เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
จิตใจของเราเป็นอันธพาลตลอด
ก่อนจังหัน
วันนี้เป็นวันจันทร์ วันไม่ว่าง ธรรมดาเป็นวันงานราชการ งานประชาชนทั่วประเทศ ขวนขวายหาเพื่อธาตุเพื่อขันธ์ ความเป็นอยู่ปูวายกับธาตุขันธ์เป็นอันเดียวกัน ต้องแยกต้องแยะต้องขวนขวาย ไม่ขวนขวายไม่ได้ นี่เป็นส่วนด้านวัตถุ ในร่างกายของเรามีความจำเป็นกับสิ่งเหล่านี้ ทีนี้จิตใจของเรามีความจำเป็นกับศีลกับธรรมกับบุญกับกุศล ในกายของเรานี้มีอยู่สอง ร่างกายนี่คือด้านวัตถุ อาหารการบริโภคเกี่ยวกับร่างกาย ความเป็นอยู่ปูวายต่างๆ เกี่ยวกับร่างกาย ทีนี้อันที่เกี่ยวกับจิตก็คือความสุขความทุกข์ บาปและบุญ ให้ขวนขวายตรงนี้ให้มากนะ
จิตใจนี้จะไปแบบสมบุกสมบันไม่มีใครทราบ ทราบแต่พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ล้วนๆ ทราบร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ ท่านเหล่านี้ท่านตามรอยวัฏจักรของจิตที่มันหมุนไปหมุนมา สูงๆ ต่ำๆ ลุ่มๆ ดอนๆ ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหม ตกนรกอเวจีมีเยอะนะจิตดวงนี้ ถ้าเจ้าของพาผิดพลาดด้วยความทะเยอทะยานแล้ว จิตดวงนี้จะได้รับเคราะห์รับกรรม ร่างกายทิ้งเกลื่อน จะเผาไม่เผาไม่สำคัญ แต่จิตนี้ไม่มีอะไรเผา มีแต่บาปเผา เผาหัวใจ บุญเป็นเครื่องพยุง เป็นน้ำดับไฟตามๆ กันไป
ท่านทั้งหลายให้จำไว้ นี้คำสอนของพระพุทธเจ้า ความรู้ของพระพุทธเจ้าและความรู้ของพระอรหันต์แบบเดียวกัน ท่านไม่สงสัย บาป บุญ นรก สวรรค์ เปรตผีประเภทต่างๆ จนกระทั่งถึงนิพพาน นี้คือความรู้ความเห็นของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย ท่านรู้ท่านเห็นประจักษ์ใจมาสอนพวกเรา ให้เชื่อนะ อย่าเชื่อพวกอันธพาล จิตใจของเรามันเป็นอันธพาลตลอด อันธพาลมันพาลเจ้าของทำลายเจ้าของนั่นแหละไม่ได้ทำลายใคร ให้ดูให้ดี อันนี้เป็นความแน่นอน
บาปบุญเป็นเครื่องสนิทติดอยู่กับใจ ถ้าใครสร้างบาปมาก คนนี้จะไปไหน อันนั้นละจะจองจำๆ ไปเรื่อยๆ ใครสร้างบุญสร้างกุศล คนนี้บุญกุศลจะพยุงขึ้นเรื่อยๆ พยุงขึ้นจนกระทั่งสุดขีดถึงนิพพาน ดังที่ว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ นิพพานคืออะไร เอ้า ย่อมาหาเราเสียก่อน เวลาเราเรียนหนังสือ ความมุ่งมั่นอยากไปนิพพานนี้อยากไป อยากไปมีน้ำหนักมากทีเดียว แล้วก็มีส่วนหนึ่ง กิเลสมันมาขอแบ่ง ทำให้สงสัยว่า เอ๊ะ นิพพานมีหรือไม่มีน้า นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละกิเลสมันมาขอแบ่งเอา
ส่วนใหญ่เราเชื่อแล้วว่านิพพานมี บาป บุญ นรก สวรรค์ มี เป็นส่วนใหญ่ๆ เชื่อ แต่ส่วนย่อยคือกิเลสมันว่านิพพานมีหรือไม่มีน้า นี่หมายถึงหัวใจเรา เอาหัวใจออกมาพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง เพราะเราผ่านมาหมดแล้วเรื่องเหล่านี้ จึงนำมาสอนได้อย่างถูกต้อง นิพพานมีหรือไม่มีน้า ถ้ามีผู้แนะนำสั่งสอนเราให้ลงใจว่านิพพานมี เราจะเอาตายเข้าว่าเลย จะเอาให้ได้นิพพาน นี่ละสงสัย มีหรือไม่มีน้า
เวลาปฏิบัติเข้าไปๆ ถึงธรรมขั้นที่หมุนติ้วๆ แล้ว ที่นี่นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ นิพพานมีหรือไม่มีเลยไม่สนใจ นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ เป็นเองนะ ที่ว่านิพพานมีหรือไม่มีน้ามันไม่สนใจเลย นิพพานเลยกลายมาอยู่ชั่วเอื้อมๆ ผางเข้านั่นแล้ว นิพพานอยู่ที่ไหน พ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง นี้คือนิพพาน นั่นพ้นหมดเลยโลกเลยสงสารไปหมด นั้นคือนิพพาน จอมปราชญ์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้า พระสาวกอรหันต์ ท่านเข้าที่นั่นแล้วเป็นอนันตกาล เรียกว่าความเที่ยง เที่ยงแห่งความสุขทุกอย่าง เป็นบรมสุข สุขนอกสมมุติ
สุขเหล่านี้เป็นสุขเจือปน ถ้าเป็นอาหารก็มีทั้งก้างทั้งกระดูก ใครกินมีแต่ตะกละตะกลามแล้วกระดูกฟาดคอมัน อยากทำอะไรทำ แล้วมาเผาเจ้าของ กว้างขวางคอคือบาปนั่นละมาขวางหัวใจเจ้าของให้ไปไหนไม่สะดวก โลกสงสารกว้างแสนกว้าง ผู้มีความดีงามทั้งหลายหลั่งไหลกันไปๆ เราไปที่ไหนมีแต่ความขัดข้อง มีแต่ขวากแต่หนาม มีแต่หลุมแต่บ่อ ไปไม่สะดวกสบาย นอกจากนั้นก็ตกหลุมตกบ่อ จะตำหนิใคร ก็ตำหนิเรานั่นเอง
เราเป็นคนตะกละตะกลามเห็นแก่ได้แก่เอา เห็นแก่อยาก อยากได้อะไรไม่คำนึงว่าผิดว่าถูก ชั่วดี แล้วเจ้าของนั่นละเป็นผู้รับเคราะห์รับกรรม พากันจำให้ดี คำสอนพระพุทธเจ้าไม่มีสองแต่ไหนแต่ไรมา แต่กิเลสนี้ปลิ้นปล้อนหลอกลวง จอมหลอกลวงคือกิเลส เป็นคู่เคียงกันมากับธรรม นั้นเรียกว่าอธรรม จำเอานะ เอาละเทศน์เพียงเท่านี้
หลังจังหัน
นี่บ่าย ๒ โมงก็จะไปเทศน์ที่วัดอรัญญบรรพต หลวงปู่เหรียญท่านเสียไปครบรอบร้อยวัน แล้ววันพรุ่งนี้ก็ไปเทศน์ที่วัดบ้านจิก วัดอาจารย์ถิร ดูเหมือนครบ ๕๐ วันหรือไง วันนี้ไปเทศน์ แล้ววันพรุ่งนี้ก็ยังไปเทศน์อีก เทศน์อยู่เรื่อยๆ แหละ เทศน์หลวงตาบัวนี่มันพิลึกพิลั่นนะ พิลึกจริงๆ เทศน์นี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๔ จนกระทั่งบัดนี้ ๒๕๔๘ เป็น ๕๕ ปี นี่ละเทศน์มาตั้งแต่โน้น เบื้องต้นไม่ได้เทศน์ให้ใครฟังง่ายๆ นะ เบื้องต้นพระติดตามไปฟังอยู่ในป่าในเขาเพราะเราไม่ออกมา เราอยู่ในป่าในเขา ครั้นต่อมาๆ เกี่ยวเนื่องกับโยมแม่ จึงถอยออกมารับโยมแม่ จากนั้นก็เริ่มละเทศน์เรื่อย เพราะออกมาแล้ว แต่ก่อนอยู่ในป่าในเขามีแต่พระเท่านั้น ประชาชนไม่มี อยู่ในป่าในเขา
พระเหล่านี้เดินซอกซอนเข้าไปตามทัน ก็เริ่มเทศน์มา ออกมาเทศน์ทีแรกก็เทศน์ในวัดนี้ เทศน์บนศาลา เทศน์ธรรมะประเภทแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋ว จากนั้นมาก็เทศน์ทั่วๆ ไปจนกระทั่งออกช่วยชาติ ทีนี้เป็นแกงหม้อใหญ่ไปเลย หม้อเล็กมีน้อย หม้อจิ๋วแทบไม่มี หม้อเล็กหม้อจิ๋วก็เกี่ยวกับสถานที่ใดมีพระปฏิบัติมาก ท่านสนใจฟังอรรถฟังธรรม ท่านมาร่วมในงานทอดผ้าป่าด้วย เทศน์ก็จะเอียงไปทางแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วขึ้นเรื่อย ถ้าธรรมดาก็เป็นแกงหม้อใหญ่ทั่วไปหมด
คำว่าแกงหม้อใหญ่ก็เพื่อให้คนทุกชั้นได้เข้าใจในอรรถในธรรมที่แสดงไป ไม่ให้เสียผลเสียประโยชน์ ให้ได้ทุกขั้นทุกภูมิไป แกงหม้อเล็กนี่สำหรับท่านผู้ตั้งใจปฏิบัติ มุ่งต่อมรรคผลนิพพานโดยถ่ายเดียว เช่นพระปฏิบัติ การเทศน์ก็เป็นแกงหม้อเล็กไป เร่งเครื่องเข้าไป สูงขึ้นไป ขึ้นมรรคแล้วก็พุ่งเลยเทียว เทศน์แต่ก่อนอยู่บนศาลา ใครมาได้ฟังเมื่อไร ก็มีแต่เทปอัดเอาไว้ เราเทศน์สอนพระบนศาลานี้ เอาเทปอัดเอาไว้ จากนี้แล้วทั่วประเทศไทย บรรดาพระกรรมฐานอยู่ที่ไหนทั่วประเทศไทยทุกภาค ติดต่อขอมาทางนี้ ทางนี้ส่งให้ๆ เทปแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วนี้ส่งทั่วประเทศไทยและทุกภาคมาเป็นเวลานานแล้วนะ แกงหม้อใหญ่ถึงจะออกทีหลัง อันนั้นไปก่อนแล้ว
แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วสำหรับกรรมฐาน กรรมฐานท่านอยู่ในป่าในเขาท่านขอมาๆ ส่งไปๆ จากนั้นช่วยชาติก็เป็นแกงหม้อใหญ่เรื่อยไปละที่นี่ จนกระทั่งทุกวันนี้ ธรรมเรามากหรือน้อยท่านทั้งหลายก็พิจารณาเอาซิ เทศน์มาตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ เรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ เป็นเวลาดูเหมือนจะ ๕๕ ปีแล้วมั้ง ๕๕-๕๖ ปี เทศน์อยู่ตลอดเวลา เวลานี้ก็ออกทางวิทยุทั่วประเทศไทยและยังทั่วโลกอีก ทั่วโลกดูเหมือนจะเป็นอินเตอร์เน็ตละมัง แล้วธรรมที่เรามาเทศน์ทั้งหลายนี้ ท่านทั้งหลายเชื่อหรือไม่เชื่อ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา เป็นศาสดาเอกขึ้นในทันทีทันใด สอนโลกทั้งสามเลย เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมมนุษย์มนาสอนหมด ตั้งแต่ธรรมล้วนๆ ของจริงที่เลิศเลอออกจากพระทัย จากนั้นก็กระจายออกมาเป็นพระสาวกอรหันต์ ไปศึกษาอบรมจากพระพุทธเจ้าในป่าในเขาทั้งนั้นแหละ
พุทธศาสนาสำหรับพระเรานี้ป่าเป็นพื้นฐาน เป็นที่อยู่ของพระบำเพ็ญสมณธรรม องค์นั้นสำเร็จขั้นนั้นๆ เป็นสาวกออกมาสอนโลก ล้วนแล้วตั้งแต่ธรรมที่กลั่นกรองออกมาจากจิตที่บริสุทธิ์เรียบร้อยแล้วด้วยกันทั้งนั้น สาวกอรหันต์เป็นจิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ ธรรมที่ออกมาเป็นธรรมที่บริสุทธิ์เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ นี้เราก็ได้นำมาเทศน์ให้พี่น้องทั้งหลายฟัง สำหรับธรรมเราบริสุทธิ์ ใจบริสุทธิ์ เรายันเลยเราพูดจริงๆ ธรรมเป็นของจริง พูดตามหลักความจริงผิดไปไหน ธรรมออกมาสอนโลกด้วยความสัตย์ความจริงเอามาโกหกโลกได้เหรอ
นี้เราก็ปฏิบัติสุดเหวี่ยงแหละ ว่างั้นเถอะ รอดตายจึงได้ธรรมมาสอนพี่น้องทั้งหลาย เวลาอยู่ในป่าในเขาใครไปทราบเราได้เมื่อไร อยู่ในป่าในเขาเป็นผ้าขี้ริ้วห่อมูตรห่อคูถเป็นยังไง ไม่ใช่ผ้าขี้ริ้วห่อทองนะ อยู่ในป่าในเขาเป็นผ้าขี้ริ้วห่อมูตรห่อคูถ มูตรคูถคืออะไร ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง มันอยู่ในหัวใจนั่น ผ้าขี้ริ้วห่อเข้าไปนั้นก็ห่อมูตรห่อคูถ ฟัดกันอยู่นั้นตลอดเวลา จึงได้โผล่ขึ้นมาวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ที่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ จากนั้นมาก็เริ่มสอนแหละ สอนพระเสียก่อนอยู่ในป่าในเขา ต่อจากนั้นก็ค่อยลุกลามมาจนกระทั่งมาเอาโยมแม่บวช ทีนี้กระจายแหละ จนกลายเป็นธรรมสอนโลกทั่วประเทศไทย แล้วยังทั่วโลกภายนอกอีกด้วย ล้วนแล้วตั้งแต่ธรรมที่ออกจากหัวใจ
หัวใจดวงนี้ได้กลั่นกรองสำเร็จเสร็จสิ้นกันลงในวันนั้น วันที่พูดนั่นละ ตั้งแต่บัดนั้นมามีแต่การแนะนำสั่งสอนคนอื่น ไม่ได้สอนตนเอง ไม่ได้ชะล้างตัวเอง กิเลสตัณหาขาดสะบั้นลงไปหมด มีแต่ธรรมชาติที่จ้าอยู่บนหัวใจชะล้างท่านอะไรธรรม ก็ชะล้างตั้งแต่กิเลสตัวมัวหมองมืดตื้ออยู่ในหัวใจนี้ละ พอชะล้างอันนี้ออกเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จ้าเลย พระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลาย จ้าทั้งนั้น จะเป็นขึ้นมาเมื่อไรจ้าแบบนั้นทันกาลทันสมัยเป็นปัจจุบัน คือจิตบริสุทธิ์ โผล่ขึ้นเมื่อไรก็บริสุทธิ์เมื่อนั้นๆ นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้า ให้พากันไปประพฤติปฏิบัติ
เวลานี้กิเลสกำลังเหยียบย่ำทำลายธรรม จนกระทั่งศาสนาพุทธในเมืองไทยเราจะไม่มีเหลือนะเวลานี้ มีแต่พวกมูตรพวกคูถ ไม่ว่าอยู่ข้างนอกข้างใน ในบ้านในเมืองในวัดในวา ในพระในเณร ในประชาชน มีแต่มูตรแต่คูถเต็มวัดเต็มวาเต็มพระเต็มเณรเต็มประชาชน เต็มไปหมดนะ กิเลสเข้าเหยียบย่ำทำลายตีแหลกไปหมด ธรรมแตกกระจายๆ จนจะไม่มีเหลือในหัวใจของโลกแล้ว ไปที่ไหนกิริยาอาการที่แสดงออกน่าสลดสังเวชนะ มีตั้งแต่เรื่องของกิเลสตัณหาออกหน้าออกตา ไม่ว่าข้างหน้าข้างหลังที่ไหน มองหาคนดูคนแทบมองไม่เห็นเรื่องอรรถเรื่องธรรมจะแฝงอยู่ในหัวใจ มีตั้งแต่กิเลสเต็มตัวของคนทั้งคนๆ จะไม่สลดสังเวชยังไง
สายตาของธรรมดูไม่เหมือนสายตากิเลสดู สายตากิเลสมันดูด้วยความมืดบอด หลับตาดู ชนดะไปเลย ขอแต่ได้ อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี เจ้าของชั่วไม่ดู มันว่าอันนั้นดีอันนี้ดี เจ้าของชั่วไปโดยลำดับ กับที่สำคัญมั่นหมายไขว่คว้าว่าสิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดี เจ้าของเลวไปโดยลำดับไม่ได้ดูเจ้าของ เสียตรงนี้มนุษย์เราชาวพุทธ ถ้าเป็นชาวพุทธจริงๆ อันนั้นดี เราดีหรือไม่ดีดูซิ ไขว่คว้าหามัน แล้วเรามีอะไรที่สำคัญยิ่งกว่านั้นไม่มีหรือ อรรถธรรมที่จะไขว่คว้าเข้ามาสู่หัวใจไม่สนใจ ไปไขว่คว้าหาพวกมูตรพวกคูถโลกามิสทั้งหลาย ก็อาศัยเพียงธาตุเพียงขันธ์ แต่เรื่องบุญเรื่องกุศลคุณงามความดีคือธรรมแท้นั้นอยู่ที่หัวใจ ขวนขวายเข้ามาสู่ใจ เวลาตายแล้วดีดผึง ไม่ต้องหาใครมา กุสลา ธมฺมา ธรรมพอแล้ว กุสลา ธมฺมา
พวกเรามันมีแต่พวกอันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี ตายแล้วไปกวนพระ นิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา พระทั่วประเทศไทยจนจะตาย มากุสลากันหาอะไร กุสลา ธมฺมา มีต้นเหตุมาจากไหน นี่เรารู้ต้นเหตุ เพราะฉะนั้นจึงพูดว่า เวลาเราตายอย่านิมนต์พระมากุสลานะ เราบอกตรงๆ เลย เราได้พิจารณาตัวของเราเสร็จสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว กุสลา ธมฺมา แปลว่าอะไร ความฉลาด ความฉลาดแก้กิเลสได้ เราแก้ได้หมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือแล้ว ตายแล้วอย่านิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา ยุ่ง เป็นประเพณีสกปรก
ไป กุสลา ธมฺมา ก็กล้วยหอมกล้วยไข่อยู่ไหนนา ทำกันไปอย่างนั้น ไม่ได้ว่าอรรถธรรมคนนี้เป็นยังไง จิตใจยังบกพร่อง คนนั้นมีสมบัติภายในใจเพียงเท่านั้น คือธรรมสมบัติๆ มีมากมีน้อย กุสลา ธมฺมา เตือนไปๆ บอกไปๆ อย่างนั้นค่อยยังชั่ว กุสลา เป็นประโยชน์ อันนี้ กุสลา ธมฺมา กล้วยหอมอยู่ไหนนา กล้วยไข่อยู่ไหนนา เกิดประโยชน์อะไร พอคนตาย เอาละวันนี้อาหารว่างเราเกิดแล้ว พอคนตายว่าอาหารว่างเกิดแล้ว อาหารว่างของ กุสลา ธมฺมา
หลับหูหลับตาไป กุสลา กับเขา ไม่ได้ดูหัวใจเจ้าของ เรื่องราวของกุสลามีมาจากไหน ท่านบอกไว้เรียบร้อยแต่เราไม่ชี้แจง มันเสียเวลามาก ต้นเหตุท่านให้พระไปพิจารณาบังสุกุล จากนั้นมาก็เป็นกุสลาบังสุกุลเรื่อยๆ มา แต่ก่อนไม่มี มามีทีหลัง ทีนี้ กุสลานี้เลยเป็นวิชาหากินของพระเต็มวัดเต็มวาเต็มบ้านเต็มเมือง โยมก็พอใจที่จะนิมนต์พระมากุสลา จับคนตายฉุดลากขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นๆ นั่นแหละ พระก็พอใจที่จะไป เออ วันนี้อาหารว่างเกิดแล้ว กล้วยหอมกล้วยไข่จะมาวันนี้ละ ไปคนละทิศละทาง
ผู้ที่ตายเขาก็หวังพึ่งพระมา กุสลา ธมฺมา พระพิจารณาลงอรรถลงธรรม ใครบกพร่องยังไงเรื่องศีลเรื่องธรรม คุณงามความดีบกพร่องยังไง แต่เรื่องบาปไม่ต้องถามมันเต็มหัวใจทุกคน แล้วจะแนะนำสั่งสอนแก้ไขยังไงให้สิ่งเหล่านี้เบาบางลง พอได้ปลงวางความทุกข์ทั้งหลายให้เป็นความสุข พอนอนหลับได้บ้าง มันไม่มีนะเวลานี้ สอนท่านทั้งหลายนี่สอน กุสลา แบบนั้น แบบพระพุทธเจ้าพาสอน ให้พากันตั้งอกตั้งใจพินิจพิจารณา กุสลา ธมฺมา ความฉลาดเอามาซักฟอกตัวเองซิ สอนตัวเองให้มีความเฉลียวฉลาด
ความโง่ก็คือกิเลสมันทำคนให้โง่ แต่เสกสรรปั้นยอว่าตัวเฉลียวฉลาดนักปราชญ์แหลมคม ตัวเองแท้ๆ มีแต่ความโง่ ธรรมจับเข้าไปปั๊บก็รู้ทันที ตรงไหนบกพร่องแก้ไขลงไปในจุดนั้นๆ แล้วก็เฉลียวฉลาดขึ้นมา จนกระทั่งหายสงสัย พระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลายหายสงสัยทั้งนั้น พอทุกอย่าง ไม่มีอะไรกวนใจคือท่านผู้มีจิตบริสุทธิ์แล้ว ปล่อยวางโดยสิ้นเชิง เหลือแต่ธรรมชาติที่เรียกว่าธรรมธาตุหรือนิพพานเที่ยง อยู่ในหัวใจท่านเท่านั้น นั่นท่านชำระแล้ว
จิตเป็นของชำระได้ เป็นของฝึกฝนอบรมได้ อย่าให้มีแต่กิเลสมาฝึกฝนอบรม มันจะลากลงนรกอเวจีจนนรกอเวจีจะแตก ได้สร้างนรกอเวจีใหม่นะ ถ้าเป็นเรื่องบ้านเรื่องเมืองของเราเรียกว่าตะรางแคบไป นักโทษมีมากตะรางไม่พอที่คุมขัง มันมีได้ขยายไปได้ตะราง แต่นรกไม่มีขยาย มีมากมีน้อยเท่าไร เอา ไสลงไปเลยๆ จะคับแคบตีบตันขนาดไหนก็นักโทษมันพร้อมแล้วที่จะไปเสวยกรรมเหล่านี้ คับแคบตีบตันนักโทษจะรับเองๆ
เพราะฉะนั้นในนรกจึงไม่ปรากฏว่าเมืองผีนั้นได้สร้างนรกเพิ่มเติมอีก สัตว์โลกไปมากไม่มีที่อยู่ไม่มี ใครไปก็จับยัดลงไปๆ กรรมของสัตว์ๆ อย่างนั้น เป็นยังไงเราอยากไปไหม หือ พิจารณาซิ อยู่ในศาลาที่ลูกศิษย์หลวงตาบัวนี้ ใครสมัครอยากไปนรกหลุมนั้นน่ะ หลุมไม่ต้องสร้างใหม่ ไปได้สบายเลยไม่ต้องสร้างใหม่ มีไหมล่ะ เวลานี้ให้รีบนะ เดี๋ยวจะให้จ่านรกเขาไปสร้างนรกใหม่อย่าหวังเขาจะสร้างให้นะ เขาจะจับยัดลงไปเลยอัดแน่นอยู่ในนั้น ให้รีบแก้ไขตนเองตั้งแต่บัดนี้
ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่มีสอง สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ตรัสไว้ชอบแล้วทุกแง่ทุกมุมในธรรมทั้งหลาย ไม่มีคำว่าเคลื่อนคลาด ความเคลื่อนคลาดก็คือสัตว์ทั้งหลายเอง กิเลสลากไปเพื่อความเคลื่อนคลาด ความดีเป็นของมันแต่ความเคลื่อนคลาดเป็นของเรา ความบกพร่องเป็นของเรา ผู้รับเคราะห์รับกรรมเป็นของเราเอง นี่ละเรื่องของกิเลสมันเอารัดเอาเปรียบตลอดเวลา ธรรมไม่เคยได้เปรียบมันเลย เอาให้ธรรมได้เปรียบบ้างซิ ธรรมได้เปรียบก็นำมาสอนโลกอย่างพระพุทธเจ้าสาวกทั้งหลาย นั่นละเรียกว่าธรรมได้เปรียบกิเลสนำมาสอนโลกด้วยความสง่างาม ไปที่ไหนเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมกราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจตลอดไป
บรรดาท่านเหล่านี้ไปไหน มนุษย์มนาไม่เห็นก็ตาม เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมเห็นทั้งนั้นๆ เราคิดซิอย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้เบื้องต้น พอตรัสรู้ผางขึ้นมาเท่านั้น พวกเทวบุตรเทวดาตั้งแต่ภุมมเทวดาขึ้นไป จนกระทั่งถึงจาตุมถึงท้าวมหาพรหม บอกข่าวกันไปโดยลำดับๆ ในธรรมจักรไปอ่านดูก็รู้นี่นะ ส่งข่าวไปโดยลำดับว่าธรรมเกิดแล้ว พระพุทธเจ้าอุบัติแล้วๆ สะเทือนหมด เห็นไหมล่ะพระพุทธเจ้า ทสสหสฺสี โลกธาตุ สงฺกมฺปิ สมฺปกมฺปิ สมฺปเวธิ ธรรมพระพุทธเจ้ากระเทือนโลก หมื่นโลกธาตุ ฟังซิโลกธาตุเดียวเมื่อไร ตั้งหมื่นโลกธาตุ ใครสามารถอาจรู้เหมือนพระพุทธเจ้า เทวบุตรเทวดาสัตว์โลกทั้งหลายกระเทือนหมดเลย เวลาพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา
แล้วพวกเรากระเทือนไหม หรือมีกระเทือนตั้งแต่เสื่อแต่หมอนนั่นหรือ ไปที่ไหนเห็นก้มอยู่ ทำอะไร เย็บเสื่อ เสื่อเป็นอะไร เสื่อขาด แล้วทำไมถึงขาด นอนไม่ลุก ไปนี้มองไปทางนั้น หมอนขาด แล้วเย็บหมอน หมอนเป็นอะไร หมอนแตก หมอนขาดนอนไม่ลุก มีแต่อย่างนั้นนะพวกนี้ กิเลสแตกกิเลสขาดไม่เคยได้ยิน ฟาดให้กิเลสแตกกิเลสขาดซิจ้าขึ้นมาเลย พากันจำเอานะ อย่ามานอนใจอยู่เฉยๆ พระพุทธเจ้าไม่ใช่ศาสดาเล่นๆ เป็นตุ๊กตาเครื่องเล่นของเด็ก คือพวกเราเหมือนเด็กเล่นตุ๊กตา คำสอนพระพุทธเจ้าที่เลิศเลอเอามาเล่นเหมือนเด็ก ไม่มีคุณค่าราคา อย่างมากก็เอาไปไว้ในบ้าน เอาไปตั้งไว้ในบ้าน ไม่ทราบว่ากราบหรือไม่กราบเอาไว้ที่ในบ้าน
บ้านไหนมันมีนะ พระพุทธรูปองค์เล็กๆ อยู่ตามบ้าน มันกราบหรือไม่กราบก็ไม่ทราบ ถ้ามีคนมาจับแขนจูงไป ไปอะไร ไปกราบพระ อู๋ย เหมือนหมาร้องแหง็กๆ เหมือนจูงหมาใส่ฝน ถ้าจูงเข้าไปกราบพระมันเป็นอย่างนั้น ถ้าจูงไปหาที่โกโรโกโสอยากได้สิบขา สิบขาก็ยังไม่พอยังไปยืมขาเขามาอีก เอ้า ขานี้ก็ไม่พอยังไปหายืมอีก จะมาเอากับเราได้ยังไง ยืมขากัน มันอยากไปหาที่โกโรโกโสเข้าใจไหม ถ้าจูงเข้าห้องพระนี่ฟังเสียงร้องแหง็กๆ เหมือนจูงหมาใส่ฝน พวกเรามันประเภทหมาใส่ฝนหรือประเภทไหน พิจารณาซิ เอาละเทศน์เท่านั้นละ เทศน์ไปเขาจะมาโจมตีหลวงตา เทศน์ไปเทศน์มา เอาละพอ พากันจำเอานะ อย่ามาอยู่เฉยๆ ศาสนาเป็นของเลิศเลอมาดั้งเดิม กิเลสเป็นของเลวมาดั้งเดิม อย่านอนใจกับมันนะถ้าไม่อยากจม เอาเท่านั้นละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |