กิเลสพาคนให้ดื้อด้าน
วันที่ 11 กันยายน 2548 เวลา 8:30 น. ความยาว 35 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๘

กิเลสพาคนให้ดื้อด้าน

ก่อนจังหัน

เราเห็นประชาชนพุทธบริษัทเข้าวัดเข้าวา ฟังธรรมจำศีล ทำบุญให้ทาน เราชื่นใจกับบรรดาพี่น้องทั้งหลายมากทีเดียว เราเอาธรรมจับ เอาธรรมจับนี่มันเหมือนหมู่หนอนนะพวกเรา มันไม่รู้ศีลรู้ทาน หลั่งไหลลงไปนรกอเวจีๆ ใครพูดไว้นรกอเวจี สวรรค์ ชั้นพรหม ใครพูดไว้ พวกเปรตพวกผี พวกสัตว์ทำบาปทำกรรมจนกระทั่งจมนรกอเวจีเหล่านี้ใครพูดไว้ ศาสดาองค์เอก ร่ำลือทั่วแดนโลกธาตุใครจะเกินพระพุทธเจ้า ตาดีหูดี โลกวิทู รู้แจ้งโลก ใครแจ้งโลก พวกเรามีแต่คนหูหนวกตาบอด พระพุทธเจ้ามาสอนไม่ยอมฟังเสียง

ทีนี้เมื่อเราได้เห็นบรรดาพี่น้องชาวพุทธทั้งหลายเราเข้าสู่ศีลสู่ธรรม เราปลื้มปีติยินดีด้วยเป็นอย่างมากทีเดียว โอ๋ ยังมีผู้ที่จะเล็ดลอดไปจากกองทุกข์มหาภัยอยู่เหรอ มันอดคิดไม่ได้นะ มันตาบอดหูหนวก สอนเท่าไรๆ มันไม่ฟังๆ บืนลงๆ ฟังซิว่าพระอานนท์ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ผู้ที่จะไปสวรรค์กับผู้ที่จะลงนรกทางไหนมากกว่ากัน พระองค์รับสั่งทันทีเลย ผู้ที่จะไปสวรรค์นิพพานได้เท่ากับ โคตัวหนึ่งนั้นมีเขาสองเขา ขนเต็มตัวมัน ผู้ที่จะไปสู่ความดิบความดีไปสวรรค์นิพพานเท่ากับเขาโค ผู้ที่จะหลั่งไหลลงนรกแบบไม่ฟังหน้าฟังหลังเลยเท่ากับขนโค

เอามาเทียบซิ เป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบให้ดูอย่างนั้น เราจะเป็นฝ่ายเขาโคหรือขนโค เอา พิจารณาเสียตั้งแต่บัดนี้ เรานี้จวนตายเท่าไรยิ่งพิจารณานะ จิตนี่มันจ้า พูดชัดๆ อย่างนี้นะ เป็นแต่เพียงว่าธรรมท่านไม่ดีดไม่ดิ้น รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น อะไรที่อยู่ในวิสัยที่จะช่วยได้ก็ช่วยๆ ที่ไม่อยู่ในวิสัยที่จะช่วยได้แล้วก็ปล่อยๆ ไปเท่านั้น เวลานี้อยู่ในวิสัยที่จะช่วยได้ คือการแนะนำสั่งสอน ให้รีบฟังนะ ตายแล้วจะมาเคาะโลงโป๊กๆ รับศีลนะพ่อนะแม่นะ ใช้ไม่ได้นะ เวลานี้จะรับก็รับ รับศีลรับธรรม การทำบุญให้ทาน ให้ทำเสียตั้งแต่บัดนี้

พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอก ในโลกทั้งสามไม่มีใครเสมอพระพุทธเจ้า รับสั่งออกมาแต่ละคำๆ เป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ ฟังให้ชอบซิพวกเรา อย่าให้กิเลสมันลากถูไถลงไปนรกอเวจี เท่ากับขนโคๆ ดูไม่ได้นะ นี่สลดสังเวช เราก็ไม่เคยคาดเคยคิดในหัวใจดวงนี้ พูดชัดๆ อย่างนี้เลย ก็เหมือนเราๆ ท่านๆ หูหนวกตาบอด เขาพาชนฝาก็ชน ชนต้นไม้ก็ชน เขาพาไปชนอะไรชนดะไปเลย นี่ละจิตที่อำนาจของกิเลสมันปิดบังหุ้มห่อแล้วเหมือนคนตาบอด ไปไหนชนดะ คนตาบอดด้วยอำนาจของกิเลสปิดบังนี้บอดหนาแน่นมาก ลงนรกได้นะ แต่บอดธรรมดาอย่างมากก็ชนต้นเสาเท่านั้น ไม่มากนักนะ ถ้าบอดใจนี้พิลึก แต่ก่อนก็ไม่เป็นหัวใจดวงนี้น่ะ พูดให้มันชัดเสีย

ทีนี้เวลามาปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ที่เปิดทางๆ ที่ถูกต้องแม่นยำ เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ เอ้า เดินตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบ มันก็ไปชอบๆ สู่ความดีงาม ชอบโดยลำดับๆ จนกระทั่งถึงหัวใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันเต็มเปี่ยม นี่ชอบหรือไม่ชอบ พระพุทธเจ้าสอนมาชอบโดยลำดับๆ จนกระทั่งถึงนิพพานเที่ยง นั่นละความชอบธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว จนกระทั่งถึงนิพพาน ตรัสไว้ชอบถึงนิพพาน ผู้เดินตามนี้ก็ตามถึงนิพพานเหมือนกัน

เราจะเชื่อใคร เอา พิจารณา แต่ก่อนมันก็ไม่เคยเป็นจิตนี่ เวลาดำเนินเข้าตามธรรมพระพุทธเจ้า เจอตรงไหนๆ ยอมรับๆ ศาสดาสอนไว้แล้วๆ ทั้งนั้นๆ เจอตรงไหน แต่ก่อนไม่เคยเจอ เวลาปฏิบัติตามธรรมท่านแล้วก็เจอเอาๆ พอเจอปั๊บนี้ไม่ต้องหาใครมาเป็นพยาน เจอปั๊บๆ ยอมรับๆ ทันทีเลย เช่นอย่างว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ มี นี่พระพุทธเจ้าทรงเจอแล้ว สอนไว้เรียบร้อยแล้ว เราอย่าพากันดื้อด้าน

ทุกวันนี้กิเลสพาคนให้ดื้อด้านสันดานหยาบที่สุด จนกระทั่งศาสนาจะไม่มีเหลือ พระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวก ท่านท้อพระทัยๆ ก็เพราะมันไม่ฟังเสียงอะไร มีแต่จะบืนลงนรกโดยถ่ายเดียว พวกเราจะบืนไปทางไหนให้พากันฟังตั้งแต่เวลานี้ หูมีตามี หูมีราคา ตามีราคา ใจมีราคา ให้เร่งตักตวงเอาอรรถธรรม ซึ่งเป็นของมีคุณค่ามากเข้าสู่จิตใจเสียตั้งแต่บัดนี้

นี่เราพูดถึงเรื่องเราบำเพ็ญมา ความรู้ภายในใจไม่เคยมีแต่ก่อน นี่ก็ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า พอปฏิบัติตามไปก็เปิดออกๆ เรื่อยตามท่านที่ว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ทางที่ชอบ สอนอะไรชอบหมดๆ เดินไปตามนั้นก็ชอบไปตามนั้น ผึงเลยทีเดียว นี่ละได้เกิดความสลดสังเวช

ทีนี้สายตาของธรรมดูอะไรดูจริงๆ ไม่มีคลาดมีเคลื่อนเลย ไม่เหมือนกิเลส ดูไปตรงไหนหลอกไปตรงนั้น ต้มไปตรงนั้นกิเลส แต่ธรรมนี้ดูไปตรงไหนฉุดลากออกๆ เวลามันมาจ้าขึ้นภายในจิตใจนี้ โถ กราบพระพุทธเจ้าทั้งคืนฟังซิน่ะ กราบพระพุทธเจ้าทั้งคืน นั่งอยู่เฉยๆ นี่กราบ แล้วมานั่ง กราบ เราลืมเมื่อไรสดๆ ร้อนๆ อยู่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร สดๆ ร้อนๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ อัศจรรย์พระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลายท่านผู้ผ่านพ้นๆ เวลามันเจอเข้าจังๆ นี้กราบๆ คนภายนอกมาเห็นเขาจะว่า เออ อีตานี้มันเป็นบ้าเหรอ พระองค์นี้น่ะ

อยู่ภูเขาองค์เดียว นั่งแล้วกราบๆ มันกราบหาอะไร เขาจะคิดแหละพวกบ้า แต่นั้นกราบความอัศจรรย์ ความอัศจรรย์นี้ได้มาจากไหน ได้มาจากพระพุทธเจ้าๆ ยอมกราบๆ นี่พูดฟังให้ชัดเสียนะ เดี๋ยวนี้มาโกหกท่านทั้งหลายเหรอที่พูดนี่ แทบเป็นแทบตายเราดีดดิ้นเพื่อพี่น้องชาวไทยเรา เฉพาะอย่างยิ่งเพื่อชาตินี่สำคัญมาก เอาศาสนาตีตะล่อมเข้ามา หนุนเข้ามา เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราดีดดิ้นจนจะเป็นจะตายเราไม่เอาอะไรสักอย่าง แบมือออกมานี้ บาทเดียวเราไม่เคยแตะนะ ทุกอย่างเราเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเราทั้งนั้น

ความดีดความดิ้นนี้ เรารู้สึกจะเป็นที่หนึ่งเสียแล้วในวงพระสงฆ์ในเมืองไทยเรานี่ ดีดดิ้น เอะอะก็อีตาบัวๆ เอะอะก็หลวงตาบัว ช่วยชาติๆ เราเอาอะไร ไม่เอาอะไรเลย เราพอหมด มีแต่ความเมตตาล้วนๆ ไปที่ไหนมองเห็นอะไรนี้แหม มันอัศจรรย์นะ นี่ถึงกาลจะพูดก็พูด เวลาไม่พูดนี่รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น ธรรมท่านไม่ดีดไม่ดิ้น เสมออยู่อย่างนั้นตลอดเวลา จึงเรียกว่าธรรม นี่ก็ได้ปรากฏขึ้นแล้วในหัวใจดวงนี้ จากการปฏิบัติตามพุทธศาสนา คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

พี่น้องทั้งหลายพากันตะเกียกตะกายนะ อย่าเห็นตั้งแต่ความเพลิดความเพลินความรื่นเริง นี้ละเหยื่อที่เสียบปลายเบ็ด มันจะพาลงนรกนะ อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดี นี่ละเหยื่อล่ออยู่ปลายเบ็ดแล้วจมนะๆ พระพุทธเจ้าสอนมันไม่ยอมเชื่อ เชื่อแต่กิเลส จมกันทั้งนั้นๆ นะ พากันจำ เอาละพอ

หลังจังหัน

ผู้กำกับ จากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ โดยคุณสนธิ ออกอากาศทางช่อง ๙ อสมท.คืนที่ ๙ กันยาที่ผ่านมา

       สนธิเชื่อนายกรัฐมนตรีจงรักภักดีสถาบันพระมหากษัตริย์เกินร้อย แต่เตือนสติบางเรื่องที่ละเลย ยกตัวอย่างกรณีตั้งรักษาการสมเด็จพระสังฆราชฯ ทั้งที่สมเด็จพระญาณสังวรฯ ยังปฏิบัติหน้าที่ได้ ชี้ไม่ผิดกฎหมายแต่ผิดวัฒนธรรม จารีตประเพณี ย้ำอย่าลืมในหลวงของเรา

ประมาณวันที่ 13 ม.ค. 2547 มีการแต่งตั้งสมเด็จวัดสระเกศขึ้นมารักษาการสมเด็จพระสังฆราช มีกำหนดระยะเวลา 6 เดือน เหตุผลของการที่ทำเช่นนั้นก็เพราะว่า ทางรัฐบาลใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญอันใหม่ที่ให้อำนาจรัฐบาลในการทำเช่นนี้ ตั้งขึ้นมาเพราะว่า รัฐบาลโดยท่านรองนายกฯ วิษณุ เครืองาม ท่านบอกว่า สมเด็จญาณ หรือสมเด็จพระสังฆราชนั้นท่านทรงพระประชวร ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ก็เลยตั้งขึ้นมา พอตั้งขึ้นมาแล้วก็ให้ระยะเวลา 6 เดือน พอครบ 6 เดือนแล้วก็ออกเป็นพระราชกำหนดต่อไป

โดยที่มาแจ้งว่าพระองค์ท่านยังประชวรอยู่ โดยสำนักนายกฯนี้มาเล่าให้ฟังว่าประชวรไม่มีหลักฐานจากทางแพทย์ แพทย์ที่ทำการรักษาสมเด็จพระสังฆราช ที่แพทย์จุฬา ไม่ได้ระบุมาเลยว่า พระองค์ท่านปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ได้ คือพูดง่ายๆ ว่าอยู่ในสภาวะที่เงียบไม่อยากพูด ทีนี้ด้วยเหตุผล ด้วยตรรกะเมื่อพระองค์ท่านปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้จะมีรักษาการสมเด็จพระสังฆราชก็มีสิทธิ์จะทำได้ถ้าอยากจะทำ แต่ด้วยวัฒธรรมและจรรยาบรรณสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ท่านเป็นผู้นำจิตวิญญาณสงฆ์ในประเทศไทย เหมือนกับพระสันตะปาปาแห่งกรุงวาติกัน พระสันตะปาปาทรงพระประชวรอย่างหนัก จอห์น พอลที่ 2 องค์ที่แล้ว แต่เค้าไม่ตั้งใครมารักษาการสมเด็จพระสันตะปาปา เค้าให้เกียรติผู้นำจิตวิญญาณ ให้ความเคารพอย่างสูงส่ง ในกรณีจอห์น พอลที่ 2 กับกรณีสมเด็จพระสังฆราชไม่เหมือนกัน

และนี่คือที่มาของการเรียกร้องของหลวงตามหาบัว ให้ทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ปรากฏว่ากาลผ่านไปมีข้อพิสูจน์และทำให้สงสัยว่าจริงๆ แล้วพระองค์ท่านทรงพระประชวรแล้วหายรึยัง ผมมีหลักฐานหลายๆ อย่างซึ่งสามารถที่จะทำให้ได้เห็น เป็นเวลา 1 ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ต่างๆ บ่งชี้ว่า พระอาการประชวรของสมเด็จพระญาณสังวรณ์ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังคปริณายก ไม่ได้หนักหนาสาหัสถึงขั้นปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชต่อไปไม่ได้ หลักฐานมีหลายประการที่พระองค์เสด็จปฏิบัติศาสนกิจที่สำคัญต่างๆ ได้

ท่านรองฯวิษณุ ท่านพูดยังไงรู้มั๊ยตอนที่ท่านตั้งผู้รักษาการสมเด็จพระสังฆราช ท่านพูดว่า ในนามของรัฐบาลผมเรียนให้ทราบเลยนะครับว่า รัฐบาลนี้ไม่มีวันหรอกครับ และเชื่อว่าไม่ว่ารัฐบาลใดๆ ก็ไม่มีทางที่จะกระทำอะไรขัดต่อสิ่ง 4 ประการ คือ

1.จะไม่มีทางที่กระทำสิ่งใดอันเป็นการขัดสิ่งที่ชื่อว่าเป็นพุทธประสงค์ ขัดไปแล้ว

2.จะไม่มีทางเลยที่จะทำขัดต่อพระธรรมวินัย ขัดไปแล้วเพราะพระธรรมวินัยไม่ได้ให้รัฐบาลมาตั้งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช ต้องสงฆ์เองดำเนินการเอง

3.จะไม่กระทำสิ่งใดเป็นการขัดต่อพระราชอำนาจ

พระราชอำนาจในการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ก่อน พ.ศ.2535 เป็นพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ แต่หลัง 2535 มีการแก้กฎหมายให้รัฐบาลและมหาเถรสมาคมตั้งและส่งไปให้พระองค์ท่านลงนาม เอาหละในหลักจารีตประเพณี สมเด็จญาณฯ เป็นพระพี่เลี้ยงของพระเจ้าอยู่หัว ตอนพระเจ้าอยู่หัวทรงพระผนวช สมเด็จญาณฯ เป็นพระพี่เลี้ยง ความใกล้ชิดสนิทสนมของสมเด็จญาณฯ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นั้นสนิทสนมกันมาก เมื่อสนิทสนมกันมากแล้ว โดยจารีตประเพณี สมมุติว่าเราเห็นว่าสมเด็จญาณทรงพระประชวรหนักจำเป็นต้องมีคนที่มารักษาการ ควรที่รัฐบาลจะต้องขอเข้าไปเข้ากราบบังคมทูล เล่าเรื่องต่างๆ ให้พระองค์ท่านฟัง แล้วขอให้พระองค์ท่านทรงมีพระราชวินิจฉัยตามมารยาทแห่งจารีตประเพณี

เพราะฉะนั้นแล้ว 4 ข้อที่ท่านรองฯ วิษณุพูดไม่ได้ทำซักข้อเลย ผิดหมด ประเด็นตรงนี้ต่างหาก ถามว่าวันนี้พิสูจน์ชัดแล้วว่า สมเด็จพระสังฆราชไม่ได้ประชวร ปฏิบัติหน้าที่ได้ รัฐบาลทำไมถึงไม่ยกเลิกตำแหน่งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช หรือว่ารัฐบาลต้องการจะให้สมเด็จวัดสระเกศเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ต่อไป ถึงแช่เรื่องนี้เอาไว้ ปรากฏว่าวันนี้เรามีสมเด็จพระสังฆราช 2 องค์ สมเด็จญาณ และรักษาการสมเด็จพระสังฆราช

หลวงตามหาบัวท่านสู้ในเรื่องนี้ ท่านไม่ได้สู้เรื่องอื่นเลย ท่านบอกว่า ให้เป็นไปตามธรรมวินัย เมื่อฝ่ายสงฆ์จะเลือกใครเป็นตัวแทนก็เลือก และที่สำคัญคือว่า สมเด็จญาณพระองค์ท่านยังมีพลานามัยที่เข้มแข็ง สมบูรณ์ ทำไมผมรู้ พี่ชายผมครับนายแพทย์ศักดิ์ชัย ลิ้มทองกุล เป็นแพทย์ผู้รักษาสมเด็จพระสังฆราช พี่ชายผมอึ้งพูดไม่ออกเพราะว่าท่านรองฯวิษณุ หรือทางรัฐบาลอยากให้แพทย์ผู้รักษาทำหนังสือออกมาว่าท่านทรงประชวร

ผมต้องเอ่ยเบื้องหลังให้ฟังเพราะว่า เรื่องนี้ผมเชื่อว่าท่านนายกฯ อาจจะไม่รู้เรื่อง เมื่อไม่รู้เรื่องแล้วท่านนายกฯต้องแก้ซะ เพราะว่าสิ่งนี้จะทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ดีใจไม่ได้เลยครับเรื่องนี้ เพราะทุกวันนี้เป็นเรื่องที่คาใจมาก 1 ปีกับอีกเกือบ 9 เดือน ถึงเวลาแล้วรึยังที่จะกลับมาแล้วบอกว่าด้วยเหตุผลอันควรยกเลิกรักษาการสมเด็จพระสังฆราช

หลวงตา  ก็ถูกต้องแล้วที่เขาพูดไปไม่มีอะไรที่จะค้าน มันอะไรไอ้ยศไอ้ลาภนี่มันทำคนให้เป็นบ้าทั่วโลกดินแดนนะ ปีนกัน ตะกละตะกลามเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ ศีลธรรมไม่มีในใจ มีแต่ส้วมแต่ถานภายในหัวใจ แล้วจะเอาอะไรมาประดับให้สวยให้งาม มันสวยงามไม่ได้นะ ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรม ธรรมเข้าอยู่ตรงไหนสงบร่มเย็น สง่าราศีทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้ไปที่ไหนร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ ยื้อแย่งแข่งกันอยู่เวลานี้ จะเอายศเอาลาภ เอาอะไรต่ออะไร ตัวเองเหมือนส้วมเหมือนถาน เอามาหาอะไรเอามาประดับส้วมถานนั่น นี้ละหลักธรรมหลักวินัยพูดอย่างนี้

ไม่มีอะไรเลิศกว่าธรรม ยิ่งกว่าธรรม ปฏิบัติให้ดี อย่างพระเราไปหายศหาแย็ดที่ไหน ปฏิบัติตัวให้ดีเท่านั้นพอ แล้วเป็นพระขึ้นโดยลำดับ พระพุทธเจ้า พระสาวกอรหงอรหันต์ท่านไปหายศหาลาภมาจากที่ไหน ธรรมท่านเสกสรรปั้นยอขึ้นบำรุงขึ้นปฏิบัติขึ้น แล้วท่านก็เป็นธรรมทั้งแท่งๆ มาสอนโลกอยู่เวลานี้ ได้ยศที่ไหนมาสอนโลก อะไรดีกว่าธรรม ธรรมเป็นของเลิศเลออยู่แล้ว ให้พากันขวนขวายหาอรรถหาธรรม อย่าหาบ้าๆ บอๆ ไอ้ชื่อเสียงอะไรต่ออะไร ยศอย่างนั้น ยศอย่างนี้ ยุ่งไปหมด ความดีงามที่ควรจะขวนขวายได้อยู่ในตัวของเราเองไม่สนใจ จะไปหาแต่ชื่อแต่เสียง ข้างในมีแต่มูตรแต่คูถได้ชื่อเสียงดีงามก็เอา ใช้ไม่ได้นะ

ยิ่งเลวลงทุกวันๆ ไม่ว่าทางโลกทางธรรมในเมืองไทยของเรา เลวลงทุกอย่าง ทางบ้านเมืองก็เลวลงอย่างนี้ละ โจมตีเข้าไปจะกลืนจะกิน ตะกละตะกลามไป ยังไม่ตายก็จะกินโต๊ะกินเลี้ยงกันแล้ว เช่นอย่างสมเด็จพระสังฆราชนี่ คอยจะกินโต๊ะกินเลี้ยงกันอยู่ตลอดเวลา มันสมบัติอะไร หาความดีในตัวเองนั้นก็พอแล้วนะ ไปยุ่งอะไรกับใคร ได้ความดีพอแล้วไม่ต้องยุ่ง นี่ละเรื่องธรรมเป็นอย่างนั้น ท่านไม่ดีดไม่ดิ้นนะธรรม อยู่สบายๆ ไม่มีอะไรเกินธรรม ผู้มีธรรมอยู่สบาย ผู้ไม่มีธรรมมีแต่ส้วมแต่ถานดีดดิ้นเป็นบ้ากันอย่างเห็นอยู่นี่ละ นี่มีแต่ส้วมแต่ถานมันดีดมันดิ้นอยู่เวลานี้ ธรรมท่านไม่ดีด ท่านเป็นธรรม

นี่ก็เป็นตัวอย่างอันดี แต่นี้มันมาเป็นความเลวที่ไปสืบทอดมาจากพระพุทธเจ้าที่ประทานเอตทัคคะ ท่านบอกว่าบรรดาสาวกทั้งหลาย ๘๐ องค์เป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าทรงตั้งเรียกว่าเอตทัคคะ เลิศไปคนละทางๆ เมื่อแปลออกแล้วนะ เอตทัคคะ แปลว่าเลิศไปคนละทางๆ พระอรหันต์องค์นี้เลิศไปทางนั้นในกิริยา เหมือนอย่างต้นไม้ ต้นไม้นี้กิ่งนี้เป็นอย่างนั้นกิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น ต้นแต่ละต้นๆ กิ่งไม่เหมือนกัน สวยงามไปคนละกิ่งละต้น องค์นั้นเลิศทางนั้น องค์นี้เลิศทางนี้ เรื่อยๆ ไป พระอรหันต์ท่านไม่ตื่นเต้นนะ ท่านไม่ได้เป็นบ้ายศเหมือนทุกวันนี้

ทุกวันนี้พวกบ้ายศ พระเราหัวโล้นๆ ยิ่งบ้ายศใหญ่นะ แล้วจะเอาอะไรไปสอนโลกเมื่อเจ้าของก็เป็นบ้ายศอยู่อย่างนี้แล้ว ศีลธรรมไม่สนใจนะพวกนี้ พวกหัวโล้นๆ พวกเดียวกับหลวงตาบัวนี่ละหัวโล้นๆ ไม่ได้สนใจกับศีลกับธรรมยิ่งกว่าความดีดความดิ้นหายศหาลาภ มันเป็นเรื่องโลกเป็นเรื่องส้วมเรื่องถานไปหมดแล้ว มันหาแต่ส้วมแต่ถานทุกวันนี้ ศีลธรรมไม่ได้หา ถ้าหาศีลธรรมไม่ต้องยุ่งกับใคร อยู่ที่ไหนอยู่ไป ที่ไหนสะดวกสบาย

อย่างพระพุทธเจ้ารับสั่งให้ รุกฺขมูลฺเสนาสนํ บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผาหรือป่าช้าป่ารกชัฏ ซึ่งเป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรได้ด้วยความสะดวก ไม่มีสิ่งรบกวนไปยุ่งเหยิงวุ่นวาย จงอยู่และบำเพ็ญในสถานที่นั้นตลอดชีวิตเถิด สอนพระทุกองค์ พระโอวาทข้อนี้สอนทุกองค์ไม่มีเว้น ปัจจุบันนี้ก็มีเพราะเป็นพระโอวาทที่จำเป็นมากที่สุด สอนมาอย่างนั้น แต่มันแหวกเข้าไปหากระดูกหมูกระดูกวัว มันแหวกเข้าไปหาส้วมหาถาน แหวกเข้าไปหามูตรหาคูถนี่ซิเดี๋ยวนี้ มันจึงได้มูตรได้คูถมาโปะหัวกัน ครั้นเห็นหน้ากันมีแต่เรื่องยศเรื่องลาภเรื่องอะไร เรื่องศีลเรื่องธรรมเป็นยังไงภายในใจไม่ได้ถามหากันนะเวลานี้ มันเป็นบ้าไปทั้งโลกหมดพระเรานี่

ทั่วประเทศไทยละทั้งเขาทั้งเราเป็นแบบเดียวกันหมด แล้วจะให้ใครที่เขามีความมุ่งหมายและกราบไหว้บูชาครูบาอาจารย์ ผู้มีศีลมีธรรมพอเป็นขวัญตาขวัญใจมันหาไม่เจอ เมื่อหาไม่เจอแล้วก็จะไปหาอะไร ก็อยู่ไปอย่างนั้นละ ฆราวาสก็อยู่แบบขาดที่พึ่งจากภายนอก แล้วหาที่พึ่งตัวเองเอานะ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ให้อยู่ในใจ อย่าไปหาจากพระ พระเหล่านี้เป็นพระส้วมพระถาน พระที่ปฏิบัติเหลวแหลกแหวกแนวอยู่เวลานี้ วิ่งเต้นหาตั้งแต่ยศแต่ลาภสรรเสริญเยินยอไปอย่างนั้น ไม่ได้อรรถหาธรรมซึ่งเป็นธรรมชาติเลิศเลออยู่ภายในใจนี้บ้างเลย

เราหากับพวกนี้ไม่ได้ให้หาเอาในตัวของเรา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ให้ติดใจไป ไปที่ไหนเย็นถ้ามีพุทโธไป ให้พากันจำเอาทุกคน นี้พูดให้ฟังอย่างชัดเจน นี่ละเสียงธรรมพูดอย่างนี้ พูดอย่างตรงไปตรงมาพูดอย่างอื่นไปไม่ได้ เสียงธรรมกับเสียงโลกต่างกัน เสียงโลกพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคม ปลอมเอามาเป็นจริง จริงเอาไปปลอม ได้ทั้งนั้นละพวกกิเลสนี่ ถ้าธรรมแล้วตรงไปตรงมา ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูกนี่ละธรรม นี้เราก็พูดตามธรรม

เวลานี้ที่เมืองไทยของเราเดือดร้อน ก็เพราะมีตั้งแต่ส้วมแต่ถานเต็มบ้านเต็มเมือง ทางฝ่ายบ้านเมืองก็เป็นส้วมเป็นถาน ทางฝ่ายพระก็เป็นส้วมเป็นถาน ต่างคนต่างส้วมต่างถานคือความเลวทราม ขวนขวายหามาโปะหัวกันๆ ศีลธรรมอันดีงามไม่เคยสนใจ นี่ละโลกจะมีความสงบร่มเย็นมาจากไหน ถ้าลงตั้งใจปฏิบัติศีลธรรมให้สงบร่มเย็นภายในตัวแล้วออกไปไหนก็สงบร่มเย็นคนเรา ไปที่ไหนก็เป็นสง่าราศี พากันจำเอานะบรรดาพี่น้องทั้งหลาย นี่สายแล้ว ๙ โมงแล้ว เอาละหยุดพอ

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก