเจ้า อันนี้ละที่กิเลสมันหนาอย่างนี้ให้พากันเข้าใจ มันไม่ยอมฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเลย บืนไปตามความทะเยอทะยาน นั่นคือทางโล่งของแดนนรก ให้พากันจำเอา

เราพูดตลอดนะเราจวนจะตายๆ ยิ่งเป็นห่วงเป็นใยพี่น้องทั้งหลายมากเข้าๆ คำพูดเช่นนี้ไม่เคยมีแต่ก่อน มามีเอาตอนที่เปิดจ้าขึ้นที่วัดดอยธรรมเจดีย์ พูดให้มันชัดมันจะตายเสียก่อนแล้ว พระพุทธเจ้าประกาศธรรมสอนโลกมานานเท่าไร ได้ ๔๕ พรรษาพระองค์ก็ปล่อย ไม่ไหว พระสรีระไปไม่ไหวแล้ว พระชนมพรรษา ๘๐ พระองค์ก็ปล่อย แล้วยังพาดบันไดเอาไว้ ศาสนานี้จะวางไปได้ ๕๐๐๐ ปี นี่ละคือเปิดทางไว้อีก สัตว์โลกผู้มีอุปนิสัยปัจจัยยังมีอีก ที่จะไปตามที่พระองค์พาดบันไดเอาไว้หรือทางเดินเอาไว้นี้ แต่พวกที่ลงนรกมันโล่งไปหมด มันไปได้ทุกแห่งทุกหน ผู้ที่จะไปสวรรค์ต้องมีช่องมีทางไป สำหรับแดนนรกไม่มี ไปได้หมด ความอยากมันมีรอบตัวของเราไปได้หมด ความดิบความดีที่จะทำแต่ละวันๆ มันคับแคบต่างกัน แต่ที่จะทำความชั่วภายในใจนี้กว้างขวางมาก

เราจึงได้สอนให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายได้ทราบเสีย เวลานี้ยังไม่ตายให้ฟัง หูมีฟังสิ่งที่เป็นสาระ ตามีดูสิ่งที่เป็นสาระ ใจมีคิดสิ่งที่เป็นสาระ อย่าคิดแต่ฟืนแต่ไฟมาเผาไหม้ตนเอง ตายทิ้งเปล่าๆ นะมนุษย์เราไม่เกิดประโยชน์อะไร วันนี้ก็แจ้ง วันนั้นก็มืด มันมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ตัวเราจมในนรกมากี่กัปกี่กัลป์ ตัวนี้เป็นตัวทุกข์ มืดแจ้งไม่ได้ทุกข์นะ มันทุกข์อยู่กับหัวใจของคน สุขกับหัวใจของคนผู้สร้างความดี ทุกข์อยู่ที่หัวใจของคนที่สร้างความชั่ว

ธรรมะพระพุทธเจ้านี่สดๆ ร้อนๆ สดๆ ร้อนๆ ตลอดมา อย่าเห็นว่าห่างไกลจากตัวของเรา อยู่กับตัวของเรา หมุนทางด้านธรรมะขึ้นมาทันที หมุนทางด้านกิเลสตัณหาไฟนรกขึ้นทันทีๆ ให้พากันจับเอาไว้ ธรรมพระพุทธเจ้านี่เลิศเลอสุดยอดแล้ว เกิดมาไม่ได้พบพระพุทธศาสนาเรียกว่าเป็นโมฆะ สัตว์ประเภทใดก็ตาม นี่เราได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ให้ยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์เอาไว้ ใครที่จะมาสอนเราให้ถูกต้องแม่นยำดังพระพุทธเจ้าไม่มีในโลกนี้ เราบอกตรงๆ ไม่มี มีศาสดาองค์เดียวเท่านั้นตรัสรู้ผางขึ้นมานี้กระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ แล้วนำธรรมนั้นมาสอนโลก

เราอยู่ในแดนไหนให้ถามตัวของเรา มันอยู่ในแดนนรกหรือแดนอเวจี ยังจะสมัครไปอีก ลงนรกหลุมไหนอีกอย่างนั้นเหรอ นรกหลุมนี้ไม่พอจะเอานรกหลุมหน้าอย่างนั้นเหรอ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราใช้มาเพื่อทำตัวที่จะลงนรกอย่างนั้นเหรอ ให้พากันพินิจพิจารณานะพี่น้องทั้งหลาย ศาสนานี้เลิศเลอสุดยอดแล้วให้หันหน้าเข้าธรรมถ้าไม่อยากจมกัน อย่าไปตื่นพวกบ้ายศนั่น พวกบ้ายศบ้าลาภบ้าสรรเสริญเยินยอ พวกนี้พวกทำลายตนเองเต็มเหนี่ยวๆ แล้วก็ทำลายส่วนรวม การไปทำลายส่วนรวมก็คือทำลายตนเองอีกด้วย อย่าเอามาเป็นหลักเป็นเกณฑ์นะ เขามั่งมีศรีสุข เขาได้ยศนั้นได้ยศนี้ เขาเป็นชั้นนั้นชั้นนี้ ชั้นขี้หมามันอะไรประสาลมปากใครพูดก็ได้นี่นะ

เอาธรรมเข้าไปสู่ใจซิ ยกยอกันเพียงไหนก็ลมปากๆ ความจริงไม่มี ไปโกยเขามาจากไหน เงินที่จะเข้ามาสมมุติว่าเป็นสมบัติของตัวนั้นคือฟืนคือไฟเข้ามาอยู่ในหัวอกของตัวแล้ว เก็บไว้ที่ไหนๆ ภูมิใจๆ มันภูมิไปนรกนะพวกนี้ เอาให้สดๆ ร้อนๆ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า เราไม่เคยสะทกสะท้านใครจะว่าอะไรก็ตาม มันจ้าอยู่ในหัวใจนี่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ธรรมพระองค์เดียวเท่านั้น ท่านหาใครมาเป็นสักขีพยานในการสอนโลก นี่ก็ไม่หาใคร ธรรมพระพุทธเจ้าเต็มหัวใจแล้วสอนเต็มเหนี่ยว เพราะฉะนั้นใครจะฟังให้ฟัง ถ้าไม่ฟังก็ให้วิ่งไปตามกันนะ ให้มันจมไปตามๆ กันสดๆ ร้อนๆ

หูคนตาคนจมูกคน ลิ้น กาย ใจของคน ใจของเราเป็นยังไง เราก็เป็นคนๆ หนึ่งให้คิดให้ดี อย่าไปเชื่อตั้งแต่ลมๆ แล้งๆ พวกตาบอดหลอกกันไปๆ ด้วยความตาบอด แล้วชนเอาๆ ชนขวากชนหนามชนไม้ชนตอ ตกเหวตกบ่อ มีแต่พวกตาบอดมันเห่อตามกันนั่นน่ะ พระพุทธเจ้าผู้ตาดีหูดีดึงมันไม่ยอมไป นี่เราจะเอาตาไหน ตาเรามาฟังเทศน์นี้ เราจะเอาตาดีกลับบ้านหรือจะเอาตาบอดกลับบ้าน ให้พิจารณาตัวเองนะ เอาละจะให้พร

หลังจังหัน

เมื่อเช้านี้เป็นยังไง สุ้มเสียงเผ็ดร้อนไหม นี่เทียบกันได้เหมือนว่าเขาช่วยคนตกน้ำ กำลังจะจมๆ เขาฉุดขึ้นอย่างแรงเลย นี่ช่วยคนจะจมลงในนรกด้วยกำลังใจที่เห็นทั้งนรกด้วย ทั้งสัตว์โลกที่กำลังจมด้วย ฉุดกันอย่างแรง เข้าใจไหม นี่ละให้ท่านทั้งหลายพิจารณาเสียนะ เราก็เคยบอกแล้วจิตดวงนี้ไม่เคยเป็นแต่ก่อน เวลาเป็นขึ้นมาแล้วไม่ได้อยู่ในความคาดความคิดของใครนะ ตัวเองก็คาดไม่ได้ ไม่ได้คาดได้คิด เวลามันเป็นขึ้นมานี้มันสะดุ้งเลย อันนี้สัตว์นรกหรือคนที่จะจมลงในนรกที่พอจะฉุดจะลากได้อยู่ก็ต้องฉุด ฉุดยังไงมันจะขึ้นได้เร็วก็ต้องฉุดอย่างแรง นี่พูดกระตุ้นหัวใจซิที่ออกแรงๆ เข้าใจไหมล่ะ พากันพิจารณาให้ดี นี้ออกด้วยกำลังใจ ด้วยพลังเมตตาล้วน ไม่ได้มาสุ่มสี่สุ่มห้าโวกวากๆ นะ เอาจริงเอาจัง มันจะจมจริงๆ สดๆ ร้อนๆ มันจะไม่เชื่ออรรถเชื่อธรรมเลย มันจะจมลงต่อหน้าต่อตาธรรมของพระพุทธเจ้า สลดสังเวช มีหนักบ้างเบาบ้าง

การแสดงธรรมทางภาคปฏิบัติ จึงไม่ได้เหมือนทางภาคปริยัติ นี้เราเคยพูดให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว ภาคปริยัติกับภาคปฏิบัติไม่ได้เหมือนกันเวลาการแสดงออก การแสดงทางภาคปริยัติท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน เทศน์ไปธรรมดาๆ จะหนักกว่านั้นก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้หนัก เพราะใจไม่มีแง่หนักแง่เบาอยู่ในนั้น ท่านเขียนไว้ยังไง ตำราว่ายังไง ก็อ่านไปตามตำราเรียบๆ ธรรมดาๆ ไป เพราะผู้ที่อ่านก็ไม่รู้ธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ อ่านไปตามประสีประสาเหมือนนกขุนทอง ตามองหากล้วยหอมมองหากล้วยไข่ เวลาเทศน์ เทศน์ไปตามองไปหากล้วยหอมกล้วยไข่ ไม่ได้มองไปหาสวรรค์นิพพานผู้เทศน์ก็ดี

หลวงตาบัวก็เคยมองหากล้วยหอมกล้วยไข่มาพอแล้ว ทีนี้เอาอันนั้นมาพูดทางภาคปฏิบัติ เวลาเราเรียนหนังสือ ท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน เทศน์สถานที่ใดก็ตามเนื้ออรรถเนื้อธรรมจะให้เน้นหนักอย่างนี้ไม่มี เพราะใจไม่ได้รู้สิ่งใดที่เน้นหนักพอจะนำมาพูดได้ ตำราว่ายังไงก็ว่าไปๆ การเทศน์จึงเหมือนๆ กันทางภาคปริยัติ แต่ทางภาคปฏิบัติ เอาตัวของเราขึ้นเลยทีเดียว ไม่ได้ไปเอามาจากที่ไหน

ภาคปฏิบัติเวลาปฏิบัติไปๆ อ้าว มันรู้จริงๆ นี่ พระพุทธเจ้าสอนปฏิบัติเพื่อให้รู้ เข็มทิศทางเดินชี้บอกๆ เดินตามเข็มทิศก็เจอเอาๆ ทีนี้เวลาเจอตรงไหนๆ มันแน่นะที่นี่ แน่ใจเลย เจ้าของยอมรับสิ่งที่รู้ เวลาแสดงออกไปจะให้ผิดเพี้ยนจากสิ่งที่รู้ไม่ได้ แล้วยังไงถึงจะได้ ต้องให้ตรงไปตามนี้ ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก ตามธรรมที่ได้รู้ได้เห็นมานี้ นี่ละภาคปฏิบัติเมื่อรู้ขึ้นภายในใจแล้วจะแยกแยะไปอย่างอื่น หลีกๆ เลี่ยงๆ ไม่ได้ ตรงไปตรงมาเลยที่นี่ พูดอย่างอื่นผิดธรรม พระพุทธเจ้าสอนโลกก็สอนแบบนี้

เมื่อรู้ธรรมแบบนี้ชนิดนี้ เราจะไปสอนโลกสอนแบบไหน ก็ต้องสอนแบบเดียวกัน รู้เบาสอนเบา รู้หนักสอนหนัก รู้ขนาดไหนสอนได้ขนาดนั้น เพราะฉะนั้นธรรมจึงมีเน้นมีหนัก อย่างทุกวันนี้ หลวงตาบัวเคยเทศน์กินกล้วยหอมกล้วยไข่พี่น้องทั้งหลายมานานแล้วตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่ ก็เทศน์ไปธรรมดาๆ  แต่เวลามาภาคปฏิบัติมันเป็นจริงๆ มันรู้จริงๆ จะให้ว่าไง รู้ขึ้นมาๆ รู้ตรงไหนยอมรับๆ เกิดความแปลกประหลาดอัศจรรย์ในสิ่งที่รู้และความรู้ของตัวเองที่รับกัน เกิดความอัศจรรย์ มีกำลังใจๆ ขึ้นมา

ทีนี้เวลาออกสอนโลกก็เอาอันนี้ออก เอาที่รู้ที่ยอมรับนี้ออก และธรรมชาติที่รู้คือธรรมโดยแท้ สอนเราจะหลีกๆ เลี่ยงๆ จากนี้ไปไม่ได้ ธรรมะว่าอย่างนี้ ธรรมเป็นอย่างนี้ เรายอมรับอย่างนี้ ออกก็ออกตามนี้เลย ผึงๆ ไม่ว่าธรรมะขั้นใดๆ จะออกตามหลักความจริงๆ  การเทศน์จึงไม่ได้เหมือนแต่ก่อน สำนวนโวหารของเราเรายอมรับว่าไม่เหมือนแต่ก่อน นี่ไปตามความจริงเลย เวลารู้อะไรขึ้นมานี้มันจังๆ เลย อย่างพระพุทธเจ้าเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโกๆ รู้เองเห็นเองจากผลแห่งการปฏิบัติของตน เมื่อรู้อย่างนี้แล้วจะให้พูดว่ายังไง อย่างไรก็ต้องสอนไปตามความรู้ ผิดเพี้ยนไปไม่ได้เลยขัดต่อธรรม การนำออกต้องเอาของจริงนี้ออก ของจริงนี้เป็นยังไงต้องแสดงตามความจริงที่รู้อยู่เห็นอยู่ในใจ นี่ละภาคปฏิบัติ เทศนาว่าการภาคปฏิบัติจึงผิดกันมาก เราคนเดียวเราเคยเป็นมาแล้ว ภาคปริยัติเราก็เทศน์มาแล้ว พอแล้ว ทีนี้มาภาคปฏิบัติได้เทศน์สอนโลกนานขนาดไหน ทีนี้ไม่ได้เหมือนกันนะมันเป็นอยู่ภายในจิต ที่มันรู้มันเห็นอะไรเป็นความจริงทั้งนั้นๆ ออก ออกมากออกน้อยจริงทั้งหมด ไม่มีคำว่าหลีกๆ เลี่ยงๆ

ทีนี้เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้ที่เขาเคยได้ยินได้ฟังแบบท่านๆ เราๆ เทศน์กันฟังกันนั้น กับมาฟังภาคปฏิบัตินี้มันจึงสะดุดใจบางคน บางคนก็ว่าเทศน์ดุเทศน์ด่า เทศน์กระแทกแดกดันอะไรว่าไป ความจริงไม่ได้มีเรื่องที่จะไปกระแทกแดกดันหรือดุด่าผู้ใดนะ เทศน์หลักความจริงระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันอยู่ภายในนั้น มันก็ไปกระเทือนหูคนผู้ฟังละซิ ท่านซัดกันอยู่ในนั้น ผิดถูกชั่วดีหนักเบาขนาดไหน ธรรมะจะออกรับกับกิเลส ออกรับๆ กันหนักเบามากน้อย สุ้มเสียงจึงเป็นไปตามแง่ของธรรม แง่ของกิเลสที่มีหนักเบามากน้อย ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันอยู่ภายในใจ ออกมาจากนั้นละออกมาสอน ทีนี้สอนเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นะ ต้องสอนอย่างตรงไปตรงมา

คือพลังของธรรม พลังของจิตออกไปนี้ ท่านสอนด้วยพลังของจิต ท่านไม่ได้สอนด้วยงูๆ ปลาๆ ลูบนั้นคลำนี้สอน ยื่นกล้วยให้เขา เนื้อเจ้าของเอาไปกินหมด ยื่นแต่เปลือกให้เขา อันนี้ให้ทั้งเปลือกให้ทั้งเนื้อให้ทั้งเครือ กินหมดทั้งเครือก็ได้เราไม่ว่าถ้าไม่อยากตาย กินทั้งเปลือกก็ได้ กินทั้งเนื้อก็ได้ ออกไปเต็มเหนี่ยวอย่างนี้ละ เข้าใจไหม เพราะฉะนั้นการเทศน์นี้จึงเทศน์ด้วยกำลังของใจ กำลังของใจออกมาจากธรรมชาติที่รู้ที่เห็น ออกมาจึงผึงๆ ๆ พากันเข้าใจเสียนะถ้าไม่เข้าใจ

นี่หลวงตาบัวจวนจะตายแล้วเปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ธรรมเป็นอย่างนี้ เป็นอยู่ในใจ สอนพี่น้องทั้งหลายไม่ได้เอางูๆ ปลาๆ มาสอน สอนอย่างจริงจัง ใครจะยอมรับไม่ยอมรับอันนั้นเป็นเรื่องของบุคคล เพราะธรรมไปกลางๆ จะหนักจะเบาไปกลางๆ ใครจะยึดไปปฏิบัติอย่างไรก็แล้วแต่ เราไม่บังคับใคร เรียกว่าธรรมสอนโลก ไม่มีการบังคับบัญชา ถ้าเข้ามาปฏิบัติของตัวเอง ตัวเองเอาไปบังคับตัวเอง

อย่างพุทธศาสนานี้ท่านไม่บังคับใครให้นับถือ แต่เมื่อเรายอมนับถือแล้วเราต้องปฏิบัติ นี่ข้อบังคับอยู่กับเรา เช่นเรามาบวชเป็นพระ หลักธรรมหลักวินัยของพระเป็นยังไงต้องปฏิบัติตามนั้น นี่บังคับๆ เรานำธรรมมาแล้วมาบังคับตัวเอง แต่ส่วนกลางๆ ไม่บังคับใครให้เคารพนับถือ ถือก็ได้ไม่ถือก็ได้ สอนไปแล้วเขาจะเอาไม่เอาก็ไม่ไปใส่โทษใส่กรรมบังคับบัญชาเขา ธรรมเป็นของกลางสอนโลกได้ทั่วๆ ไปหมด แต่เวลาน้อมเข้ามาปฏิบัติต่อตัวเองแล้ว ธรรมนั้นต้องมาบังคับตัวเอง

ถ้าอยากดี เอ้าให้ปฏิบัติตามธรรม เราต้องการความดีเราต้องปฏิบัติตามธรรม ก็ต้องบังคับเรา นั่น ถ้าว่าศาสนาบังคับก็บังคับสำหรับผู้ปฏิบัติ ผู้นำมาปฏิบัติน้อมรับแล้ว เอา ธรรมท่านสอนว่ายังไงให้เอาไปตามนั้นๆ นี่ศาสนาบังคับสำหรับบุคคลผู้ยอมรับนับถือศาสนา ให้พากันเข้าใจ นี่สอนโลกพูดจริงๆ สำนวนโวหารจะไม่เหมือนใคร พูดให้มันชัดเจน สำนวนโวหารออกมาจากธรรมที่ปฏิบัติมา ได้รู้ได้เห็นมากน้อย จนกระทั่งเต็มสัดเต็มส่วนออกมาเต็มเหนี่ยว เวลาเทศน์เต็มเหนี่ยวเต็มจริงๆ นี่ ไม่มีคำว่าสูงว่าต่ำ ธรรมชาตินี่เหนือทุกอย่างแล้ว ไม่มีสถานที่ใดจะสูงเหนือธรรม ธรรมเหนือหมดแล้ว ออกได้ทุกแง่ทุกมุมที่เห็นควรของธรรมที่จะแสดงออกได้ ท่านทั้งหลายเข้าใจเสียนะ

การเทศนาว่าการ สำนวนโวหารเราก็ยอมรับมานานแล้วบอกว่า ไม่เหมือนแต่ก่อนนะ บอก การเทศนาว่าการแต่ก่อนทางภาคปริยัติเป็นอย่างหนึ่ง เวลามาเทศน์ทางภาคปฏิบัตินี้มันถอดออกมาจากความจริงจริงๆ ที่รู้ที่เห็นภายในจิตใจ เจ้าของยอมรับเต็มเหนี่ยวแล้ว ออกก็ออกด้วยความเชื่อในความรู้ความเห็นของตัวเอง จึงไม่สงสัยว่าจะผิดไปในธรรมะขั้นนั้นๆ  ให้ท่านทั้งหลายไปปฏิบัติเอานะ

ธรรมะพระพุทธเจ้านี้เลิศเลอสุดยอดแล้ว อย่าให้กิเลสมันเหยียบหัวๆ มองไปหาคนทั้งคนไม่มองเห็นนะ เห็นแต่กิเลสพอกหัวๆ ทั้งตัวๆ มองไม่เห็น เห็นแต่กิเลส ธรรมที่ยิบๆ แย็บๆ ภายในจิตใจมันไม่มี นี่พระพุทธเจ้าท่านเล็งญาณดูสัตวโลก ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ พอปัจฉิมยามทรงเล็งญาณดูสัตวโลก สัตวโลกมันมีแต่มูตรคูถ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง มันครอบหัวใจสัตว์โลกอยู่มืดแปดทิศแปดด้าน ส่องลงไปที่ไหนก็มีแต่กองมูตรกองคูถ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ตรงไหนที่จะพอมีวี่มีแววของอรรถของธรรมติดอยู่บ้าง นั่นละท่านเล็งญาณดูสัตวโลก ใครมีอุปนิสัยปัจจัยที่ต่างจากมูตรจากคูถนี้พอจะเล็ดลอดออกมาได้ พระองค์ก็โปรดคนนั้นๆ ให้พากันจำเอานะ

นี่ละที่ว่าเล็งญาณดูสัตวโลก สัตวโลกมันไม่เหมือนกัน คนมีกิเลสเหมือนกันแต่หนาบางต่างกัน ผู้ใดที่จะพอเล็ดลอดออกไปได้ด้วยอำนาจแห่งธรรมที่จะฉุดลากได้ พระองค์ก็นำออกมาสอนๆ บางรายจะบรรลุธรรมได้เร็วด้วย อันตรายต่อธรรมก็มีมาในนั้นด้วย เช่นทรงเล็งญาณดูพระองคุลิมาล พระองคุลิมาลนี้มีนิสัยปัจจัยเต็มเหนี่ยวเลยว่าจะเป็นพระอรหันต์ แต่ก็ไปถูกหลอกลวงจากบรรดาลูกศิษย์อาจารย์ ที่เขารวมหัวกันฟ้องร้องคนที่ดีให้เป็นคนชั่วได้ เช่นอย่างคนติดคุกติดตะราง ไม่ได้เป็นคนชั่วทุกคนนะนั่น คนดีก็มี ถูกบีบบังคับด้วยหลักฐานจอมปลอมของเขา คนนั้นเห็นอย่างนั้น คนนั้นก็ว่าอย่างนี้ว่าแบบเดียวกัน เสี้ยมสอนกันมาแบบเดียวกันโจมตีคนนี้ ทั้งๆ ที่บริสุทธิ์ สุดท้ายคนนี้ก็เป็นนักโทษได้ เป็นผู้ต้องหาได้ จับยัดใส่คุกได้

อันนี้องคุลิมาลก็เหมือนกัน เป็นคนดิบคนดีมาดั้งเดิม ครูบาอาจารย์ก็เมตตาสงสาร แต่เพื่อนทั้งหลายซึ่งเป็นลูกศิษย์เหมือนกัน อาจารย์เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ ลูกศิษย์คนไหนเป็นยังไงๆ ก็มาอยู่กับอาจารย์ ทีนี้เห็นอาจารย์มีความรักเมตตาลูกศิษย์คนนี้คือองคุลิมาล พวกลูกศิษย์ทั้งหลายที่โกโรโกโสมันก็จับมือกันมาฟ้องร้องอาจารย์ ว่าองคุลิมาลเป็นคนเช่นนั้นเป็นคนเช่นนี้ เสี้ยมสอนกันมาเป็นเสียงเดียวกันนะ คนนั้นก็เป็นพยาน คนนี้ก็เป็นพยานว่าเป็นอย่างนั้น คนนี้ก็ว่าเป็นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่เป็นคนดี มันปั้นเรื่องเท็จขึ้นมามาหลอก ทีนี้อาจารย์ก็คนเดียวไม่ได้ไปเห็นทุกแง่ทุกมุม พวกนี้เขามาพูดเป็นเสียงเดียวกัน เอ๊ มันยังไงกัน ตกลงอาจารย์ก็ไหวละที่นี่ เลยเชื่อไปตามเขา

เอา ถ้าอย่างนั้นเราจะจัดการกับเด็กคนนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ลงใจ แต่เพราะหลักฐานปลอมมันมากต่อมาก ปั้นกันขึ้นๆ โจมตีคนนี้ ให้อาจารย์ขับคนนี้พูดง่ายๆ อาจารย์ก็เลยว่า เอ้อ ถ้าอย่างนั้นเราจะจัดการเอง จึงเรียกเด็กคนนี้มาสอน เอา เราจะให้วิชาที่เลิศเลอแก่เธอ แต่ก่อนที่จะได้วิชานี้ให้เธอไปฆ่าคน เอาละที่นี่นะ ฆ่าคนหนึ่งแล้วเอาเล็บมือนั้นห้อยคอเอาไว้ คนที่สองสอง คนที่สามสามเล็บ ให้ฆ่าคนได้พันคน ได้เล็บมือมาพันเล็บมาหาเราแล้ว เราจะประสิทธิ์ประสาทวิชาที่เลิศเลอซึ่งใครๆ รับไม่ได้วิชานี้ให้

ทีนี้ผู้นี้ก็เชื่ออาจารย์ซิไม่เชื่ออาจารย์ได้ยังไง ก็ไปศึกษากับอาจารย์ อาจารย์สอนอย่างนั้น เข้าใจว่าตัวจะได้วิชาเลิศเลอ ไปที่ไหนฆ่าดะ ฆ่าคนนี้เอามาเล็บหนึ่งๆ ฆ่าไปๆ พอจวนสุดท้ายได้ ๙๙๙ จะถึงพัน เล็บที่จะถึงพันคือเล็บของแม่ตัวเอง นี่ละพระพุทธเจ้าทรงเล็งญาณดูสัตวโลก ก็ไปเจอเอาองคุลิมาล น้ำหนักก็คือจะเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว น้ำหนักอันหนึ่งที่เป็นเพชฌฆาตที่จะฆ่าอุปนิสัยของอรหันต์ให้ขาดสะบั้นลงไปก็คือแม่ พอไปฆ่าแม่ปั๊บเท่านั้นอุปนิสัยอรหันต์ขาดสะบั้นลงไป แล้วเจ้าของจมนรกเลย นั่น

พระองค์รีบเสด็จไปโปรดคนนี้ก่อน เรายกตัวอย่างมา นี่ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก แล้วก็รีบทันทีเสด็จไป เพราะเห็นองคุลิมาลกำลังจะไปหาฆ่าคน ตอนนั้นแม่ยังไม่มา พอไป ก็ดังแสดงไว้ในตำรานั่นละ เห็นพระองค์มันก็วิ่งเข้าใส่เลยจะฆ่าพระองค์ พระองค์ก็วิ่ง กลมายาของธรรมกับกลมายาของกิเลสมันก็แก้กันอย่างนั้นซิ เขาวิ่งมาจะฆ่าพระองค์พระองค์ก็วิ่ง เมื่อพระองค์วิ่ง ทางนั้นก็บอกอย่าวิ่งๆ หยุดๆ เราหยุดแล้ว นั่น พระพุทธเจ้าว่าเราหยุดแล้ว หยุดแล้วทำไมวิ่งอยู่ องคุลิมาลต่อว่าพระพุทธเจ้า คือวิ่งไล่พระพุทธเจ้าจะฆ่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าวิ่ง

ทางนั้นก็บอกว่าหยุดๆ อย่าวิ่งๆ ท่านตอบมาว่าเราหยุดแล้ว เราไม่ได้วิ่งเหมือนเธอ เธอนี้วิ่งอยู่ไม่หยุดไม่ถอย วิ่งลงนรกอเวจีอยู่เวลานี้ เราหยุดหมดแล้วเราไม่ได้วิ่ง เราไม่ได้ทำความชั่วช้าลามก สะดุดใจองคุลิมาลกึ๊กเลยทันที ทิ้งดาบที่จะตัดคอพระพุทธเจ้าลงทันที เมื่อลงใจพระพุทธเจ้าก็สอน สอนบรรลุธรรมปึ๋งในเดี๋ยวนั้นเลย ไม่นานแม่ก็มา นี่เล็บที่หนึ่งพันที่จะสังหารองคุลิมาลให้ลงนรก ที่ว่าจะเป็นพระอรหันต์ขาดสะบั้นเพราะฆ่าแม่มาแล้ว โทษอันนั้นหนักมากทีเดียวฆ่าแม่แล้วขาดสะบั้น พอดีแม่ก็มาเห็นไหมล่ะ ตกลงองคุลิมาลก็ได้เป็นพระอรหันต์แม่ก็ไม่ตาย

นี่ละเรื่องการเสี้ยมสอนกันหลอกลวงกัน คนชั่วช้าลามกมันจับมือกันหลอกคนดีต้มตุ๋นคนดีหรือทำลายคนดีให้เสียหาย อย่างปัจจุบันนี้ก็มี จับหมู่จับพวกใครพรรคพวกมากเท่าไร พวกมากลากไปๆ สุดท้ายคนดีก็จมไปด้วยกัน มีอยู่ทั่วไปอันนี้ ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ นี่ละที่ว่าท่านเล็งญาณดูสัตวโลกท่านเล็งอย่างนี้พระพุทธเจ้าเล็ง ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ ผู้นี้เป็นผู้สำคัญจึงรีบแสดงก่อน ถ้าธรรมดาก็ค่อยสอนไปๆ ท่านเล็งญาณทราบแล้วใครมีอุปนิสัยมากน้อยเพียงไรทราบๆ แต่มีอุปนิสัยมากทั้งๆ ที่จะตายอย่างรวดเร็ว จะทำลายตัวเองอย่างรวดเร็วก็รีบจัดการเสีย พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดอย่างพระองคุลิมาล นี่ละเรื่องโลก

พระองค์ทรงเล็งญาณดูอุปนิสัยของโลก ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ ตอนปัจฉิมยาม เบื้องต้นก็สอนนี่เสียก่อนเรื่อยไป แต่เราเอาปัจฉิมยามมาเลยที่เล็งญาณดูสัตวโลก พระองค์ได้อยู่เมื่อไรความเมตตาต่อโลก พอบ่าย ๓ โมง ๔ โมงก็สอนประชาชนธรรมดานับแต่พระมหากษัตริย์ลงมา พอตอนค่ำก็ประทานพระโอวาทแก่บรรดาพระสงฆ์ เสร็จเรียบร้อยแล้วพอ ๖ ทุ่ม อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ ท่านยกเป็นบาลีมา ก็สอนพวกทวยเทพทั้งหลายนับแต่ท้าวมหาพรหมลงมารวมอยู่กับพวกทวยเทพ ประทานพระโอวาทแก้ปัญหาของพวกทวยเทพทั้งหลาย เสร็จแล้วก็ ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ อันที่ ๔ ทรงเล็งญาณดูสัตวโลกก็เห็นองคุลิมาล เอาตัวนี้ละมาเลยทันที พอแก้อันนี้ตกไปแล้วก็เป็นอันว่าผ่านไป องคุลิมาลก็ได้เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ตกนรก แม่ก็ไม่ตาย

ตอนเช้ามาก็ ปุพฺพเณฺห ปิณฺฑปาตญฺจ ตอนเช้าเสด็จออกบิณฑบาต ใครได้เห็นพระองค์ ได้ยินพระวาจารับสั่งออกแต่ละคำเป็นมหามงคลๆ จากการเสด็จบิณฑบาตออกโปรดสัตว์เข้าใจไหมล่ะ เป็นอย่างนั้นพระพุทธเจ้าบิณฑบาตโปรดสัตว์ดูเอา ถ้าเลยจากนั้นโปรดอะไรก็ดูเอาซิ มันก็เห็นเต็มเนื้อเต็มตัวทุกคน นี่ละพระพุทธเจ้าเป็นของเล่นเมื่อไร เป็นตัวประกันของโลกทั้งโลกนี่ว่าไง เรายังไม่เห็นว่าพระพุทธเจ้าเป็นของดิบของดีแล้ว เราจะจมกันทั้งประเทศทั้งชาติของเรา ศาสนา พระมหากษัตริย์ นะถ้าไม่ยอมรับธรรม เอาแต่กิเลสเข้ามาทำลาย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จมได้ทั้งนั้น

ศาสนามีมาเพราะอะไร ผู้เลิศเลิศเลอขนาดไหน ชาติ ศาสนา ชาติก็คือคนเราทั้งชาติรวมกันทั้งประเทศนี่เรียกว่าชาติ นี่ก็เอาธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองรักษา ให้มีธรรมต่อกันและกันแล้วจะไม่กีดกันทำลาย ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ไม่อิจฉาพยาบาทอาฆาตจองเวรซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างเห็นอกเห็นใจกัน แล้วก็เฉลี่ยเผื่อแผ่ให้เมตตาให้อภัยกัน โลกเราอยู่ด้วยกันได้ไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อยชาติชั้นวรรณะไม่มี น้ำใจของธรรมที่เข้าสู่กันแล้วประสานกันได้หมด เชื่อเป็นเชื่อตายกันได้เลย มนุษย์ที่อยู่ร่วมกันเป็นสุขก็เพราะธรรม มีศาสนาเป็นเครื่องคุ้มครองรักษา

พระมหากษัตริย์ก็เป็นพ่อแม่ของคนทั้งชาติ ให้ความร่มเย็นแก่คนทั้งประเทศมานานสักเท่าไร ใครมาทำก็เป็นกรรมอย่างหนักทีเดียวมาทำลายพระมหากษัตริย์ของเรา เพราะนี้คือหัวใจของคนทั้งชาติอยู่ในพระมหากษัตริย์นั้นเอง ใครกราบใครไหว้ได้หมด เห็นพระรูปของพระองค์อยู่ในสถานที่ใดกราบทันทีๆ นี่ละผู้ที่ดีผู้ที่ควรจะเป็นเจดีย์ของโลก ของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเรา นี้เองที่จะเป็นเจดีย์ของชาติของเรา ศาสนาพระองค์ก็คุ้มครอง ทรงอุปถัมภ์ดิบดีด้วยกันทุกอย่าง ไม่เคยปรากฏว่าสิ่งใดที่พระมหากษัตริย์เรา ทำความเสียหายให้ประชาชนทั้งหลายได้รับความเดือดร้อน ให้ยึดให้พากันเทิดทูนอย่าพากันทำลาย อย่าพากันไปแตะต้อง ขัดกับหลักธรรมที่พ่อแม่มีมาดั้งเดิม

ลูกเกิดมาจากพ่อแม่ ลูกไม่มีพ่อมีแม่ลูกกำพร้า ลูกระหกระเหิน ลูกไม่มีกฎมีเกณฑ์ กัดกันยิ่งกว่าหมาลูกไม่มีพ่อมีแม่ ใครใหญ่ขึ้นมาก็อยากใหญ่อยากเบ่งๆ ละซิ ไม่เหมือนลูกของพ่อแม่เดียวกัน ใครใหญ่ก็ลูกของพ่อแม่ๆ ให้ความร่มเย็นเป็นสุขเสมอหน้ากันไปหมด ไม่ได้ใหญ่แบบพองตัวเฉยๆ เหมือนอึ่งอ่างพองตัวแข่งวัวเห็นไหมล่ะ นี่ละผู้มีธรรมเป็นอย่างนี้ พากันเข้าใจ ให้พากันรักษา ชาติเป็นของสำคัญมากให้ต่างคนต่างรักษา ศาสนาเป็นหัวใจของโลกที่จะประสานกันให้อยู่ร่วมกันเป็นสุข พระมหากัษตริย์เป็นพ่อแม่คนทั้งแผ่นดินมาดั้งเดิม เป็นพ่อเป็นแม่ ให้พากันทะนุถนอมท่านเหล่านี้ให้มีความสงบเย็นใจ อย่าไปก่อกวนเรื่องนั้นเรื่องนี้ อย่าไปทำลายแบบนั้นทำลายแบบนี้ซึ่งเป็นสัตว์นรก พากันจำเอานะ

วันนี้พูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมมาตั้งแต่ต้นที่เราเทศน์ธรรมดาๆ กับที่ออกปฏิบัติแล้วรู้ธรรมเห็นธรรมขึ้นภายในใจ สอนตามหลักความจริงของธรรมทั้งหลาย เอาๆ ถามมาซิน่ะ นั่นเห็นไหมล่ะ มันเต็มอยู่ในหัวใจนี้แล้ว ออกมาที่ไหนมันจะออกรับกันทันทีๆ นอกจากไม่ควรตอบไม่ตอบเสีย ถ้าควรแล้วออกทันทีๆ หนักเบามากน้อยจะออกไปตามเหตุผลของธรรม ไม่ได้ก้าวก่ายไม่เสีย เพราะฉะนั้นการสอนโลกในพระพุทธเจ้าพระสาวกทั้งหลาย จึงไม่มีเสีย ทำโลกให้บอบช้ำที่ตรงไหนจากธรรมพระพุทธเจ้าไม่มี มีแต่ความเป็นสิริมงคลทั้งนั้น เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ตถาคต ให้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมแล้วไปสร้างความมงคลแก่ตน โดยการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็จะมีความเจริญรุ่งเรืองและผาสุกร่มเย็นสงบทุกอย่างทั่วๆ ไปหมด ให้พากันจำเอา วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ละ เอาละพอ

ผู้กำกับ  กราบนมัสการหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ด้วยการแสดงธรรมะผ้าป่าช่วยชาติที่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน องค์หลวงตาเมตตาแสดงธรรมะ และรับผ้าป่าช่วยชาติที่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ชาวจังหวัดแม่ฮ่อนสอนมีความซาบซึ้งในรสพระธรรมของหลวงตามาก ด้วยหวังพึ่งองค์หลวงตานำพาขึ้นถึงฝั่งพระนิพพานให้ได้ แต่การคมนาคมของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ยากลำบากที่จะมาฟังธรรมะได้ตามความประสงค์ ชาวอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน จึงลงมติให้จัดตั้งสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนของจังหวัดแม่ฮ่องสอนขึ้น ณ วัดป่าเมืองปาย หมู่ ๘ ตำบลเวียงใต้ อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ด้วยกำลังส่ง ๑๐๐ วัตต์ ในระบบ FM ออกอากาศช่วงเวลาตี ๕ ถึง ๕ ทุ่ม โดยกำหนดให้เป็นสถานีเครือข่ายของวัดป่าบ้านตาด สัญญาณจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนร้อยเปอร์เซ็นต์นี้จะออกอากาศ ตั้งแต่วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๔๘ และจะติดตั้งสัญญาณดาวเทียมในโอกาสต่อไป

ศรัทธาทั้งหลายขอน้อมถวายสถานีวิทยุดังกล่าว ประกอบด้วยเสาสูง ๓๐ เมตร เครื่องส่งวิทยุ ๑๐๐ วัตต์ แผงอากาศ สายอากาศ พร้อมอุปกรณ์ต่างๆ แก่องค์หลวงตา เพื่อเป็นสมบัติของสงฆ์ และขอปวารณาว่าจะช่วยกันดูแลบำรุงรักษาอุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้ ให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดีทุกประการ และพร้อมที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายต่างๆ อันเกิดจากการดำเนินของสถานีวิทยุดังกล่าว โดยมิให้เป็นภาระแก่องค์หลวงตาและวัดป่าบ้านตาด ในการนี้เพื่อใช้เผยแพร่ธรรมะเป็นธรรมทาน หากมีสิ่งใดที่องค์หลวงตาจะเมตตาพิจารณาให้แก้ไขโปรดพิจารณาสั่งการ ศรัทธาทั้งหลายน้อมรับจะไปปฏิบัติตามทุกประการ

ด้วยความสามัคคีของศรัทธาทั้งหลายที่ต่างอุตสาหะวิริยะ เสียสละช่วยกันตั้งสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน ขออานิสงส์ของการถวายทานครั้งนี้ ขอให้ศรัทธาทั้งหลาย ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ประสบแต่ความสุขความเจริญในทางโลกและทางธรรม มีดวงตาเห็นธรรมได้มรรคผลนิพพานในชาตินี้ด้วยเทอญ

กราบนมัสการด้วยเศียรเกล้า

ลงชื่อ พระบุญรอด ฑีฆายุโก

วัดป่าเมืองปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ครับ

หลวงตา  เอ้อ วัดนี้เราเคยไปพักหรือเปล่า ถ้าตัวจังหวัดนั้นเราไปพัก (นี่อำเภอเมืองปายครับ) อันนี้อำเภอเมืองปาย ไม่ได้อยู่ในตัวจังหวัดนะ ที่ว่านี้คือที่วัดนั้นเราไปพัก เป็นวัดกรรมฐาน พอไปพักเราไปเที่ยวดูที่ไหนไม่เห็นทางจงกรม มาก็ซัดกันใหญ่ละซิ เอาหนักอยู่นะ โถ พวกนี้กรรมฐานยังไงมาขายหน้า เอากันหนักทีเดียวเผ็ดๆร้อนๆ ทีเดียว พอเรากลับมาทราบว่าสร้างทางจงกรมเต็มวัดเลย นี่ละพอพูดถึงเรื่องนี้เราจึงถามตรงนั้น เพราะเราไปดุพระอย่างเด็ดเสียด้วยไม่ใช่ธรรมดา เพราะเที่ยวไปดูหมด เราไปพักที่นั่นหาทางที่จะเดินจงกรมไม่มี เอ๊ะ มันยังไงพระเหล่านี้มาภาวนาหาอะไรกัน เราต้องไปหาซอกแซกอยู่ในป่า มันเป็นทางเรียบๆ อยู่ในป่าลึกๆ ไปเดินจงกรมอยู่นั้น เหล่านี้ไม่มีทางจงกรม นั่นละที่กลับออกมาจึงฟาดพระใหญ่เลย ทีนี้พอกลับมาไม่นานได้ทราบว่า โอ๋ย พอหลวงตากลับไปแล้วพากันสร้างทางจงกรม เดี๋ยวนี้เรียบหมดที่ไหนมีแต่ทางจงกรม เรามีปัญหาหนึ่งให้ถามขึ้นอีกนะว่า มันมีทางจงกรมมีคนเดินหรือไม่เดินจงกรม ถามไปอีกเดี๋ยวนี้ยังไม่ได้รับคำตอบเลย เอาละพอใจ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก