เทศน์อบรมคณะครูและนักเรียนโรงเรียนอุดรพิทยานุกูล ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๘
อดอาหารนี้ดีทุกขั้นสำหรับเรา
วันนี้คนไม่มากนัก แต่ก็เต็มอยู่ทุกแห่ง ว่าคนไม่มากมันก็มาก อาหารได้มาแล้วก็มาแยกมาแยะจัดโน้นจัดนี้ กว่าจะได้ฉันเป็นเวลานานยิ่งกว่าเวลานั่งฉันอีกนะ นั่งจัดนั้นจัดนี้นานกว่าเวลาฉันอีก คนมากก็ต้องจัดแยกโน้นแยกนี้ คนมากพระมากจัดก็ช้าไปๆ ถ้าคนน้อยก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ทีนี้เทียบปั๊บเข้าไปถึงสุดยอดเลยว่าอยู่คนเดียว จะไปบิณฑบาต สะพายบาตรลง อยากจะว่าลงเขาๆ เพราะเราเคยชินกับเขา สะพายบาตรปุ๊บไปเลย เงียบ บิณฑบาตมาแล้วมีแอ่งหินมีน้ำอยู่ตรงไหนเท่านั้นแหละ มาก็ฉันปุ๊บปั๊บๆ ไม่ได้ไปถึงที่พักนะ พอออกมาที่ไหนก็ฉันเสีย บางแห่งญาติโยมเขาไปจัดที่ให้เป็นทำเลฉัน เวลาบิณฑบาตออกมา มีแอ่งน้ำแอ่งอะไรๆ ในหิน มาก็ฉันปุ๊บปั๊บๆ ล้างบาตรเช็ดบาตรเสร็จเรียบร้อยแล้วสะพายบาตรเปล่าขึ้นเขาเลย เรียกว่าง่าย หมายถึงว่าความง่ายความคล่องตัว
ไปบิณฑบาต สำหรับเราเองมันเป็นเรื่องนิสัยวาสนาอะไรไม่ทราบ คือบ้านใหญ่ไม่ไปนะ ไปหาแต่บ้านเล็กๆ น้อยๆ สี่ห้าหกเจ็ดหลังคาเรือน เก้าหลังคาเรือน สิบหลังคาเรือน เหล่านี้ส่วนมาก มักจะไปตามนี้ บ้านใหญ่จริงๆ ไม่ไป คือมันกวนเรื่องภาวนาที่ว่าไม่ไป พูดนี้จะว่าดูถูกโลกมันก็ไม่ใช่ เพื่อตัดความกังวลเพื่ออรรถเพื่อธรรมของเราเอง บ้านไหนเราไปพักนอกบ้านเขา มันค่ำอย่างนี้นะ เขารุมออกมาหาเรา หือ บ้านนี้ไม่เป็นท่าแล้ว คือคนจะมากวน เข้าใจไหม แทนที่จะพักที่นั้นแถวไหน..ไม่อยู่แหละ หนีไปเลย เพราะมุ่งต่อธรรมอย่างเดียว ไม่มุ่งอะไรทั้งนั้น
บิณฑบาตได้มาเท่าไรพอ อาหารจะประณีตบรรจงหรือเลวอะไรไม่ได้สนใจ พอยังอัตภาพที่เป็นคู่ควรกับอาหาร อาหารเป็นยังไง ร่างกายของเราเป็นยังไง เข้ากันได้ นั่น รับเท่านั้นพอ พอฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ล้างบาตรเช็ดบาตร เรียบร้อยแล้วก็เอาผ้าเช็ดบาตรที่มันเปียกมันอะไรตากบนหินดานแดดๆ ครู่เดียวแห้งแล้ว ปุ๊บปั๊บๆ ไปเลย เงียบเลย นี่หมายถึงวันฉัน แต่ไม่ได้ฉันทุกวันนี่ แล้วแต่จะลงมาเมื่อไร มาบิณฑบาตฉัน ถ้าไม่ลงมาก็ไม่ฉัน สักกี่วันก็ตัวเอง เพราะฉะนั้นเราจึงไม่เอาใครไปด้วย
ถ้าเป็นสององค์สามองค์มันเป็นน้ำไหลบ่า ภาระมา ความรับผิดชอบโดยสัญชาตญาณที่มีต่อกันมันก็เป็นเอง มันก็เป็นน้ำไหลบ่า กระแสของจิตก็ออกนั้นออกนี้ ถ้าไปคนเดียว อะไรอยู่นี้หมด ภาระก็มีอันเดียวแต่เรา ทีนี้การขบการฉันการไปการมามันก็สะดวกทั้งหมดเลย เดินไปไหนก็ทำความเพียรไป สติไม่ให้พรากจากใจ ให้มันติดอยู่กับใจ นี่เรียกว่าผู้ภาวนาอบรมจิตใจของเรา บำรุงรักษาจิตใจ ไม่ให้ข้าศึกคือกิเลสมันเหยียบย่ำทำลาย ไปคนเดียวก็ยิ่งแน่วตลอด หรือเราจะเดินจากนี้ไปหาหมู่บ้าน เป็นเรื่องเดินจงกรมเป็นความเพียรตลอดเลยนะ ไม่ได้ว่าเสียเวล่ำเวลาเพราะวันนี้ไปบ้านนั้นบ้านนี้ ไปหาถ้ำหาอะไรสถานที่ต่างๆ การเดินไปเป็นความเพียรไปตลอด ของคนๆ เดียวนะ มันต่างกัน
คือคนเดียวเท่านั้นมันปลดเปลื้องภาระออกหมดเลย เหลือแต่เราคนเดียว ทีนี้อยากกินก็กิน กี่วันไม่กินก็แล้วแต่ จะตายก็อยู่กับเจ้าของ มันรู้นี่นะ มันจะตายจริงๆ ก็บิณฑบาตมาฉันเสีย แน่ะ ความรู้อยู่กับเจ้าของ ร่างกายนี่ใจเป็นผู้รับผิดชอบ ควรฉันไม่ควรฉัน ทีนี้จิตเกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์เกี่ยวกับธรรมจะเอาทางไหน เราก็มุ่งต่อธรรม เพราะฉะนั้นทางร่างกายจึงต้องผ่อนลงเรื่อยๆ เพื่อให้ธรรมดีดขึ้น
ที่พระท่านอดอาหารนี่ ในครั้งพุทธกาลก็คือพระพุทธเจ้าทรงทำเอง แต่นั้นพระองค์อดพระกระยาหารไม่ฉันนั้น เพื่อจะตรัสรู้ด้วยการอด ผิดกันตรงนี้เท่านั้นเอง ไม่ได้มีจิตตภาวนาทางด้านจิตใจเข้าไปแทรก เพราะฉะนั้นจึงไม่สำเร็จ ทีนี้พอพลิกปั๊บออกมาเสวยพระกระยาหาร ที่นางสุชาดาไปถวาย วันนั้นก็พอดีพระสรีระทุกสัดทุกส่วนเบาหวิวเลย ก็อดอาหารมาตั้ง ๔๙ วัน มาเสวยพระกระยาหารในวันนั้น ข้าวมธุปายาส ๔๙ ชิ้นท่านเสวยหมด เสร็จแล้วก็ตั้งสัจจอธิษฐาน
คิดถึงเรื่องที่ว่าท่านเสด็จไปกับพระราชบิดาไปแรกนาขวัญ ที่ร่มหว้าใหญ่ ทรงบำเพ็ญอานาปานสติ จิตสง่างามและอัศจรรย์ขึ้นเดี๋ยวนั้น ท่านย้อนหลังไประลึกนั้นได้ ตอนที่ท่านอดพระกระยาหารมามากต่อมากแล้วไม่สำเร็จ ท่านเลยย้อนไปคิดถึงอันนั้น หรืออันนั้นจะสำเร็จ จึงปลงพระทัยเลย ทรงเสวยพระกระยาหารที่นางสุชาดาไปถวายในวันเพ็ญเดือนหก แล้วตั้งสัจจอธิษฐานเลย จะภาวนาแบบนั้นนะที่นี่ ไม่เอาแบบอดอาหาร จิตดิ่งเลย วันนั้นก็พอดีพระสรีระทุกสัดทุกส่วนเบาหวิวๆ ช่วยอีกด้วยนะ พอเสวยพระกระยาหารแล้วก็ตั้งสัจจอธิษฐานว่า สถานที่นั่งนี้ ๑.นั่งเพื่อตรัสรู้พ้นจากทุกข์ สิ้นกิเลส ๒.ถ้าไม่ตรัสรู้ต้องตายอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน ไม่ยอมลุกเลย นั่น แต่ท่านตั้งลงในจุดที่ถูกต้อง คืออานาปานสติ ได้แก่ภาวนา ก็ดีดผึงในคืนวันนั้นเลย
เรื่องอดอาหารถ้าอดอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงทำมาก็ผิด เพราะไม่มีจิตตภาวนาเกี่ยวข้อง แต่ท่านอดนี้ท่านอดเพื่อเป็นเครื่องหนุนความเพียรทางด้านจิตตภาวนาจึงถูกต้อง แล้วส่งเสริมได้ดี สำหรับเราเองนิสัยวาสนาหยาบมาก ที่ว่าทุกข์ทรมานมากเพราะอดอาหารนั่นแหละ ไม่ได้มีอิ่มหนำสำราญแหละ เป็นครั้งคราวเท่านั้น นอกนั้นก็ฟัดกันเรื่อยๆ มันจะตายจริงๆ ก็ให้ฉันเสียทีหนึ่งๆ คือร่างกายเราอ่อนเปียก แต่จิตใจดีดขึ้นๆ มันเห็นกันอยู่นี่ ก็เราภาวนาเพื่อใจ เราไม่ได้ภาวนาเพื่อหาอาหารนี่วะ มันก็หนักทางนั้น ทุกข์มากก็ทนเอา เพราะผลเป็นอย่างนี้ๆ ทางด้านจิตใจ ด้วยเหตุนี้จึงต้องฝืน
อย่างพระท่านไม่ฉันท่านอด ท่านจะไม่หิวยังไงท่านก็เป็นคนเหมือนกันกับเรา ธาตุขันธ์ต้องการสิ่งต่างๆ ที่มาเยียวยารักษาเหมือนกันกับโลกทั่วๆ ไป ท่านจะไม่หิวยังไง แต่ท่านก็ทน ทนเพื่อธรรมจะได้ดูดดื่มกันภายในจิตใจ ทนเอา เวลาอดอาหารเข้าไปนี้จิตใจจะค่อยเบาหวิวๆ อดไปหลายวันเท่าไรจิตใจยิ่งนิ่มเข้าไปๆ สติยิ่งดีๆ ติดแนบๆ กัน มันเห็นอยู่อย่างนั้น ทีนี้เวลาเราหิวนี้เราก็มาคิดเทียบ หิวนี้กินเมื่อไรมันก็อิ่ม กำลังของร่างกายนี้ขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นเราอ่อนเปียกมาเดินบิณฑบาตในหมู่บ้านไม่ถึง พักนั่งอยู่ตามทาง นี่มันอ่อนไหมขนาดนั้น ทีนี้พอไปฉันออกมาแล้วนี้ม้าแข่งสู้ไม่ได้ นี่กำลังทางร่างกายมันขึ้นเร็วนะ พอฉันเสร็จแล้วดีดผึงเลยขึ้นเขา ไม่ได้เป็นคนเก่าที่เดินด้อมแด้มๆ ลงมานะ พอฉันเสร็จแล้วเหมือนม้าแข่ง นี่กำลังทางร่างกายมันมีได้รวดเร็ว แต่กำลังของจิตมีได้ช้า จึงต้องพยุงกัน
กำลังของจิตเกิดขึ้นจากการอดอาหารผ่อนอาหาร ก็ต้องทน พระที่ท่านทำท่านทนทุกองค์นั่นแหละ ไม่ทนได้เหรอ เพราะเหตุผลเทียบกันแล้วท่านมุ่งในธรรมะ เมื่อธรรมะเห็นเป็นยังไงต้องหมุนไปธรรมะมากกว่าเรื่องธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์อยากกินเมื่อไรก็ได้ อยากนอนเมื่อไรก็ได้ไม่ยากอะไร แต่ที่จะพยุงจิตใจให้ดีนี้ลำบากหนา คำว่าลำบากนี่คือการฝึกหัดเบื้องต้นจิตยังไม่ได้หลักได้เกณฑ์ ล้มลุกคลุกคลานนี้ยิ่งลำบากมาก ครั้นฝึกไปๆ ก็ค่อยคล่องตัวๆ จิตคล่องตัวจิตได้หลักได้เกณฑ์ จิตใจแน่นหนามั่นคงขึ้นเรื่อยๆ ทีนี้การอดอาหารอะไรๆ นั้นมันก็กลมกลืนกันไป ความพอเหมาะพอดีเรื่อยๆ
สำหรับการอดอาหารนี้ดีทุกขั้นสำหรับเรานะ ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน อดอาหารก็ช่วยได้ดี เวลาจิตตั้งหลักได้แล้วอดอาหารก็ยิ่งคล่องตัวเข้าไป ยิ่งออกทางด้านภาวนาล้วนๆ แล้วอดอาหารยิ่งคล่องเลย ลื่นไปเลย ไม่ได้เสียที่ตรงไหน สติก็เหมือนกัน สติเป็นพื้นฐานสำคัญมาก ที่อดอาหารเหล่านี้สตินี้ดีขึ้นๆ ติดแนบกันเลย จนกระทั่งไม่เผลอเลย เวลาอดอาหารมันเก่งนะ อยู่ทั้งวันทั้งคืนไม่มีการเผลอสติเลย ทีนี้พอเราฉันเข้าไปเริ่มมีผิดๆ พลาดๆ นั่นเป็นแล้วนะรู้แล้ว เจ้าของรู้แล้ว แต่เมื่อไม่กินมันก็จะตายจะทำไง ก็ต้องทนไป พอได้จังหวะแล้วก็เอาอีกๆ ต่อกันไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งจิตก้าวเข้าสู่หลักเกณฑ์อันดีงามไม่ถอยแล้ว ที่นี่ไม่ต้องบอกนะ ความเพียรที่ล้มลุกคลุกคลาน กับความเพียรของจิตที่มีหลักมีฐานออกก้าวเดินแล้ว เช่นสติปัญญาอัตโนมัติ อันนี้ไม่มีถอยเลย ยิ่งเสริมอันนี้เข้าไปยิ่งคล่องตัวเข้าไปเรื่อย ถึงไม่เสริมมันก็พุ่งๆ อยู่แล้ว คืออาหารเข้าไปอย่างนี้ ธรรมดามันเหมือนรถบรรทุกของหนัก มันจะอืดอาดลง ทีนี้เวลาจิตคล่องตัวแล้วการอดอาหารยิ่งช่วยได้ดีๆ คือคำว่าฝึกทรมานไม่ใช่จะเป็นแบบเดียวตลอดไป แบบที่ว่าเวลาล้มลุกคลุกคลานนี้ทุกข์มาก ต้องยอมรับว่าทุกข์
เช่นอย่างการฝึกทรมาน ไม่ขบไม่ฉันไม่หลับไม่นอน หนักตอนนี้ ถ้าไปทำตามสบายตายเลย ไปไม่รอด ต้องเอาแบบฝืนตลอด ทีนี้พอสติสตังค่อยดีขึ้น จิตใจมีหลักมีเกณฑ์มีความสงบร่มเย็นเข้าไปโดยลำดับ ก็ได้หลักขึ้นมาภายในใจ ทีนี้พอคิดพออ่านละที่นี่ จนกระทั่งก้าวขึ้นสู่ภาวนามยปัญญาหรือสติปัญญาอัตโนมัติ อันนี้อยู่ที่ไหนเหมือนกันเลย จิตนี้หมุนติ้วๆ เป็นแต่เพียงว่าช้ากับเร็ว ถ้าสมมุติว่าเราอดอาหารมันถูกกัน ยิ่งอดอาหารเข้าไปอันนั้นยิ่งคล่องๆ ถึงไม่อดมันก็หมุนของมันอยู่แล้วเป็นอัตโนมัติ นี่ละจิตเวลาได้ก้าว ก้าวอย่างนั้นนะ
เวลาถูกกิเลสบีบนี้ก้าวไม่ออก แหม จะก้าวออกสู่ความพากความเพียรเหมือนจูงหมาใส่ฝน ร้องแหง็กๆ พวกอยู่ใต้ถุนศาลานี้พวกร้องแหง็กๆ ฝนไม่ตกก็ตาม จูงเข้าทางจงกรมนี้มันจะต้องร้องแหง็กๆ เข้าใจไหมร้องแหง็กๆ มันไม่อยากไป ทีนี้พอจิตก้าวเดินโดยลำพังตนเองได้แล้ว พุ่งต่อพระนิพพาน เหมือนว่าพระนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมแล้วไม่มีแหง็ก ไม่มี ผึงๆ ตลอดเลย หลับต้องบังคับ นอนต้องบังคับ จิตมันหมุน หมุนที่จะออกจากทุกข์ เพราะเห็นโทษนี้เห็นเต็มหัวใจ เห็นคุณของธรรมก็เห็นเต็มหัวใจ เมื่อต่างอันต่างเห็นเต็มหัวใจแล้ว ใจดวงเดียวเป็นผู้พิจารณาแล้วมันก็พุ่งทางด้านเพื่อความพ้นทุกข์ หมุนติ้วๆ
ถึงขั้นที่เราฝึกจนกระทั่งคล่องตัวแล้วมันก็ง่ายอย่างนี้นะ ความเพียรประเภทนี้เราไม่ต้องพยายามเพียรนะ คำว่าเพียรนี่เพียรเพื่อพ้นทุกข์...ถูก แต่ว่าเพียรในประโยคพยายามปัจจุบันไม่ได้เพียร ต้องรั้งเอาไว้ๆ ไม่งั้นมันจะเลยเถิด ลืมหลับลืมนอนไปแหละสำคัญ ทุกอย่างลืม ถ้าลงทางจงกรมนี้ฟาดตลอดทั้งวันก็ไม่รู้จักหยุด นี่ที่ว่าท่านเดินจงกรมฝ่าเท้าแตก แต่ก่อนเราก็อ่านในคัมภีร์ว่า พระโสณะท่านเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก เราก็คิด ความเชื่อไม่เชื่อก็ยังไม่ได้ไปสนใจนักละ อ่านในตำรา ความเพียรท่านกล้าเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก เราจำได้เท่านั้น ยังไม่เน้นหนักในการพินิจพิจารณาเรื่องความเพียรฝ่าเท้าแตก
แต่พอมาถึงขั้นของเราเป็น เอาเราเลย พอถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ ความเพียรอัตโนมัติ นี่ละฝ่าเท้าแตกได้เลย ถ้าลงได้ลงทางจงกรมลืม เหมือนนักมวยต่อยกันวงใน ใครจะไปคำนวณเวล่ำเวลา ใครคำนวณเวล่ำเวลาตายเลยนักมวยคนนั้น ไม่มีละ ฟัดกันเลย อันนี้จิตที่ฟัดกับกิเลสก็เท่ากับนักมวยเข้าวงใน นี้เป็นอัตโนมัติ อยู่ที่ไหนเป็นความเพียรตลอด สติติดแนบเลยเชียว นี่ละสติเมื่อได้อบรมดีแล้วติดแนบกับตัว ก้าวเรื่อยๆ เพลิน เดินจงกรมนี้ถ้าลงได้ก้าวลงเดินจงกรมแล้วลืมเวล่ำเวลา เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า หิวโหยน้ำท่าไม่สนใจเลย เพราะมันเข้าวงใน หมุนติ้วๆ จนกระทั่งมันจะตายแล้วที่นี่ มันอ่อนไปหมด ก้าวขาจะไม่ออกแล้วก็มา ถึงขนาดนั้นนะ จนจะก้าวขาไม่ออก เดินก็ไม่ได้เดินเร็วอะไรนะ แต่มันเดินตลอด กลางคืนก็เดิน กลางวันก็เดิน สุดท้ายฝ่าเท้าก็แตกได้
เราเชื่อพระโสณะว่าเดินจงกรมประเภทนี้ เดินธรรมดาบังคับธรรมดาจะให้ฝ่าเท้าแตกนี้เป็นไปได้ยาก เราไม่อยากเชื่อแหละ ถ้าเป็นความเพียรประเภทอันนี้หมุนติ้วเลย ความเพียรอัตโนมัติ สติปัญญาอัตโนมัตินี้ไม่ต้องบอกก็ได้ เดินจงกรมฟาดแต่เช้าจนยันค่ำ แล้วก็เดินอยู่ทุกวัน กลางคืนกลางวันไม่ว่า มันจะไม่แตกได้ยังไงฝ่าเท้า ท่านเดินจงกรมท่านฝ่าเท้าแตก เทียบกับเราลงได้ลงทางจงกรมมันลืมเลยเวล่ำเวลา เดินได้ทั้งวันทั้งคืน มันจะได้ภูเขาลูกไหนมาติดฝ่าเท้าเพื่อจะไม่ให้แตกล่ะ มันก็แตกได้
เราไม่แตก แต่เป็นเครื่องยืนยันกันได้ เวลามานั่งมันจะเป็นจะตาย ก้าวขาไม่ออก เดินจงกรมขนาดถึงจะก้าวขาไม่ออก คือจิตมันไม่ถอย หมุนตลอด เดินสะเปะสะปะชน ข้างทางจงกรมโครมครามนู้น แล้วโครมครามทางนี้ คือจิตมันหมุนอยู่ภายใน เหมือนกับว่าตาบอดไปเลย ตาฝ้าตาฟาง แล้วเดินสะเปะสะปะ คือจิตมันทำงานอยู่ภายใน ภายนอกขาก็ก้าวไปโครมครามๆ โอ๊ย ป่า ถอยออกมา ถ้าคนอื่นเขาไปเห็นเขาจะว่าบ้า ความจริงคือจิตมันหมุนตัวภายใน ไม่ออกข้างนอก แล้วกลับมาเดินไปอีก เอาอีกโครมครามอีก คือจิตมันหมุนอยู่ตลอด นี่ละเรื่องที่ว่าฝ่าเท้าแตก
ทีนี้พอมานั่ง มันจะตายจริงๆ ก็มานั่ง ออกร้อนฝ่าเท้าเหมือนไฟลนนะ ก็มาดูละที่นี่ เวลามานั่งแล้วทำไมฝ่าเท้าเรามันถึงได้ออกร้อนเอานักหนา เหมือนไฟลน มันเป็นยังไง มาดูซิ เอาฝ่าเท้ามาดูมันก็ไม่แตก ทีนี้เอามือไปสัมผัสฝ่าเท้าที่มันกำลังออกร้อนอยู่นั้น อู๊ยเสียว เสียวคือว่าอันนี้มันบางพอแล้ว จากนี้มันทะลุ ทะลุถึงเนื้อ แต่ท่านบอกว่าฝ่าเท้าแตก ไม่ได้แตก คือมันบางเข้าๆ ทะลุถึงเนื้อ ท่านเลยเรียกว่าฝ่าเท้าแตก ความจริงมันทะลุเข้าไปถึงเนื้อก็เลยเรียกว่าฝ่าเท้าแตก
นี่เป็นในเรา มาลูบๆ มันออกร้อนเหลือประมาณ เวลาขึ้นเวทีมันไม่ได้สนใจกับออกร้อนนะ พอมาหยุดนั่งนี้ แหม มันออกร้อนฝ่าเท้า เลยเอาฝ่าเท้ามาดู ฝ่าเท้ามันแตกเหรอ เอามาดูจริงๆ เอ๊ะ มันไม่แตกนี่นะ แล้วเอามือไปคลำๆ เสียว เสียวแปลบๆ บางแล้วนั่น ถ้าเลยจากนั้นไปทะลุถึงเนื้อ นั่นเห็นได้ชัด อันนี้เชื่อเรา ถ้าลงความเพียรประเภทนี้เชื่อ อย่างพระโสณะท่านฝ่าเท้าแตกเชื่อ ของเรานี้ถ้าหากว่ากิเลสไม่แตกก่อนฝ่าเท้าแตกเหมือนกัน เชื่อ เพราะมันหมุนไม่หยุด
นี่ละท่านทั้งหลายให้ฟังเสีย การประกอบความเพียร ธรรมเมื่อมีกำลังแล้วจะเป็นอย่างนี้หมุนอัตโนมัติเพื่อความพ้นทุกข์ๆ นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ ตลอดเลย หวุดหวิดๆ ทีนี้ก็บืนใหญ่ละ ฝ่าเท้าแตกได้ เป็นความเพียรอัตโนมัติมาจากที่เราล้มลุกคลุกคลาน ฝืนทรมานตนเองหนักเบาอะไร อย่างที่ว่าอดอาหาร อดนอนบ้างอะไรบ้างหลายประเภท เวลาก้าวถึงก้าวนี้แล้วทุกอย่างจะไปอยู่ในความเพียรอัตโนมัติหมด ทางนี้ต้องรั้ง บังคับให้นอน บังคับให้พัก ไม่บังคับไม่ได้มันหมุนของมัน นี่ละความเพียร นี่เรียกว่าจวนแล้วนะ เตรียมกุสลากิเลสแล้ว กิเลสจะพังแล้ว กิเลสโผล่มาตัวไหน ขาดสะบั้นๆ ลงความเพียรประเภทนี้แล้วกิเลสมาโผล่ไม่ได้นะ ขาดสะบั้นไปเองโดยอัตโนมัติของความเพียรที่ฆ่ากิเลส
นี่พูดให้ท่านทั้งหลายฟังได้ดำเนินมา เริ่มแรกมาตั้งแต่การอดอาหาร ทน เรื่องอดอาหารทน จะไม่หิวได้อย่างไรมันเคยอยู่เคยกินคนเรา ไม่ใช่คนตาย มันต้องหิว แต่ความหิวนี้มาเทียบเคียงกันแล้ว จะหิวมากขนาดไหน อ่อนเพลียมากขนาดไหนก็ตาม เวลาเรามาฉันแล้วกำลังขึ้นได้ง่ายนิดเดียว อย่างที่ว่าเดินป้อแป้ๆ มาจากภูเขาจะไปบิณฑบาตไม่ถึงหมู่บ้านเขา ไปพักกลางทางเสียก่อน ทีนี้พอไปฉันจังหันมาแล้วกลับไปนี้ดีดเหมือนม้าแข่ง กำลังมันขึ้นมารวดเร็ว ดีดผึงเลย เวลามาเป็นอย่างนั้นเวลาไปเป็นอย่างนี้ กำลังทางร่างกายขึ้นง่าย แต่กำลังทางด้านจิตใจนี้ขึ้นได้ยาก เพราะฉะนั้นจึงต้องพยุงทางนี้ให้มาก จนกระทั่งกำลังทางด้านจิตใจขึ้นแล้วก็อย่างที่ว่าละ เป็นอัตโนมัติ ความเพียรอัตโนมัติ อันนี้ไม่ต้องบอกหมุนติ้วๆ เลย นี่การประกอบความเพียร
อำนาจแห่งโทษของกิเลสจะเห็นได้ชัดเจนต่อความเพียรของเรากล้าขึ้นมา สติปัญญาทันกับกิเลสมันจะเห็นกันหมด เรื่องราวอะไรๆ เห็นหมด ทีนี้การก้าวออกเพื่อความพ้นทุกข์มันก็ยิ่งหนัก หนักเข้าไป เอาจนกระทั่งมันขาดสะบั้นไปหมดเลย ทีนี้สรุปเลยนะ ที่มันหมุนของมันไปนี้หมุนตั้งแต่ส่วนหยาบส่วนละเอียดเข้าไปๆ เป็นน้ำซับน้ำซึม กิเลสอ่อนลงๆ ธรรมะก็ละเอียดเข้าไปๆ ตามกันไป ตามไปจนกระทั่งเป็นมหาสติมหาปัญญา นี้เป็นน้ำซับน้ำซึมนะนี่ มหาสติมหาปัญญานี้ซึมไปเลย กิเลสอยู่ที่ไหนซึมถึงกันๆ เลย
จนกระทั่งกิเลสม้วนเสื่อขาดสะบั้น มหาสติมหาปัญญาที่เป็นเครื่องมืออันยอดเยี่ยมฆ่ากิเลสนั้นเป็นอันว่ายุติกันเอง ไม่ต้องบังคับ ความเพียรเหมือนเป็นธรรมจักร พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว ความเพียรก็ลดตัวลงเป็นปรกติธรรมดาไม่ต้องบังคับ แต่เวลากิเลสยังอยู่มันก็หมุนของมันอย่างนั้น พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วอันนี้ก็เหมือนกับเราทำงานเสร็จแล้วปล่อยเครื่องมือ อันนี้มหาสติมหาปัญญาก็เป็นมรรค ไม่ใช่เป็นนิพพาน พอกิเลสขาดสะบั้นไปแล้ว มหาสติมหาปัญญาเป็นเครื่องมือฆ่ากิเลสก็ปล่อยตัวลงไปเอง
นี่พูดถึงเรื่องการประกอบความพากเพียรท่านทำ อย่างพระท่านอดอาหารทุกวัน หลายวิธีการ บางองค์ไม่นอนก็มีอยู่ในนั้น บางองค์ไม่นอนตลอดรุ่งก็มี นอนเล็กน้อยก็มี อดอาหารอย่างเปิดเผยให้เห็นอย่างนี้ก็มี มีแต่วิธีการที่จะแก้กิเลสดับกิเลสทั้งนั้น เรื่องทุกข์ทนเอา ใครทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ผิดปรกติของธาตุขันธ์ ไม่ได้อยู่ไม่ได้กินไม่ได้หลับได้นอนตามปรกติแล้วทุกข์ทั้งนั้น เอา ทนเอา ทนเอาเพื่อธรรมๆ ผ่านกันไปได้
อะไรถ้ามาถึงตัวเราเองมันเป็นพยานกันได้ทันทีนะ อย่างที่ว่าความเพียรอัตโนมัติมันเป็นของมันเอง ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อิริยาบถใด เว้นแต่หลับเท่านั้น มันจะหมุนของมันเป็นธรรมเรื่อยๆ ฆ่ากิเลสไปเรื่อยๆ เป็นอัตโนมัติตลอด เหมือนกับกิเลสที่ทำลายสัตว์โดยอัตโนมัติของมัน ออกทางหูทางตาทางจมูกลิ้นกายกิเลสออกตลอดเวลาทำงานตลอดเวลาเป็นอัตโนมัติ กิเลสสร้างผลประโยชน์ของมันโดยอัตโนมัติบนหัวใจของสัตว์ แต่สัตว์มันจะตายซิ นี่กิเลสทำงานก็เป็นอัตโนมัติเหมือนกัน
ทีนี้พอถึงขั้นธรรมได้ทำงานเป็นอัตโนมัติมันก็รู้ เราก็ไม่เคยคิด ไม่เคยรู้แต่ก่อนว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์เป็นอัตโนมัติ ไม่เคยคิดนะ แล้วธรรมทำงานบนหัวใจเราเพื่อฆ่ากิเลสก็เป็นอัตโนมัติ อย่างนี้เราก็ไม่เคยคิด แต่เวลาเป็นขึ้นมาแล้วมันก็วิ่งใส่กันปุ๊บเลย พอถึงขั้นสติปัญญามีกำลังมากแล้วเป็นอัตโนมัติฆ่ากิเลสโดยลำดับลำดา ทีนี้มันก็ไปคิดถึงเรื่องกิเลส ที่กิเลสอ่อนตัวลงๆ ถูกธรรมะปราบเข้าๆ กิเลสอ่อนตัว แต่ก่อนมันทำงานอัตโนมัติ
พอถึงขั้นความเพียรอัตโนมัติแล้วกิเลสเกิดไม่ได้นะ มีแต่คอยจะดับจะมุดจะมอดตลอด ที่จะให้เกิดแฝงขึ้นมาใหม่ไม่มี ท่านผู้ประกอบความเพียรถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติก้าวขึ้นสู่ธรรมขั้นสูงที่จะหลุดพ้นโดยถ่ายเดียวแล้วกิเลสจะเกิดไม่ได้เลย มีแต่จะฆ่ากิเลสที่มีอยู่แล้วๆ ให้ดับไปๆ ที่กิเลสจะเกิดขึ้นใหม่ไม่มีในความเพียรประเภทอัตโนมัติ พอมีกำลังมากแล้วกิเลสตัวไหนจะมาเกิดได้ล่ะ ก็มีแต่ฆ่าไปดับไปๆ สุดท้ายก็หมดโดยสิ้นเชิง กิเลสดับทุกข์ดับไปพร้อมกันเลย บรมสุขจ้าขึ้นมาเลยภายในจิตใจจากความพากเพียรของเรา ให้พากันอุตส่าห์พยายาม
เราไม่ได้ประเภทนั้นก็ให้ได้ประเภทลูกศิษย์มีครู ให้เดินตามครูของเรา พระพุทธเจ้าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นคติตัวอย่างแก่โลกได้โดยสมบูรณ์ ให้เรายึดเอามาปฏิบัติ ตามกำลังวังชาของเราก็เรียกว่าลูกศิษย์มีครูสอน ดำเนินตามครู อย่าทำตัวเหลวแหลกแหวกแนวใช้ไม่ได้นะ ธรรมนี้สดๆ ร้อนๆ ธรรมพระพุทธเจ้าสอน ถ้าจะเทียบก็เหมือนสระน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำในสระ อาบดื่มใช้สอย รสชาติจืดสนิทดีทุกอย่างอยู่ในนั้นหมด ดี แต่ถูกจอกแหนปกคลุมไว้เสีย น้ำจะมีมากมีน้อยมองไม่เห็นกัน ใครมองลงไปก็เห็นแต่จอกแต่แหนปกคลุมน้ำไว้ จอกแหนคือกิเลส กิเลสมันปกคลุมน้ำในสระใหญ่คือใจของเรา กิเลสครอบอยู่ในจิตใจของเรา ธรรมจึงไม่ปรากฏ
ประกอบความพากเพียรนี้เรียกว่าถอนจอกถอนแหนออก เลิกจอกเลิกแหนออกเรื่อยๆ ออกๆ จนหมดเลย จ้าขึ้นมาเลย นี่น้ำก็เหมือนกันพอเอาจอกแหนออกหมดแล้ว สระนั้นก็จ้าไปด้วยน้ำ อันนี้ก็จ้าไปด้วยธรรม กิเลสเรืองอำนาจแต่ก่อนหมดโดยสิ้นเชิง เอาละวันนี้ไม่พูดอะไรมาก
พวกลูกหลานมาศึกษาก็ให้จำเอานะ ที่สอนเรื่องความพากความเพียร อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว จิตนี่สำคัญมาก กิเลสมีอำนาจมากนะ ต้องเอาธรรมเป็นเบรกห้ามล้อเสมอ บังคับ จิตใจมันมักจะลงในทางต่ำทราม มันไม่ได้ขึ้นข้างบน ต้องเอาธรรมฉุดลากขึ้น จิตใจมันต่ำเพราะกิเลสต่ำลากใจลงไป พูดธรรมะนานอยู่นะ
ผู้กำกับ ลูกศิษย์ที่สวนแสงธรรมได้รับข่าวทางเว็บไซต์หลวงตา จากชาวสิงคโปร์ว่า เมื่อก่อนนี้ชาวสิงคโปร์ยังไม่เข้าใจในพระพุทธศาสนา ตลอดจนข้อวัตรปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ต่อมาทั้งพระและฆราวาสได้อ่านศึกษาธรรมะภาษาอังกฤษของหลวงตา มีชื่อเรื่อง ประวัติหลวงปู่มั่น ปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐาน ปัญญาอบรมสมาธิ แล้วได้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้น ต่างก็พากันตั้งใจปฏิบัติจิตตภาวนาอย่างจริงจัง หนังสือธรรมะดังกล่าวข้างต้นของหลวงตาได้เผยแพร่ไปตามวัดต่างๆ ในประเทศสิงคโปร์มากขึ้นตามลำดับ จนเป็นที่สนใจของพระและฆราวาสที่ต้องการศึกษาอบรมด้านพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น เขาจึงแจ้งมา และขอน้อมกราบในเมตตาธรรมของหลวงปู่มั่นและหลวงตา ที่ทำให้ชาวสิงคโปร์ได้ศึกษาอบรมธรรมะและนำมาปฏิบัติได้อย่างจริงจังต่อไปครับ
หลวงตา เขาแจ้งมาตามความรู้สึกที่ได้รับการศึกษาจากธรรมเหล่านี้ โถ ธรรมพระพุทธเจ้าของเล่นเมื่อไร ก็ยังบอกว่าน้ำถูกจอกแหนปกคลุมไว้เท่านั้น น้ำจึงเหมือนว่าไม่มีคุณค่าเลย ประหนึ่งว่าไม่มี มีแต่จอกแต่แหน พอเปิดออกๆ เริ่มเห็นน้ำแล้ว ตักมาอาบดื่มใช้สอยเป็นยังไง ดูดดื่มแล้ว ทีนี้ก็มีแก่ใจที่จะรื้อจอกรื้อแหนออกเรื่อยๆๆ แล้วก็เปิดกว้างออกๆ ฟาดออกเสียจนหมด จ้ามีแต่น้ำ นี่ธรรมพระพุทธเจ้าเหมือนน้ำในสระ น้ำอรรถน้ำธรรมอยู่ที่ใจ กิเลสมันปกคลุมอรรถธรรมเอาไว้ที่ใจ มองลงไปเห็นตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา เห็นแต่ความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้นเต็มหัวใจ ซึ่งเทียบกับจอกแหนทั้งนั้น ทีนี้เวลาเราฟังอรรถฟังธรรมบำเพ็ญตนแล้ว ก็เหมือนกับเรารื้อจอกรื้อแหนออก คือกิเลสประเภทเหล่านี้ออกๆ จิตจะค่อยบางขึ้นๆ พอทราบโทษทราบคุณของสิ่งที่ทำลงไป เรียกว่าบาปว่าบุญโดยลำดับ แล้วก็เปิดออกๆ จ้าปัจจุบัน นั่นเห็นไหมล่ะ
เทศนาว่าการที่เราเทศน์นี้เรียกว่าเต็มภูมิของเรา เราไม่ได้สงสัยในการสอนโลกเลย เพราะเราถอดจากหัวใจที่สมบูรณ์เต็มที่แล้ว ถ้าว่านิพพานก็นี้คือนิพพาน ว่าอย่างนั้นเลยนะ ว่าธรรมธาตุก็นี้คือธรรมธาตุ รวมอยู่ที่หัวใจดวงนี้หมดแล้ว แต่ก่อนกิเลสปกคลุมหุ้มห่อมันไว้มันไม่ปรากฏ เอาอันนี้ออกหมดจ้าขึ้นมา จ้าอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าหลับตื่นลืมตา ยืนเดินนั่งนอนจ้าตลอดเวลา ไม่มีอิริยาบถ คือใจที่บริสุทธิ์แล้วไม่มีอิริยาบถตลอดเวลา จะเรียกว่าอกาลิโกก็ไม่ผิด ฝ่ายผลปรากฏอย่างนั้นตลอดเวลา ท่านถึงเรียกนิพพานเที่ยง
ที่เรานำไปสอนโลกนี้ไม่ว่าจะธรรมะขั้นใด เราถอดจากหัวใจที่จ้าอยู่แล้วนี้ด้วยความไม่สงสัย ธรรมะจะออกไปโลกใดเมืองใดทวีปใดก็ตามเราเป็นที่มั่นใจตลอด เพราะธรรมะนี้ไม่มีปลอม จริง สาธุพูดแล้ว ตำรับตำราคนมีกิเลสไปจดจารึกนะ มีผิดมีพลาดอยู่กับคนมีกิเลส ธรรมะท่านจะจริงขนาดไหน คนมีกิเลสมันก็จะปลอมตัวเข้าไปแทรกๆ อย่างนั้น อย่างธรรมะท่านแสดงว่า นิพพานมีอย่างนี้นะ คนมีกิเลสไปอ่านธรรมะว่านิพพานมีอยู่ มันก็บอกนิพพานมีหรือไม่มีนา แล้วนิพพานไม่มี นั่นเห็นไหมล่ะ กิเลสมันเข้าไปตีนิพพาน อ่านอยู่แล้วนิพพานมีจากพระพุทธเจ้าที่สอนแล้ว กิเลสมันเข้าไปตีว่านิพพานไม่มีเห็นไหมล่ะ นั่น จำให้ดีนะ
อันนี้เราพูดก็ไม่พ้นมาหาตัวของเราอีกเหมือนกัน ความมุ่งมั่นที่จะเอาตัวเองให้ถึงแดนนิพพาน ตั้งแต่เรียนหนังสือมันฝังอยู่แล้วนะ ว่าจะให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ จะไปนิพพานแน่ๆ ความมุ่งใส่นิพพานมุ่งอย่างหนัก แต่ก็มีอยู่ส่วนหนึ่ง นี่ละกิเลสมันอยู่ในใจ ครั้นอ่านไปถึงนิพพานๆ เอ๊ นิพพานมีหรือไม่มีนา เห็นไหมล่ะ มันมีจริงหรือไม่จริงนา ส่วนใหญ่เราเชื่อแล้วว่านิพพานมี เราจะไปนิพพานให้ได้ แต่ส่วนย่อยมันก็มาแบ่งว่า นิพพานมีหรือไม่มีนา คือมันจะถอนกำลังของเราที่จะไปนิพพานให้อ่อนลง แล้วต่อไปก็ไม่อยากไปนิพพาน ไม่อยากไปนิพพานแล้วอยากอะไร อยากลงนรกเข้าใจไหมล่ะ นั่น
นี่ละเวลามันอ่านๆ ตำราท่านบอกนิพพานมี ก็คือศาสดาองค์เอกสอนไว้ด้วยความถูกต้องแม่นยำ แต่กิเลสเข้าไปแทรก อย่างน้อยนิพพานมีหรือไม่มีนา มากกว่านั้นนิพพานไม่มี ตายแล้วสูญ นี่คือเรื่องกิเลสล้วนๆ ปิดหูปิดตาสัตว์โลกให้จม นี่ละเวลาเราอ่าน ทีนี้เวลามาปฏิบัติๆ เข้าไปนี้ ทั้งที่ว่านิพพานมีหรือไม่มีจิตมันก็มุ่ง พอฟังเทศน์ของหลวงปู่มั่นแล้วผางทีเดียวที่นี่ นิพพานเต็มหัวใจของคนมีกิเลส มีเต็มใจของตัว ทีนี้ก็ซัดกันเลย จนกระทั่งถึงว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ทีนี้มีหรือไม่มีนิพพาน ทำไมนิพพานอยู่ชั่วเอื้อม จับผิดจับถูกอยู่อย่างนั้นเอาอยู่นั้น ความเพียรไม่รู้จักหยุดหย่อน พอผางออกไปเท่านั้นนิพพานมีหรือไม่มี หมดปัญหาเลย
สอนพี่น้องทั้งหลายว่านิพพานมีหรือไม่มี เราหมดปัญหาทุกอย่างแล้วเรามาสอน เรื่องนิพพานมีหรือไม่มีจ้าอยู่ในหัวใจ มีหรือไม่มีมองเข้ามา ถ้ามันไม่เห็นอื่นเห็นอยู่ร่างกายก็เอา ส่วนใจมันจ้าตลอดเวลาแล้วนะ อิริยาบถทั้งสี่ไม่ว่า ยืน เดิน นั่ง นอน ธรรมชาตินั้นจะจ้าตลอดเวลา เรียกว่านิพพานเที่ยง จ้าอยู่ตลอดเวลา อกาลิโก ไม่มีกฎ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เข้าไปเกี่ยวข้องเลย นี่น่ะใจดวงนี้ ที่มาเทศน์สอนท่านทั้งหลายเวลานี้ อย่างอาจหาญก็ว่ามันเลยอาจหาญไปแล้ว มันจ้าอยู่นี้ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าสอนโลกสอนด้วยความจ้าในพระทัย สาวกทั้งหลายก็สอนจ้าในหัวใจของท่านเอง ไอ้เราตัวเท่าหนูก็จ้าในหัวใจหนูนี้จะว่าไง
พี่น้องทั้งหลายให้จำเอานะ บาปมี บุญมีให้ระวังให้ดี ถ้าว่าบาปมีอย่าไปทำนะ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปก็ลงนรกทั้งนั้น บาปไม่มีนั่นเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปแล้ว บุญไม่มีเหยียบพระพุทธเจ้าไปแล้ว ลงนรกทั้งหมด ถ้าเชื่อตามพระพุทธเจ้าแล้วขึ้น จำให้ดี นี่เราพูดถึงเรื่องการเทศนาว่าการ เทศน์ที่ไหนๆ เราพอใจ เพราะธรรมของเราแน่นอนหมด ตามแต่ผู้ที่จะรับฟังไปปฏิบัติตนจะได้มากน้อยเพียงไรเท่านั้น สำหรับเราไม่สงสัย จะออกนอกโลกไปไหนก็ไปเถอะธรรมประเภทนี้ ธรรมเหยียบหัวกิเลสทั้งนั้น เปิดหัวใจให้จ้าขึ้นมาได้ทั้งนั้น จำเอานะ เอาละพอ
เราจะออกทำประโยชน์อีกนะนี่ เราไม่อยู่เฉยๆ ออกทำประโยชน์ให้โลกตลอดเวลา เราไม่ได้ว่าง เรื่องกิจการเหล่านี้เราไม่ว่าง แต่ใจของเราว่าง ว่างครอบโลกธาตุ แต่กิริยาที่ออกมาจากเมตตาธรรม ให้ทำประโยชน์แก่โลกนี้ไม่มีเวลาว่างวันหนึ่งๆ หมุนติ้วๆ อยู่อย่างนั้น ลูกหลานทั้งหลายให้จำเอา ธรรมเอาไปฝังใจนะ นี่เทศน์ออกมาอย่างท้าทายเลยเชียว เลยท้าทาย จ้าอยู่นี้หมดแล้ว ธรรมพระพุทธเจ้ามีหรือไม่มีก็ถอดออกจากนี้ให้เห็นแล้ว พระพุทธเจ้าสาวกทั้งหลายเป็นธรรมแท่งเดียวกัน แบบเดียวกัน เสมอกันหมด ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวก ความบริสุทธิ์เสมอกันหมด มีธรรมชาตินี้เสมอกันหมด ธรรมะต้องเป็นธรรมเสมอกันหมด ถ้าเราจะยึดให้เป็นธรรม ถ้าเราจะให้กิเลสยึด พระพุทธเจ้านิพพานแล้วเท่านั้นปีเท่านี้ปี มรรคผลนิพพานไม่มี ตายทั้งเป็นพวกนี้เข้าใจไหม เราจะตายทั้งเป็นหรือจะตายทั้งตายเอาว่ามาซิ เอาละจะให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |