ความจริงพาให้เป็น
วันที่ 28 สิงหาคม 2548 เวลา 8:20 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :
 

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ความจริงพาให้เป็น

ก่อนจังหัน

เราไม่ค่อยมีเวลาอบรมพระเหมือนแต่ก่อน เรียกว่าเป็นคนละโลกไปแล้ว แต่ก่อนเอาจริงเอาจังมากสำหรับการอบรมพระ และดูแลพระเหมือนกัน เคลื่อนคลาดไม่ได้ เพราะฉะนั้นถึงร่ำลือ ร่ำลือกันมานานแล้วหลวงตาบัว แต่ก่อนเขาเรียกอาจารย์มหาบัว ดุเก่ง ดุมาก ว่างั้น ลั่นมานาน นั่นคือจริงจังมากทีเดียว ต่อมานี้ๆ ลายก็ค่อยหมดไปๆ ลายดุลายด่าค่อยหมดไป มีตั้งแต่ลายเลอะๆ เทอะๆ เต็มหลังเดี๋ยวนี้ นั่นคนที่ได้ยินไกลๆ เขาตื่นเสียงกัน แต่ผู้ที่เข้ามาอยู่แล้วได้ไล่ไหนถึงหนี ไม่ไล่ไม่ไป ทั้งๆ ที่ดุๆ นั่นแหละ เขาร่ำลืออยู่ข้างนอกว่า ดุมากๆ แต่พวกที่อยู่ข้างในนี้มาเท่าไรไม่ยอมออกๆ เป็นอย่างนั้นนะ เป็นยังไงก็ไม่ทราบ ฟังซิท่านทั้งหลายเรื่องของธรรม ถ้าเข้าถึงกันจริงๆ แล้วเป็นอย่างนั้นแหละธรรม ดุด่าว่ากล่าวมีตั้งแต่รสแต่ชาติของอรรถของธรรมทั้งนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องกิริยาของโลกของกิเลสความสกปรก หรือเป็นฟืนเป็นไฟแฝงเข้าไปเลย

พากันตั้งใจปฏิบัตินะ อย่าหย่อนยานนะพระ อย่านอนใจ กิเลสไม่เคยนอนใจ ขยี้ขยำสัตว์ทั้งหลายให้แหลกมาเป็นเวลานานแล้ว ถ้าจะตื่นให้ตื่นนะ จะตื่นได้ด้วยธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้น นอกนั้นไม่มีอะไรที่จะทำให้ตื่นตัวได้ กิเลสมีแต่กล่อมเรื่อยๆ เคลิ้มหลับ หลับไม่ตื่น บางรายตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งถึงวันตาย สร้างตั้งแต่ความชั่วช้าลามก ไม่มีสารคุณติดตัวแม้นิดหนึ่ง พอลมหายใจขาดสะบั้น เสียงดังปึ๋งนู่น ก้นนรกแตก ก้นนรกแตกเพราะความชั่วของคนที่หนาแน่นเกินเหตุเกินผล ไปตกนรกจนนรกแตกเสียงดังสะท้านหวั่นไหว นั่นละคนชั่วเป็นอย่างนั้น คนดีก็ผางถึงนิพพาน สะเทือนสะท้านทั่วแดนโลกธาตุ นี่คือคนดีความดี พากันพิจารณาเสียตั้งแต่บัดนี้

เราพูดแทบทุกวันๆ จวนจะตายเท่าไรยิ่งเข้มข้น ยิ่งห่วงยิ่งใยบรรดาประชาชนทั้งหลาย เพราะธรรมพระพุทธเจ้านี่สดๆ ร้อนๆ ให้เข้าสู่หัวใจเถอะน่ะ คำว่าจืดว่าชืดไม่มีเลย มีแต่เข้มข้นๆ ดูดดื่มตลอดเวลา..ธรรม ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง ดูดดื่มแบบเที่ยงไปเลยเชียว ให้ตั้งอกตั้งใจ พุทธศาสนาอยู่ในเมืองไทยเราเท่านั้น แต่ทำไมความเลอะๆ เทอะๆ จึงมาอยู่กับเมืองไทย กลายเป็นส้วมเป็นถานในเมืองไทยเราได้จากความเลอะเทอะทั้งหลาย พุทธศาสนาซึ่งเป็นน้ำสำหรับชำระล้างหายไปไหนหมด พุทธศาสนาก็อยู่ที่หัวใจของชาวพุทธเรา แสดงออกมาทางกาย ทางวาจา ความประพฤติ หน้าที่การงาน สะอาดสะอ้านเรียบร้อย ถ้าธรรมมีอยู่ในหัวใจแล้ว กิริยาที่แสดงออกทุกอย่างจะน่าดูน่าชม ถ้ากิเลสมีอยู่ในหัวใจแล้วเป็นฟืนเป็นไฟ ข้างในก็เป็นส้วมเป็นถาน ข้างนอกก็เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ทั่วโลกดินแดน เพราะต่างคนต่างมีสิ่งเหล่านี้

มันเคยเฟ้อไหมกิเลส มีใครมาพูดไหมว่ากิเลสมันเฟ้อ มันครึมันล้าสมัย เคยมีไหม มีตั้งแต่มันล้ำยุคล้ำสมัยตลอดไป ทุกวันนี้ยิ่งล้ำยุคล้ำสมัย ชาวพุทธเรายิ่งตาบอดหูหนวกหนักเข้าทุกวันๆ เสียงอรรถเสียงธรรมไม่อยากฟัง เรื่องอรรถเรื่องธรรมไม่อยากได้ยินได้ฟัง เป็นอย่างนั้นนะถูกกิเลสกล่อม ขอให้เอาธรรมพระพุทธเจ้านี้เข้าไปกล่อมใจดูเถอะน่ะจะเป็นยังไง เข้าใจดวงใดจะดีดทันทีๆ ไม่งั้นจะเรียกว่าเป็นธรรมเลิศเหรอ เลิศกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ในสามแดนโลกธาตุไม่มีอะไรเลิศกว่าธรรม ขอให้ได้เข้าไปสัมผัสใจด้วยจิตตภาวนาเป็นสำคัญ การทำบุญให้ทาน เป็นกิ่งก้านสาขาดอกใบ เป็นเครื่องประดับจิตตภาวนาซึ่งเป็นต้นเป็นลำ ต้นลำดีไม่มีอะไรหวั่นง่ายๆ ถ้าลงจิตได้เข้าสู่ธรรมแล้วไม่หวั่น มีแต่บึกแต่บึนเท่านั้น นี่ละความดี อยากให้พี่น้องทั้งหลายได้เข้าชม

เฉพาะอย่างยิ่งวงราชการ อยากจะพูดได้เต็มปากเลยว่า วงราชการนี้เป็นวงสกปรกมากที่สุด นี้เอาธรรมจับเข้าไป อย่ามองนั้นมองนี้ว่าคนนั้นสูงคนนี้ต่ำ เกรงอกเกรงใจเกรงขาม เกรงอำนาจบาตรหลวง ธรรมไม่มีเกรง พูดตามหลักความจริงทั้งนั้น เวลานี้วงราชการในเมืองไทยเราสกปรกเรื่อยๆ มา แต่ไม่ค่อยเด่นเอามากเหมือนทุกวันนี้ ทุกวันนี้เด่น เด่นมากเรื่องความชั่วช้าลามก ปากไหนมาๆ ที่จะชมวงราชการไม่ค่อยเห็นมี มีแต่ตำหนิติเตียน เอือมระอากันทั้งนั้นๆ แต่วงราชการเราทำไมถึงหูหนวกตาบอด มีแต่เคี้ยวแต่กลืนแต่รีดแต่ไถอย่างนั้นเหรอ มันไม่มีหูมีตามีใจพอจะคิดและพอจะฟังเสียงประชาชนบ้างหรือวงราชการเรา มันเป็นยังไง ตั้งแต่วงรัฐบาลลงมา ได้ยินทั้งนั้น ได้ยินแล้วก็ต้องเอามาพินิจพิจารณา แล้วเทศน์สอนบรรดาพี่น้องทั้งหลายในนามธรรมสอนโลก

เราไม่ได้ตำหนิติเตียนผู้ใดโดยเฉพาะเจาะจงที่ไม่มีความผิดไปตำหนิ ธรรมทำไม่ลง เอาตามความจริงเลย นี้เลอะเทอะมากนะวงราชการ เวลานี้เขายิ่งตำหนิหนักเข้าไปๆ ทำไมวงราชการมีแต่ผู้รู้ผู้ฉลาด เรียนมาเป็นดอกเตอร์ดอกแต้แล้วมันเอาไปไหนหมด มันมีตั้งแต่เรื่องอันธพาลสันดานหยาบนักเลงโตอยู่ในวงราชการ เฉพาะอย่างยิ่งในวงรัฐบาลเรามันเป็นยังไง ความรู้ดีๆ ที่เรียนมาเอาไปหมกไว้ไหน เอาไปหมกไว้ในส้วมในถานเหรอ แล้วเอาอะไรออกมาแสดงต่อประชาชน ก็เอาส้วมเอาถานออกมาละซิ มันหมกเข้าไปในส้วมในถาน ลากออกมาก็มีแต่ส้วมแต่ถานเต็มไปหมด ดูไม่ได้นะเวลานี้

โอ๋ย หน้าด้านนะ วงราชการนี้ยิ่งหน้าด้านเข้าไปทุกวันๆ เป็นยังไงวงราชการเรา ชาติไทยเราซึ่งเป็นลูกชาวพุทธ ทำไมถึงหน้าด้านเอานักหนา ไอ้ผู้อื่นเขาก็ด้าน แต่ผู้ที่จะนำชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หน้าด้านนี่เสียหายที่สุด เลวร้ายที่สุด คือวงราชการ ขอให้ท่านทั้งหลายได้นำไปพิจารณา วงราชการก็คือผู้ที่อุ้มชูชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นผู้รับผิดชอบ อย่าไปทำลาย ทำลายด้วยกิริยาอาการแห่งความโลภ ความหลงเนื้อหลงตัว ลืมเนื้อลืมตัวนี้เสียหายมาก นี่ฟังมาโดยตลอดๆ ฟังแล้วก็เข้าในลิ้นชักๆ คือหัวใจๆ แล้วนำออกมาสอนโลกๆ นี่สอนโลกนะ สอนให้มันหมดความสกปรกโสมมความไม่ดี ที่เกี่ยวข้องกันกับคนทั้งโลกนี้จากใจของเรา ให้ใจสะอาดเข้าไปโดยลำดับ ความประพฤติหน้าที่การงานสะอาดแล้วจะอยู่กันเป็นสุข พากันตั้งใจปฏิบัติ

วันนี้เป็นทั้งวันพระด้วย เป็นทั้งวันอาทิตย์ด้วย บวกกันเหมาะสมมากแล้ว การบำเพ็ญความดีในวันว่างเช่นนี้หาได้ยาก มันไม่ว่างให้ละซิ เรื่องกิเลสมันไม่ยอมให้ว่าง ให้ว่างในงานของมัน ถ้างานของมันแล้วว่างทั้งวันยังค่ำคืนยังรุ่ง กินก็กินจนขี้แตก ว่างตลอดเวลา ขี้แตกนั่นคือกินไม่พอ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ขี้โลภแตก ขี้โกรธก็แตก ขี้หลง ขี้ราคะตัณหาแตก นี่กิเลสพากินพากลืนไม่มีเวลาพอ ให้ท่านทั้งหลายนำธรรมไปปฏิบัติบ้าง

โอ๊ย เราสลดสังเวชนะ มีแต่ยั้วเยี้ยๆ คืบคลานกัน งมเงาเกาหมัดกันไป ไม่ได้เกาถูกที่คัน เกาเข้าซิศีลธรรมพระพุทธเจ้าชำระโลกให้ได้รับความสงบร่มเย็นมามากเท่าไร เราเป็นคนประเภทไหนจึงเข้ากับศีลธรรมไม่ได้ มันไม่เลวร้ายยิ่งกว่าอะไรเข้าไปอีกแล้วเหรอ ที่ว่าอะไรนั้นคือนอกจากเลวร้ายไปแล้วอันนั้นยิ่งเลวร้ายกว่าอะไรทั้งหมด เราเป็นคนประเภทนั้นเหรอ ถ้าไม่ใช่เป็นคนประเภทนั้นก็ควรกลั่นกรองตัวเอง ตายแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร นั่งอยู่นี้กองกระดูกทั้งนั้นละ เวลานี้ลมหายใจครองตัวอยู่ และจิตครองตัวรับผิดชอบอยู่เท่านั้นละ ว่าเป็นเราเป็นเขาได้ พอลมหายใจขาดสะบั้นลงไปแล้วหมด ทีนี้ความดีของเรามีไหม ถ้าไม่มีก็มีตั้งแต่ความชั่ว เพราะธรรมชาติความชั่วนี้ลากลงตลอด ความดีลากขึ้นมันไม่อยากจะขึ้น ตายแล้วจมนะๆ

เราอย่าไปอวดดีกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ตรัสรู้มาพระองค์ใดก็ตามแม้พระองค์เดียวไม่เคยแหวกแนวไปเลยว่า บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี พรหมโลกไม่มี นิพพานไม่มี เปรตผีประเภทต่างๆ ไม่มี ไม่มีพระองค์ใดตรัสไว้เลย มีแต่มีทั้งนั้น เพราะตรัสไว้ตามความรู้ความเห็นความเป็นของสิ่งเหล่านั้น จากพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ เราอย่าอวดเก่งกว่าพระพุทธเจ้านะ มันจะลงในสิ่งที่เก่งๆ ตอบรับกับความหยาบโลนของเราความหนาของเรานั่นแหละ นรกอเวจี ฟังซิน่ะ มีหรือไม่มี เวลามันจมลงไปแล้วลบล้างได้ไหมล่ะ มันจมได้นะถ้าทำความชั่ว

พระพุทธเจ้าสอนทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีจะไปได้ชั่ว ทำชั่วไปได้ดี ไม่มี มีก็แต่ประจบประแจงเหมือนอย่างพวกโจรพวกผู้ร้าย เขาจะจับได้ที่ไหน ตะรางไม่มี เจ้าหน้าที่เขาหูหนวกตาบอด ตาดีตั้งแต่เราโจรผู้ร้าย เวลาเขาจับได้แล้วเป็นยังไงล่ะ มันยังไม่ยอมนะ เขาหาว่า นั่นเห็นไหมกิเลสไม่ยอมใครง่ายๆ ตัวชอบยกยอที่สุดไม่มีอะไรเกินกิเลส ชอบที่สุดเรื่องยกยอ ไปอยู่ในเรือนจำก็ไม่อยากให้เขาพูดว่านักโทษ มันชอบยกยอ แล้วเป็นยังไงถึงมาติดคุก เขาหาว่า นั่นน่ะฟังซิ แล้วเป็นความจริงแค่ไหนล่ะ เป็นจริงๆ เหรอ ยอมรับว่าเป็นจริง เป็นอย่างนั้นนะ

กิเลสมันไม่ยอมใครง่ายๆ ถ้าธรรมแล้วยอมรับทันทีความจริง ผิดยอมรับว่าผิด ถูกยอมรับว่าถูก เรียกว่าธรรม เป็นสรณะของโลก โลกตายใจได้กับธรรม ให้พากันตั้งใจปฏิบัตินะ พุทธศาสนาในเมืองไทยของเรามากกว่าทุกเมือง แต่ทำไมคนเลวร้ายถึงมาก พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้คนเลวร้าย สอนให้เป็นคนดี นี่ก็คือกิเลสมันขนาบหัวใจเราจนไม่มีศาสนาติดตัวเลย ให้ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ

ที่เน้นหนักที่สุดคือเรื่องจิตตภาวนา ดังที่เคยพูดเสมอ เราเน้นหนักสดๆ ร้อนๆ สะเทือนอยู่ในหัวใจตลอดเวลา การสอนจึงไม่สอนไปที่อื่น ให้มาเห็นจุดนี้ ตรงนี้มูตรคูถมันครอบอยู่ คือกิเลสมันขี้เกียจภาวนา ถ้าตั้งใจภาวนาจริงๆ แล้วเราจะเห็นความสง่างาม ตลอดถึงความอัศจรรย์กระเทือนขึ้นในหัวใจของเรานี้ พากันตั้งใจนะ เอาละให้พร

หลังจังหัน

เจดีย์วัดอโศฯนี่เราก็อุ้มแล้วนะ บอกตัดคอรองไว้ รองครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เป็นเพชรน้ำหนึ่งๆ จะถูกอาราธนามาประดิษฐานที่นั่น เราจะเป็นผู้หาเอง ไปหาอาราธนาท่านเอง องค์ไหนๆ องค์ใดอยู่ที่ไหนประเภทเพชรน้ำหนึ่งๆ คืออัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุๆ ที่อัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้วคือตีตราร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ให้โลกได้เห็นทั่วหน้ากัน เป็นอยู่ภายในใจจะเข้าใจเฉพาะผู้ได้ยินได้ฟัง ถ้าออกมาอย่างนี้แล้วชัดเจนมาก ในตำราท่านแสดงไว้อย่างขาดตัวเลย อัฐิที่จะกลายเป็นพระธาตุได้นั้น ต้องเป็นอัฐิของพระอรหันต์เท่านั้น ฟังว่าเท่านั้น ถ้าอันนี้ประกาศออกมาแล้วก็ชัด

แต่ในวงกรรมฐานท่านรู้กันก่อนแล้วนะ คือท่านสนทนากันอยู่ตลอดเวลา ใครมีภูมิจิตภูมิธรรมสูงต่ำแค่ไหน ในวงกรรมฐานนี้เรียกว่าครอบครัวแต่ละครอบครัว วงกรรมฐานเป็นวงหนึ่งต่างหาก เรียกว่าครอบครัวใหญ่ มีอะไรๆ ท่านจะเล่าสู่กันฟัง สนทนาซึ่งกันและกัน จึงเข้าใจเรื่องของกันและกันได้ดี คนภายนอกไม่ทราบนะ แต่ภายในวงกรรมฐานด้วยกันทราบๆ ตลอดเลย ท่านทราบเรื่องราวของกันและกันตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ องค์ไหนๆ ที่แน่แล้วว่าองค์นี้จะเป็นอย่างนั้นๆ แล้วเป็นๆ คือท่านเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว พอละขันธ์นี้เป็นไปตามนั้นเลย

อัฐิเราเคยพูดให้ฟังแล้วนี่ อัฐที่กลายเป็นพระธาตุได้เพราะอะไร คือจิตของท่านที่บริสุทธิ์ อำนาจแห่งจิตที่บริสุทธิ์นี้กระจายออกไป เราให้ชื่อว่าซักฟอก แต่ธรรมชาตินั้นท่านก็ไม่ได้บอกว่าท่านซักฟอกแหละ หากเป็นหลักธรรมชาติ คือจิตที่สะอาดแล้วครองขันธ์อยู่กระจายออกไปก็เป็นการซักฟอกในตัวๆ ธรรมดาก็ซักฟอกอยู่โดยธรรมดา หลับตื่นลืมตาเป็นการซักฟอกอยู่โดยหลักธรรมชาติของตนๆ ยิ่งภาวนาด้วยแล้วนั่นร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าท่านเข้าสมาธิสมาบัติภาวนา จิตเข้านี้หมดเลยไม่ได้กระจายออกไปข้างนอก พอเข้านี้หมดแล้วก็ซักฟอกร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ พอท่านมรณภาพจากไปแล้ว อัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุๆ ไป

แล้วกลายเป็นพระธาตุช้าเร็วนี้เราก็เคยอธิบายให้ฟังแล้ว มีหลายขั้นหลายตอน เช่นประเภทที่บรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็ว เรียกว่าขิปปาภิญญา ตรัสรู้ธรรมได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็เสียชีวิตไปเสียอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน อย่างนี้อัฐิของท่านจะกลายเป็นพระธาตุช้าหน่อย เพราะจิตที่บริสุทธิ์ยังไม่ได้อยู่ซักฟอกธาตุขันธ์ตามกาลอันควร ล่วงไปเสียอย่างรีบด่วน นี่อัฐิกลายเป็นพระธาตุช้า เรื่องเป็น-เป็นหากช้าเท่านั้น ผู้ที่ครองขันธ์อยู่นานๆ คือจิตบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้วครองขันธ์อยู่นานๆ พอท่านมรณภาพปั๊บ อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุได้อย่างรวดเร็ว เพราะพร้อมแล้วๆ ได้รับการซักฟอกมาตลอดเป็นเวลานาน คือจิตนี้เป็นธรรมชาติที่สะอาดสุดยอดแล้วครองขันธ์ ขันธ์เป็นสมมุติ พวกรูปร่างกายของเรานี่เป็นสมมุติ จิตเป็นจิตตวิมุตติ นั่นละสะอาดสุดยอดซักฟอกธาตุขันธ์อันนี้

เราก็จะพยายามอาราธนาครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ท่านล่วงไปแล้ว อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุนั้น มารวมกันที่วัดอโศการาม เพราะฉะนั้นเราจึงเอาจริงเอาจังเพื่อเทิดทูนครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ด้วยการก่อสร้างเจดีย์ไว้สำหรับบรรจุพระธาตุของท่านแต่ละองค์ๆ พระธาตุที่ไหนก็จะมารวมกันที่นั่น ก็จะได้เขียนเอาไว้บอกไว้ นั้นคือองค์นั้นๆ ตลอดไปหมด

(เจ้าคณะจังหวัดนครพนม วัดสรณภาณนิมิตร มากราบนมัสการ) วัดสรณภาณนิมิตรเราก็เคยไปพักตั้งแต่ตั้งวัดใหม่ๆ มาเยี่ยมเฉยๆ หรือมีธุระอะไร (เกี่ยวกับเรื่องตั้งสถานีวิทยุเสียงธรรม ที่โรงแรมแม่น้ำโขงแกรนด์วิลครับ คาดว่าจะกระจายเสียงได้วันที่ ๑๙ สิงหาคม และจะตั้งกองผ้าป่าสำหรับสถานีวิทยุแล้วนำมาทอดถวายหลวงตาวันที่ ๑๐ กันยายนที่วัดนี่ครับ) ทำอะไรก็ทำไปเถอะ เวลานี้วิทยุนี้ออกกว้างขวางอย่างรวดเร็วเสียด้วย ออกทุกแห่งทุกหน ตั้งสถานีวิทยุเสียงธรรม สายของบ้านตาดและสวนแสงธรรม เรียกว่าออกจากเราทั้งนั้น

ธรรมที่ออกหน้าจริงๆ ก็คือธรรมของเราออก ทีนี้ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็มาช่วยกันกับเราหนุนกันไป ครูบาอาจารย์องค์ต่างๆ นำเทปท่านมาออกทางวิทยุหลายท่านหลายองค์ แต่ยังไงก็ไม่พ้นที่เราจะเป็นแนวหน้าอยู่งั้นแหละ ออกทั่วไป เวลาเขาได้ฟังทางวิทยุแล้วเขาก็ทราบได้ชัดเจนว่า จริตนิสัยใจคอของผู้แสดง องค์นั้นเป็นยังไง องค์นี้เป็นยังไง รวมแล้วก็มาลงที่จุดนี้ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็สาธุยินดีที่ท่านแสดงตามอัธยาศัยของท่าน แต่ไม่พ้นหลวงตาแหละเรื่องความเข้มข้นมาอยู่นี้หมด แน่ะ ได้ยินมาจากบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายที่เขาฟังวิทยุในที่ต่างๆ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายออกทางวิทยุด้วยกันหนุนกันไป

ต้นไม้ต้นหนึ่งมีหลายกิ่งหลายก้าน จะให้เป็นเหมือนกันหมดไม่ได้ ก็ต้นไม้ต้นนั้นกิ่งของต้นไม้ต้นนั้นแหละ นี้ก็ธรรมของพระพุทธเจ้าอันเดียวกัน มีคุณภาพเต็มสัดเต็มส่วนเหมือนๆ กันนั่นแหละ การแสดงธรรมของเราที่ว่ารู้สึกจะมีเข้มข้น จะมีต่างกันอยู่บ้างก็ในแง่ของจิตใจ พูดตรงๆ นะ คือแง่ของจิตใจนี้มันออกเป็นธรรมล้วนๆ เลย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีคำว่าเฉื่อยชา หรืออืดอาดเนือยนาย ถ้ามีหนักมากเท่าไรมันจะออกของมันพุ่งๆ เลย ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วเป็นอย่างนั้น นี้คือพุทธศาสนาสอนหัวใจโลกให้เป็นธรรมล้วนๆ ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน พระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลาย ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน เรียกว่าธรรมทั้งแท่ง เป็นธรรมธาตุแล้ว ครองขันธ์อยู่ก็เป็น เวลาออกจึงออกสดๆ ร้อนๆ ตลอดเวลา...ธรรม

เราพูดจริงๆ เราก็จวนจะตายแล้ว สอนโลกก็สอนเพื่อประโยชน์แก่โลก ใครเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นกรรมของสัตว์ เรานี่เชื่อในธรรมของเราที่แสดงออกทุกบททุกบาท ไม่มีผิดมีพลาดเลย ถอดออกจากหัวใจจากธรรมทุกขั้นๆ จนกระทั่งถึงวิมุตติพระนิพพาน สอนหมดเลย เพราะเต็มอยู่ในนี้หมดแล้ว ใครจะฟังก็ฟังเอานะบรรดาพี่น้องทั้งหลาย นี่ละพุทธศาสนาเราท้าทายเรื่องมรรคผลนิพพาน ตลาดแห่งมรรคผลนิพพานอยู่ที่นี่ ตลาดแห่งความดีทั้งหลายอยู่ที่พระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้เรียบร้อยแล้ว เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกอย่างไม่มีผิดมีเพี้ยนแม้นิดหนึ่งก็ไม่มี กิ่งน้อยกิ่งใหญ่กิ่งไหนก็เป็นกิ่งของต้นไม้ต้นนั้น อันนี้ธรรมออกแขนงใดก็เป็นธรรมพระพุทธเจ้าที่บริสุทธิ์สุดส่วนแล้วทั้งนั้นๆ

จิตขอให้ได้เข้าถึงธรรม เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมแล้วไม่ต้องไปถามใคร ที่ว่าธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันนี้มันเป็นอยู่ในนั้นแล้วจะให้ว่าไง จะไปคลำโน้นลูบนี้ได้ยังไง มันเป็นอยู่นี้ก็เอานี้ออกเลยซิ นี่ละธรรมของจริง เวลาเป็นขึ้นกับหัวใจใดแล้ว ท่านบอกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติจะพึงรู้เห็นผลแห่งการปฏิบัติของตนตั้งแต่พื้นๆ จนถึงนิพพาน เรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก เป็นผู้จะตัดสินเอง รับทราบผลงานของตนเป็นลำดับลำดาจนกระทั่งถึงพระนิพพาน พระพุทธเจ้าประทานธรรมะข้อนี้ให้แล้ว

เพราะฉะนั้นที่ใครมาพูดป่าๆ เถื่อนๆ ว่า บรรดาพระอรหันต์ที่ตรัสรู้หรือบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์นั้นต้องพระพุทธเจ้าเป็นผู้รับรองเสียก่อนถึงจะเป็นได้ มันเอาป่าเอาเถื่อนจากไหนมาพูด ไม่ใช่ธรรมดานะ ยกยอกันเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณมาแสดงธรรม มาขายขี้เท่อให้เห็น นั่นละความลูบคลำ ตำรับตำราท่านก็มีอยู่แล้ว คัมภีร์ท่านมี อันนี้ไม่มีในความจริงว่า พระพุทธเจ้าต้องไปรับรองพระอรหันต์ทั้งหลาย พระอรหันต์บรรลุธรรมที่ไหน ถ้าพระพุทธเจ้ายังไม่รับรองเป็นอรหันต์ไม่ได้ไม่มี สนฺทิฏฺฐิโก พระพุทธเจ้าประทานไว้เรียบร้อยแล้ว จะพึงรู้เองเห็นเองในผลแห่งการปฏิบัติของตน ตั้งแต่พื้นจนถึงวิมุตติพระนิพพาน นั่นท่านสอนไว้เรียบร้อยแล้ว ใครบรรลุปึ๋งที่ไหนก็พอแล้วๆ

ยกตัวอย่างเช่น พระอัญญตระท่านจะเข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้า เรียกว่าธรรมขั้นสูงแหละ ธรรมขั้นอัตโนมัติ ท่านจะไปทูลถามปัญหา พอไปถึงใต้ถุนพระคันธกุฎีฝนตก เลยพักอยู่นั้น อยู่ใต้ถุน ฝนตกน้ำหยดย้อยลงมาจากชายคาตกมากระทบกับน้ำในพื้นตั้งเป็นต่อมเป็นฟองขึ้นมา ตั้งขึ้นแล้วดับไปๆ ท่านพิจารณาอยู่นั้นเทียบเข้ามากับสังขารความเกิดดับของจิต สังขารไม่ว่าดีว่าชั่ว เกิดแล้วดับๆ ฐานของมันคือจิต อันนี้ฐานของมันคือน้ำที่รับรองกันไว้ มันตกมากระทบกันตั้งขึ้นมาเป็นต่อมเป็นฟอง ท่านพิจารณานี้แล้วบรรลุธรรมปึ๋งเลย สนฺทิฏฺฐิโก แล้วนั่น บรรลุธรรม สนฺทิฏฺฐิโก หายสงสัย พอฝนหยุดเท่านั้นแทนที่จะขึ้นไปทูลถามพระพุทธเจ้ากลับเลย ไม่ไป นี่ละ สนฺทิฏฺฐิโก จำเป็นอะไรจะต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า มีในแบบในฉบับตำรับตำรา สนฺทิฏฺฐิโก ก็มีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าประกาศไว้แล้ว

นี่ละธรรมขอให้เป็นขึ้นในใจ เพียงเราคนเดียวเท่านั้น ไม่จำเป็นจะต้องไปหาถามใคร เอาใครมาเป็นสักขีพยานไม่มี จริงจังแน่นหนามั่นคงปึ๋งอยู่ในนั้นเสร็จ พร้อมสมบูรณ์แบบ ธรรมเป็นอย่างนั้น นี้คือภาคปฏิบัติ ผลเกิดขึ้นเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเองจากการปฏิบัติของตน การที่จดจำมา เรียนมาจากที่นั่นที่นี่มันไปลูบไปคลำเป็นธรรมดาไม่ว่าท่านว่าเรา อ่านตามตำรับตำรา แล้วเจ้าของก็ลูบคลำ อันนี้ปฏิบัติมันรู้จริงๆ เห็นจริงๆ

พอพูดอย่างนี้แล้วเราก็เคยพูดให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟังมาหลายครั้งแล้วละมัง สำนวนโวหารเทศน์ที่สอนพี่น้องทั้งหลายนี้ ตั้งแต่ต้นเราไม่ได้เทศน์อย่างนี้นะ เทศน์เหมือนพระทั้งหลายที่เทศน์ทั่วประเทศไทย เพราะเรียนมาอย่างเดียวกัน การเทศนาว่าการก็ไปแบบแถวแนวเดียวกันไปเรื่อยๆ ท่านว่ายังไงก็เอาตามตำราว่าไปๆ เจ้าของก็ไม่แน่ใจในธรรมที่สอนไป คัมภีร์ท่านว่ายังไงก็ว่าไปตามนั้น หากมีผู้มาทักท้วงว่าทำไมจึงเทศน์อย่างนั้นล่ะ ก็ตำราว่าอย่างนั้น ทิ้งใส่ตำราเสียเลย เป็นอย่างนั้นนะ

แต่ออกภาคปฏิบัติไม่เป็น ทีนี้สำนวนเราที่เคยเทศน์สอนประชาชนมาแต่ก่อนเหมือนพระทั้งหลายนี้เปลี่ยนหมด พอเข้าภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติรู้อย่างนี้ นี่เป็นของจริงแล้วนะ รู้อย่างนี้แล้วจะไปพูดพลิกแพลงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นะ ขัดๆๆ จะพูดแบบที่เคยพูดมามันก็ลูบคลำไปได้ เพราะมีทางออก ทำไมถึงว่ามีทางออก ครั้นพูดไปๆ งูๆ ปลาๆ แล้วทำไมถึงเทศน์อย่างนั้นล่ะ ก็ตำราท่านว่างั้น ออกช่องนั้น เข้าใจไหม ทีนี้เวลาปฏิบัติมันไม่เป็นอย่างนั้นนี่ มันเป็นจริงๆ นี่น่ะ พระพุทธเจ้าองค์เอก ตรัสรู้ธรรมด้วยพระทัยเองจากภาคปฏิบัติ สาวกทั้งหลายตรัสรู้ธรรมจากภาคปฏิบัติทั้งนั้น เป็น สนฺทิฏฺฐิโก ขึ้นมาๆ ทุกองค์

ที่เราเคยพูดเคยจาแบบลูบๆ คลำๆ ธรรมดา ไม่ได้จริงได้จังภายในหัวใจตนเอง ทีนี้พอมาปฏิบัติ รู้ขึ้นมาธรรมขึ้นมา ปฏิบัติธรรมต้องรู้ธรรมซิ รู้มากรู้น้อยรู้ขึ้นไปโดยลำดับลำดา รู้ตรงไหนเหมือนว่าตีตรา เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ๆ ทีนี้ธรรมนี้ว่ายังไง เราจะสอนแยกแยะไปอย่างอื่นไม่ได้นะ ต้องสอนอย่างนี้ๆ นี่ละที่นี่สำนวนของธรรมที่เทศนาว่าการ ดังสอนพี่น้องทั้งหลายอยู่ทุกวันนี้ นี่ไม่ใช่สำนวนเดิมตั้งแต่เราเรียนปริยัตินะ เรียนปริยัติก็สำนวนเหมือนบรรดาพระเจ้าพระสงฆ์ท่านสอนทั้งหลาย

ทีนี้พอมาปฏิบัติเป็นสำนวนของธรรมออกจากใจล้วนๆ เป็นขึ้นมาอย่างไรรู้ขึ้นมาอย่างไร เราจะพูดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ธรรมนี้บังคับไว้เลย ต้องพูดอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นต้องพูดอย่างนั้น สำนวนนี้เลยกลายเป็นขวานผ่าซาก เข้าใจไหม คือพูดอย่างตรงไปตรงมา ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูกไปเรื่อยๆ เลยกลายเป็นขวานผ่าซาก หรือพูดกระแทกแดกดัน ความจริงไม่ได้กระแทกแดกดัน ไปตามสายทางของธรรม ท่านไม่ปลีกไม่แวะไปไหนเลย นี่ละสำนวนโวหารทุกวันนี้จึงเป็นอย่างนั้น ท่านทั้งหลายทราบนะ เราไม่ได้ตั้งใจจะเป็น ความจริงพาให้เป็น ความจริงเป็นอย่างนี้จะพูดอย่างอื่นไปไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนี้ๆ เรื่อยไปเลย นี่ละพูดให้มันชัดๆ

พอพูดอย่างนี้แล้วก็นึกถึงนิพพานที่ซัดกันไม่ว่าเขาว่าเรา ลูบคลำกันไป บางคนก็ว่านิพพานเป็นอัตตา บางคนก็ว่านิพพานเป็นอนัตตา ซัดกันเถียงกันโวกเวกๆ ตลอด บทสุดท้ายเราก็ขึ้นอยู่ที่เขื่อนภูมิพล เขามาถามปัญหาละซิ ถามเรื่องนิพพาน นั่นเห็นไหมตอบไว้นั่น นิพพานคือนิพพาน เป็นอื่นไปไม่ได้ เอาแล้วนะออกจากความจริง ใครจะว่าผิดว่าถูกอะไรก็ตาม บอกว่านิพพานคือนิพพาน เป็นอื่นไปไม่ได้ ตรงแน่วเลย เป็นอื่นไปไม่ได้คือลี้ไปไหนไม่ได้ บังคับเอา นิพพานคือนิพพาน อัตตา อนัตตา เป็นทางเดินเพื่อพระนิพพาน ไม่ใช่พระนิพพาน เมื่อผู้ดำเนินเดินตามทางของอัตตาและอนัตตาซึ่งเป็นทางเดินสิ้นสุดลงแล้ว ก็เป็นอีกฝั่งหนึ่งขึ้นมา เป็นความหลุดพ้น นั้นคือพระนิพพาน

เราก็บอก บันไดกับบ้านจะให้เป็นอันเดียวกันได้ยังไง มันติดกันอยู่เราจะเรียกว่าบ้านได้ยังไง บันไดต้องเป็นบันได บ้านต้องเป็นบ้าน ติดกันอยู่ก็ไม่ใช่อันเดียวกัน ใช่ไหมล่ะ นี่เห็นไหมบันไดนั่น นั่นกุฏิ นั้นศาลา ธรรมอันนี้ อัตตา อนัตตา นี้เป็นทางเดินๆ พอขึ้นไปแล้วนั้นคือนิพพาน นั้นคือบ้าน นี้คือบันได เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ จึงว่านิพพานคือนิพพานเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ บังคับเลย นี่ละสำนวนของธรรม มันรู้อย่างนั้นเห็นอย่างนั้นจริงๆ ปลีกแวะไปไหนไม่ได้ ต้องพูดตามความจริงอย่างนั้น และด้วยความแน่ใจจากหัวใจตัวเอง ตั้งแต่ใครยังไม่ถามมันก็แน่ของมันอยู่นั้นแล้ว พอมาถามมันก็ออกแบบนั้นเลย

นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ ใครปฏิบัติที่ไหนไปเถอะ ใจนี้ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ใจเป็นนักรู้ตลอด เป็น อกาลิโก เราบำเพ็ญธรรม ทางดีเป็นดีตลอดเวลาประจำใจ คนทำชั่วก็ชั่วตลอดเวลาประจำใจเหมือนกัน ทั้งกิเลสทั้งธรรมท่านเรียกว่า อกาลิโก เหมือนกัน ให้แยกแยะไปปฏิบัติต่อตัวเองนะ อย่านอนเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์

วันนี้ได้พูดถึงเรื่องธรรม ธรรมลูบคลำมี ธรรมของจริงมี ธรรมลูบคลำเราก็เรียนมาแล้ว ลูบไปคลำไปๆ ดังที่เคยพูดเรื่องนิพพาน บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน เปรตผีประเภทต่างๆ ส่วนใหญ่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มี แต่ส่วนย่อยมันไปแบ่งกิน บาปมีหรือไม่มีน้า ส่วนย่อยมันไปแบ่งเอา ส่วนใหญ่เราเชื่อแล้ว บุญมีหรือไม่มีน้า ตลอดนรก สวรรค์ มีหรือไม่มีน้า ส่วนใหญ่เชื่อแล้วนรก สวรรค์มี แต่ส่วนย่อยมันก็ไปแบ่งกินอยู่นั้น มีหรือไม่มีน้า ฟาดจนกระทั่งถึงนิพพาน นิพพานมีหรือไม่มีน้า นั่นเห็นไหม เรามุ่งแล้วจะให้บรรลุถึงมรรคผลนิพพาน นี่หลักใหญ่เชื่อแล้ว แต่ส่วนย่อยนี้มันมาแบ่งกิน มีหรือไม่มีน้า ก็เลยทำให้สงสัย เอ้า ใครจะตัดสินธรรมนี้

ก็เห็นแต่พ่อแม่ครูจารย์มั่น นั่นเห็นไหมล่ะ มาก็บึ่งใส่ท่าน ท่านก็ใส่เปรี้ยงๆ เลย จากนั้นนิพพานมีหรือไม่มีน้า ถูกตีปากหงายไปแล้ว ทีนี้เอาเลย พุ่ง นั่น เวลาปฏิบัติไปๆ นิพพานมีหรือไม่มีน้าค่อยหมดปัญหาไป สุดท้ายนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ มีหรือไม่มีก็ตามอยู่ชั่วเอื้อมตลอดเลย พุ่งเลย นั่น นี่ละส่วนใหญ่ไปหมดแล้ว ส่วนย่อยที่ว่ามีหรือไม่มีน้ามันไปแย่ง พอปฏิบัติขั้นมรรคขั้นผลเต็มในหัวใจโดยลำดับลำดาแล้ว ที่ไปแบ่งส่วนเอานั้นไม่มีนะ หมดๆ พุ่งเลย นั่น นี่ละกิเลส ส่วนใหญ่เราเชื่อ ส่วนย่อยมันแอบกิน กินเศษกินเลยไม่ได้มาก เอาแค่นั้นก็เอา นิพพานมีหรือไม่มีน้า

หมอนมีหรือไม่มีน้า เสื่อมีหรือไม่มีน้า ไม่มีใครถามกันอันนี้ ถ้าเรื่องมรรคผลนิพพานถามกันวันยังค่ำ พากันจำเอานะ เสื่อหมอนมีหรือไม่มีไม่ถาม เพราะใครก็มัดติดคอมาด้วยกันทุกคน เป็นแต่เพียงว่าเวลามานี้มันปลดออกเฉยๆ กลับไปนี้หมอนกับคอมันติดกัน มันมัดติดคอพวกเสื่อพวกหมอนน่ะ เอาเท่านั้นละ

(วัดป่ามหาชัย ต.บ้านเกาะ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ถวายเวลาเพื่อเชื่อมต่อสัญญาณถ่ายทอดสดวาระสำคัญต่างๆ บางเวลาจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน) ก็เท่านั้นละไม่มีอะไร เริ่มออกแล้วเวลานี้ วิทยุนี้ออกอย่างรวดเร็วทั่วประเทศไทย ออกทุกภาค เวลานี้ภาคใต้ก็มีสี่ห้าแห่งแล้วกำลังเริ่มออก ภาคใต้เป็นภาคใหญ่กว้างขวางยืดยาว มีที่ไหนบ้างว่าซิ (มีสะเดา พัทลุง นราธิวาส พังงา) แล้วประจวบฯ ต่อเขตกัน กำลังเริ่มเวลานี้ ถ้ามีนิสัยวาสนาอยู่บ้างแล้วยังไงธรรมะเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ไม่น้อยนะ เราพูดด้วยความยืนยันจากหัวใจของเรา ที่เป็นตัวยืนยันในตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ออกอย่างไม่สะทกสะท้านอะไรทั้งนั้น เรื่องธรรมแล้วแน่นอนๆ เพราะฉะนั้นเราจึงแน่ใจว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่จะฟังด้วยความตั้งอกตั้งใจ ก็มีเท่านั้นละ


รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก