สุดยอดทางปฏิบัติ สุดยอดทางปริยัติ
วันที่ 2 ตุลาคม 2548 เวลา 8:25 น.
สถานที่ : ณ วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

สุดยอดทางปฏิบัติ สุดยอดทางปริยัติ

ก่อนจังหัน

ที่ชาวพุทธเราปฏิบัติมาเช่นวันเสาร์ วันอาทิตย์ วันพระ วันโกนนี้ถูกต้องแล้ว ยึดหลักนี้ให้ดี คือ วันเสาร์ วันอาทิตย์ วันพระ วันโกนอะไร เช่น ๑๔-๑๕ หรือ ๗-๘ ค่ำ เหล่านี้ เป็นวันที่ทางศาสนาทุกศาสนาเปิดให้ว่างการงานทางภายนอกทั้งหลาย เพื่อสั่งสมการงานภายในจิตใจคือความดีงาม เฉพาะพุทธศาสนาของเรานี้คือทางใจล้วนๆ ทำจิตให้สงบเย็นใจในวันเช่นนี้ เพราะจิตนี้ยุ่งตั้งแต่ตื่นนอนมา ไม่ทราบมันเปิดเครื่องเมื่อไร จนกระทั่งถึงหลับ นั่นเรียกว่าดับเครื่อง ถ้าไม่หลับแล้วตายมนุษย์เรา นี้อาศัยการหลับเป็นการดับเครื่องความคิดความปรุงยุ่งเหยิงวุ่นวาย ตื่นนอนไปพร้อมกันเลย สังขารคือความคิดความปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมา ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นเรื่องสร้างความกังวลและความทุกข์ร้อนให้ตัวเองมากกว่าที่จะเป็นความดี เพราะฉะนั้นจึงใช้ความคิดประเภทนี้ในวันเสาร์ วันอาทิตย์ วันพระ วันโกน เพื่อความสงบจิตใจของเรานี่ถูกต้องแล้ว

ใจนี้เป็นตัวสมบุกสมบันที่จะพาสัตว์โลกทั้งหลายให้เกิดในสถานที่ต่างๆ เต็มโลกธาตุนี้มีแต่จิตดวงเดียวนี้ละไปเกิด จิตดวงนี้ไม่ใช่ไปเกิดแบบลอยๆ นะ มีบาปมีบุญพาให้ไปเกิด ถ้าใครสร้างบาปมาก ผู้นั้นก็เรียกว่าสั่งสมยาพิษเผาหัวใจตนเอง เวลาไปเกิดก็ไปเกิดในภพที่เป็นพิษเป็นภัย เสวยความทุกข์ความเดือดร้อนตั้งแต่พื้นๆ จนกระทั่งถึงนรกอเวจี นี้คือการสร้างความชั่วของใจเข้าสู่ตัวเอง ด้วยความเพลิดเพลิน ความรื่นเริงบันเทิง ไม่คิดอ่านไตร่ตรองอะไร อยากอะไรก็ทำตามความอยาก ความอยากนั้นเป็นกิเลสเครื่องหลอกลวงจิตใจ เพราะฉะนั้นจึงต้องได้หักห้าม ต้องได้พินิจพิจารณาความคิดความปรุง ความเคลื่อนไหวไปมาในกิริยาอาการของเรา ต้องใช้ปัญญา มีธรรมเข้าแทรกๆ ว่าควรหรือไม่ควรๆ นี้เรียกว่าธรรม

วันเช่นนี้เป็นวันที่เสาะแสวงหาความดีงาม บุญกุศลศีลทานที่ท่านทั้งหลายนำมาบริจาคนี้ เป็นวัตถุอันหนึ่ง เป็นส่วนหยาบ ส่วนละเอียดที่เป็นบุญกุศลแท้ไม่ได้อยู่ในวัตถุนี้ ออกจากวัตถุนี้เข้าสู่จิตใจ เพราะความดำริจะสร้างคุณงามความดีนี้ดำริออกจากใจ ใจนี่สร้างบุญสร้างกุศล อันนี้เป็นวัตถุอันหนึ่งซึ่งเป็นวัตถุหยาบ ไม่ไปสรรค์ไปนิพพานลงนรกอะไรแหละด้วยวัตถุเหล่านี้นะ ใจนั้นละจะไปสวรรค์เพราะความดีงามได้แก่กุศลที่เราสร้างขึ้นจากการทำบุญให้ทานต่างๆ บุญกุศลนี้เข้าสู่ใจ ใจจะไปสู่สถานที่ดีคติที่เหมาะสมเป็นลำดับลำดาไป นี่คือองค์ศาสดาคือพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์จะสอนไว้แบบเดียวกันหมด เพราะเป็นความจริงล้วนๆ ด้วยกัน

พอตรัสรู้ขึ้นมาก็ตรัสรู้รู้แจ้งความจริงทั้งหลายทั้งดีทั้งชั่ว บาปบุญคุณโทษ นรก สวรรค์ พรหมโลก กระทั่งนิพพาน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์รู้แจ้งแทงทะลุหมด แล้วนำสิ่งที่ทรงรู้ทรงเห็นนั้นทั้งดีทั้งชั่วมาสอนสัตว์ทั้งหลาย อะไรที่ชั่วก็บอกว่าสิ่งนั้นชั่วๆ แล้วอย่าทำ ถ้าทำความชั่วแล้วจะไปสถานที่ชั่วช้าลามกไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งนรกอเวจี การสร้างความดีนี้ เอา สร้างลงไปๆ เป็นความดีทั้งนั้น และดีขึ้นโดยลำดับลำดา นี่จะหนุนจิตใจของเราให้ไปสู่ภพนั้นๆ เป็นภพที่สมหวังๆ เป็นลำดับลำดาไป จนกระทั่งถึงมรรคผลนิพพาน ล้วนแล้วออกจากกุศลผลบุญที่เราสร้างมานี้ทั้งนั้น

ของมาให้ทานนี้ อันนี้ไม่ได้ไปสวรรค์ไปนิพพาน บุญเกิดขึ้นที่ใจจากวัตถุที่เราให้ทานนี้หนุนเข้าสู่ใจ อันนั้นละจะพาไปสวรรค์นิพพาน อันนี้ไม่ไป เป็นวัตถุเครื่องแสดงออกแห่งกุศลที่จะพาบุคคลผู้สร้างความดีเหล่านี้ให้ไปสวรรค์นิพพานได้ พากันจำให้ดี คำสอนเหล่านี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ เป็นคำสอนที่แน่นอนที่สุด พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เอกอุ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่สอนแล้วแม่นยำๆ ให้จำให้ดี และให้ไปปฏิบัติ

วันหนึ่งๆ ให้มีว่างทางอรรถธรรมเข้าสู่ใจบ้าง เช่น เราทำการทำงาน เราระลึกถึงธรรม เช่น พุทโธ หรือธัมโม สังโฆ บทใดก็ตาม นี้เรียกว่าธรรม งานอันนี้เป็นงานหนุนจิตใจให้มีความสุขความเจริญ งานอย่างอื่นอย่างใดที่เราทำนั้นเพื่อธาตุเพื่อขันธ์ ความเป็นอยู่ปูวาย มีความจำเป็นด้วยกัน ให้แยกความจำเป็นทั้งส่วนร่างกาย แยกความจำเป็นทั้งส่วนจิตใจของเราให้สม่ำเสมอในบุคคลคนเดียวกัน ไม่เช่นนั้นจะพลาดนะ ส่วนมากพลาดทั้งนั้นแหละ เศรษฐีๆ นี้ร่ำลือกันทั่วโลกดินแดนมานานแล้ว เศรษฐีลงนรกนี่ไม่ร่ำลือนะ มีพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกเท่านั้นท่านรู้ ท่านร่ำลืออยู่ภายในจิตใจของท่าน ท่านเหล่านี้แม่นยำ

ว่าเป็นเศรษฐี แล้วก็ยกคำว่าเป็นเศรษฐี คนนั้นเรียกว่าปิดแดนนรกหมด คือเปิดแดนนรกในขณะเดียวกันที่ลืมตัว มีสมบัติเงินทองข้าวของมากก็ลืมตัวๆ อยากทำอะไรก็ทำๆ ส่วนมากเป็นความชั่ว ความชั่วนี้แหละพาเจ้าของให้ลงนรก สมบัติเงินทองไม่ลง เจ้าของผู้ลืมตัวนั้นลง ทีนี้เศรษฐีเหมือนกัน ดังที่ว่าอนาถบิณฑิกเศรษฐี และเมณฑกเศรษฐี เป็นต้น นี้เศรษฐีใจบุญ ทั้งเศรษฐีธรรมทั้งเศรษฐีเงิน ไปดีด้วยกันทั้งนั้น นี่เศรษฐีมีธรรมในใจ ภายนอกก็มีเงินมีทอง ภายในก็มีอรรถมีธรรมมีบุญมีกุศล ท่านเหล่านี้เป็นเศรษฐีที่ลือนาม เวลานี้เสวยความดีอยู่บนสวรรค์นะท่านเหล่านี้

ผู้ที่ลืมเนื้อลืมตัวก็ไปเสวยทุกข์อยู่ในแดนนรก ดังที่ท่านแสดงไว้ว่า เศรษฐี ๓ สกุล นี่เราเคยมาเทศน์ให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว ๓ สกุลเศรษฐีนี้ลืมตัวด้วยกันทั้งสามสกุลนั้นแหละ ไปหลอกลวงต้มตุ๋นเขาด้วยอำนาจแห่งกิเลสตัณหากามราคะ หลอกต้มหลอกตุ๋นลูกใครเมียใครก็ตาม เอาเงินยื่นให้ๆ หลอกเขา ใครก็ต้องการเงินมันก็ต้องเป็นไปละคนเรา ทำให้ครอบครัวเหย้าเรือนผัวเมียเขาแตกกระจัดกระจายจากกัน จากเศรษฐีสามสกุลนี้แหละ ร้อนกันไปทุกหย่อมหญ้า เศรษฐีสามสกุลนี้ทำประชาชนครอบครัวเหย้าเรือนผัวเมียลูกหลานของใครๆ ให้เดือดร้อนไปทั่วทุกหย่อมหญ้า พอตายแล้วจมลงนรกเลย เดี๋ยวนี้ยังไม่ขึ้น

จากนี้ลงนรก ๖ หมื่นปีกว่าจะถึงก้นนรก เสวยทุกข์ ๖ หมื่นปี ไปอยู่ก้นนรกอีก ๖ หมื่นปี ขึ้นจากก้นนรกมาผิวนรกอีก ๖ หมื่นปีเป็นประจำในสามสกุลนี้ ได้รับความทุกข์ความทรมานมาก จนกระทั่งถึงว่าในบาลีมี แต่เราไม่ยกบาลีมา ไปตกนรกนั้น พวกเราทั้งหลายเวลาสมบัติเงินทองมีอยู่ ไม่ทำบุญกุศล ไม่ทำที่พึ่งแก่ตน พวกเราทั้งหลายสร้างแต่บาปแต่กรรมด้วยความลืมเนื้อลืมตัว เมื่อไรความทุกข์เหล่านี้ถึงจะปรากฏ อันหนึ่งก็ตอบรับกันว่า ความทุกข์เหล่านี้ไม่ปรากฏจะดับไป จนกว่าจะสิ้นกรรมของเราทั้งหลายที่ทำแล้วถึงจะพ้นได้ ถ้าสิ้นกรรมเมื่อไรแล้วเราได้เกิดเป็นมนุษย์เมื่อไร เราจะเป็นผู้ไม่ประมาท ทำบุญให้ทาน เอาให้สุดกำลังความสามารถของเราเลย นี่พูดเวลาตกนรกอยู่นะ ประหนึ่งว่าจะได้ขึ้นจากนรกไปเกิดเป็นมนุษย์วันพรุ่งนี้ มีความกระหยิ่งยิ้มย่องว่างั้นเถอะ เพราะความทุกข์ในนรกนั้นมีมากมายก่ายกอง

นี่ละความมีเงินมีทองมีข้าวมีของของบุคคลที่ลืมตัวทำให้ตกนรก อย่างที่ว่าสามสกุล เราไม่ยกบาลีมา ยกก็ยกแต่เพียงย่อๆ ทุ สะ นะ โส

ทุ บาลีว่า ทุชฺชีวิตมชีวิมฺหา   เยสํ โน น ททามฺห เสฯ  ย่อๆ นะ ว่าทุคำเดียวเท่านี้ต่อไปโน้น ได้ทุคำเดียวจมแล้วๆ  เรายกตัวอย่างมาอย่างนี้ละ บาลีมี ทุ สะ นะ โส เป็นอักษรย่อ เปล่งออกมาได้คำเดียว คาถามากๆ คำพูดมากๆ พูดไม่ได้ พูดได้คำเดียวจมนรกๆ  นี่ใครเป็นคนพูดไว้ และใครเป็นคนทำ ก็เศรษฐีสามสกุลเป็นคนทำไว้แล้วตกนรก พระพุทธเจ้าทรงนำมาแสดงสอนโลก นี่ละสิ่งที่ชั่วอย่าพากันทำ แดนนรกไม่มีสัตว์ตัวใดปรารถนา อย่าพากันปรารถนาด้วยการทำความชั่วช้าลามก ด้วยความชอบใจของตนจะพากันจมแน่นอน

ไม่มีคำพูดใดจะแน่ยิ่งกว่าคำพูดของพระพุทธเจ้า ให้พากันสร้างคุณงามความดีเวลามีชีวิตอยู่ ใจดวงนี้ไม่ตาย ไม่มีคำว่าตาย ถึงตกนรกเสวยกรรมอยู่กี่กัปกี่กัลป์ ก็ต้องเสวยอยู่ตามกรรมของตน จนกว่าจะสิ้นกรรมเมื่อไรแล้วผ่านพ้นขึ้นมาด้วยหมดกรรม กรรมดีมีก็เสวยกรรมดีไป แล้วพลิกตัวไปใหม่ในทางที่ถูกที่ดี ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหม จากนั้นถึงนิพพานเป็นธรรมธาตุไปหมดเลย นี่ไม่สูญจิตดวงนี้ ที่สุดของจิตดวงนี้คือธรรมธาตุ บริสุทธิ์สุดส่วนแล้วเรียกว่าธรรมธาตุ ดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย จิตของท่านเป็นธรรมธาตุทั้งนั้น จากการสร้างคุณงามความดี ไม่ได้เป็นเพราะการทำความชั่วช้าลามกนะ อย่าพากันสนใจเรื่องทำความชั่วช้าลามก

เวลานี้เมืองไทยเราจะไม่มีพุทธศาสนาติดเนื้อติดตัวติดใจแล้วนะ มีแต่เรื่องชั่วช้าลามก มองไปแล้วสลดสังเวช ไม่ได้ดูถูกโลกสงสาร มองตามความสัตย์ความจริงทั้งดีทั้งชั่ว ความดีนี้มีน้อยมาก แต่ความชั่วนี่เหลือล้นพ้นประมาณ แล้วเอามาเป็นตัวของเราซิ แยกมาเป็นตัวของเรา ความชั่วเหลือล้นพ้นประมาณ ความดีนี้แทบไม่มี อยู่กับใคร ให้เอามาถามตัวเอง ถ้าหากว่าเจ้าของไม่มีความดี มีเล็กน้อย เพิ่มเข้าให้ดี ความชั่วเหลือล้นพ้นประมาณให้ตัดลงๆ ให้งดความชั่วอย่าทำ แล้วความดีจะหมุนเข้ามาหาตัวของเรา

เอาเราเป็นเครื่องตัดสิน อย่าไปเอาคนหนึ่งคนใดในโลกนี้มาตัดสิน เราเป็นผู้รับกรรมของเราเอง ต้องเอานี้มาตัดสิน ใจของเราตัวของเรา ดัดแปลงกายวาจาใจของเรา ทุกข์ยากลำบากเหมือนกันผู้ที่จะทำความดี ไม่เช่นนั้นไม่ดี คิดดูซิพระพุทธเจ้าสลบสามหน เลยสลบก็ตายเท่านั้นทุกข์หรือไม่ทุกข์ นั่นละเสาะแสวงหา ผลที่เกิดขึ้นมาก็คือเป็นศาสดาเอกของโลก นั่นน่ะผล ทุกข์ๆ เพื่อความสุข ทุกข์เพื่อมหันตทุกข์ก็มี ทุกข์เพราะเป็นความลำบากลำบนในการทำความชั่วช้าลามกยิ่งเป็นมหันตทุกข์ ทุกข์ด้วยอำนาจแห่งการทำความดีทั้งหลาย เอ้า ทุกข์เถอะ ทุกข์อันนี้เพื่อจะเป็นสุขหนุนเราทั้งนั้นแหละ พากันจำเอานะ

พระเราให้ตั้งใจปฏิบัติ อย่าลืมเนื้อลืมตัวนะพระ สติติดแนบกับตัว สำคัญมากนะสติ ตั้งแต่พื้นถึงวิมุตติหลุดพ้น หนีสติไปไม่ได้ สติเป็นธรรมที่ครอบครองจิตใจได้ดี จิตที่มีสติจะไม่คิดไม่ปรุงเรื่องกิเลสทั้งหลาย กิเลสจะออกทางความคิดความปรุง นี้เป็นอันดับแรก คิดแล้วก็พูดก็ทำไปจากสังขารตัวนี้ที่คิดเรียบร้อยแล้ว สังขารตัวนี้ออกมาจากอวิชชา ถ้าสติมีอยู่จับอยู่มันจะมากขนาดไหนก็ออกไม่ได้ สตินี่สำคัญมากต้านทานได้กิเลสทุกประเภท ขอให้มีสติ จิตจะคิดทางชั่วช้าลามกไม่ได้ สติบีบบังคับๆ เอาไว้

ทีนี้ใจเมื่อมีสติคุ้มครองรักษาแล้ว ใจจะเป็นความสงบร่มเย็นขึ้นมาๆ เพราะไม่มีสิ่งก่อกวน คือกิเลสนั่นแหละ ต่อไปก็ตั้งรากฐานได้ด้วยสติ ตั้งรากฐานได้ จิตมีความสงบร่มเย็นแล้วกระจายพิจารณาทางด้านปัญญา ออกกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ในสกลกายของเรานี้ดูได้ทุกอย่าง ให้ดูในสกลกายของเรา มีหมดทั้งดีทั้งชั่ว ส่วนมากมีแต่ชั่วเต็มอยู่ในนี้ เอาปัญญาหยั่งลงไปนี้แล้วมันจะเบิกกว้างออกๆ จิตใจจะมีความเฉลียวฉลาดแหลมคมเข้าไป ถอดถอนสิ่งที่ชั่วช้าลามกที่ไม่เคยพบเคยเห็นแต่ก่อนด้วยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงออกไปโดยลำดับ แล้วหลุดพ้นไปโดยลำดับ จำให้ดี สติเป็นสำคัญอย่าลืมใครก็ตามนักภาวนา แม้แต่ชาวบ้านเขาผู้มีอรรถมีธรรม ไปที่ไหนมีสติ คนมีสติไม่ค่อยลืมตัว คนลืมตัวคือคนไม่มีสตินั่นแหละ จำเอา เอาละให้พร

หลังจังหัน

ทองคำน้ำไหลซึมที่ได้หลังจากมอบคลังหลวงเรียบร้อยแล้ว ได้มาทีหลังนี้ ๑๖๘ กิโล ๖๐ บาท ๓๙ สตางค์ รวมกับ ๓๗ กิโลครึ่งที่มอบแล้วเป็น ๒๐๖ กิโล นี่เลยจาก ๑๑ ตันมาเป็น ๒๐๖ กิโล ๒๗ บาท ๕๐ สตางค์ ต่อไปก็จะให้ค่อยไหลซึมเข้ามาเรื่อยๆ ให้มากขึ้นๆ เราจะพยายามหาทองให้ค่อยไหลมาเรื่อยๆ อย่างนี้ ให้มีจำนวนมากกว่าเท่าที่มีอยู่ในคลังหลวง วันไปดูทองคำในคลังหลวง เราก็ทราบความหมายของหัวหน้าคลังหลวง คือวันนั้นเป็นครั้งแรกที่เราเอาทองคำไปมอบคลังหลวงกับดอลลาร์

พอมอบเสร็จแล้วหัวหน้าคลังหลวงมานิมนต์เราเข้าไปดูทองคำในคลังหลวง นั่นท่านมีความหมาย เข้าใจไหมล่ะ เห็นทองคำไหลเข้ามานี้ก็มีความหมาย เพราะฉะนั้นจึงนิมนต์เราเข้าไปดูทองคำในคลังหลวง เราก็ทราบความหมายทันที หัวหน้าคลังหลวงบอกว่าในคลังหลวงนี้มีสองท่านที่ได้มาเห็นนี้ ใครบ้างล่ะ สมเด็จพระเทพฯ หนึ่ง กับหลวงตา ก็ไปดูละเอียดลออ คือมันเป็นล็อกๆ เดินดูเป็นล็อกๆ ทองคำก็เป็นแท่งอย่างที่เราไปมอบ แท่งหนึ่ง ๑๒ กิโลครึ่ง วางเป็นตับๆ เราก็ไปดูละเอียดลออแล้วก็มาถามหัวหน้าคลังหลวง

จากนั้นมาเสียงก็แผดก้องขึ้นละที่นี่ เสียงเราน่ะ แผดก้องขึ้นเลย พอมาถึงวัดเท่านั้นเอาละเริ่มตั้งแต่บัดนั้นเลยที่นี่ พอไปเห็นทองคำแล้วใจหายไปหมดเลย คนทั้งประเทศมีทองคำเพียงเท่านี้เป็นไปได้ยังไง นี่ละที่ว่าเมืองไทยจะจมๆ เพราะเหตุนี้เอง เอาอันนี้เป็นต้นเหตุเลย เพราะฉะนั้นจึงต้องขวนขวายเต็มเม็ดเต็มหน่วย คราวช่วยชาติคราวนี้เราก็ได้ทองคำมาตั้ง ๑๑ ตันกับ ๓๗ กิโลครึ่ง นี่เรียกว่ามอบเข้าคลังหลวงเรียบร้อยแล้ว กับดอลลาร์ ๑๐ ล้าน ๘ แสนกว่า จากนั้นทองคำเราก็ค่อยเข้าเรื่อยๆ อย่างนี้ละ

คือทองคำจะไม่มีแบ่งมีแยกไปไหนเลย ส่วนดอลลาร์มี ตั้งแต่เรามอบดอลลาร์พร้อมกับทองคำวันนั้นแล้ว คือมอบครั้งสุดท้ายนี่นะ ดอลลาร์รวมแล้ว ๑๐ ล้าน ๘ แสนกว่าดอลล์ เราก็บอกว่าต่อไปนี้ดอลลาร์จะไม่แน่นอนนะ ส่วนทองคำแน่ตลอดไปไม่แยกไปไหนเลย ส่วนดอลลาร์นี้มีความจำเป็นที่จะต้องแยกแล้ว เพราะเราหยุดจากการเทศน์นี้แล้ว เงินทองข้าวของที่ได้มาเพื่อช่วยชาติก็ไม่มี แต่ผู้ที่มาขอด้วยความยากจนๆ นี้ไหลเข้ามาไม่หยุดไม่ถอย ทีนี้เงินไทยของเราก็นับวันบกบางเข้าไปทุกวันๆ เราจึงต้องเอาดอลลาร์เข้ามาบวกกับเงินไทย เปลี่ยนดอลลาร์มาเป็นเงินไทย ช่วยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ดอลลาร์จึงมาเป็นเงินไทยๆ ช่วยชาติเราเรื่อยมาอย่างนี้

ส่วนทองคำไม่มีตั้งแต่ต้นจนอวสาน ไม่มีแยกไปไหนเลยเด็ดขาด เข้าเลย ส่วนดอลลาร์มีแยก เวลานี้เงินเราที่จะช่วยชาติมันหมดมันสิ้นเป็นลำดับ เพราะฉะนั้นเราพูดให้เต็มยศก็คือว่าเรานี้อกจะแตกนะ เพราะผู้มาขอมาทุกวันๆ เราที่จะให้เงิน มีเงินมีทองตอบรับช่วยเหลือผู้มาขอมันไม่มีละซิ นี่ละเราจะตาย มาแทบทุกวันนะมาขอ ส่วนเงินที่ได้มาก็ได้มาอย่างพี่น้องทั้งหลายบริจาคนี่ คือไม่ได้มาจากการเทศน์ช่วยชาติ ได้มาธรรมดา แต่ผู้มาขอไม่ลดหย่อนผ่อนผันเลยที่เราจะตายนะ โอ๋ย หนักมากนะ

ที่เขาเขียนไว้หน้าวัดว่า เงินวัดป่าบ้านตาดเป็นเงินเพื่อโลกหรือช่วยโลก ถูกต้อง คือเราไม่มีไปไหนเลย ได้มาเท่าไรๆ เพื่อช่วยโลกทั้งนั้นๆ เราเองเราไม่ปรากฏว่าสั่งให้ไปซื้ออะไรๆ มาให้เรา ไม่เห็นมี เพราะอันไหนก็เหลือเฟือๆ แต่ผู้ยากจนนั่นซิมันจะตาย แล้วเฉลี่ยทางโน้นเฉลี่ยทางนี้ โห หนักมากอยู่นะการช่วยชาติบ้านเมืองไม่ใช่เล่น ที่เขามาขอส่วนมากก็เป็นโรงพยาบาล โรงพยาบาลเป็นอันดับหนึ่ง มาเรื่อยๆ เครื่องไม้เครื่องมือ ตึก สถานที่อะไร โอ๊ย พรรณนาไม่จบเรื่องโรงพยาบาล หนักมากอยู่ ถ้าหากได้พบกับคุณทักษิณโดยเฉพาะนะ จุดนี้เป็นจุดที่เราต้องการอยู่แล้วคือโรงพยาบาล ขาดแคลนมากทีเดียวพวกโรงพยาบาลต่างๆ วิ่งเข้ามาหาเราแทบเป็นแทบตายเราก็ดี ถ้าหากว่าได้พบนายกต่อหน้าต่อตาจะพูดตรงเป๋งเลยอันนี้ ให้หาเงินให้โรงพยาบาลหน่อยน่ะ ว่างั้นเลย หลวงตากำลังจะตายนะเดี๋ยวนี้ ช่วยหลวงตาหน่อย ไม่ได้พบกัน นานๆ จะได้พบ ถ้าพบเอาแน่ๆ

เพราะเรากับโรงพยาบาลนี้พันกันอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ยังไม่ช่วยชาติ เราช่วยโรงพยาบาลสร้างตึกอะไร โรงร่ำโรงเรียน ตั้งแต่เริ่มสร้างวัด มีเงินมาเท่าไรสร้างโรงร่ำโรงเรียน ขึ้นถึงโรงพยาบาลเรื่อยมาจนกระทั่งป่านนี้ละ มันถึงได้รู้เรื่องของโรงพยาบาลได้ดี ถ้าหากว่าได้พบนายกยังไงก็จะต้องขึ้นนี้ละก่อน ขึ้นโรงพยาบาลก่อนเลย เพราะเราสงสารโรงพยาบาล ไปที่ไหนเห็นเราเข้าไปนี้รุมมา เหมือนลูกวิ่งใส่พ่อใส่แม่นั่นละ รุมมาๆ เป็นอย่างนั้นนะ เราช่วยๆ ตลอด ถ้าเป็นวันราชการ เช่น จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เราไปนี้ไปโรงนั้นวันนั้น วันนั้นไปโรงนั้นๆ ประจำนะ เว้นแต่วันเสาร์วันอาทิตย์อย่างนี้เราไม่ไป นอกจากนั้นทำอย่างนั้นทั้งนั้น

เรื่องการเงินการทองธรรมดาก็เรียกว่ามาก ที่ไหลเข้ามาวัดป่าบ้านตาด เรียกว่ามากอยู่ ผิดวัดทั้งหลายอยู่เหมือนกัน แต่เวลาออกเอาอีกละที่นี่ ผิดวัดทั้งหลายอีกแหละ นี่ละมันไม่ทันกัน มีเท่าไรไหลออกๆ สำหรับเราเองเราไม่เคยคิดนะ เรื่องเป็นเรื่องตายก็ไม่เคยคิด ตื่นขึ้นมาปั๊บจิตมันจะซ่านออกไปแล้วถึงเรื่องบ้านเมืองโลกสงสาร คิดแล้วๆ จะไปที่ไหนก่อนหลังอะไร คิดเรียบร้อยแล้ว เป็นอย่างนั้น

แต่ยังไงก็ตามขอให้พี่น้องจำไว้ให้ถึงใจนะ เรื่องธรรม เรื่องบุญเรื่องกุศลมีในใจนี้ไปไหนไม่ได้หนักได้หน่วงนะ จะเป็นคนทุกข์คนจนคนมั่งคนมี ถ้ามีธรรมในใจด้วยแล้ว คนนั้นจะโล่งๆ ไปไหนโล่ง อยู่ก็โล่งไปก็โล่ง หลับนอนโล่ง มีชีวิตอยู่ก็โล่งตลอดนะ เป็นอยู่ในใจนี่ละ ถ้าไม่มีอันนี้แล้วจะมีอะไรๆ คอยแต่จะพังๆ จะเกาะนั้นก็พัง จะเกาะนี้ก็พัง เพราะสิ่งเหล่านี้พังทั้งนั้น ตัวเราเองก็พัง เขาไม่พังเราก็พัง ไว้ใจกันไม่ได้ ถ้ามีธรรมภายในใจแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่ค่อยอาศัยนักนะ ธรรมในใจนี้หนุนตลอด อันนั้นไม่ได้หนุน

ถ้าไม่คิดไปถึงว่าเรามีเงินเท่านั้นทองเท่านี้ สมบัติสิ่งต่างๆ มีเท่านั้นเท่านี้ ไม่คิดอย่างนั้นแล้วเหมือนไม่มีนะ แต่อันนี้คิดไม่คิดมันก็หนุนอยู่ตลอดธรรมภายในใจแน่นอน นี่ละธรรมภายในใจเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นการเป็นการตายของผู้มีธรรมจึงต่างกันมากกับคนที่สร้างบาปสร้างกรรมทั้งหลาย สร้างบาปสร้างกรรมก็เข้าสู่ใจ ไปเป็นข้าศึกต่อใจ สร้างบุญสร้างกุศลก็เป็นคู่พึ่งเป็นพึ่งตายของใจ นั่นต่างกันนะ

ได้คิดทบทวนเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มกำลังความสามารถตลอด คิดเรื่องโลกเรื่องธรรมคิดเต็มหัวใจมาตลอดแหละจนกระทั่งทุกวันนี้ ตอนที่ประกอบความพากเพียร คิดหมุนตั้งแต่ความเพียรฆ่ากิเลส หมุนอย่างเดียวไม่สนใจกับอะไรเลย หลังจากนั้นมาแล้วมันก็กระจายออกละ คิดเรื่องโลกเรื่องสงสาร จึงได้ช่วยบ้านช่วยเมืองตามกำลังความสามารถ แต่ไม่ได้คิดว่าจะช่วยแบบนี้นะ ช่วยแบบที่ช่วยอยู่ทุกวันนี้ ช่วยชาติเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลาย เราไม่คิดอันนี้

แต่เมื่อเห็นเมืองไทยเราหัวใครก็ตาม ตลอดหมูหมาเป็ดไก่จ่อลงทะเลแห่งความล่มจมด้วยกันทั้งนั้น พ่อแม่ปู่ย่าตายายเราก็เป็นคนไทย พาถ่อพาพายมาก็ไม่เห็นเป็นถึงขนาดนี้ นี้ลูกหลานของคนไทยเกิดมาตั้ง ๖๒ ล้านคน แล้วหัวจ่อลงไปทะเลแห่งความจมหมดนี้มีอย่างเหรอ นั่น จะมีคราวนี้เชียวเหรอ เพราะฉะนั้นจึงได้ฟิตใหญ่ละซิ ได้ประมวลความจมนี้มาจากไหน ตอนที่จะเอานะ ความจมนี้ไม่ได้มาจากชาติชั้นวรรณะประเทศชาติใดมาทำลายเบียดเบียน หรือมาบีบบี้สีไฟบังคับคนไทยเราให้ล่มจม แต่เป็นเรื่องของคนไทยทั้งนั้น ลืมเนื้อลืมตัวฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม

การอยู่กินหลับนอนใช้สอยไม่มีอัดมีอั้น นี่ละเป็นเพชฌฆาต แต่ละคนๆ เป็นเพชฌฆาตในตัวแล้วก็เพชฌฆาตของชาติไปโดยลำดับ สุดท้ายชาติก็จะจม ไม่มีใครมาเป็นข้าศึก พวกคนไทยละเป็นข้าศึกต่อตัวเอง ทั้งชาติเป็นข้าศึกด้วยกันทั้งนั้น เอาที่นี่ฟิตตัวเอง นั่น บอก การเป็นอยู่หลับนอนใช้สอยต่างๆ ให้ฟิตตัวเองๆ ให้รู้เนื้อรู้ตัว เหตุการณ์ไม่เหมือนแต่ก่อนนะทุกวันนี้ เรื่องราวมันมาก ให้ฟิตตัวเอง จึงได้เริ่มตั้งแต่นั้นมาก็พอเป็นพอไป จนกระทั่งถึงได้เทศนาว่าการ ทุกวันนี้ก็ออกทั่วประเทศไทยอยู่แล้ว และออกไปถึงโลกนอก เทศน์ของเราเทศน์อยู่นี่ ออกทั่วประเทศไทยเลย จากนี้ก็ออกทั่วโลก เขาเรียกอินเตอร์เน็ตเตอแหน็ดอะไร เกิดมาแต่โคตรพ่อโคตรแม่หลวงตาบัวไม่เคยเห็นอินเตอร์เน็ตเตอร์แหน็ด เขาว่าก็ว่าไปตามเขาอย่างนั้น มันเป็นยังไงอินเตอร์เน็ต นอกจากว่าเป็นกล้วยหอมอย่างนั้นรู้ทันที กล้วยหอมกล้วยไข่รู้ทันที อินเตอร์เน็ตเตอร์แหน็ดอย่ามายุ่ง ปาเข้าป่านู่นเข้าใจไหม

นี่ละการเทศน์เดี๋ยวนี้ออกทั่วประเทศไทยแล้วยังไม่แล้วยังออกทั่วโลก ออกจากนี่ละ เทศน์เวลานี้ออกหมด ออกในขณะเดียวกัน ออกบ้านตาด สถานีใหญ่อยู่ที่บ้านตาด ออกสวนแสงธรรมกระจายไปทั่วโลกเป็นเครือข่ายของกันและกันไปหมด เราก็เทศน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยของเรา นำผลมาจากการปฏิบัติของตัวเองแทบเป็นแทบตาย เวลาปฏิบัติตัวเองนี้ โหย พูดไม่ออก บางทีเกิดความสลดสังเวชกิเลสหลอก บ้านเมืองเขาอยู่สะดวกสบายอะไรๆ เรามาทุกข์ทรมานอะไรๆ เอานักหนา ว่าเจ้าของเวลามันทุกข์มากๆ บำเพ็ญความพากเพียร

ความทุกข์ความจนการกินไม่ได้กินตามมักตามหมาย การนอนไม่ได้นอนตามมักตามหมาย การเดินไปมานี้ไม่ได้ไปตามมักตามหมายของทั่วโลกที่เขาทำกันปฏิบัติกัน ไปด้วยกฎธรรมเพราะเป็นกฎบังคับอยู่ตลอดเวลา ถึงคราวบังคับถึงจะเป็นจะตายก็ยังมี นี่เอามาประมวลหมดนะ แต่ผลเหล่านี้แหละที่เทิดขึ้นมาๆ จนกระทั่งได้นำธรรมนี้มาสอนโลก ถ้าไม่ได้ทำอย่างนั้นผลก็ไม่เป็นอย่างนี้ จึงว่าเหตุกับผลสมดุลกัน เวลาได้ทำเต็มเม็ดเต็มหน่วยผลก็ขึ้นมาโดยลำดับ จนกระทั่งผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยหาที่ต้องติไม่ได้แล้วเราพูดจริงๆ ในหัวใจดวงนี้ไม่มีเรื่องที่จะต้องติที่ตรงไหนไม่มีเลย เพราะคำว่าต้องติก็ดีคำว่าชมก็ดีเป็นเรื่องของสมมุติทั้งหมด อันนั้นเหนือหมดแล้ว จะไปต้องติที่ไหนชมที่ไหนมันไม่มี

เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วทำไมจะไม่สงสารโลกล่ะ พอตื่นขึ้นมาพิจารณานะ ป๋อมแป๋มๆ ทั่วโลกธาตุแบบเดียวกันหมดเพราะกิเลสกดหัวลง ให้ดีดให้ดิ้นให้ได้รับความทุกข์ความทรมาน ทีนี้ดูมันก็สนุกดูซิ ดูไม่มีภาระผูกพันอะไรๆ ดูด้วยความอิสระ จิตใจดูด้วยความอิสระดูได้ถนัดชัดเจนมากทีเดียว ทีนี้การสงเคราะห์กำลังวังชามีเท่าไรก็สงเคราะห์ไปเรื่อยๆ สงเคราะห์ภายในจิตกระแสของจิตที่เรียกว่าเมตตานี้ทั่วโลกเลย สงเคราะห์โดยทางด้านวัตถุกิริยาอาการอันนี้เป็นอีกอย่างหนึ่งมันหลายแบบนะ นี่เราก็ได้ทำเต็มความสามารถของเราแล้วทุกอย่าง

ใครจะเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็กรรมของสัตว์ บอกได้ว่ากรรมของสัตว์เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ จะไปตำหนิใครไม่ได้ จะไปเย่อหยิ่งจองหองในบุคคลคนนั้น ว่าความไม่เชื่อเป็นของดิบของดีจมเลยๆ นี่ได้พิจารณาหมดแล้วไม่มีอะไรเหนือธรรมพระพุทธเจ้า เหนือกรรมไปได้โลกอันนี้ ใครจะเก่งกล้าสามารถขนาดไหนก็ตาม อยู่ใต้อำนาจของกรรมทั้งนั้น กรรมครอบไว้หมดกรรมดีกรรมชั่ว ใครทำจะไปแบ่งสันปันส่วนให้ผู้ใด ทางชั่วก็ดี ทางดีก็ดีเป็นของตัวล้วนๆ เพราะฉะนั้นจึงให้คัดเลือกตัวตั้งแต่บัดนี้ต่อไปนะ ถ้ายังไม่ทราบ อะไรชั่วก็ตามอยากทำเท่าไรก็ตามอย่านะอย่าทำ ทำก็เท่ากับสังหารตนเอง ทำความดีเอาทุกข์ก็ทุกข์ทุกข์เพื่อความดีเป็นไรไป นั่นละทีนี้ได้ดีๆ ขึ้นมา

นี่ก็ได้เอาเต็มเม็ดเต็มหน่วย เราก็ได้พูดเต็มปากของเราแล้ว เกิดมาในชาติมนุษย์นี้ แต่เป็นฆราวาสก็อายุ ๒๐ ปีกับ ๙ เดือน จะครบ ๒๑ บวช ก็ว่าเป็นทุกข์ เรื่องโลกเขาทุกข์ยังไงเราก็ทุกข์แบบโลกเขาๆ ก็เป็นธรรมดาๆ ทุกข์เกี่ยวกับการศึกษาเล่าเรียนก็ถือเป็นธรรมดาๆ แต่มาทุกข์ด้วยการฆ่ากิเลสนี้แหมทุกข์มากนะ ชีวิตของเราที่ได้เป็นนักบวชมาทุกข์ในตอนฆ่ากิเลสทุกข์มากที่สุดเลย ทุกอย่างที่เราไม่เคยทำ ใครไม่เคยทำก็ตามแต่เราพอใจที่จะทำ ทำเต็มเหนี่ยวๆ ความเป็นอยู่ปูวายทั้งหลายยิ่งกว่านักโทษในเรือนจำ

นักโทษในเรือนจำกินวันละสองมื้อสามมื้อ จักตอกวันหนึ่งได้สี่เส้นห้าเส้น จักตอกเหลาตอกฆ่าเวล่ำเวลาพอให้พ้นโทษไป กำหนดวันเท่านั้นๆ สิ้น แล้วก็จักตอกเหลาตอกสี่เส้นห้าเส้นฆ่าเวลาไป ข้าวกินวันละสองมื้อสามมื้อเป็นทุกข์อะไร มีแต่โลกสังคมเขาไม่ยอมรับ สังคมเขารังเกียจเท่านั้นเอง ถ้าหากสมมุติว่าถ้าไปอยู่ในเรือนจำได้รับมรรคผลอย่างที่เราปฏิบัติในตัวของเรานี้ เราจะสมัครเข้าในเรือนจำเพราะเบากว่างานของเรามาก งานของเรานี้จะเป็นจะตายเฉียดสลบ แต่ไม่เคยสลบเฉียดๆ ตลอด เพราะจิตใจมันมุ่งต่อแดนนิพพานๆ ไม่เป็นอย่างอื่น ไม่มีแยกมีแยะไปไหนเลย ทุกข์ขนาดไหนมันพุ่งๆ ต่อแดนนิพพาน

หลังจากได้ฟังธรรมะพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรียบร้อยแล้วถึงใจ การปฏิบัติความพากเพียรถึงใจตั้งแต่บัดนั้นมา เป็นก็เป็นตายก็ตาย นี่ละทุกข์มากที่สุดเลย ตอนจิตตภาวนานี้ทุกข์มากที่สุดเลย ทั้งทรมานร่างกายด้วยไม่เพียงทุกข์แต่ใจ ที่บีบบังคับใจไม่ให้คิดในแง่ต่างๆ ที่ผิดพลาดที่ว่าไม่ดีทั้งหลาย บังคับๆ แล้วยังไม่แล้ว ร่างกายนี้จะอยู่กินหลับนอนไม่ได้สะดวกเลย ต้องถูกบังคับด้วยกันทั้งนั้น ด้วยธรรมเป็นเครื่องบังคับ จึงเรียกว่าทุกข์มากที่สุดเลย ในชีวิตของเราก็คือทุกข์มากเพราะงานจิตตภาวนาฆ่ากิเลสนี้ทุกข์มากที่สุด เราประมวลชีวิตของเรามาจนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายนี้ งานอะไรที่ทุกข์มากที่สุดที่เราผ่านมานี้ ไม่มีงานใดหนักมากยิ่งกว่างานภาวนาฆ่ากิเลส

ทีนี้เวลาเอาให้เต็มเหนี่ยวแล้ว ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจไม่มีอะไรเหลือแล้วที่นี่นะ ไม่มีอะไรสุขมากยิ่งกว่าความสิ้นจากกิเลส ความสิ้นนี้มาจากไหน ฟัดกันจนเฉียดสลบๆ ทุกข์มากหรือไม่มาก ทีนี้เวลาความสุขขึ้นก็เป็นบรมสุขตอบรับกันให้เห็นชัดเจน เอาหัวใจนี้ออกพูดเลย เราไม่ได้ยืมนั้นมาพูดยืมนี้มาพูด เราถอดออกจากหัวใจมาสอน สอนพี่น้องทั้งหลายสอนอย่างแม่นยำ เราไม่สงสัยในคำสอนไม่ว่าธรรมะขั้นใดภูมิใดถอดออกจากหัวใจสอน รู้แล้วเห็นแล้วจึงมาสอนๆ จึงไม่มีอะไรสงสัยว่าจะผิดไป ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็เป็นกรรมของสัตว์เท่านั้นเอง

พระพุทธเจ้าตรัสรู้มากี่พระองค์ สัตว์โลกทั้งหลายจมอยู่ในนรกก็เพราะความไม่เชื่อ เป็นกรรมของสัตว์นั่นเอง ผู้ที่เชื่อพระพุทธเจ้าผ่านไปได้ๆ ถึงนิพพานมากขนาดไหน  ผู้อยู่ในแดนสวรรค์พรหมโลกมากขนาดไหน นี่เชื่อพระพุทธเจ้า ผู้ที่ไม่เชื่อก็ลงในนรก จึงเรียกว่ากรรมของสัตว์ เป็นอย่างนั้น อันนี้เราเทศน์สอนโลกก็เหมือนกัน ตำรับตำราเราก็เรียน ตำรับตำราท่านถูกต้องแต่หัวใจเรามันผิด เพราะกิเลสเป็นพิษอยู่ภายใน อ่านไปที่ไหนเรียนไปที่ไหนความสงสัยมันคืบคลานไปตามๆ ส่วนใหญ่เชื่อ เช่นว่าบาปบุญนรกสวรรค์ตลอดนิพพานมีหรือไม่มี เชื่อว่ามีส่วนใหญ่นะ ทีนี้ส่วนย่อยมันไปแบ่งกิน เอ๊ นิพพานมีหรือไม่มีนา นั่นเห็นไหม ส่วนย่อยมันไปแบ่งกิน มันจะให้กำลังในความเชื่อในนิพพานว่ามีนั้นด้อยลง

จนกระทั่งไปฟังเสียงครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่นเปิดทางให้เท่านั้นละผึงเลยที่นี่ ทีนี้เอาตายเข้าว่าเลย ผึงๆ เลย ปฏิบัติตัวเองผลปรากฏขึ้นมาๆ ไม่ว่ากลางวันกลางคืนเว้นแต่หลับๆ มันจะหมุนของมันติ้วๆ จิตถึงขั้นมันจะออก ยังไงก็ไม่อยู่ถึงขั้นจะออก เป็นก็ไม่อยู่ตายก็ไม่อยู่ ไปตลอดเลย จนกระทั่งถึงว่าทีแรกเราอ่านในคัมภีร์ ส่วนใหญ่ก็เชื่อแล้วว่านิพพานมี แต่ส่วนย่อยมันไปแบ่งกินว่านิพพานมีหรือไม่มีนา ทีนี้พอถึงขั้นธรรมที่เข้มงวดกวดขันเผ็ดร้อนเข้าด้ายเข้าเข็มจริงๆ นิพพานเหมือนอยู่ชั่วเอื้อมๆ มีหรือไม่มีก็ตาม มันไม่สนใจเลย อยู่ชั่วเอื้อมๆ พุ่งเลย นั่นเห็นไหมล่ะ

นี่ละทุกข์มากที่สุดในความเพียรฆ่ากิเลส ในชีวิตของเราความเพียรฆ่ากิเลสเป็นงานที่หนักมากที่สุด แต่เวลาผลได้ขึ้นมาจากงานหนักมากที่สุดก็สุดยอดเลย นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ไม่ถามที่ไหนถามหาอะไร นั่น มันจ้าอยู่ในหัวใจนี้แล้ว พระพุทธเจ้ากี่พระองค์กราบราบเลย ยอมรับขนาดนั้น ถึงกันหมดเลย ทีนี้บาปบุญนรกมีหรือไม่มี มันก็เป็นแบบเดียวกันกับธรรมที่จ้าอยู่ในหัวใจ ทุกสิ่งทุกอย่างมันแตกแขนงไปไหนมันรู้หมดนี่ว่าไง

พระพุทธเจ้าเอาสิ่งที่รู้แล้วเห็นแล้วมาสอน ไม่ได้หลับหูหลับตามาหลอกลวงโลก โลกวิทู รู้แจ้งแล้วถึงมาสอนทั้งดีทั้งชั่ว สิ่งที่ชั่วให้ละให้ถอน สิ่งที่ดีให้ส่งเสริมขึ้นมาจากความรู้แจ้งของพระพุทธเจ้าทุกอย่างแล้ว ทีนี้เวลามันเป็นขึ้นในหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงนี้เป็นนักรู้อันเดียวกันมาปิดได้หรือ ใครเชื่อไม่เชื่อไม่สนใจกับใคร ลงได้จ้าขึ้นมานี้แล้วไม่หาใครมาเป็นสักขีพยาน ไม่ต้อง ท่านบอกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ประจักษ์กับหัวใจนี้แล้วพอๆ นี่ละที่ได้มาสอนโลก ตั้งแต่ภาระฆ่ากิเลสขาดสะบั้นลงไปนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรมาเกี่ยวข้องใจ มีแต่ความเมตตาสงสาร ใจทั้งดวงเลยกลายเป็นอะไรนิ่มไปหมดเลย ไม่ถือสีถือสากับใคร มันหากเป็นเพราะอำนาจแห่งความเมตตานี้รุนแรงมาก เหมือนอย่างลูกของเรา ลูกมันออดมันอ้อนมันกัดมันข่วนพ่อแม่ พ่อแม่มีแต่โอ๋ๆ ไม่สนใจกับลูกนะเข้าใจไหม อันนี้อำนาจแห่งความเมตตามันก็เหมือนพ่อแม่กับสัตว์โลก ธรรมทั้งหลายนี้เหมือนพ่อแม่กับสัตว์โลก มันไม่ค่อยถือสาใครละ ไม่มีเลย จะทำให้มีก็ไม่มี นี่ละจิตอันนี้ละจิตพระพุทธเจ้าที่อ่อนนิ่ม จิตสาวกอรหันต์อ่อนนิ่มอย่างนี้เอง

นี่เราก็ได้สอนเต็มกำลังความสามารถของเรา ถึงขนาดออกทั่วประเทศไทยแล้วเวลานี้ ตั้งแต่ออกช่วยชาติบ้านเมืองมาได้ ๖-๗ ปีนี้แล้ว ธรรมะนี้กระจายออกไปทางวิทยุทางไหนๆ อินเตอร์เน็ต จนกระทั่งถึงเมืองนอกเมืองนา เรียกว่าเราทำเต็มกำลังความสามารถของเราแล้วการทำประโยชน์แก่โลก ใครจะเอาก็เอาไม่เอาก็สุดวิสัย เป็นกรรมของสัตว์เท่านั้นเอง ถึงเวลาแล้วก็ไปเท่านั้น เรื่องธาตุเรื่องขันธ์จะใช้ในเวลามีชีวิตอยู่เรียกว่าเครื่องมือของธรรม เครื่องมือของใจนำไปใช้ เวลามีชีวิตอยู่ก็เทศนาว่าการอย่างนี้ ก็เอาร่างกายไปเทศน์ พออันนี้หมดสภาพแล้วก็ดีดผึงเลย ไม่สนใจกับอะไร หายห่วงเข้าใจหรือ

เราเทศน์ทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่มีอะไรมาติดข้องกับโลกสงสารสามแดนโลกธาตุ แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มีในหัวใจ เพราะนั้นเป็นสมมุติ อันนี้เป็นวิมุตติล้วนๆ แล้ว เป็นธรรมชาติเต็มหัวใจ นี้เกิดมาจากการตะเกียกตะกายของเราเป็นเหตุ ผลที่ได้รับเป็นที่พึงพอใจ ทีนี้สรุปความลงว่ามรรคผลนิพพานมีหรือไม่มี บาปบุญมีหรือไม่มี หรือจะให้กิเลสมันลากคอไปคอขาดก็ยังเชื่อกิเลสไปเรื่อย แขนขาดเชื่อกิเลสไม่ถอย จนหมดทั้งตัวกลิ้งไปก็เชื่อกิเลสไม่ถอย บาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี สิ่งที่มีก็คือความดีดดิ้นตามกิเลส อันนี้มีเต็มหัวใจ ตายด้วยกันจมด้วยกัน เข้าใจเหรอ เอาละพอ

(ทองคำวันนี้ได้ ๒ บาท ๔๘ สตางค์ครับผม)

พ่อแม่ครูจารย์มั่นพอว่างปั๊บไปเลยๆ ทุกทีนะ พ่อแม่ครูจารย์มั่นที่สกลนคร พระธาตุท่านอยู่ที่นั่น ฝังลึกมากนะกับหลวงปู่มั่นนี้แหม เจ้าบุญเจ้าคุณในหัวใจของเรานี้สุดยอดเลย หลวงปู่มั่น สุดยอดเลย อยู่กับท่าน ๘ ปีนี้ ไม่มีอะไรที่จะต้องติเลย หมด เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เทิดเลยเชียว เอาตายก็ตายมอบเลย เราเป็นอย่างนั้นนะ อะไรถ้าถึงถึงจริงๆ ถ้าได้ลงลงจริงๆ ถ้าไม่ลงไม่ลงนะ ต้องเอาเหตุผลจับกัน ถ้าลงได้ลงแล้วอย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้สุดยอด กับเจ้าคุณสมเด็จมหาวีรวงศ์ วัดพระศรีมหาธาตุ นั่นก็สุดยอดทางปริยัติ อันนี้สุดยอดทางปฏิบัติ สุดยอดทางปริยัติคือท่านเป็นนักเสียสละ สมเด็จมหาวีรวงศ์ วัดพระศรีมหาธาตุ ยอดเลยนะ ไม่มีอะไรติดตัว เราเป็นผู้ดูแลสิ่งของอยู่ตลอดเวลา อยู่กฏิกับท่านเราเรียกว่าเป็นหัวหน้าคณะใหญ่ เราเป็นผู้ดูแล สมบัติทุกอย่างๆ  มาเราเป็นผู้ดูแลทั้งหมด เพราะฉะนั้นถึงทราบเรื่องราวของท่านได้ดี

นิสัยของท่านเป็นนักเสียสละไม่มีอะไรติดตัว บางทีเวลาท่านจะสั่งให้แจกของทั้งวัดเลยนะ เพราะของมีมากจับฉลากๆ ตามแต่นิสัยวาสนาของใครจะรับได้อะไรไม่ให้ตำหนิว่างั้น นิสัยวาสนาใครจับได้เบอร์ใดๆ ก็เอาไปๆ อย่างนี้ บางทีมันจะหมด มันจำเป็นไฟไหม้จีวรเสียบ้างอะไรจำเป็นนี้จะทำไง เราก็เรียกว่าขโมย ขโมยแบบพระ ขโมยไปซ่อนไว้ที่อื่นเสีย จนกระทั่งท่านแจกหมดแล้วถึงด้อมๆ เอามาวางไว้ เอ้า ก็ให้ไปแล้วมันมาไงอีก โหย เวลาจำเป็นเราก็ชี้แจงเหตุผลให้ท่านทราบท่านก็นิ่งนะ ท่านไม่เห็นว่าอะไรเราเพราะเรากราบเรียนท่านด้วยเหตุด้วยผล เวลามีความจำเป็น เช่นไฟไหม้จีวรปุบปับหาที่ไหนไม่ทันก็จะเอานี้มาแทนว่างั้น ท่านนิ่งนะ นี่ก็เป็นสุดยอดทางด้านเสียสละ ถึงใจกันกับเรา

คือเราพูดจริงๆ นิสัยเราของเราถึงจะตัวเท่าหนูก็ตาม จิตใจมันไม่ได้เป็นหนูนะ ถ้าไปอยู่สถานที่ใดครูบาอาจารย์คับแคบตีบตันเราพูดจริงๆ เราอยู่ไม่ได้นะ มันคับหัวอก มันหากมีทางหาทางออกจนได้ ถ้าไปที่ไหนครูบาอาจารย์อย่างสมเด็จมหาวีรวงศ์นี้แหมถึงไหนถึงกันเลย เอาถึงไหนถึงกันเลยนี่เรียกว่า ที่มาอยู่ในหัวใจเรามีสององค์ หลวงปู่มั่นหนึ่ง กับสมเด็จมหาวีรวงศ์ทางด้านเสียสละนี้อันหนึ่งนะ สำหรับหลวงปู่มั่นเรียกว่าเปิดหมดเลยยกให้ ไม่มีอะไรเหลือเลย เอาละไปละที่นี่นะ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก