เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
ความสำคัญของใจ
ก่อนจังหัน
เรื่องความเพียรภายในใจนี้ เรารู้สึกว่าจิตใจมันติดแน่นมาก อันนี้เป็นหลักใหญ่ของโลกที่จะอยู่ร่วมกันเป็นสุข เฉพาะนักปฏิบัติเราคือพระ ให้เน้นหนักทางด้านจิตต ภาวนาให้มาก อย่างในครัวนี้เราเคยไปขู่แล้วนะ เดินไปขู่ แล้วยังไปด้อมดูอีกด้วย เหมือนกันกับภายในวัด ในวัดนี่ก็เหมือนกันกลางคืนไปดึกๆ เงียบๆ ไปดูความเพียรพระ ไปโดนพระเดินจงกรมมืดๆ เราก็ด้อมเข้าไปหาเหมือนขโมย ไปโดนเอาพระเดินจงกรมอยู่มืดๆ เราด้อมหาดูพระเดินจงกรม เป็นอย่างนั้นละ
เมื่อวานนี้ก็เหมือนกันค่ำๆ คือเราขู่แล้วทางโน้น เหล่านี้มันโล่งโถงหมด กลางวี่กลางวันคนเพ่นพ่านไปมา เดินจงกรมไม่ได้ แต่เวลาค่ำๆ หรือกลางคืนเป็นที่โล่งสะดวกสบายสำหรับการเดินจงกรม เราชี้บอกอย่างนั้นๆ เมื่อวานเราก็ด้อมไปเงียบๆ คือบอก เช่นหลังสระ ทางเดินออกมา ค่ำแล้วว่างทั้งนั้น และแถวๆ นั้นว่างทั้งนั้น เมื่อวานค่ำๆ เราก็ด้อมๆ ไป อยู่ในรั้วนี่แหละ เห็นมีผู้เดินจงกรมอยู่ข้างๆ สระ ตาก็ดีนะล่ะ เราด้อมๆ ไปดู พอเห็นเราก็กราบมับๆ เอ้อ เข้าท่าดี
อย่างนั้นละทุกวันนี้เลยกลายเป็นผู้ร้ายเป็นขโมยไปนะเรา เกี่ยวกับพระกับเณรกับผู้ปฏิบัติธรรม มาเลอะๆ เทอะๆ มากินมานอนอยู่เราดูไม่ได้นะ เราอยู่นี้เราทนเอานะกับบรรดาพระเจ้าพระสงฆ์บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย เราทนเอา ถึงอย่างนั้นมันก็มี ไอ้ลวดลายนั้นมันยังมีจนได้ เที่ยวสอดเที่ยวแทรกดู มันเป็น ไปกลางคืนเงียบๆ ไปโดนพระเดินจงกรมมืดๆ อยู่ทางจงกรม อย่างนั้นละโดน เพราะเจตนาหวังให้อรรถให้ธรรมเข้าสู่ใจ จะจ้าไปหมดนะ เอาอันนี้ออกเลยไม่ใช่ธรรมดา
เราตะเกียกตะกายแทบล้มแทบตายจนไม่อาลัยเสียดายชีวิต เอ้า เป็นก็เป็น ตายก็ตาย เพราะธรรม เมื่ออุตส่าห์พยายามขวนขวายได้เรื่อยมาๆ จนกระทั่งเต็มเม็ดเต็มหน่วยในหัวใจแล้วมันก็จ้าขึ้น อันนี้มันด้อยเมื่อไร ไม่มี มีแต่สว่างกระจ่างแจ้งตลอดเวลา นี้เอามูตรเอาคูถไปครอบหัวความพากเพียรหัวธรรมใช้ไม่ได้นะ เอามูตรเอาคูถ คือความขี้เกียจขี้คร้านไปครอบมันดูไมได้นะ เหล่านี้ไม่ใช่ของดิบของดี ความขี้เกียจขี้คร้าน มันทำคนให้เสียมากต่อมาก คนมีความทุกข์ความจนก็เพราะความขี้เกียจขี้คร้าน คนมั่งมีศรีสุขเพราะความขยันหมั่นเพียร แน่ะ เครื่องวัดเครื่องบอกก็มีอยู่แล้ว
นี่ได้พยายามที่สุดแล้วกับพระกับเณรกับผู้ที่มาเกี่ยวข้อง อยู่ในฐานะใดที่จะเกี่ยวข้องได้แค่ไหนก็ไปแค่นั้นๆ อยู่อย่างนั้น เราสงสารนะ จิตใจนี้ถูกขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ตัวนี้ตัวสำคัญมันครอบ แล้วชอบมันด้วย เหล่านี้ชอบที่สุด ขี้เกียจขี้คร้านนี่ชอบมาก ความขยันหมั่นเพียรไม่ค่อยชอบ แม้แต่มาอยู่ในวัดแล้วยังเลอะๆ เทอะๆ อยู่อย่างนั้น ให้พากันตั้งอกตั้งใจทางภายในความพากความเพียรทุกอย่าง อย่ามานอนอยู่เฉยๆ พวกในครัวนะ ไปจนกระทั่งชี้บอกให้เดินจงกรมให้ภาวนาๆ เพราะไปมาๆ ดูตลอดๆ ไม่ใช่ไปธรรมดา มันเป็นยังไงสถานที่ประกอบความเพียร มาแล้วมาเลอะๆ เทอะๆ มาเป็นหัวตอ มาเป็นขอนซุงอยู่ในวัดใช้ไม่ได้นะ ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ
ไม่มีอะไรเลิศกว่าธรรม เรายกหัวใจเราขึ้นเลย ใครจะว่าโอ้ว่าอวดก็ตามเราไม่สนใจยิ่งกว่าความเมตตา อยากจะให้ธรรมเข้าสู่ใจสักหน่อย เพราะความพากเพียรเป็นเครื่องหนุนให้ธรรมเข้าสู่ใจ เพราะฉะนั้นว่าดุว่าด่าก็ตาม ไม่ใช่ดุ ดันขึ้น ให้พากันพยายาม แล้วพื้นฐานแห่งความเพียรที่จะละกิเลสโดยประการทั้งปวง ไม่พ้นสตินะ อย่าลืมสติ สติเป็นพื้นฐานสำคัญมากทีเดียว เราข้ามไม่ได้เรื่องสติ สติเป็นสำคัญ อยู่ที่ไหนถ้ามีสติแล้วเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ค่อยเกิด กิเลสก็ไม่เกิดถ้าสติจับปั๊บๆ ไว้แล้ว
ที่มันเกิดง่ายๆ คือสังขารนั่นแหละ พอเผลอปั๊บออกแล้วๆ คืออวิชชาดันมันอยู่ตลอดเวลา ถ้าสติตีไว้ๆ มันก็ไม่เกิดๆ จิตเมื่อได้รับการบำรุงรักษาอยู่เสมอก็สงบลงๆ สิ่งที่เป็นข้าศึกก็อ่อนตัวลงๆ ทางนี้ก็สว่างไสวขึ้นมา มีคุณค่าขึ้นมา พอมีคุณค่าขึ้นมาแล้วจะเป็นเครื่องดึงดูดความพากเพียรทุกอย่าง เมื่อเวลาธรรมเข้าสู่ใจมากๆ แล้ว คิดดูซิว่านอนไม่ได้ นั่นเห็นไหมอำนาจของความเพียร อำนาจแห่งธรรม เมื่อเข้าสู่ใจแล้วเป็นอัตโนมัติไปเลย มีแต่หมุนติ้วๆ ที่จะพ้นๆ โดยถ่ายเดียวเท่านั้น นี่ละเมื่อธรรมมีกำลังแล้วก็เหยียบหัวกิเลส
ตั้งแต่ก่อนกิเลสเหยียบหัวธรรมเป็นอัตโนมัติของมัน กิเลสเป็นอัตโนมัติบนหัวใจสัตว์ ทีนี้เวลาเรามาบำเพ็ญเพียร ธรรมเข้าสู่หัวใจ ธรรมเป็นอัตโนมัติที่จะแก้กิเลส ชำระกิเลสเป็นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสตลอด แล้วคู่กันเสมอกันนะ กิเลสเป็นอัตโนมัติครอบหัวใจของสัตว์โลกทั่วๆ ไป นั่นเรียกว่ากิเลส ธรรมเมื่อบำเพ็ญมีความสามารถแก่กล้าแล้วก็เป็นอัตโนมัติ หมุนติ้วเลย กิเลสอยู่ที่ไหนเป็นอยู่ไม่ได้ ขาดสะบั้นๆ นี่อำนาจของธรรม ขอให้พากันบำเพ็ญ ศาสดาองค์เอกสอนธรรมมีแต่ธรรมอันเอกๆ ไอ้เราความขี้เกียจอันเอกมันใช้ไม่ได้นะ เอาละเท่านี้วันนี้
หลังจังหัน
เรานี่สุดทุกอย่างแล้วนะ เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เรียกว่าสุดกำลังของเราทุกอย่างเพื่อทั้งสามพระองค์นี้ละ ให้ได้อยู่ร่มเย็นเป็นสุขครองชาติไทยของเราต่อไป เราที่มีชีวิตอยู่ในฐานะที่พอเป็นผู้นำก็นำเรื่อยมาอย่างนี้ ตั้งแต่ ๒๕๔๑ นะ เรื่อยมาจนกระทั่งป่านนี้ พยายามขนสมบัติทั้งหลายเข้าสู่คลังหลวงแล้วกระจายออกทั่วประเทศ ไทย ให้ได้รับความสะดวกสบาย แก้ไขความขาดแคลนทั่วหน้ากัน สมบัติทั้งหลายที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคทั่วประเทศไทยนี้ จึงมีอยู่ทั่วประเทศไทยเหมือนกัน มีอยู่หมดทุกภาคนะ ปัจจัยที่ถวายมานี้ที่ออกเป็นตึกรามบ้านช่อง เป็นโรงร่ำโรงเรียน จนพรรณนาไม่จบ ออกทั่วหมด
เพราะสมบัติที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคนี้ เราอยากจะพูดเลยว่า แล้วพูดนี้จะไม่ผิดเสียด้วย ที่เรานำพี่น้องทั้งหลายนี้เรานำด้วยความเมตตาครอบไว้หมด เพราะฉะนั้นสิ่งที่มัวหมองที่จะค่อยซึมซาบหรือไหลซึมออกไป จากสมบัติที่ได้รับบริจาคจากพี่น้องทั้งหลายนี้จึงไม่มี บริสุทธิ์ขนาดนั้นละ บริสุทธิ์จริงๆ ไม่ว่าทองคำ เงินสด ดอลลาร์ แบบเดียวกันหมด เพราะเราเป็นผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียว เต็มไปด้วยความเมตตาของจิตด้วย จึงกล้าพูดได้เลยว่าเราไม่มีเกี่ยวกับเรื่องความมัวหมองในสมบัติเหล่านี้ ไม่มีเลย มีเท่าไรๆ ไหลออกๆ
ส่วนที่ว่าเขาถวายส่วนตัวนี้ไม่ต้องนับ ก็เราไม่เคยคิดว่าเป็นส่วนตัว มาเท่าไรก็เอาๆ เรื่อย ไหลออกด้วยกันไปหมดเลย ช่วยๆ อย่างนั้นละ เราพยายามทำเต็มกำลังของเรา นี่เราก็บอกชัดเจนแล้วว่าสำหรับเราเอง พี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทยเลี้ยงดูตลอด เหลือเฟือ จะกินให้ตาย-ตาย ให้ตายวันไหนตายวันนั้น เพราะสิ่งเหล่านี้มีมากต่อมากทุกวัน กินให้ตายเดี๋ยวนั้นก็ได้ถ้าไม่รู้จักประมาณ ทีนี้ผู้อดอยากขาดแคลนทั่วประเทศไทยเราเป็นยังไง นี่ละที่มันจะออก-ออกอย่างนี้ อันไหนที่พอเป็นไปแล้วก็ เอา เป็นไป อะไรที่ขาดแคลน เอา ช่วยหนุนกันไป ที่ลุ่มที่ดอนมี ช่วยกันไปอย่างนั้น
เราแสดงออกทุกอย่างกับบรรดาพี่น้องชาวไทยเรา เราจึงไม่เคยสะทกสะท้านว่าจะเป็นพิษเป็นภัยต่อพี่น้องทั้งหลาย ถึงจะดุด่าว่ากล่าวเผ็ดร้อนขนาดไหนก็ตาม เป็นเรื่องของธรรมล้วนๆ ออก เพื่อความชุ่มเย็นแก่โลก เราที่จะให้เป็นพิษเป็นภัยต่อโลกเราบอกตรงๆ กิริยาของเราที่แสดงออกเหล่านี้ บอกว่าไม่มี ไม่มีเลย เพราะหัวใจหมดแล้วเรื่องพิษภัยไม่มีเหลือ มีแต่คุณล้วนๆ กิริยาที่แสดงออกมา ไม่ว่าจะนิ่มนวลอ่อนหวานไพเราะเพราะพริ้งหรือดุเดือดขนาดไหน เป็นเรื่องของธรรมออกมาตามสมควรแก่เหตุแก่ผลที่จะหนักเบามากน้อยเท่านั้น อย่างอื่นที่จะให้เป็นพิษเป็นภัยไม่มี เราจึงกล้าพูดได้ทุกอย่าง ใครผิดก็บอกว่าผิดได้เลย ใครถูกก็บอกว่าถูก ควรชมเชย-ชมเชย ควรตำหนิ-ตำหนิ ธรรมเป็นอย่างนั้น
เขาก็ออกหนังสือพิมพ์สยามรัฐไม่ใช่เหรอ นิคฺคณฺเห นิคฺคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ คือสิ่งที่ควรชมเชย-ชมเชย สิ่งที่ควรตำหนิ-ตำหนิ บอกไว้ในสยามรัฐ คือมีทั้งตำหนิมีทั้งชม หลักพุทธศาสนาหลักธรรมแท้เป็นอย่างนั้น ควรชม-ชม ควรตำหนิตำหนิ เราที่แสดงออกกับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ที่ออกจากตัวของเรานี้เรียกว่าไม่มีพิษภัยเลย พูดให้ชัดเจนอย่างนี้กับบรรดาพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทย สัตว์ทั้งหลายทั่วโลกดินแดน เราไม่มีที่จะเป็นพิษเป็นภัยต่อผู้ใด มีแต่เรื่องเป็นธรรมล้วนๆ เท่านั้น
ที่เราช่วยบรรดาพี่น้องทั้งหลายคราวนี้เรียกว่าเต็มเม็ดเต็มหน่วย เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจและมีเมตตาครอบไว้ๆ เสมอๆ เราทำด้วยความจริงใจของเราจริงๆ ไม่ว่าส่วนใดๆ มากน้อย จะจ่ายไปส่วนใดมากน้อยนี้ มีเหตุมีผลๆ ควรจะช่วยเหลือมากน้อยเพียงไร เราจะเอาเหตุผลจับๆ เราไม่ได้ทำแบบชุ่ยๆ ทำทุกอย่าง การปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติมาอย่างนั้น พินิจพิจารณาใคร่ครวญด้วยเหตุด้วยผลเรียบร้อยๆ ก้าวเดินๆ ทีนี้เวลากิริยาที่ออกช่วยโลกก็แบบเดียวกัน ควรจะหนักจะเบาให้มากให้น้อย มีเหตุผลเป็นเครื่องประกันเสมอ ให้มากก็ตามน้อยก็ตาม บริสุทธิ์ทั้งนั้น บริสุทธิ์ด้วยเหตุผลของเราที่พิจารณาเรียบร้อยแล้ว
ธรรมเท่านั้นที่จะทำให้โลกตายใจได้ ตั้งแต่ส่วนรวมเข้ามาหาครอบครัว หาตัวของเรา ถ้าเรามีความตายใจด้วยความดีของตัวเองแล้ว ในครอบครัวต่างคนต่างดีอย่างนั้นแล้วไม่ทะเลาะกัน ความเดือดร้อนก็ไม่มี ความเดือดร้อนนี่คือความทุกข์ เป็นฟืนเป็นไฟเผาได้ทุกแห่ง อันนี้ออกมาจากกิเลส กินไม่พอ ได้ไม่พอ อะไรไม่พอๆ มีแต่เรื่องกิเลส แล้วก็เหมือนกับไปกว้านเอาเชื้อไฟเข้ามาเผาตัวเอง แล้วก็เผาโลกด้วย เรื่องธรรมมีแต่ความชุ่มเย็นเป็นสุข
สภาของธรรมในโลกเรานี้มีที่ไหน สภาธรรมอบรมกันให้มีศีลมีธรรม เพื่อความสงบร่มเย็นต่อกัน ในฐานะที่เราเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่เห็นมี แต่เรื่องกิเลสตัณหานี้มีทุกหย่อมหญ้า มีทุกหัวใจคน แสดงออกมาทุกแห่งทุกหน เพราะฉะนั้นความเดือดร้อนของโลกจึงมีทั่วไป เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นจากกิเลสที่เป็นข้าศึกของตัวเองนั้นแหละ ที่ว่าเป็นข้าศึกของธรรม ธรรมอยู่ในใจของเรา เป็นข้าศึกของเราเอง สภาไหนที่เขาตั้งไว้เป็นสภา ที่ว่าตั้งกระทรวงนั้นกระทรวงนี้ กระทรวงยุติธรรมยุติแทม มันมีแต่ชื่อกระทรวงยุติธรรม ผู้ที่ไปปฏิบัติหน้าที่ในกระทรวงยุติธรรม มันก็เป็นเปรตเป็นผีได้ด้วยกันอยู่นั้น เพราะกิเลสเข้าไปอยู่ที่นั่น ต้องเอียงหน้าเอียงหลัง เอียงซ้ายเอียงขวา เห็นแก่เขาแก่เราไปอยู่ในนั้นละ ตั้งชื่อไว้ประกาศเอาไว้ว่ากระทรวงยุติธรรม คือไม่ลำเอียง ตั้งไว้อย่างนั้นแหละ แต่ที่อยู่ข้างในมันเป็นยักษ์เป็นผีเต็มอยู่นั้น มีน้อยเมื่อไรในกระทรวงยุติธรรมนั้น มีแต่ชื่อไว้โก้ๆ อย่างนั้น
อย่างหลวงตาบัวก็เขียนไว้โก้ๆ เห็นไหมหน้าวัดสามแผ่นนั่น บอกว่า ที่นี่เป็นวัดเป็นสถานที่บำเพ็ญภาวนาเพื่อความสงบใจ ไม่มีกิจธุระจำเป็นไม่ควรมาเที่ยวเพ่นพ่าน ก็เขียนไว้โก้ๆ เขาก็มาเพ่นพ่านของเขาอยู่อย่างนั้นจะว่าไง เขียนก็เขียนไว้โก้ๆ ไอ้พวกที่มาเพ่นพ่านมันก็เพ่นพ่านอยู่ในวัดนี้ เหมือนกระทรวงยุติธรรม เข้าใจไหม กระทรวงยุติธรรมก็เขียนไว้โก้ๆ พวกที่เพ่นพ่านอยู่ในกระทรวงยุติธรรมก็มีอย่างนั้น เข้ากันได้ไหมพิจารณาซิที่พูดนี้
นั่นเห็นไหมเขียนไว้โก้ๆ หลวงตาบัวสั่งให้เขียน เป็นเนื้อความของหลวงตาบัวด้วยสั่ง บอกว่าที่นี่เป็นวัดเป็นสถานที่บำเพ็ญภาวนา ไม่มีกิจจำเป็นไม่ควรมาเที่ยวเพ่นพ่าน ปิดประกาศไว้ ใครมาเขาอ่านหรือเปล่าก็ไม่รู้ละ เขาทะลึ่งเข้ามานี้ เข้าไปข้างใน ตัวการใหญ่ขับ ถ้าเราออกมาเจอแล้วเอาละ เพ่นพ่านๆ เข้ามาได้ถามมาอะไร เอาละนะ ถ้าเจอกับเราแล้วแม่นยำทุกอย่างไม่พลาดแหละ ไม่ว่าใครก็ตามถ้ามาผิดเวล่ำเวลา นี่มาธุระอะไร ไล่เบี้ยเข้าไป มีเหตุมีผลยังไง ถ้ามีเหตุมีผลก็ปล่อยตัวไปๆ ถ้าไม่มีเหตุมีผล เข้ากันได้แล้วกับสามแผ่นนั้น ไล่ทันทีเลย ไม่ได้อ่านเหรอหนังสือสามแผ่นนั้น บางทีก็มีเหมือนกัน เขาไม่สนใจก็เขาไม่ได้อ่าน เป็นอย่างนั้นละ
ชื่อมันตั้งได้ ไอ้ตัวจริงมีได้ยากนะ เพราะฉะนั้นพวกเราอย่าให้มีแต่ชื่อ ชื่อวัดป่าบ้านตาด ที่นี่เป็นวัด ฟังซิน่ะ เป็นสถานที่บำเพ็ญภาวนา ไอ้พวกนี้มันภาวนาหรือไม่ภาวนาเราก็ไม่รู้นะ ไม่ควรมาเที่ยวเพ่นพ่าน มันก็เพ่นพ่านทั้งวัน ทางนั้นทางนี้แบบเดียวกันเราก็ไม่รู้ แต่เขียนโก้ๆ ไว้อย่างนั้น เห็นไหมล่ะ ไปดูซิน่ะ พูดแล้วมันขบขันนะ ที่ไหนก็มีแต่แบบโก้ๆ ไอ้ที่มันแอบกินอยู่ข้างในมันไม่โก้ มันเอาจริงเอาจัง ว่าอย่ามาเที่ยวเพ่นพ่านมันก็เพ่นพ่าน
เข้าไปหาจิตตภาวนาซิ เดินจงกรมก็เดิน ไอ้จิตนี่มันเที่ยวเพ่นพ่านออกไปหาเรื่องกิเลสเอาไฟมาเผาเจ้าของ มันก็ไปของมันอยู่งั้นแหละ เพ่นพ่านๆ ทางนี้มาเที่ยวเพ่นพ่าน ทางนู้นเขียนไว้ ทางนี้มันไม่ได้ดูมันก็เพ่นพ่านๆ อยู่ในหัวใจคน มีไหมพวกนี้น่ะเดินจงกรมเก่งๆ
เออ พอพูดอย่างนี้มันไปสัมผัส เราก็เลยพูดเสียบ้าง ธรรมดาเราเป็นอย่างนั้นปกครองวัด แต่ก่อนเข้มแข็งยิ่งกว่านี้นะ ทุกวันนี้เรียกว่าปล่อยวางมาก แต่มันก็มีลวดลาย คือความห่วงใยมีอยู่ในนั้น มันก็เป็นไปได้แหละ เมื่อวานค่ำๆ เพราะเราได้ดุแล้วข้างในนั่น สถานที่นี่เป็นที่โล่งแจ้งสะดวกสบาย ตอนเย็นๆ ไม่มีใครผ่านไปผ่านมาแล้วเป็นทางจงกรมได้หมด เราว่างั้น ชี้บอกด้วย เดินจงกรมได้หมดตามนี้ เพราะกลางวี่กลางวันคนผ่านไปผ่านมา ก็ให้เป็นสถานที่ของคนผ่านไปผ่านมาเสีย แต่เวลาคนหมดไปแล้วตอนเย็นๆ นั่นแหละมันว่างแล้ว เหล่านี้เป็นทางจงกรมได้ทั้งนั้น จากนั้นก็ชี้บอก ตรงนั้นๆ จนกระทั่งถึงคูสระ ข้างคูสระ บอกไปหมด ทางเหล่านี้เป็นทางจงกรมได้ทั้งนั้นเวลาสงัด นี่เราสอนไว้แล้ว ดุด้วยนะ เหล่านี้เป็นสถานที่จงกรมได้ทั้งนั้นถ้าจะทำ ถ้าไม่ขี้เกียจเสีย ว่างั้น พอว่าแล้วก็มา
เมื่อวานนี้ไปดูอาหารกระแต เริ่มแรกนะ ไปดูอาหารกระจ้อน กระแต ค่ำแล้วนะ ค่ำขนาดนี้มันยังมากินอยู่เหรอ เราว่างั้น ไปดู ไม่มีพวกกระจ้อน กระแต มีแต่หนูเต็มอยู่นั้น จากนั้นเราก็ระลึกได้ว่า เราขู่พวกนี้ให้เดินจงกรมแถวนั้น มันมาเดินหรือเปล่า เลยด้อมๆ ไปดู ค่ำๆ นะ ด้อมๆ ไปเงียบๆ อยู่ในรั้ววัดนี่ละ มองออกไปข้างนอกเฉยๆ ดูไปริมสระ เห็นคนหนึ่งเดินจงกรมอยู่ เขาก็เห็นเรานะ เราไปก็แบบขโมย ด้อมๆ ไปดู เขาก็มองเห็น ตาดีอยู่ ก้มลงกราบวับๆ แล้วก็เดินจงกรมต่อ เอ้อ เข้าท่าดี นึกในใจนะ จากนั้นเราก็กลับมา
พูดถึงเรื่องทำความเพียรๆ นี้ คุณค่าของธรรมนี้ แหม เหนือโลกเหนือสงสาร มีในตำราก็เหมือนตำราทั่วๆ ไป ไม่เด่น ถ้าลงธรรมได้เข้าสู่จิตใจนี้มันไม่ได้เหมือนกันนะ เราอ่านตำราของอรรถของธรรมนั่นแหละ อ่านไปเรื่อยถึงนิพพาน จิตใจมันก็จืดก็ชืดของมันไปอย่างนั้นแหละ พอธรรมนี้ได้เข้าสู่ใจตามที่ท่านชี้บอกไว้ในตำรา ให้ดำเนินอย่างนั้นๆ พอธรรมเหล่านี้เข้าสู่ใจทีนี้จะมีฤทธิ์มีเดชขึ้นมา จิตใจจะแปลกประหลาด ดีไม่ดีแสดงความอัศจรรย์ขึ้นมา ตั้งแต่ก่อนเราไม่เคยมีใจเป็นอย่างนี้
ทีนี้พอบำเพ็ญภาวนา ระงับดับฟืนดับไฟคือกิเลสออก ระงับลงๆ ด้วยธรรม สติธรรม ปัญญาธรรม เป็นสำคัญ ประจำความพากเพียรของเรา พอพิจารณานี้หนักเข้าๆ จิตใจสติเป็นผู้คุ้มครองรักษา กิเลสก็ไม่เพ่นพ่าน จิตใจค่อยสงบเย็นๆ นี่พื้นฐานแห่งความสงบเบื้องต้นเป็นอย่างนี้ ทีนี้ทำไม่ถอย พยายามไม่ถอยๆ จนเป็นความสง่างามสงบร่มเย็น จิตใจนี้เด่นขึ้นๆ โลกทั้งโลกนี้จะมารวมอยู่ที่จิตใจนะ ความเด่นดวง ความแปลกประหลาด ความอัศจรรย์ จะมารวมอยู่จิตใจแห่งเดียว
กว้างแสนกว้างก็กว้างเถอะน่ะโลก อิฐปูนหินทราย ดินฟ้าอากาศ มีความหมายอะไร มันมีความหมายอยู่ที่จิตตัวนักรู้นี่แหละ พอธรรมกับจิตเข้ารับกันแล้ว ที่นี่สง่าขึ้นมาๆ ฟาดเสียจนกระทั่งคว่ำหมดโลกธาตุ สุญฺญโต โลกํ ว่างไปหมด จิตใจนี้ว่างครอบหมดเลยไม่มีอะไรเหลือ มีแต่ความอัศจรรย์เต็มดวง นี่ละจิตใจที่ได้รับการบำรุงรักษา แล้วอะไรจะเลิศยิ่งกว่าใจที่นี่ ไม่มี เราจะเล็งไปที่ไหนทั่วแดนโลกธาตุไม่มีๆ แต่จิตดวงนี้เด่นครอบโลกธาตุ นี่ละพระพุทธเจ้าเลิศโลกเลิศอย่างนี้ เลิศที่พระทัยที่บริสุทธิ์เป็นธรรมล้วนๆ จึงได้มาสอนโลกให้เห็นความสำคัญของใจ
พวกเราทั้งหลายก็ได้มาบำเพ็ญภาวนา ให้พากันเห็นความสำคัญของใจซิ อยู่เฉยๆ เหมือนขอนซุงเหมือนตอไม้ไม่ว่าทางด้านพระทางด้านฆราวาสอยู่ทางครัว อย่าเป็นขอนซุงนอนเหมือนคนตายแล้ว ถ้าจะไป กุสลา นี้ ถ้ามีหางก็ดูหางยังดิ๊กๆ อยู่ ถ้าดูไปข้างหน้าหูก็ยังแกว่งอยู่ โอ๋ มันยังไม่ตาย เลยทำให้แร้งรำคาญ เข้าใจไหม อีแร้งรำคาญ จะกินก็ไม่ได้กิน จะกุสลาก็กุสลาไม่ได้แล้วจะทำยังไง ทำให้รำคาญนะ อย่าให้รำคาญนักนะข้างในก็ดี ผู้ที่คอยกุสลามันรำคาญ มันไม่เป็นหน้าเป็นหลังอะไร แล้วว่ามาภาวนา มันมีแต่สิ่งเหล่านี้เกลื่อนอยู่ ภาวนาในจิตที่จะให้สง่างามออกมาไม่ค่อยมีนะ ให้พากันพิจารณาให้มาก นี้ถอดออกมาจากหัวใจนะ
เวลาจิตหมอบ ถูกกิเลสตัณหาครอบมันไม่มีค่านะ แต่เวลาธรรมได้แสดงออกมาด้วยอำนาจการบำรุงรักษาแล้วสง่าๆ แล้วครอบหมด เมื่อครอบหมดแล้วมองไปไหนไม่มีอะไรจ้า ไม่มีอะไรอัศจรรย์ยิ่งกว่าใจดวงเดียวนี้ครอบโลกธาตุ พากันจำเอานะ เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธๆ ควรจะมีลวดลายแห่งเมืองพุทธแสดงอยู่ในกิริยามารยาทการประพฤติตัวของเราบ้าง แม้ที่สุดประกอบความเพียรก็ไม่ได้เรื่อง เดินจงกรมก็เดินด้วยความเผอเรอมองนั้นมองนี้ไปเสีย สติกับจิตไม่อยู่ด้วยกันก็ไม่เป็นความเพียร สติอยู่ที่ไหนความเพียรอยู่ที่นั่น
ถ้ามีสติแล้วกิเลสไม่เกิด คือกิเลสจะเกิดขึ้นเวลาเผลอสติ พอเผลอสติ สังขารนี้ตัวเอกนะ ปรุงแพล็บออกมา อวิชชาเป็นภัยใหญ่อยู่นั้นมันผลักดันออกมา พอเผลอปั๊บแพล็บออกมาแล้วไปเอาฟืนเอาไฟมาเผาเรา ถ้าสติครอบเอาไว้มันไม่ออกนะ เพราะฉะนั้นจึงว่า ถ้าสติมีอยู่กิเลสไม่เกิด เกิดไม่ได้ เอาให้มันชัดเจนอย่างนั้นซิ ทีนี้ก็มีแต่การบำรุงรักษาสติให้แน่นหนามั่นคง
อย่างที่ว่าอดนอนผ่อนอาหารนี้ ขึ้นอยู่กับสตินะ เพราะฉะนั้นผู้บำเพ็ญทั้งหลายเช่นพระวัดป่าบ้านตาดนี่ วันนี้มาฉัน ๓๔ องค์ในจำนวนพระ ๕๙ องค์ ขาดไปเท่าไรพิจารณาซิ นี่ท่านบำรุงรักษาใจ ผ่อนทางร่างกาย คือร่างกายถ้ามีกำลังมากมันทับจิต ทับจิตก็ทับสติ สติเลื่อนๆ ลอยๆ จับไม่ติดๆ พอผ่อนอาหารลงๆ สติจะค่อยดีขึ้นๆ อาหารมากขึ้นๆ สติเลื่อนๆ ลอยๆ พลิกใหม่ผ่อนอาหาร พออดไปๆ แล้วสติค่อยดีขึ้นๆ เห็นได้ชัดนะ เรื่องอดอาหารเห็นได้ชัดมาก เพราะฉะนั้นในวัดนี้พระท่านจึงมักจะอดอาหารมาก
เราเคยพูดให้ฟัง บอกว่าเป็นคำบอกเล่านะ คือเราว่าไม่ใช่คำสั่งไม่ใช่คำสอน เป็นคำบอกเล่าธรรมดา ในฐานะที่เราเป็นอาจารย์สอนพระทั้งหลาย เวลามีการประชุมสอน คือการปฏิบัติภาวนาทุกอย่างให้สังเกตตัวเอง นี่เป็นธรรม แล้วที่นี่เวลาเข้ามาหาที่จดจ่อ อะไรที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญภาวนาของตน ได้ผลมากกว่ากันๆ คืออะไร สำหรับการบำเพ็ญเพียร สติเป็นสำคัญ ทีนี้สตินี้มักจะขึ้นอยู่กับธาตุขันธ์ คือธาตุขันธ์ถ้ามีกำลังแล้วทำให้สติเลื่อนลอยๆ จับไม่ติดๆ พอผ่อนอาหารลงไป อดอาหารลงไปสติดีขึ้นๆ ตั้งได้ๆ ขึ้นอยู่กับการสังเกตตัวเอง นี่เราก็บอกเป็นคำบอกเล่าเฉยๆ ไม่ได้บอกให้อดอาหารนะ ให้ผ่อนอาหารนะ เราก็ไม่ได้บอก แต่เราบอกวิธีการให้ฟัง เรียกว่าคำบอกเล่า แล้วแต่ท่านผู้ใดจะนำไปปฏิบัติ สำหรับผมเองผมดำเนินมาอย่างนี้ ก็ได้ผลมาเป็นลำดับ
ทีนี้พระเณรทั้งหลายในวัดนี้มักจะชอบอดอาหาร ผ่อนอาหารเสียมากต่อมาก คำบอกเล่านี่รู้สึกว่าได้ผลดี คือไม่บอกไม่สั่งไม่สอน เป็นคำบอกเล่าวิธีการเฉยๆ ด้วยความแยบคายของผู้ปฏิบัติตนเองนั้นแหละ รู้สึกว่าวัดนี้จะมีการผ่อนอาหารมากทีเดียว แล้วคำว่าอดอาหาร ผ่อนอาหารนี้ ไม่ได้ครึไม่ได้ล้าสมัยในธรรมทุกขั้น ตั้งแต่ธรรมขั้นล้มลุกคลุกคลาน สติเป็นสำคัญๆ ตลอด การอดอาหารที่เห็นว่าได้ผลทางด้านสติ มันก็ต้องได้อดอาหารไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจิตตั้งได้แล้วๆ เป็นสมาธิได้สมบูรณ์ ขึ้นถึงขั้นปัญญา เรื่องผ่อนอาหารนี้ไม่ครึ ผ่อนอาหารจิตยิ่งคล่องตัว
เช่นอย่างสติปัญญาอัตโนมัติ หมุนทั้งวันทั้งคืน พอมีอดอาหารมีผ่อนอาหารเข้าไปยิ่งคล่องยิ่งละเอียดนะ เป็นอย่างนั้น ละเอียดตลอด การอดการผ่อนอาหารจึงไม่มีคำว่าควรในขั้นนั้นไม่ควรในขั้นนี้ ควรทุกขั้นเลย เราดำเนินมาแล้วจึงได้มาสอน สอนด้วยความถูกต้องแม่นยำไม่สงสัยเลย พระวัดนี้จึงมักจะเป็นแบบที่คำบอกเล่าของเรา เพราะเราทำมาแล้ว
ต้องสังเกตต้องพิจารณาการประกอบความพากเพียร กิเลสละเอียดมากไม่รู้นะ ธรรมก็ละเอียดมากพอๆ กัน แต่ส่วนมากในเบื้องต้นนี้มักจะตามกิเลสไม่ทัน ต้องได้ใช้วิธีการต่างๆ เช่นอย่างที่ว่าอดอาหารผ่อนอาหาร สติดีขึ้นๆ แล้วจะตามกิเลสทันๆ พากันจำเอานะ วันนี้พูดเพียงเท่านี้ละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |