เทศน์อบรมคณะครูและนักเรียนโรงเรียนราชินูทิศ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
หลักธรรมที่รู้ที่เห็นบ่งบอกให้ปฏิบัติตามนั้น
ก่อนจังหัน
บรรดาพี่น้องชาวพุทธเราในเมืองไทยขอให้พากันตื่นเนื้อตื่นตัวนะ ถูกกิเลสมันกล่อมเอาเสียแหลกไปหมดทั่วประเทศไทย คำว่าชาวพุทธไม่มี มีแต่ชาวเปรตชาวผีกินไม่อิ่มไม่พอได้ไม่พอ มันเลยจะตายแล้วนะ ให้กิเลสพาเดินนี้ฉิบหายกันทั้งนั้นละ จำให้ดีพี่น้องทั้งหลาย ถ้าให้กิเลสพาก้าวพาเดินนี้แทนที่จะมั่งมีศรีสุข มีความสะดวกสบายนี้จมกันทั้งนั้นๆ อย่าเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปนะ กิเลสไม่ใช่ของดีอะไร ของเลวทรามทั้งนั้น พากันจำให้ดี
ธรรมพระพุทธเจ้านี่เลิศเลอตลอดมาไม่ว่าพระองค์ใดๆ กิเลสเลวตลอดมาเหมือนกัน อย่าพากันหลงทิศหลงแดนไปกับกิเลส คนนั้นจะเอาอย่างนั้น คนนี้จะเอาอย่างนี้ มีแต่เอาไฟเผาตัวและเผาส่วนรวมให้แหลกเหลวไปหมด ดูแล้วมันสลดสังเวชนะเรา เราพูดจริงๆ มันดูจริงๆ นี่นะดูอยู่ภายในจิตนี่ ใครเห็นไม่เห็นก็ตามแต่อันนี้มันเห็นจะให้ว่าไง มันสลดสังเวชนะ พากันดีดกันดิ้นแง่ไหนมุมใดมีแต่ดิ้นไปตามกิเลส จะดิ้นไปเพื่ออรรถเพื่อธรรมให้เป็นไปเพื่อความสงบสุขนี้แทบมองไม่เห็น มีแต่กิเลสนำหน้าๆ ชาวพุทธเรามันเป็นยังไง
เมืองไทยทั้งเมืองตั้งแต่ใหญ่ลงมา วงรัฐบาลลงมาถึงประชาชน มันวิ่งตามกันแบบเดียวกันหมดเลยจะทำยังไง บ้านเมืองจะฉิบหายด้วยกิเลส ด้วยความโลภนี่ละ แทนที่จะให้ได้อย่างนั้นอย่างนี้ มันกลับกลายเป็นเรื่องจะพากันจมทั้งประเทศ ดีดดิ้นหาสาระไม่ได้ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งถึงค่ำดิ้นทั้งวันทั้งคืน ผลที่ได้มามีแต่ความผิดหวังๆ และความเคียดความแค้นความโกรธความผูกกรรมผูกเวร เต็มอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก มีแต่เรื่องกิเลสเอาไฟเผากัน
เรื่องธรรมแล้วเฉลี่ยเผื่อแผ่ มองดูใจเขากับใจเรามันอันเดียวกัน ถ้าใจเขากับใจเราเป็นอันเดียวกันคนเราย่อมมองกันทั่วถึง เห็นใจเขาเห็นใจเรา เฉลี่ยเผื่อแผ่ให้ทั่วถึง ความเมตตาก็มีไปตามๆ กัน ถ้าเห็นแก่เราอย่างเดียวนี้มีแต่ยักษ์แต่ผี ใครๆ ก็จะเอา ใครๆ ก็จะเอา สุดท้ายไม่มีใครได้แหละ เหลวไหลทั้งนั้น กิเลสหลอกคนหลอกมานานเท่าไร พระพุทธเจ้าท่านเคยหลอกใครที่ไหน ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใด จึงว่าเป็นศาสดาเอกไม่มีใครเสมอได้เลย พระวาจาที่รับสั่งออกมาคำไหนไม่มีผิด เช่นสวากขาตธรรม หรือ สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม แปลว่าพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ตรัสไว้ดีแล้ว ไม่ว่าแง่ใดมุมใด
เหมือนกับต้นไม้ต้นหนึ่ง กิ่งก้านสาขาดอกใบแตกไปทางไหน เป็นกิ่งไม้ของต้นไม้ต้นนั้นทั้งนั้นๆ นี่สวากขาตธรรม ตรัสไว้คำใดส่วนย่อยส่วนใหญ่ เป็นคำที่ถูกต้องดีงามจากศาสดาที่ตรัสไว้ชอบแล้วทั้งนั้น พระพุทธเจ้าไม่เคยโกหก สวากขาตธรรม เคยพูดแล้ว ตรัสไว้ชอบแล้วๆ กิเลสมีแต่หลอกตลอดๆ ตลอดเวลา โอ๊ย เราสลดสังเวช มองดูๆ มันดูคนเดียวนี่นะดูโลก ไฟมันเผาหัวอกโลก แล้วพาให้ร่างกายดีดดิ้นจนกระทั่งนอนไม่หลับ คิดมากคิดยุ่งจนนอนไม่หลับ มันกวนขนาดนอนไม่หลับ เรียกว่ากวนมากทีเดียว
สังขารคือความคิดความปรุง มันออกมาจาก... ท่านเรียกว่าอวิชชา นั่นละรังใหญ่ของฟืนของไฟอยู่ตรงนั้น ได้ไม่พออยู่ตรงนั้น ฟืนไฟเผาโลกเผาออกมาจากตรงนั้นเอง จึงให้มีน้ำดับไฟ ให้มีพอบ้าง ทุกคนนั่งอยู่ด้วยกันนี้ ป่าช้าติดตัวๆ อยู่ทุกคนนะ จะมาลืมเนื้อลืมตัวอยู่ได้เหรอ นั่งอยู่ตรงไหนๆ ป่าช้าติดตัวๆ คือความตายติดอยู่กับทุกคน มันจะตายด้วยกันนะ ให้ดูความตายเจ้าของบ้าง เวลาตายแล้วจะเอาอะไรติดเนื้อติดตัวไป อันนี้สำคัญมาก จะเอาตั้งแต่ความหวังร่ำรวย ความสมหวังๆ แบบกิเลสนั่นเหรอ นั้นละคือความผิดหวังทั้งนั้น ให้เอาธรรมะพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ
มันจะตายด้วยกันทุกคน ที่พูดว้อๆ อยู่เดี๋ยวนี้ก็จะตายเหมือนกัน วันเวลาเอาลมหายใจตัดสิน ไม่ต้องหาที่ไหนมาตัดสิน เอาลมหายใจตัดสิน เวลายังไม่ตายจะเอาอะไรให้เอา พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า ตายแล้วเกิดๆ จิตดวงนี้ไม่เคยสูญ อย่าค้านพระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทรงระลึกชาติย้อนหลังได้ ฟังซิน่ะ ว่าเคยเกิดเคยตายมากี่ภพกี่ชาติ ไปเกิดในกำเนิดใด สูงต่ำประการใด จิตดวงนี้ไปทั้งนั้นๆ เพราะมันไม่ตายไม่ฉิบหาย จิตดวงนี้อยู่ในหัวใจของเราทุกคน เวลานี้ก็ฟังกันอยู่นี้ ตัวนี้ละตัวที่จะสมบุกสมบัน ถ้าเจ้าของโง่เขลาเบาปัญญาวิ่งไปตามกิเลส ก็จะขนแต่ฟืนแต่ไฟมาให้ใจดวงนี้ไปแบกไปหาม แล้วก็เจ้าของนั่นละรับเคราะห์รับกรรมอันนี้ ไม่มีใครรับนะ
กมฺมสฺสโกมฺหิ กรรมเป็นของเราทุกคน กรรมดีกรรมชั่วเราทำแล้วเป็นของเราๆ นี่เรารับผิดชอบเรา เราจะทำดีหรือชั่ว ให้ดูให้ดี ตายแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร อย่าไปหานิมนต์พระ กุสลา ธมฺมา มันเป็นบ้ากันทั้งนั้นแหละ เวลามีชีวิตอยู่มันไม่ได้สนใจกับอรรถกับธรรม ตายแล้วไปเคาะโลงโป๊กๆ รับศีลนะพ่อนะแม่นะ รับศีลอะไรคนตายแล้ว ตั้งแต่มีชีวิตอยู่ไม่สนใจกับศีลกับธรรม ตายแล้วไปเคาะโลงโป๊กๆ เกิดประโยชน์อะไร
เวลานี้พวกเรายังไม่เข้าโลง ยังอยู่ข้างนอก ศีลธรรมท่านเคาะโป๊กๆ อยู่นี่ฟังหรือยัง โป๊กๆ ๆ ระลึกพุทโธได้แล้วยัง หมดทั้งศาลานี่มีใครระลึกพุทโธได้ มีแต่ความโกรธ ความเคียดแค้น ความจองกรรมจองเวร ความปรารถนาลามกทุกประเภทนั้นเต็มหัวใจ มีเท่านั้นนะ อย่างอื่นไม่เห็นมีในใจ ให้รีบแก้ไขนะตายแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร แล้วใจดวงนี้จะไปสมบุกสมบัน รับเคราะห์รับกรรมที่เจ้าของสร้างไว้ให้ด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา มีแต่บาปแต่กรรมเต็มหัวใจ ไปภพใดชาติใดอย่าไปหวังว่าเจ้าของจะดีนะ เจ้าของสร้างตั้งแต่ความชั่ว จะมีแต่ความชั่วทั้งนั้น
พระพุทธเจ้าพระองค์ใดหลอกโลกมีหรือ ไม่มี เรื่องกิเลสนี้หลอก หลอกจนกระทั่งว่าตายแล้วสูญ โลกธาตุนี้เกิดแล้วตายทั้งนั้น แต่กิเลสมันหลอกว่าตายแล้วสูญ พิจารณาซิ ทุกคนๆ ให้คิดพิจารณาให้ดี ถ้าศาสนาปลุกคนตื่นไม่ได้แล้วหมด พวกเราหมดราคาหมดคุณค่า มีแต่ลมหายใจฝอดๆ ถ้าลงธรรมปลุกไม่ตื่นแล้ว ให้กิเลสมันปลุกก็มีแต่โยนลงเหวลงบ่อนั่นละ เราจะเอาทางไหนให้ตัดสินตัวเอง
ทางพระเราก็ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ สติเป็นสำคัญเคยพูดเสมอ ถ้าสติยังครองใจอยู่แล้วกิเลสจะไม่เกิด มันจะมีมากน้อยขนาดไหน สติเป็นทำนบใหญ่กั้นไว้ๆ กิเลสจะเกิดไม่ได้ เผลอเมื่อไรสังขารออกแล้วนั่น กิเลสออกแล้ว อวิชชาเปิดออกมาไสออกมา สังขารเกิด พอเผลอปั๊บสังขารเกิด ส่วนมากจะเกิดไปตามอำนาจของกิเลสตัณหาที่อวิชชาบงการนั้นแหละ ถ้าสติจับติดๆ อยู่ตลอดเวลาจะไม่เกิด เมื่อสติจับติดตลอดเวลานอกจากกิเลสไม่เกิดแล้ว ยังเป็นการสั่งสมธรรมคือความสงบร่มเย็นเข้าสู่ใจ อันนี้สำคัญมากจำให้ดี
การพูดทั้งนี้เราไม่ได้พูดหลอกๆ ล่อๆ นะ ธรรมพระพุทธเจ้าไม่หลอกล่อ เราปฏิบัติตัวเราถึงขั้นจะสลบไสลจะเป็นจะตายเราก็ไม่เคยหลอกล่อเจ้าของ ว่าเป็นเป็น ว่าตายตาย เอาจริงๆ จังๆ กิเลสถึงขาดไปๆ จะไปเหยาะๆ แหยะๆ ไม่ได้นะ ต้องจริงต้องจัง ถึงคราวจริงต้องจริง ถึงคราวเด็ดต้องเด็ด ไม่เด็ดไม่ได้ ให้แต่กิเลสเด็ดๆ มองไปที่ไหนมีแต่คนคอขาด กิเลสมันเด็ดคอเอาๆ เราให้เด็ดคอกิเลส ให้กิเลสหัวกุ้น(ขาด)ไปบ้างซิ มีแต่ความดีงามเต็มหัวใจ ไปที่ไหนสง่างาม
เทศน์สอนท่านทั้งหลายเวลานี้ จ้าอยู่ในหัวใจเราพอแล้วนะ พูดให้ชัดเจนเราจวนจะตายแล้ว ธรรมพระพุทธเจ้าไม่หลอกโลก นี้เราก็ไม่หลอกใคร เราปฏิบัติตัวของเราก็ไม่หลอกเรา เอาจริงเอาจัง ฟาดจนกิเลสขาดสะบั้นลงจากหัวใจ จ้าตั้งแต่บัดนั้นขึ้นมา ธรรมประเภทนี้เคยรู้เมื่อไร เกิดมากี่กัปกี่กัลป์ใจดวงนี้ละ มันมาจ้าขึ้นด้วยการปฏิบัติธรรม สั่งสมคุณงามความดีมากเข้าๆ ก็จ้าขึ้นได้ ให้พากันไปบำเพ็ญ อย่ามานอนใจอยู่เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร นับวันนับคืน มันมีแต่มืดกับแจ้งมากี่กัปกี่กัลป์แล้วมืดกับแจ้ง
ปีกุน ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง มะเมีย มะแม อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ มันเป็นบ้านับอะไร ไม่ได้ดูเจ้าของนับเจ้าของ วันนี้ล่วงไปเราทำอะไรดีหรือชั่วบ้าง วันนั้นวันนี้ ปีนั้นปีนี้ ล่วงมาแล้วกี่ปี นั่งอยู่นี้มันมีกี่ปีมันติดอยู่กับทุกคน มันได้อะไรบ้างถามเจ้าของซิเพื่อเป็นประโยชน์ นับวันนับคืนอายุได้เท่านั้นเท่านี้ เอาอายุมาอวดกัน ได้อายุมากเท่าไรยิ่งว่ามีเกียรติ มันกำลังจะเข้าโลง มันเกียรติบ้าอะไร เข้าใจหรือพวกนี้ เอาละ
หลังจังหัน
ผู้กำกับ ปัญหาทางอินเตอร์เน็ตครับ ลูกได้มีโอกาสมากราบหลวงตาเมื่อตอนที่เมืองไทยถูกมรสุม IMF กระหน่ำ ลูกเป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงมากที่สุดในชีวิตแทบเอาตัวไม่รอด เดชะบุญที่มีเพื่อนพาลูกมากราบขอบารมีหลวงตาเป็นที่พึ่งทางใจ ได้มาพักอยู่ที่วัดสองอาทิตย์ วันแรกๆ ฟังธรรมะไม่รู้เรื่อง นึกในใจว่าธรรมะของหลวงตาเป็นธรรมะชั้นสูง ท่านคงเทศน์ให้เฉพาะลูกศิษย์ที่ท่านอบรมแล้ว เราเป็นคนนอกขออาศัยบารมีของท่านให้พอชุ่มชื่นใจเท่านั้นก็พอ ขณะนั้นใจไม่ได้อยู่กับเสียงเทศน์เลย นึกถึงแต่เรื่องหนี้สินที่เกินกำลังจะให้ใครช่วยได้ แต่แล้วก็สะดุ้งใจเพราะเสียงหลวงตาลอยมาว่า เวลาพระเทศน์อย่านึกว่าท่านเทศน์ให้คนอื่นฟังนะ ให้คิดว่าท่านเทศน์ให้เราฟัง
รีบตั้งสติหันไปทางหลวงตา หลวงตาก็ยังเทศน์ประโยคเดิมซ้ำอีก ทำให้แน่ใจว่า ใช่เลยๆ ต้องเป็นเราแน่ๆ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาลูกสนใจในธรรมะของหลวงตามาก มีความรู้สึกปลื้มปีติใจที่ชาตินี้มีบุญ ได้พบพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มีเมตตาล้นเหลือเช่นนี้ ลูกจึงขออธิษฐานจิตว่า จะขอภาวนาตามคำสอนของหลวงตาอย่างเคร่งครัดในช่วงที่มาอยู่วัดนี้ เมื่อลูกกลับไปขอบารมีพระพุทธ พระธรรม และบารมีของหลวงตาได้โปรดดลบันดาลให้ลูกพ้นจากหนี้สินโดยเร็วด้วย เพื่อลูกจะได้กลับมาปฏิบัติธรรมกับหลวงตาอีก เมื่อครบกำหนดกลับบ้านได้ ๓ วัน ก็ได้มีชาวต่างชาติได้มาติดต่อเจรจาขอซื้อที่ดินของลูก ซึ่งก็สำเร็จได้ง่ายดายไม่น่าเชื่อ เงินจำนวนมากจ่ายวันเดียวแล้วจบ
ผู้ซื้อบอกภายหลังว่ามีที่ดินที่ราคาถูกกว่าลูกเสนอขายหลายราย ดีกว่าแปลงนี้อีก แต่เขาพอใจที่จะเจรจาซื้อขายกับลูก จึงขอเลือกแปลงนี้ ลูกและเพื่อนๆ คิดว่าเป็นเพราะบารมีเมตตาที่หลวงตาแผ่ให้ลูกแน่ๆ จึงทำให้ลูกรอดพ้นจากการตายทั้งเป็น ลูกจึงขอกราบขอบพระคุณหลวงตาอย่างสูงมา ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่ง ขณะนี้ลูกได้มาขออาศัยบารมีหลวงตาพักในวัดเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อการปฏิบัติธรรม ด้วยความหวังว่าจะพ้นทุกข์ดังหลวงตาแนะนำพร่ำสอน จึงขอรบกวนถามธรรมะดังนี้
การพิจารณากายแรกๆ สติไม่ค่อยต่อเนื่อง มักจะกระโดดไปสู่อดีตที่เจ็บช้ำบ่อยๆ แต่เมื่อภาวนาพุทโธๆ มากๆ จนจิตสงบแล้วก็พิจารณา ครั้งแรกเห็นกระดูกภายในกายเป็นเหมือนกระจก แตกเป็นเกล็ดเล็กๆ ในท่านั่งหนึ่งครั้งและท่านอนหนึ่งครั้ง ลูกจะดูอยู่เฉยๆ จนหายไป ครั้งที่สามนั่งภาวนาเห็นศีรษะตัวเองหลุดกระเด็นออกมาจากตัว แต่ก็ไม่ตกใจ คิดว่าเป็นอนิจจัง ครั้งที่สี่ เดินจงกรมตอนดึกประมาณตีสอง เห็นหน้าตัวเองเป็นกระดูกผุๆ ไม่มีเนื้อ หลังจากนั้นไม่กี่วันตอนเช้ามืดเดินจงกรม ได้เห็นกระดูกตัวเองแตกเป็นเม็ดเหมือนกับก้อนกรวดเล็กๆ ไหลพรูหลุดจากร่างกายไปรวมกันอยู่บนพื้นดินอย่างรวดเร็ว จิตคิดว่าตัวเรานี้ในที่สุดก็ต้องกลายเป็นดิน
หลังจากนั้นนานนับเป็นเดือน เดินจงกรมจนเหนื่อยและดึกมาก จึงนอนพักในท่านอนตะแคง ภาวนาพุทโธๆ ขณะนั้นลมภายนอกบ้านพัดแรงมาก ลูกภาวนาไม่รู้ว่ามีน้ำไหลบ่ามากับพายุด้วย น้ำไหลพัดเข้ามาในบริเวณที่ลูกนอนอยู่น่ากลัวมาก ตอนแรกตกใจมากรีบตั้งสติว่า ตายเป็นตาย เห็นเนื้อตัวเองหลุดเป็นชิ้นๆ ถูกน้ำพัดอย่างเร็วและแรง ลูกกำหนดจิต พุทโธๆ ในที่สุดมันก็ดับไป
การปฏิบัติของลูกรู้สึกว่ากระท่อนกระแท่นอยู่มากเพราะเวลาไม่ต่อเนื่อง และยังไม่เข้าใจรักษาสติ ลูกขอถามว่า ลูกปฏิบัติถูกต้องหรือไม่และต้องทำอย่างไรต่อไป(หลวงตา ถูกต้อง แต่ต้องเพิ่มสติให้ติดต่อกันมากขึ้น) ขณะนี้ลูกกำลังรักษาสติให้มั่นคงหนักแน่น ด้วยการภาวนาพุทโธทุกขณะ เมื่อมีเรื่องมากระทบ ถ้าเป็นทุกข์จะสาวหาต้นเหตุและหาอุบายดับได้ทุกครั้ง ถ้าเป็นเรื่องที่สนุกสนานเพลิดเพลินใจหรือถูกใจอะไร ก็จะเตือนใจว่ามันไม่เที่ยง พยายามตั้งจิตให้เป็นกลางอยู่เสมอ กราบขอความเมตตาหลวงตาแนะนำสั่งสอนลูกด้วย
หลวงตา ที่ปฏิบัติมานี้ถูกต้องแล้ว พยายามให้ความเพียรสืบต่อ เฉพาะอย่างยิ่งสติเป็นสำคัญให้ตั้งเสมอ ถูกต้อง เรื่องจิตเป็นของเล็กน้อยเมื่อไร ถูกมูตรถูกคูถ คือขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงครอบมันไว้ จิตที่มีความเลิศเลออยู่ภายในนั้นแสดงตัวออกมาไม่ได้ ถูกมูตรคูถครอบไว้เสมอตลอดมา โลกทั้งหลายจึงไม่มีค่ามีราคาในตัวเอง ทั้งๆ ที่สัตว์โลกนี้ชอบยกยอ กิเลสชอบยอ กดไม่ชอบ...กิเลส ตามความจริงไม่ชอบ ชอบแต่ยอ
ลืมแล้ว พูดไม่สืบต่อกันแล้วความหลงลืม เรื่องสติเป็นสำคัญ เอาตรงนี้เลยนะ กิเลสมันจะดันขนาดไหนก็เถอะ สติเป็นสำคัญ สติห้ามอยู่ อยู่หมัด ไม่ให้ออก เราทำมาแล้วนะ ฟาดเสียจนกระทั่งอกจะแตก สังขารมันดันออกมาจากอวิชชา นั่นละรังใหญ่ของกิเลสมันดันออกมาเพื่อให้หาช่องทางหากินของมัน มันกินเรานั่นแหละไม่ใช่กินใคร ให้เราได้รับความทุกข์ความทรมาน ทีนี้บังคับไม่ให้ออก เมื่อไม่ให้ออก มันดันนี้จนกระทั่งคับหัวอกเลยนะ แต่ไม่ยอมกัน ยังไงก็ไม่ให้เผลอ มันจะออกท่าไหนไม่ให้เผลอ มันดันตลอดมันจะออก คือสังขารคิดปรุงปั๊บออกไปนี้เป็นกิเลสแล้ว มันกว้านเอาฟืนเอาไฟความกังวลวุ่นวายทุกอย่างที่เกิดจากความคิดความปรุงนี้เข้ามาเผาเราๆ เมื่อมันออกไม่ได้ก็ไม่มีอะไรมาเผา สติครอบเอาไว้ๆ ทีนี้จิตเมื่อมีสติรักษาอยู่ กิเลสเหล่านี้ก็กวนไม่ได้ อย่างมากมันก็ดันอยู่ภายในหัวอก แต่สติบังคับไม่ให้มันออกมันก็ไม่แตกกระจายเป็นฟืนเป็นไฟอะไรไป เอาให้เต็มเหนี่ยวเลย วันนี้เป็นอย่างนี้ไม่ให้เผลอ
พูดเรื่องนิสัยอันนี้รู้สึกจะผิดแปลกกับคนทั้งหลายอยู่พอสมควร ว่าอะไรเป็นอย่างนั้น จริงมากทีเดียว บอกไม่ให้เผลอก็ไม่เผลอจริงๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ขณะไหนเผลอไปไม่มี นั่น คือบังคับกันขนาดนั้นนะ เรียกว่านักมวยเข้าวงในกัน สติกับสังขารที่มันดันออกมานี้ต่อสู้กันไม่ให้เผลอๆ มันก็ออกไม่ได้ เมื่อออกไม่ได้ จิตใจได้รับการบำรุงรักษาด้วยสตินี้แล้วค่อยสงบเย็นเข้ามาๆ ทีนี้ที่มันดันออกมาค่อยๆ เบาลงๆ สติติดแนบตลอด ตั้งตัวได้เลย นี่ได้ทำแล้ว เรื่องสติเป็นสำคัญมาก มันจะหนาแน่นขนาดไหนก็ตามเถอะกิเลส ความโกรธก็ดี อะไรก็ดีเป็นเรื่องของกิเลสแล้ว สติจับปุ๊บไม่ให้ไปยุ่งกับอารมณ์อะไรที่ว่า ไม่พอใจในคนนั้นคนนี้ อย่าออกไปหาคนนั้นคนนี้อันเป็นเรื่องสังขารปรุงออกไป ไม่ให้มันออกเรื่องก็ไม่มี ก็สงบลงด้วยสติบังคับนั่นละ สำคัญมากนะ
การภาวนาใครมีสติสืบต่อได้ดีเท่าไร ยิ่งจะก้าวหน้าเรื่อยๆ นะ ตั้งฐานได้ไม่สงสัย เรื่องสตินี่ตั้งฐานได้เลย จิตไม่เคยสงบ สงบได้ ขอให้สติรักษาจิต อย่าให้สังขารปรุง สังขารนี่ตัวสำคัญมากนะ มันคิดออกไปร้อยเล่ห์พันเหลี่ยมร้อยสันพันคมเข้ามาตีเราฟันเราเผาเรานั่นแหละ เมื่อมันออกไม่ได้ก็ไม่มีอะไรมาเผา สติบังคับ จิตก็ค่อยสงบเย็นๆ ตั้งฐานได้ จำให้ดีทุกคนการปฏิบัติ จิตเป็นของสำคัญมาก เวลาถูกปิดบังหุ้มห่อนี้ เราเหมือนท่าน ท่านเหมือนเรา ไม่มีอะไรผิดแปลกจากกันแหละ แต่พอธรรมะได้เบิกกิเลสตัวหุ้มห่อไว้นี้ออกไปๆ จิตจะค่อยสง่าขึ้นมาๆ เวลามันสง่ามากขึ้นๆ แล้วจนกระทั่งมาอัศจรรย์ตัวเอง เห็นไหมล่ะ
เกิดมาเราเคยอัศจรรย์ในหัวใจตัวเองที่ไหนไม่มี แต่เวลาเอาเข้าจริงๆ อัศจรรย์ได้นะ มันสง่าจริงๆ งามจริงๆ อัศจรรย์อะไรอยู่ในนั้นหมดเลย จนกระทั่งถึงออกอุทานที่เคยได้เล่าให้ฟัง โอ้โห จิตของเราทำไมถึงได้สว่างไสวเอาขนาดนี้ อัศจรรย์ขนาดนี้เชียวนา นั่นเห็นไหมล่ะ มันอัศจรรย์ได้นะจิต แล้วเปิดออกๆ เปิดออกจนกระทั่งถึงหมดเรื่องสมมุติทั้งมวลไม่เกาะใจได้เลย ขาดสะบั้นไปตามๆ กันหมด จ้า นั่นละที่นี่เรียกว่านิพพานเที่ยง ไม่ต้องถามกาลสถานที่เวลาใด อันนี้บอกอยู่ในตัว เที่ยงตลอดอนันตกาล นิพพานเที่ยง คือจิตหมดสมมุติแล้วก็เที่ยงเท่านั้นละ สมมุติมีอยู่มากน้อย กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา จะมีอยู่ในนั้น พอสมมุตินี้ขาดสะบั้นลงไปไม่มีอะไรเหลือแล้ว ก็มีแต่วิมุตติหลุดพ้นเป็นนิพพานเที่ยงขึ้นมา ในใจดวงเป็นธรรมธาตุนั้นแล
ใจดวงนี้สำคัญมาก ขอให้พี่น้องทั้งหลายดูใจตัวเองนะ อย่าไปดูแต่สิ่งนั้นก็ดี สิ่งนี้ก็ดี เจ้าของเลวไม่ดู ดูอันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี มันลากไปๆ เจ้าของเลวไปเรื่อยๆ อันนั้นดีไปเรื่อย อันนี้ดีไปเรื่อย เจ้าของเลวไปเรื่อยๆ ใช้ไม่ได้นะ ให้ดูเจ้าของ หักห้ามเจ้าของ ควรที่จะพัก พัก ไม่ควรให้คิดอยากคิดเท่าไรก็ไม่ให้คิด นี่เรียกว่าการบังคับรักษาตนเอง ต้องบังคับอย่างนั้น แล้วจิตจะสง่างามขึ้นมา
คิดดูซิตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว จิตดวงนี้ไม่เคยมีอะไรเลย สมมุติในโลกสามแดนโลกธาตุไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง กิเลสเป็นสมมุติ ยอดของสมมุติคือกิเลส พอกิเลสสิ้นไปแล้วสมมุติทั้งมวลสิ้นไปตามๆ กัน เรื่องราวก็ไม่มี หมด หมดเรื่องหมดราว เพราะฉะนั้นจิตของพระพุทธเจ้า จิตพระอรหันต์ท่าน จึงหมดเรื่องโดยประการทั้งปวง เรียกว่านิพพานเที่ยง หมดเรื่องตลอดไป ไม่มีทุกข์เข้ามาแฝงเลย มีก็มีแต่ธาตุแต่ขันธ์ที่เกี่ยวข้องกับสมมุติ สมมุติเขาเป็นยังไง ธาตุขันธ์ของเราเป็นสมมุติ มันก็เข้ากันได้ๆ อยู่ในแค่ขันธ์ ฟังให้ชัดเสียนะ ไม่เข้าไปถึงจิต เรื่องจิตนั้นเป็นอฐานะแล้ว เป็นวิมุตติไปแล้ว อันนี้เป็นสมมุติ ดิ้นก็ดิ้นอยู่ในวงสมมุติ จะออกไปหาวิมุตติไม่ได้เลย
ธาตุขันธ์มียังไงก็เป็นแบบเดียวกัน อะไรที่ว่าดีก็ดี ว่าเผ็ดก็เผ็ด เค็มก็เค็ม ชอบก็ชอบ รักก็รัก ชังก็ชัง อยู่ในวงขันธ์นะ มันมียิบแย็บๆ ของมัน จะให้เลยนี้ไปไม่เลย แต่จะปฏิเสธว่ามันไม่มีไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้รวมกันอยู่ในนี้ มีอยู่ด้วยกันในขันธ์นี้ นี่ละที่มีมีอยู่ในขันธ์เท่านั้น การกินการอยู่การหลับการนอน การไปมาการเคลื่อนไหวอะไร เป็นเรื่องสมมุติทั้งมวล โลกเขาเป็นยังไงขันธ์ของพระอรหันต์ก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าจิตนี้ไม่เข้ามาเกี่ยวข้องเลย เป็นวิมุตติล้วนๆ
นี่ละจิตเมื่อได้แยกออกมาแล้วพูดได้อย่างเต็มปาก ไม่สะทกสะท้านว่าจะผิดไป ไม่ผิดว่างั้นเลย เพราะฉะนั้นที่พระพุทธเจ้าว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ให้ฟังเสียงคำว่าตรัสไว้ชอบ ไม่ว่าแขนงใดที่แสดงออกไปชอบทั้งนั้นๆ เราอย่าไปเห็นว่าแขนงนี้ไม่สำคัญ แขนงนั้นสำคัญ มันสำคัญเหมือนกันหมด ส่วนย่อยส่วนใหญ่สำคัญเหมือนกันหมดให้รักษา ท่านบอกว่าผิดให้ระวัง ไม่ว่าส่วนย่อยส่วนใหญ่ให้ระวังด้วยกัน ถ้าถูกก็ให้ส่งเสริม ถ้าผิดแล้วให้ละๆ เป็นสวากขาตธรรมทั้งนั้นทุกแง่ทุกมุม ไม่เคยมีคำโกหกโลกนะ
คำพูดพระพุทธเจ้า ตั้งแต่บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน มีทั้งนั้นไม่บกพร่องเลย แสดงออกด้วยพระญาณหยั่งทราบทุกอย่างแล้วมาสอน จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ ไม่มีผิด เราปฏิบัติตามนั้นก็ถูกต้องเป็นลำดับลำดาไป ปฏิบัติถูกต้องเต็มกำลังแล้วกลายเป็นพยานพระพุทธเจ้าได้อย่างแท้จริงเลยไม่สงสัย เห็นนี่ปั๊บ พระพุทธเจ้าท่านทรงเห็นหมดแล้ว นั่นเป็นอันเดียวกันแล้วๆ ความเห็นความรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในระหว่างผู้บริสุทธิ์ด้วยกันแล้วเป็นอันเดียวกันเลย หาที่ค้านกันไม่ได้ ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ
เวลานี้พวกชาวพุทธเราห่างเหินพุทธศาสนามากมายทีเดียว จนน่าวิตกวิจารณ์ เราเกิดในท่ามกลางประเทศไทย อยู่ในประเทศไทยมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกจนกระทั่งป่านนี้ก็ไม่ได้คิดได้อ่าน แต่เวลาออกมาปฏิบัติละซิ การบวชก็ค่อยเตือนสติเจ้าของไปเรื่อยๆ ค่อยเตือนไปเรื่อยๆ จะพูดถึงเรื่องเบื้องต้นให้ฟังนะ ตั้งแต่เป็นฆราวาสก็เหมือนโลกเขาโลกเรา เหมือนเขาเหมือนเรา เห็นผู้หญิงนี้ชอบ มันหากเป็นชายกับหญิงไม่ต้องบอกมันชอบกันเอง ว่าจะเอาเมีย แต่มันแปลกอันหนึ่งพอคิดจะเอาทีไรขัดข้องทุกที ไม่ได้มีอะไรที่จะมาตำหนิติเตียนว่าฐานะสูงต่ำอะไรนี้ไม่มี มันหากมีเรื่องขัดอยู่นั้นละ
คือเราก็เป็นนิสัยจริงจัง นิสัยมีความสัตย์ความจริงอยู่ อะไรที่มาขัดแล้วไม่เอาๆ สุดท้ายก็เลยผ่านไปๆ ว่าจะเอาจุดไหนตกพลาดไปๆ ด้วยความที่ว่าเมื่อมันไม่ลงกัน ถึงจะได้กันมาแล้วก็ไม่ลงความหมายว่างั้น ถ้าลงกันแล้วทุกสิ่งทุกอย่างลงกันแล้วได้กันไปแล้วก็จะลงกันตลอดไป หลักนี้สำคัญมากนะ แล้วผิดไปพลาดไปอยู่งั้นนะ พูดจริงๆ ว่าจะเอาเมียหลายหนแล้ว มันก็ผิดไปพลาดไปอย่างนี้ละ จนกระทั่งพ่อน้ำตาร่วง อันนี้ไม่ผิดไม่พลาดเลย เพราะพ่อไม่เคยยกยอ พ่อกับแม่ไม่เคยยกยอ ลูกคนไหนดีไม่ดีก็อยู่งั้น มีแต่กดเอาไว้ๆ
บทเวลาจะยกขึ้นยกลูก ยกอีตาบัวขึ้น ยกขึ้นเพื่อทุ่มลงเข้าใจไหมล่ะ อยู่ดีๆ เอ้อ ลูกกูนี้ก็มีหลายคน ลูกเหล่านั้นกูไม่ได้หวังพึ่งมันแหละ ลูกผู้ชายก็เหมือนกันกูไม่สนใจกับมัน ก็มีแต่บักบัวนี่ละ ขึ้นแล้วนะที่นี่ บักนี้ถ้ามันได้ทำอะไรแล้วกูสู้มันไม่ได้ ยกแล้วนั่นเพื่อจะทุ่ม ถ้าลงมันได้ลั่นคำแล้วเท่านั้น นั่นเห็นไหมคำสัตย์คำจริง ถ้าลงได้ลั่นคำสมมุติว่าพ่อ กูอยากคิดอยากไปอันนั้นนี้แต่ไม่มีใครทำงานให้กูกูก็เลยไปไม่ได้ พอเราลั่นคำว่า เอ้อ ไปเถอะเดี๋ยวทำให้ โอ๋ย อยากเตรียมของเดี๋ยวนั้นเลย เพราะเชื่อคำสัตย์คำจริง ถ้าลงได้ลั่นแล้วเป็นเลยเราเป็นอย่างนั้นนะ
กูเห็นแต่ไอ้บัวคนเดียวนี้แหละ มันทำอะไรๆ นี้กูตายใจหมดเลย การงานอะไรถ้าลงมันได้ทำกูสู้มันไม่ได้ แต่...ตรงนี้ซิจะทุ่มแล้วนะ เวลากูจะให้มันบวชๆ นี้เหมือนมันหูหนวกตาบอดเฉยเลย นี่เวลากูตายแล้วจะไม่มีใครลากกูขึ้นจากนรกละ ถ้าไอ้นี่มันลากกูไม่ได้แล้วกูหมดหวัง ลูกกี่คนกูหมดหวังทั้งนั้น กูหวังกับไอ้นี้ ถ้าไอ้นี้ไม่ลากกูขึ้นแล้วกูหมดหวัง พอว่าน้ำตาพังเลย มองเห็นน้ำตา อู๊ย สลดอย่างรุนแรง ทุกสิ่งทุกอย่างขาดสะบั้นไปหมดเลย น้ำตาพ่อมีฤทธิ์มีเดชมาก คิดเรื่องผัวเรื่องเมียเรื่องอะไรๆ นี้ที่กำลังคาราคาซังอยู่นี้ยังไม่ลงตัว พ่อน้ำตาพังขาดสะบั้นไปหมดเลย สามวันเต็มๆ ไม่กล้าเข้ามารับประทานในวงเดียวกัน คือคิดยังไม่ตก เอาอยู่นั้น
มัดเจ้าของซิที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่างประมวลมา อะไรๆ เราทำได้โลกเขาทำได้ โลกเขาทำได้เราทำได้ แต่ทำไมเวลาบวชโลกเขาบวชได้เราทำไมบวชไม่ได้ นั่นเอาละนะ ตรงนี้ละตรงมัดกันๆ จึงได้ลงใจได้มาบวช นี่พูดเรื่องถึงเบื้องต้น พอบวชเข้าไปแล้วก็ตั้งคำสัตย์คำจริง บวชไม่ได้ว่าจะบวชอยู่นานนะ จะบวชสักปีสองปีแล้วสึกมาหาลูกหาเมียเข้าใจไหม พูดมันตรงๆ อย่างนี้ละ แต่เวลาบวชนี้จะไม่ให้มีข้อตำหนิเรื่องศีลเรื่องธรรมของตัวเอง จะเอาให้เต็มเหนี่ยว เวลาบวชจะไม่ให้ตำหนิศีลธรรมของตัวเองที่รักษาในเพศของพระ
ครั้นเวลาอ่านไปๆ สะดุดใจไปเรื่อยๆ เอ๊ะ ชอบกลๆ อันนี้เราก็ผิดมาแล้ว อันนั้นเราก็ผิดมาแล้ว ทีนี้ผิดตรงไหนสะดุดตรงไหนปรับปรุงตัวเอง ปรับตัวเองเรื่อยเข้าไปเรื่อยไปเลย จนกระทั่งไปเรียนหนังสือ ท่านพูดถึงเรื่องมรรคผลนิพพานจิตค่อยดูดดื่ม ทีแรกอยากไปสวรรค์ ต่อมาสวรรค์สู้พรหมโลกไม่ได้อยากไปพรหมโลก พอพูดไปถึงขั้นนิพพานทีนี้อยากไปนิพพาน สุดท้ายอยากไปนิพพานอย่างเดียวไม่ไปไหน ในเวลาเรียนหนังสือนี้การปฏิบัติจิตตภาวนาเราไม่เคยละนะ อันนี้สำคัญมากอยู่นะลึกลับ ไม่ให้ใครเพื่อนฝูงทั้งหลายทราบเลย ทั้งๆ ที่ภาวนาอยู่นั้นละ
เวลาออกไปหาเพื่อนฝูงเขาเป็นลิงก็เป็นกับเขา เขาเป็นค่างก็เป็นค่างไปกับเขา กิริยาท่าทางของนักบวชในวงปริยัติหยอกเล่นตลกกัน ก็อยู่ในวงของพระนั่นแหละ เขาทำไงเราทำได้เหมือนเขา แต่ความลึกลับการภาวนาไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ทำทุกวัน มันเป็นอยู่ในจิตนะ พอทางนี้ลงใจที่จะออกปฏิบัติละที่นี่ อ่านไปถึงนิพพาน นิพพานมีจริงๆ เหรอ เราก็อยากไปนิพพาน แล้วนิพพานมีจริงๆ เหรอ หรือมีแต่ความหวังนะ นั่น ส่วนใหญ่เชื่อนิพพานว่ามีจริง ส่วนย่อยมันไปแบ่งกินว่า มีจริงๆ เหรอ นี่ส่วนย่อย มันไปแบ่ง มันไม่ให้เต็มสัดเต็มส่วนว่านิพพานมีเข้าใจไหม มีจริงๆ เหรอ จึงเสาะแสวงหาครูอาจารย์
จึงได้มาเจอพ่อแม่ครูจารย์มั่น พอไปถึงท่านก็ใส่เปรี้ยงๆ โอ้โห ท่านกางเรดาร์เอาไว้นี่ เผ็ดร้อนมากที่สุดเลย ลงทีเดียวเลยลงสุดขีด ว่านิพพานมี มีหรือไม่มีลงจุดเดียวเลย นิพพานมี เอาละที่นี่ตั้งแต่บัดนั้นมาสละตายเลยนะ ความเพียรกล้าที่สุดเลย เอาจริงเอาจังเพราะนิสัยนี้เป็นอย่างนั้น ถ้าลงอะไรแล้วขาดไปเลยไม่มีถอย แต่ไม่เคยสลบก็บอกไม่สลบ แต่เฉียดตลอดเฉียดสลบ ความหนักในทางความเพียร เอาจนกระทั่งถึงได้เหตุได้ผลจากอรรถจากธรรมภาคปฏิบัติ ทีนี้ความรู้แปลกประหลาดที่ไม่เคยรู้เคยเห็นเคยเป็น มันเป็นขึ้นในจิตจากการปฏิบัติธรรมละซิที่นี่ เกิดขึ้นมาแปลกๆ สิ่งไม่เคยรู้มันรู้ขึ้นมาๆ เห็นขึ้นมาจะพูดให้ใครฟังก็ไม่ได้ แต่ประจักษ์ในตัวเองๆ เรื่อยไปเลย
จนกระทั่งการเทศนาว่าการ แต่ก่อนเราเรียนปริยัติ เราก็เทศน์สำนวนโวหารเป็นปริยัติเหมือนพระทั่วๆ ไปเทศน์กัน เพราะต่างคนต่างเรียนจำมาก็ว่าไปตามแถวตามแนวที่เรียนมาจำมานั้น ถ้าหากถูกทักบ้างอะไรบ้างอย่างนี้ แล้วทำไมถึงเทศน์อย่างนั้นล่ะ ก็คัมภีร์ท่านว่าอย่างนั้น มันออกไปเอาคัมภีร์มาบังหน้ามันหลบไปเสีย เวลาออกปฏิบัติมันไม่เป็นละซิที่นี่ การเทศนาว่าการธรรมดาๆ มันพลิกไปหมด เพราะการปฏิบัติมันรู้ขึ้นในใจ รู้ขึ้นในใจเป็นยังไงค้านไม่ได้นะ พอรู้ขึ้นมาๆ รู้อย่างนี้เห็นอย่างนี้ เราจะพูดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นะที่นี่ นี่ละบังคับต้องพูดตามความจริงที่รู้ที่เห็นนี้ๆ ไม่ว่าธรรมขั้นใดๆ เมื่อแสดงขึ้นมาจากใจ จะต้องปฏิบัติตามที่รู้ที่เห็น จะเลี่ยงๆ ออกไปพูดอย่างอื่นเหมือนที่เทศน์ในปริยัติไม่ได้เลยที่นี่ พลิก
นี่ละที่นี่สำนวนเปลี่ยนละ สำนวนที่เทศน์ทั่วๆ ไปก็เป็นธรรมดาเรา พอเข้าสำนวนโวหารเทศน์จากภาคปฏิบัตินี้จะตรงไปตรงมาเลยที่นี่ พูดอย่างอื่นไปไม่ได้ เลี่ยงไปไม่ได้ขัดปึ๋งเลย ธรรมเป็นของจริงเราเทศน์ไม่เป็นไปตามความจริงมันก็ปลอม ทีนี้โวหารอันนั้นจึงมาเป็นแบบนี้ละ พูดตามความจริงที่รู้เห็นมากน้อยจนกระทั่งพุ่งถึงที่ แล้วธรรมเทศนานี้ก็พุ่งแบบเดียวกัน ทีนี้เลยกลายเป็นขวานผ่าซากไป คือจะพูดอย่างอื่นไปไม่ได้ มันรู้มันเห็นอย่างนี้จะพูดอย่างอื่นไปไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนี้ๆ บังคับ การเทศน์ก็ตรงไปตรงมา ก็เลยกลายเป็นขวานผ่าซาก เป็นคนละคนกับเราที่เรียนปริยัติเทศน์ปริยัติ กับมาปฏิบัติและเทศน์ภาคปฏิบัติผิดกันคนละคน
อย่างสำนวนที่เทศน์ทุกวันๆ นี้ ไม่ได้มีภาคปริยัตินะมีแต่ภาคปฏิบัติ มันเป็นขึ้นมาในหัวใจเป็นอย่างนั้นตลอดมาเลย จึงว่าต่างกันมาก คือจะหลีกจะเลี่ยงไปไหนไม่ได้ ขัดต่อธรรมที่เรารู้เราเห็น ธรรมความจริงเป็นอย่างนี้เราจะหลีกเลี่ยงไปนี้ไม่ได้ นั่นมันขัดกัน มันต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ต้องตรงไปตรงมา ทีนี้ก็เลยกลายเป็นขวานผ่าซาก แล้วก็เทศน์กระแทกแดกดัน กระแทกกิเลสนั่นละไม่ใช่อะไร มันเลยไปอย่างนั้นเสีย จนกระทั่งทุกวันนี้ สำนวนนี้เราไม่ได้ตกได้แต่ง เป็นไปตามความจริง ที่มียังไงเป็นยังไงเห็นยังไงรู้ยังไงออกมาจากนั้นๆ ทั้งนั้น ไม่ได้ออกนอกจากนี้ไปเลย จนกระทั่งทุกวันนี้ จึงเป็นธรรมะขวานผ่าซากไปเลย ตามความรู้สึกของประชาชนทั้งหลายที่เขาไม่เคยได้ยินได้ฟัง
แต่เราที่ไม่เคยเป็นอย่างนี้เราก็ยังเป็น ว่า โอ๋ นี่เราเปลี่ยนแปลงมาก เปลี่ยนแปลงเพราะเหตุไร เปลี่ยนแปลงเพราะหลักธรรมที่รู้ที่เห็นบ่งบอกให้ปฏิบัติตามนั้นๆ เทศน์ก็เทศน์ตามนั้นสอนตามนั้นเป็นอื่นไปไม่ได้ มันก็เปลี่ยนแปลงไปของมันเรื่อยๆ เราก็ตามธรรมเรื่อยๆ มาจนกระทั่งทุกวันนี้ ด้วยเหตุนี้จึงว่าพูดตามหลักความจริง ไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งใดผู้ใดว่าจะผิดไป เพราะความจริงนี้แน่นอนๆ ทุกบททุกบาทไปแล้ว นี่ละที่เรามาเทศน์สอนโลกเราเทศน์อย่างนี้นะ เวลาธรรมได้เข้ามาถึงใจแล้วเป็นอย่างนั้น ใจดวงนี้เป็นดวงใหม่ขึ้นมาแล้วจากใจดวงเก่า ความมัวหมองมืดตื้อมันกระจายออกๆ ความสว่างกระจ่างแจ้งเปิดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งความเศร้าหมองมืดตื้อขาดสะบั้นลงไป มีแต่ความสว่างกระจ่างแจ้ง จ้าเลย อาโลโก อุทปาทิ สว่างจ้าอยู่ตลอดเวลา นั่น มันเป็นขึ้นในใจ
ทีนี้เมื่อมันรู้แล้วอะไรปิดมันได้เมื่อไร เรื่องนามธรรมที่จิตจะรู้จะเห็นปิดไม่ได้นะ รู้อยู่ในตัว แต่ก็เป็นความรู้จักประมาณอยู่ในตัวของธรรมนั่นเอง ควรพูดพูด ไม่ควรพูดเฉย เหมือนไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนหูหนวกตาบอดทั้งๆ ที่รู้เต็มหัวใจ เพราะเป็นเครื่องบังคับอยู่ในตัวควรพูดหรือไม่ควรพูด จะได้ประโยชน์มากน้อยเพียงไรก็ออกตามที่เป็นประโยชน์ ถ้าไม่ได้เป็นประโยชน์ถึงจะรู้เต็มหัวใจก็ไม่พูด ดึงออกก็ไม่ออกถ้าอย่างนั้น นี่เรียกว่าธรรม นี่ก็ได้ปฏิบัติมานี้ แล้วก็จวนจะตายแล้วได้สอนพี่น้องทั้งหลายให้ทราบทั่วหน้ากัน พากันปฏิบัตินะ จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว พากันจำ พระพุทธเจ้า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ พระองค์ทรงระลึกชาติของพระองค์ย้อนหลังได้ เกิดมากี่ภพกี่ชาติๆ ปฐมยามในคืนจะตรัสรู้ธรรม
ปฐมยามคือยามต้นทรงบรรลุธรรม ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ เคยเกิดเป็นภพใดชาติใด ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหม ตกนรกอเวจี พระองค์เคยท่องเที่ยวไปหมดแล้ว รู้มาหมดตลอดๆ พอมัชฌิมยามก็บรรลุ จุตูปปาตญาณ คือความเกิดความตายของสัตว์ทั้งหลาย เหมือนกับพระพุทธเจ้าที่เคยเกิดเคยตายมาเป็น ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ที่พิจารณาตามเรื่องของสัตว์ทั้งหลายก็เป็นแบบเดียวกันอีก เกิดตายๆ เหมือนกันหมดๆ เลย จึงได้ย้อนมาทั้งสองทั้งเขาทั้งเราที่เกิดตายๆ มานี้ เป็นเพราะอะไรเป็นสาเหตุ จึงได้ย้อนเข้าไปถึงอวิชชา ปัจจยาการ พิจารณาเข้าไปนั้น นั่นรากแก้วของมันอยู่ตรงนั้น ถอนพรวดขึ้นมาแล้ว อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ ดับหมดตลอด นิโรโธ โหติ ขึ้นเลย อวิชชาดับ ทุกสิ่งทุกอย่างดับพร้อมกันเลย พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม
นี่ละจิตเป็นนักท่องเที่ยว ทรงเกิดมากี่ภพกี่ชาติที่ว่าเป็นปุพเพนิวาสานุสสติญาณ พระองค์ก็เป็นมาแล้ว กี่ภพกี่ชาติ สัตว์ทั้งหลายที่เกลื่อนอยู่นี้ก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน แล้วทั้งสองพาให้เกิดให้ตายเป็นเพราะอะไร เพราะอวิชชา ไปถอนรากเหง้ามันขึ้น พรวด หมด ไม่มีอะไรที่จะมาเกิดอีกแล้ว นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าพอถึงขั้นนี้แล้วก็เป็นศาสดาของโลกขึ้นมาทันที ตรัสรู้ ออกจากนี้แล้วคืออวิชชาขาดสะบั้นไปแล้ว ก็นั่นละเป็นศาสดาขึ้นมา เรียกว่าตรัสรู้ธรรม จวนสว่าง
ธรรมพระพุทธเจ้าที่สอนไว้นี้ พระพุทธเจ้ารู้ รู้จริงๆ ไม่ได้รู้หลอกๆ หลอนๆ พอจะมาพูดโกหกหลอกลวงเหมือนสัตว์โลกที่ปฏิบัติต่อกัน พระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสรู้ขึ้นมาเป็นแบบจริงเหมือนกันหมด สวากขาตธรรม เรียกว่าตรัสไว้ชอบๆ จะเป็นใหญ่เป็นย่อยเป็นอะไรก็ตามชอบทั้งนั้น ไม่มีผิด จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ให้พากันระมัดระวังนะ ถ้าพระองค์ตำหนิที่ตรงไหนนั่นแหละผิดแล้ว อย่าฝืนนะ ถ้าอะไรถูกให้เสริมๆ แล้วจะเป็นคนดีขึ้นไปเรื่อยๆ จนชินต่อนิสัยแล้วทีนี้ชั่วไม่ทำ จะทำแต่ดีอย่างเดียว มันชินได้นะ จิตใจเราสั่งสมมาก ๆ มองเห็นทางที่จะทำชั่วขยะแขยงๆ แล้วก็ไม่ทำ ส่วนทางดีมีแต่ขยับเรื่อย ๆ นี่ละจิตเราอบรมได้นะ ถ้าไม่อบรมมันก็ทิ้งอยู่อย่างนี้ เกลื่อนอยู่ เหมือนซุงทั้งท่อนไม่เกิดประโยชน์อะไร
วันนี้ก็พูดมากแล้ว บรรดานักเรียนลูกหลานก็เคยได้เทศน์สอนแล้ว นี่ก็สอนให้เป็นคนดี เด็กก็ให้เป็นเด็กดี ผู้ใหญ่เป็นผู้ใหญ่ดี เท่านั้นละเป็นที่พอใจของธรรมพระพุทธเจ้า ถูกต้องแล้ว ให้พากันไปปฏิบัติ อย่าเร่ๆร่อนๆ เด็กในวัยนี้เป็นเด็กวัยรุ่น เด็กวัยรุ่นอยากรู้อยากเห็นอยากทดลองทุกอย่าง สิ่งที่เป็นภัยนั่นละมากต่อมาก ที่มันจะไปเสาะหาความดีมีน้อยมากนะ จึงต้องได้ระมัดระวัง อาศัยธรรมเป็นเครื่องบังคับตน
ความอยากนี้มันฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมมากนะ ทะเยอทะยานไม่หยุดไม่ถอย ให้เอาธรรมะรั้งเอาไว้ เหยียบเบรกห้ามล้อเอาไว้อย่าให้ทำ มันอยากทำเท่าไรไม่ให้ทำ มันฝืนเราไปไม่ได้ หัวใจเป็นนายอยู่นี่ ร่างกายความเคลื่อนไหวของเรา เมื่อใจบังคับไว้ไม่ให้ทำ มันไม่ทำละ ให้เอาใจไปบังคับ เอาธรรมเข้าบังคับใจให้ใจไปบังคับตัวเอง แล้วก็ดีขึ้นนะ เอาละวันนี้พอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |