สติจับ ปัญญาฟัน
วันที่ 1 กันยายน 2548 เวลา 8:25 น. ความยาว 40.28 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๘

สติจับ ปัญญาฟัน

ก่อนจังหัน

นักปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องการบำรุงหรือส่งเสริมความเพียรให้ได้ผล ส่วนมากมักจะลงในการอดอาหารผ่อนอาหาร คืออดหรือผ่อนเป็นการส่งเสริมสติให้ติดต่อสืบเนื่องกันได้ดีกว่าวิธีการอื่น เท่าที่ได้ผ่านมา เพราะฉะนั้นเราจึงพูดว่า การอดอาหารนี้ไม่ใช่การสั่ง ไม่ใช่การสอน แต่เป็นการบอกเล่าธรรมดา ตามแต่ท่านผู้ใดจะถูกกับจริตนิสัย ให้นำไปปฏิบัติ แต่สำหรับวัดป่าบ้านตาดนี้รู้สึกรวมลงมาที่อดอาหารมาก เพราะนี้ได้ผลดี สติเป็นทำนบใหญ่ที่สุดสำหรับกั้นกิเลสประเภทต่างๆ มันจะมีคลื่นมาหนักขนาดไหนก็ตาม สติเป็นสำคัญมาก ถ้าลงสติจับติดอยู่แล้ว กิเลสประเภทใดจะขึ้นไม่ได้ว่างั้นเถอะ

พอเผลอแย็บออกแล้วนะ คือกิเลสจะออกตามสังขาร ท่านว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาเป็นคลังกิเลส คลังวัฏวน อยู่ที่อวิชชา อวิชชานี้อยู่ที่หัวใจของสัตว์ ดันออกมาให้เป็นสังขาร อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ดันออกมาให้คิด อยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็นอยากทุกอย่าง ออกจากสังขารนี้หมด อะไรห้ามไม่อยู่ สติจับติด สติปิดกั้น อยู่ๆ เพราะฉะนั้นจะทำไงสติถึงจะดี จึงต้องหาอุบายวิธีบำรุงสติ เช่นด้วยการอดอาหารบ้าง ด้วยการผ่อนอาหารบ้าง อดหลับอดนอนบ้าง เพื่อบำรุงสติทั้งนั้น สติเป็นเครื่องมือสำคัญมากทีเดียวในการฆ่ากิเลส

ไม่มีอะไรเก่งกล้าสามารถยิ่งกว่าสตินะการฆ่ากิเลส กิเลสกลัวสติ ใครสติดีแล้วผู้นั้นจะตั้งเนื้อตั้งตัวได้ สติเป็นสำคัญมาก กิเลสจะมีมากมีน้อยข้ามสติไปไม่ได้ สติเอาอยู่ๆ ทีเดียว จึงได้มาเป็นคำบอกเล่าให้หมู่เพื่อนฟัง หรือเป็นคำสอนก็แล้วแต่จะพิจารณาเอง ถ้าว่าคำสอนมันจะหนักไป ถ้าว่าเป็นคำบอกเล่าก็แล้วแต่ผู้ใดจะยึดไปปฏิบัติยังไงๆ เรื่องสตินี่สำคัญนะในความพากเพียร ท่านทั้งหลายอย่าเผลอสติ จับสติให้ดีให้ติด อุบายวิธีการต่างๆ ที่ได้รับความทุกข์ความลำบากทรมานนี้ก็เพื่อบำรุงสติ ถ้าสติดีแล้วสติจะขึ้นได้ลำบากและจะขึ้นไม่ได้ แล้วปัญญาฟันละที่นี่ สติดี ปัญญาฟันขาดสะบั้นๆ ไปเลย ปัญญานะแก้กิเลส สติจับให้ ปัญญาเป็นผู้ฟัน สำคัญที่ตรงนี้

อย่าสักแต่ว่าทำนะ การทำความพากเพียร กิเลสไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ฉลาดแหลมคมแยบคายสุดยอดมันจึงได้ครองวัฏวนบนหัวใจสัตว์ มีสติปัญญาคือธรรมนี่ละเป็นเครื่องที่กำจัด ฟาดมันลงขาดสะบั้นไม่มีเหลือ เพราะสติเป็นสำคัญ สติดีปัญญาก็ทัน ถ้าสติไม่ดีปัญญาก็จับไม่ติด สติดีจับติดปัญญาฟันกิเลสขาดสะบั้นๆ ไปเลย ผมอยากให้หมู่คณะที่ปฏิบัติได้เห็นประจักษ์ในธรรมทั้งหลาย ที่หัวใจของผู้ปฏิบัติด้วยความถูกต้องดีงามอย่างประจักษ์ใจทุกคนๆ

เรื่องธรรมที่ถูกเหยียบถูกย่ำหรือถูกทำลายมาตลอดด้วยอำนาจของกิเลส ยกตนซึ่งเป็นมูตรเป็นคูถนั้นให้เป็นทองคำทั้งแท่ง เหยียบธรรมซึ่งเทียบกับทองคำทั้งแท่งให้แหลกเหลวไปหมด นี่ละโลกมันร้อนเวลานี้ โลกไม่เห็นโทษของกิเลส มีแต่ความดีดความดิ้น ความเพลิดความเพลิน มีแต่เรื่องกิเลสทั้งนั้น กิเลสดูกิเลสมันจะดูออกยังไง มันก็ลากเข็นกันไปนั่นละ เอาธรรมดูซิ ธรรมจับมันเห็นหมดจะว่าไง พระพุทธเจ้ามาสอนโลก ท่านเอาธรรมจับหมดแล้วมาสอน จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบๆ วิธีการสอนทุกอย่างของพระพุทธเจ้า ไม่มีคลาดเคลื่อนไปจากความจริงความถูกต้องเลย ขอให้ยึดไปปฏิบัติ

ธรรมสดๆ ร้อนๆ อยู่ตลอดเวลาในหัวใจเรา เป็นแต่เพียงว่ากิเลสมันก็สดๆ ร้อนๆ เหมือนกัน มันเหยียบอยู่ที่หัวใจ ถ้าว่าจะไปทางดีมันพลิกปั๊บไปทางชั่วเสียอย่างนี้ ให้ดูเอานะหัวใจ เราจะเห็นได้เวลาจิตมีความแก่กล้าสามารถขึ้นมาแล้วนี้ สติปัญญาฆ่ากิเลสนี้เป็นอัตโนมัติ แต่ก่อนเราเคยรู้เมื่อไรว่าสติปัญญาจะฆ่ากิเลสได้โดยอัตโนมัติ เห็นตั้งแต่กิเลสฆ่าสัตว์ทำลายสัตว์โดยอัตโนมัติของมัน เป็นประจำทุกหัวใจ กิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติ ออกแง่ใดมุมใดเป็นแต่เรื่องของกิเลสทำงานทั้งนั้นๆ เมื่อไม่มีธรรมมาแก้กัน

ทีนี้เวลามีธรรมมาแก้กัน ถึงขั้นสติปัญญาแก่กล้าแล้วนี้ เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติ ก็ทราบได้ว่า อ๋อ ธรรมฆ่ากิเลสนี้ฆ่าเป็นอัตโนมัติเหมือนกัน อย่าว่าแต่กิเลสทำลายสัตว์โลกว่าเป็นอัตโนมัติเลย ธรรมก็เป็นแบบเดียวกัน เมื่อแก่กล้าสามารถแล้วทันกัน นี่ละได้นำมาสอนบรรดาลูกหลานทั้งหลาย เราปฏิบัติตัวของเราเอง เกิดขึ้นในหัวใจของเราเอง เรื่องกิเลสเป็นอัตโนมัติเราก็ไม่เคยคิด เรื่องธรรมภายในจิตใจเป็นอัตโนมัติเราก็ไม่เคยเป็น แต่เวลาปฏิบัติไปๆ มันเกิดมันเห็นมันรู้ที่ใจ จับเอามาพูดได้ไม่ผิดพลาดๆ ดังที่พูดเวลานี้ผ่านมาแล้วทั้งนั้นนะ

กิเลสเป็นอัตโนมัติบนหัวใจสัตว์ อะไรมีแต่กิเลสนำหน้าๆ ทั้งนั้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต เป็นทางเดินของกิเลสเหยียบไปเรื่อยๆ เหยียบหัวใจสัตว์โลก ทีนี้เวลาเราฝึกฝนอบรม เฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่จะฆ่ากิเลสจริงๆ สติปัญญาเป็นสำคัญ ความเพียรหนุนตลอด นี่ละที่นี่พอแก่กล้าสามารถขึ้นมาแล้ว ธรรมฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติละที่นี่ อยู่ที่ไหนฆ่าตลอด ได้เห็นได้ยินได้ฟังฆ่าทั้งนั้น เป็นธรรมไปหมดๆ นั่งอยู่เฉยๆ ก็เป็นธรรมขึ้นมาภายในใจ นี่ละธรรมเมื่อถึงขั้นทันกันแล้วมันก็รู้กันว่า กิเลสเป็นอัตโนมัติในการทำงานของมันบนหัวใจสัตว์ฉันใด ธรรมก็เป็นอัตโนมัติในการทำงานฆ่ากิเลสเช่นเดียวกัน ให้จำเอานะผู้ปฏิบัติ เอาละให้พร

หลังจังหัน

เทศน์ก่อนฉันจังหันนั้น เทศน์สอนพระที่เป็นแนวหน้าทางภาคปฏิบัติในวิธีการต่างๆ ที่จะฝึกฝนอบรมตนเพื่อจะแก้กิเลสๆ ให้ทันเหตุทันการณ์ ไม่ผิดไม่พลาดไป ขึ้นต้นก็ตั้งสติ สตินี่ทำไมจะตั้งได้ มีวิธีอะไรช่วยสนับสนุนให้สติตั้งได้สืบต่อกันไปโดยลำดับ นี่สำคัญ เวลากิเลสมันรุนแรงนี้สติไม่มีความหมายนะ ตั้งปุ๊บล้มผล็อยๆ เลย เราเคยมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายทราบแล้ว ขึ้นบนเวทีนำมาพูดจะไม่มีอะไรผิด ขึ้นบนภูเขาตั้งหน้าตั้งตาจะไปฟัดกับกิเลส ออกจากหลวงปู่มั่นไป เราก็นึกว่าฝึกซ้อมจนพอแล้วว่างั้นเถอะน่ะ แล้วขึ้นเขาจะเอาให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย พอขึ้นไปแล้ว โอ๋ย พอโผล่หน้าขึ้นเขา กิเลสเตะทีเดียวพังลงเขา สติพัง

เอ้า ตั้งสติ คือสติเป็นเครื่องประกอบความเพียร เป็นเครื่องประคองความเพียร ถ้าขาดสติไม่เรียกว่าความเพียร ทีนี้ตั้งสติพับ ตั้งหน้าตั้งตาตั้งสติ ตั้งพับล้มให้เห็นต่อหน้าต่อตา ตั้งหน้าตั้งตาตั้งสติ ตั้งพับล้มผล็อยให้เห็นต่อหน้าต่อตา ตั้งเท่าไรล้มเท่านั้นๆ นี่ละเวลากระแสกิเลสมันรุนแรงมันจะไม่ยอมให้ตั้งเลย คลื่นกิเลสหนาแน่น เอาสติพังๆ ต่อหน้าต่อตา จนกระทั่งน้ำตาร่วง หรือว่าร้องไห้บนภูเขาก็ถูก ก็เจ้าของเป็นเอง ตั้งหน้าขึ้นไปสู้มันไม่ได้เลย เรียกว่าไม่มีท่า นักมวยแชมเปี้ยนกับเด็กเลี้ยงควายไปต่อยกัน ไอ้เรามันเด็กเลี้ยงควายไปต่อยกับนักมวยแชมเปี้ยน มันซัดทีเดียวล้มทั้งหงายๆ

มีแต่ใจจะสู้มัน แต่ศาสตราอาวุธของเราไม่ทันมันซิ ล้มๆ ทั้งหงายจนกระทั่งน้ำตาร่วง ถึงออกกูออกมึงนะ นี่ละอะไรที่มันถึงใจแล้วจะไม่ลืมเลย ฝังลึกมาก แบบไหนสู้มันไม่ได้เลย ไม่เป็นท่าทั้งนั้น เวลากระแสของกิเลสรุนแรงมันเอาให้เห็นต่อหน้าต่อตา มีแต่กำลังใจ กำลังสติไม่มีสู้มันไม่ได้ มีแต่ใจ เครื่องประกอบการสู้รบไม่มีสู้ไม่ได้นะ ทีนี้เมื่อสู้มันไม่ไหวจริงๆ ความเคียดความแค้นก็เป็นอันหนึ่ง เคียดแค้นทางด้านธรรมะนะ เพื่อจะฆ่ากิเลส ความเคียดแค้นนี้เป็นธรรม ความเคียดแค้นแบบโลกแบบสงสารเป็นกิเลส ความเคียดแค้นเพื่อจะฆ่ากิเลสนี้เป็นธรรม จึงได้เอามาพิจารณา

นี่ละความมุมานะ ความเคียดแค้นนี้มันฝังใจ ที่เป็นเชื้ออันสำคัญของธรรม ที่จะให้เป็นความอดความทนความพากความเพียรหนาแน่นขึ้น คืออันนี้ เอา เข้าไปอบรมกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เราไม่ลืมนะ ที่น้ำตาร่วงบนภูเขา สู้กิเลสไม่ได้ ไม่เป็นท่าเลย ไม่มีท่า ล้มทั้งหงายๆ ทั้งนั้น จนขนาดน้ำตาร่วง ถึงกูมึงเชียวนะ โห มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เอา ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง มันเคียดแค้นนะ เคียดแค้นเต็มหัวใจ ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย ว่างั้นเลย น้ำตาร่วงสู้มันไม่ได้ ไปอบรมกับพ่อแม่ครูจารย์ แล้วไปอีกเอาอีก ล้มมาอีก แต่คราวนี้น้ำตาไม่ร่วง เอา มาอีกไปอีกอบรมอีก กลับมาอีกฟัดคราวนี้มันก็เอนเอียงให้เห็นซิที่นี่ สู้ไม่ถอย

มวยเลี้ยงควายขึ้นไป กับมวยเวทีฟัดกัน ต่อไปก็เริ่มขึ้นมวยแชมเปี้ยนที่นี่ นี่เราถอดออกจากเรื่องของเราจากเวทีนะมาพูดให้ฟัง เป็นความสัตย์ความจริง ไม่มีคลาดมีเคลื่อนจากหลักความจริงคือธรรม ให้นำไปปฏิบัติบรรดาท่านทั้งหลายที่หวังความสุขความเจริญ มุมานะ ความเคียดแค้นที่เป็นธรรมอย่างที่ว่านี่นะ นี่ละที่เราเคียดแค้นให้กิเลส น้ำตาร่วงเคียดแค้นให้กิเลส ขึ้นมึงกูเชียวนะ โห มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ มันมึงกูอยู่ภายในใจ ไม่ได้มาว่าข้างนอกละ โห มึงเอากูขนาดนี้เชียวนา เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่งจนได้ ให้กูถอยกูไม่ถอย เคียดแค้นถึงใจ

ทีนี้การเคียดแค้น ความมุมานะมันก็หนักขึ้นๆ อบรมมาเอาอีกๆ ไม่ถอย เพราะความเคียดแค้นนี่มันหนุน มุมานะ ไม่ถอย จากนั้นมันก็อ่อนลงๆ ซัดไปซัดมากิเลสก็ล้มให้เห็น แต่ก่อนมีแต่เราล้มให้กิเลสเห็น หงายท้องๆ ร้องแหง็กๆ เหมือนหมา สู้กิเลสไม่ได้ เขาเรียกหงายหมา หงายไม่เป็นท่า ถ้าหงายแมว มันตบได้นะแมว ไอ้นี้ไม่มีท่าเลย หงายหมา ไม่ลืมนะน้ำตาร่วง ฝังลึกมาก อันนี้ละที่เป็นเหตุให้ซัดกับกิเลสได้อย่างไม่มีคำว่าถอยเลย เพราะความเคียดแค้นและมุมานะ จากนั้นไปก็เอากันเรื่อยๆ เลย เวลามันหนาหนาขนาดนั้นในหัวใจเราเอง มันหนาขนาดนั้นละ

ทีนี้ซัดกันไม่ถอยๆ ความเคียดแค้นนี้เป็นธรรมไม่ใช่เป็นกิเลส เอาความเคียดแค้นกับมุมานะมาซัดกันเลยทีเดียว ซัดกันไปสุดท้ายก็ตั้งตัวได้ขึ้นเป็นลำดับ ความเคียดแค้นไม่จืดจางนะ ความเคียดแค้นให้กิเลสนี้ไม่จืดจาง จับมาฝังเข้าในความเพียรของเรา ต่อยกันๆ นี่เวลากิเลสมันหนาหนาขนาดนั้น ขนาดล้มทั้งหงายๆ ตั้งสติตั้งปั๊บล้มทันทีให้เห็นต่อหน้าต่อตา นี่ละกระแสของกิเลสที่มันรุนแรงเห็นประจักษ์นะ ตั้งหน้าตั้งตาตั้งสติปั๊บล้มทันทีๆ ต่อหน้าๆ ให้เห็น ถึงขนาด โอ้โห มึงขนาดนี้เทียวเหรอ กลับมาฟัดกันไม่หยุดไม่ถอย สุดท้ายก็ตั้งตัวได้ ตั้งตัวได้ก็เอาละที่นี่ หนักขึ้นๆ ก้าวขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความเคียดแค้นนี่เป็นหลักใหญ่ ความอยากพ้นทุกข์ก็อยาก ความเคียดแค้นที่สู้กิเลสไม่ได้เพื่อความพ้นทุกข์ก็พ้นไม่ได้ กิเลสมันขวางอยู่ ฟัดกับกิเลสนี่ละ

ต่อไปตั้งตัวได้แล้วๆ สรุปความ จิตใจมีความแก่กล้าสามารถ สติดีขึ้นๆ ปัญญาก็ออกละที่นี่ สติตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน ที่ว่าตั้งแล้วล้มๆ ต่อหน้าต่อตานี้ ขึ้นไปจนกระทั่งตั้งไม่ล้ม ตั้งได้ชั่วระยะล้ม เอา ตั้งขึ้นชั่วระยะล้ม ตั้งนานไปๆ สติสืบต่อๆ นี่ละความเพียร เพราะฉะนั้นที่พระท่านอดอาหารก็เพื่อสติจะได้สืบต่อกันดี สติเป็นสำคัญมากในความเพียร พอถึงขั้นสติตั้งตัวได้ ทีนี้กิเลสล้มนะ สติขาดวรรคขาดตอนแล้วต่อกันไปๆ ถึงขั้นสติเป็นอัตโนมัติ ปัญญาเป็นอัตโนมัติ ก้าวเดินเองไม่มีคำว่าได้หนุนๆ ต้องรั้งเอาไว้ไม่งั้นมันจะเลยเถิด นี่ละสติปัญญาอัตโนมัติฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ ถึงขั้นนี้แล้วกิเลสตัวไหนมา นั่นเห็นไหมล่ะ กับกิเลสฟัดเราล้มทั้งหงายๆ ต่อหน้าต่อตา ทีนี้สติปัญญาของเราเอาไม่ถอย สู้ไม่ถอยด้วยความมุมานะ จนกระทั่งกิเลสล้มๆ โผล่ขึ้นมาไม่ได้ นั่น มันเห็นประจักษ์ในหัวใจดวงนี้ด้วยความพากเพียร

ลงถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้ว กิเลสนี้เตรียมไปหานิมนต์พระมากุสลาให้มัน เข้าใจไหม ไม่อย่างนั้นมันจะตายไม่มีกุสลากิเลสน่ะ ลงสติปัญญาขั้นอัตโนมัติแล้วไม่มีถอย หมุนติ้วๆ หมุนเอง เป็นเองๆ เรานั่งอยู่นี้ก็หมุนอยู่ภายใน ไม่ว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอน เว้นแต่หลับ เป็นเวลาของสติปัญญาทำงานฆ่ากิเลสโดยถ่ายเดียวๆ นี้ฆ่าด้วยความเพลินเสียด้วยนะ ไม่ได้ฆ่าธรรมดา เพราะฉะนั้นจึงลืมหลับลืมนอน ไม่สนใจกับการหลับนอน

แม้จะตั้งใจจะหลับนอนมันไม่ยอมนอน ร่างกายของเรานอนแต่สติปัญญากับกิเลสมันฟัดกันอยู่ภายในหัวใจนี้ มันไม่นอนด้วย เราล้มนอนเฉยๆ อันนี้ไม่นอน สุดท้ายก็ลุกขึ้นมาซัดอีก ต่อไปก็แจ้ง ไม่หลับเลย นี่เห็นไหมล่ะ กลางวันยังจะไม่หลับอีก ความดูดความดื่มมันหมุนของมันเรื่อยๆ หมุนเพื่อความพ้นทุกข์ ไม่ได้หมุนอะไร นี่สติปัญญาอัตโนมัติ พอถึงขั้นนี้แล้วกิเลสอย่างไรก็มีแต่ว่าตายก่อนตายหลัง ตายก่อนตายหลัง ที่จะเกิดก่อนเกิดหลังไม่มี กิเลสเกิดไม่มี นี่ละสติปัญญาเก่งกิเลสเกิดไม่ได้นะ มีแต่จะม้วนเสื่อๆ เกิดขึ้นมาพับดับพร้อมๆ ด้วยอำนาจสติปัญญาแก่กล้า

จากนั้นก็เชื่อมเข้าไปหาถึงมหาสติมหาปัญญา อันนี้ละเอียดอ่อนมากทีเดียว มหาสติมหาปัญญานี้ไม่ได้มีดีดผึงผังๆ นะ ซึมเลย เรียกว่าละเอียดลออมาก ซึมไปเลย เหมือนว่าญาณไปอย่างนั้นละ ญาณของผู้มีกิเลสก็คือความเกรียงไกรของสติปัญญา เรียกว่ามหาสติมหาปัญญา นี้เกรียงไกรมากทีเดียว เป็นอยู่ในหัวใจ ถึงขั้นมันซึมนี้ซึม กิเลสมีอย่างไรซึมตามกันไปเลย เผากันไปเลย เหมือนไฟได้เชื้อ เชื้อไฟเวลามันหนามันก็เผากันอย่างแรงนะ เบาลงๆ การเผาของไฟมันก็เผาเบาลงๆ ทีนี้ยังเหลือแต่ฝุ่นๆ ฝอยๆ อะไรนี้มันก็ลุกลามเผาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเชื้อไฟไม่มีเลย ไฟก็ดับเอง

มหาสติมหาปัญญานี้เป็นเครื่องมือ เป็นมรรค ไม่ใช่เป็นนิพพาน ไม่ใช่เป็นความบริสุทธิ์ แต่เป็นเครื่องมือของผู้ฆ่ากิเลส สติปัญญาเป็นเครื่องมือ พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดแล้วสติปัญญาอัตโนมัติและมหาสติมหาปัญญานี้จะระงับลงไปเอง ไม่ต้องบังคับ เหมือนเราทำงานนี้เสร็จแล้วเครื่องมือเราก็วางเอง ปล่อยเองๆ ของมัน เครื่องมือทั้งหลายที่โหมเข้ามาฟัดกับกิเลส พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วเครื่องมือทั้งหลายคือธรรมที่เป็นเครื่องแก้ก็ระงับตัวไปเอง ๆ ไม่ต้องบังคับ นี่ละการฝึก สติเป็นสำคัญมากทีเดียว ไม่มีอะไรสำคัญมากยิ่งกว่าสติ ปัญญาติดตามกันไป ต่อจากนั้นสติกับปัญญาเป็นอันเดียวกันเลย จึงเรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ

ธรรมะพระพุทธเจ้านี่สดๆ ร้อนๆ อยู่ที่หัวใจทุกคนนะ เวลานี้ถูกปิดไว้ กิเลสมันปิดไว้ ธรรมะอยู่ข้างใต้ กิเลสปิดไว้หมด ที่ไหนกิเลสออกหน้าๆ พอเปิดออกๆ ก็เหมือนเราเปิดจอกเปิดแหนในสระน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำใสสะอาดนั้นแล มองลงไปนี่เห็นแต่จอกแต่แหนเต็มอยู่บนน้ำ น้ำไม่เห็น แต่น้ำอยู่ใต้ เวลาเปิดจอกเปิดแหนออกแล้วก็เห็นน้ำ ตักมาอาบมาดื่มใช้สอยเป็นยังไง ดียังไง ทีนี้เปิดละ ฝังลึกแล้ว อ๋อน้ำในสระนี้มีและดีด้วยนะ จากนั้นก็เปิดออกๆ เปิดออกเรื่อยๆ เปิดออกหมดทั้งสระ กระจ่างแจ้งมีแต่มรรคผลนิพพานเต็มหัวใจ นั่น จอกแหนคือกิเลสมันปิดมันบังเอาไว้

ธรรมะพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ เหมือนกิเลสสดๆ ร้อนๆ เผาหัวใจเรานั่นแหละ ธรรมะที่จะเผากิเลสก็แบบเดียวกัน อยู่ในหัวใจ อย่าพากันงมๆ งายๆ วันนั้นเดือนนั้นปีนี้สมัยนั้นสมัยนี้ให้กิเลสหลอกไปๆ กิเลสไม่มีกาลไม่มีสมัย ฝังอยู่ในหัวใจตลอด ธรรมะก็เป็นอกาลิโกไม่มีกาลสมัย เอาธรรมะขึ้นมาฟัดกิเลสขาดสะบั้นไปเดี๋ยวนั้นเหมือนกัน เอาอย่างนี้นะ ไม่อย่างนั้นตายทิ้งเปล่าๆ ให้กิเลสหลอกไปๆ ไม่มีอำนาจไม่มีวาสนา ไม่มีสติปัญญา ไม่มีทุนมีรอนที่จะไปทำบุญให้ทาน มีแต่เรื่องกิเลสหลอกไปๆ

ทำไมไม่มี หัวใจมีอยู่นี้ ทำไมโลกเขาทำได้ เขาทำได้แบบนั้น เรามีสติปัญญาเราทำได้แบบนี้ มันไปได้ด้วยกันคนเรา ขอให้มีสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ภายในใจเถอะ มีทางออกได้ด้วยกัน นอกจากจะนอนอยู่เหมือนหมู เป็นเศรษฐีก็นอนเหมือนหมู มหาเศรษฐีนอนเหมือนหมู ตายแล้วจมไปเลย นั่น ผู้เป็นทุคตะเข็ญใจก็ตาม เป็นเศรษฐีก็ตาม เป็นผู้มีศีลมีธรรมฝังใจแล้วดีด้วยกัน เศรษฐีก็ดีเต็มส่วนของเศรษฐี คนทุกข์คนจนก็ดีเต็มส่วนของคนทุกข์คนจน ไปได้ด้วยกัน จำอันนี้ให้ดีนะ

เรื่องกิเลสมันของง่ายเมื่อไร ที่จะคุ้ยเขี่ยขุดค้นมันขึ้นมาพูดได้ก็คือพระพุทธเจ้า ธรรมะถูกมันเหยียบมาแหลก พระพุทธเจ้าตรัสรู้ผางขึ้นมากิเลสพัง นั่นละเอาขึ้นมาสอนโลก สาวกทั้งหลายก็เปิดเหมือนกัน สอนโลกๆ นี่ก็เปิดออกมาจากหัวใจนี้ สอนตัวเองได้เรียบร้อยแล้วสอนใครก็ได้ นั่น ให้จำเอานะ

วันนี้ก็พูดพอสมควร ไม่พูดมากนักละ มันก็มากพอแล้ว จนน้ำตาร่วงไม่มากได้ยังไง วันนี้ถึงขั้นน้ำตาร่วง กับถึงขั้นที่ว่ากิเลส เอ้า มา มันท้าทายกัน คือจ่อจะเอากิเลส โผล่มาปั๊บขาดสะบั้น นี่สติปัญญามีอำนาจมาก ไม่ทราบว่าได้ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจจะฆ่ามัน ทางนี้มันเตรียมพร้อมตลอด หาฆ่าตลอด พอโผล่ขึ้นมามันฟาดคอขาดไปเลย นี่ละสติปัญญาเกรียงไกรเป็นอย่างนั้น

โรงพยาบาลเรานี่รู้สึกว่าจนเอามากมาย เวลานี้จนมากนะโรงพยาบาล ยิ่งทางภาคอีสานด้วยแล้วเป็นภาคคนจน ไม่ใช่ภาคคนมั่งคนมีนะภาคอีสาน แต่ไม่มีใครมาทรมานมาดัดสันดาน มาทำให้เคียดให้แค้น หากเป็นกรรมของเจ้าของเองเป็น ภาคอีสานเป็นภาคที่แร้นแค้นกันดาร เราเป็นธรรม พิจารณาโดยธรรม พูดโดยธรรม ภาคนี้ภาคแร้นแค้นกันดาร โรงพยาบาลทุกแห่งไปเลยเป็นโรงพยาบาลของคนอนาถา เวลาเขาเจ็บไข้ได้ป่วยเขาต้องวิ่งเข้าโรงพยาบาล ไม่ได้ว่ามีว่าจนละ เวลาจำเป็นเขาวิ่งเข้าโรงพยาบาล เมื่อเข้าไปหาโรงพยาบาลแล้วหมอก็ต้องรักษา พวกหมอพวกพยาบาลต้องรักษาเต็มความสามารถตามอัธยาศัยของหมอนั้นแหละ

ทีนี้เวลารักษาเรียบร้อยแล้ว ถ้าเขามีเงินเขาก็ให้ ไม่มีเงินเขาก็ไม่ให้ หมอก็จะไปว่าไงก็เป็นผู้รักษาเขาอยู่แล้ว เขาไม่มีเงินเขาก็ไปๆ ผู้รักษาเป็นหมอ สมบัติเงินทองหยูกยาอะไรก็หมอเป็นผู้ขวนขวายมา ได้แล้วมารักษาคนไข้ คนไข้หายแล้วเขาไม่มีเงินให้เขาก็กลับบ้าน หมอก็จนซิที่นี่ หมอก็จนๆ นี่ละที่ว่าโรงพยาบาลต่างๆ หมอจน พยาบาลจน เพราะไม่ค่อยมีรายได้ แต่คนไข้ไม่ว่าคนทุกข์คนจนคนมีเข้าทั้งนั้นแหละ เข้าโรงพยาบาล แต่หายแล้วใครที่เขามีเขาก็ให้ ที่ไม่มีก็ไม่ให้ เขาไม่ให้ก็จะไปว่าอะไรเขาล่ะ คนเราเห็นใจกันเมตตากัน เขาไม่มีเขาก็ไปของเขา ทีนี้ทางนี้ก็รับความจนเอาไว้อยู่ตลอดเวลา จึงว่าโรงพยาบาลทางภาคอีสานนี้จนมากอยู่ เราจึงได้ช่วยอุดหนุน

ไปที่ไหนวิ่งเข้ามาหา ขาดเครื่องมือนั้น ขาดเครื่องมือนี้ อยู่อย่างนั้น เราต้องได้ช่วยอุดหนุน เช่นอย่างเมื่อวานซืนนี้ก็ไปที่พรเจริญ เขาก็วิ่งมาขอ ๓ เครื่อง เอกซเรย์อันดับแรก เอาให้หมออ้วนเราพิจารณาดู ว่าเอกซเรย์เป็นอันดับหนึ่ง นอกนั้นไม่ค่อยจำเป็น ให้เอกซเรย์เครื่องหนึ่งดูเหมือน ๖ แสนหรือไง ลืมแล้วแหละ อย่างนี้แหละ เราไปที่ไหนเขารุมมาๆ ให้เราช่วยๆ เราก็ช่วยเต็มกำลังความสามารถเหมือนกัน อย่างที่เป็นมานี้ ได้ช่วยอยู่เรื่อย โรงพยาบาลทางภาคอีสานรู้สึกว่าจน นี่ละจนเพราะเหตุนี้เอง คนทุกข์คนจนเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยความเป็นคนทุกข์คนจนเข้าไปหาหมอ รักษาแล้วเขาก็รอดตัวของเขาไป หมอก็รับความจนเอาไว้ ลำบากลำบนมาก โรงพยาบาลแต่ละแห่งๆ ทางภาคอีสานจึงรู้สึกว่าขาดแคลนมาก

ทีนี้โรงพยาบาลภาคอื่นๆ เป็นยังไง ภาคอื่นๆ ดีกว่าภาคนี้พูดง่ายๆ นะ นี่เราพูดด้วยความเป็นธรรม ไม่มีใครฝึกใครทรมานใคร ไม่มีใครดูถูกเหยียดหยามใคร เอาหลักกรรมมาพูด สำหรับภาคอีสานเป็นภาคที่ยากจน แห้งแล้ง ไปปลูกอะไรก็ตาม ดินภาคอีสานก็มีเหมือนภาคอื่นๆ แต่เวลาไปปลูกแล้วมันตายหมด ภาคอื่นเขาปลูกเขาได้เป็นดอกเป็นผลมาขาย ภาคอีสานปลูกแล้วตาย นี่เห็นไหมล่ะ เราจะว่าใครมาทรมานใครมาดัดสันดาน จะไปว่าใครได้ใช่ไหม ก็เป็นกรรมของตัวเอง ดินของเราก็มี ดินของเขาเขามี แต่เวลาเขาปลูกเขาได้ผลไปซื้อไปขาย ดินของเราปลูกขึ้นแล้วตาย เป็นอย่างนี้ละ

ภาคอีสานจึงเป็นภาคคนจน จนไปเสียทุกอย่าง พวกน้ำพวกท่า เราพิจารณาหมดนะ น้ำท่าที่จะไหลผ่านมาจากที่นั่นที่นี่ก็ไม่มี นี่ก็เป็นหลักธรรมชาติ ไม่มีใครมาแกล้งมากลั่นมาดัดสันดานกันมันหากเป็นของมันเอง น้ำที่จะไหลมาผ่านเพื่อให้ได้ปลูกสิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้เลี้ยงชีพมันก็ไม่มีน้ำ เมื่อน้ำไม่มีปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น มันเสียไปเสียทุกด้านทุกทาง นี่ละภาษาธรรมต้องพูดตรงไปตรงมา ในประเทศไทยเรามีกี่ภาค ภาคอีสานเป็นภาคที่แร้นแค้นกันดารที่สุด ทุกอย่างไม่อำนวย ดินก็ไม่เป็นท่าเสีย ปลูกอะไรมีแต่คอยจะตายๆ ที่ไหนเขาก็มีดินเหมือนกันเขาปลูก เขาเอามาขายเหยียบหัวภาคอีสานบ่อย เข้าใจไหม

อย่างภาคตะวันออก จันทบุรีขนทุเรียนเหยียบหัวภาคอีสานไป นั่นเขาก็ดินเหมือนกัน แต่ดินเขามันดี ดินเราไม่ดี ภาคใต้ก็เหมือนกันลองกองลองแกงอะไรเขามาเหยียบภาคอีสาน เหยียบปากพระปากเณรปากเหล่านี้ไปเรื่อยๆ เห็นไหม ทางนี้ปลูกไม่ขึ้น ถ้าพูดถึงว่ามี เอ้า อวดได้เรา ทุเรียนเราเคยมาปลูก เงาะก็มาปลูก ลางสาดมาปลูก ปลูกแล้วตายหมด ปลูกในวัดนี่นะ เราถึงได้เห็นชัดเจนว่ามันเป็นเองของมัน บำรุงรักษาสักเท่าไรก็ไม่เป็นท่านะ นี่เราปลูกข้างน้ำบ่อ พวกเงาะ พวกทุเรียน มังคุด อะไรเอามาปลูกตายหมด ไม่ได้เรื่อง เราจึงได้รู้ อ๋อ มันดัดสันดานของมันเอง นอกจากนั้นเขาขึ้นของเขานะ ดินของเขาดี ดินเราไม่ดี

ทางภาคอีสานก็มีดีส่วนหนึ่งทางด้านอรรถธรรม คือมีครูมีอาจารย์อยู่ทางภาคนี้ เรียกว่าภาคอีสานชุ่มเย็นทางด้านธรรมะ ธรรมะเข้าสู่จิตใจ จิตใจก็ดี นั่นมันก็ดีอันหนึ่งอยู่ ทางด้านจิตใจดี เป็นนิสัยกว้างขวางต่อกัน ไม่คับแคบตีบตัน มีเท่าไรถึงไหนถึงกัน ถึงจนก็ตามแต่น้ำใจไม่จนต่อกัน เข้ากันได้สนิท นี่เรายกให้ นี้ออกมาจากธรรม เพราะได้รับการอบรมด้านอรรถด้านธรรม อันนี้ก็ดีอันหนึ่งยกไว้ ต่อไปนี้จะให้พร


รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก