เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘
นิพพานอยู่ชั่วเอื้อม
เมื่อวานไปอำเภอสังคม มีแร้นแค้นกันดารเหมือนกัน เราตั้งหน้าเอาของไปส่ง ไม่ลงรถนะ จอดรถปั๊บให้เขาขนของลงแล้วกลับเลย เลยวัดหินหมากเป้งไป ๓๐ กิโลหรือไง ทางโน้นเขาก็เคยมาเอาจากนี้เสมอจากโกดังเรา เมื่อวานนี้ ๕ โรง อย่างนี้เป็นประจำๆ เย็นวานท่านเจ้าคุณวัดโพธิฯ ท่านก็มา เรายังจะไปกราบทำวัตรท่านอยู่ เรายังไม่ทันไป มาเมื่อวานก็มาขอเงินนั่นแหละ เราก็ให้ไปสักกี่แสนลืมแล้วแหละ ท่านมาตอนค่ำๆ เมื่อวาน มาขอเงินซื้ออะไรต่ออะไร เราก็เลยให้ มาขอทีไรเราให้ทุกที ทีนี้ท่านก็จะคล้ายคลึงกับไอ้หยองเรา ท่านมาขอนั้นเราก็ให้ ขอนี้เราก็ให้ ขอไปขอมาก็ใกล้เข้ามาๆ ละซิ ท่านก็ไม่คิดเรามีไม้เรียวติดมืออยู่นี้ พอใกล้เข้ามาๆ จริงๆ แล้วปั๊วะเดียวเลยเหมือนไอ้หยองเรา มันต้องหลายสันพันคมซิไม่ใช่คมเดียวสันเดียว ไม่เอา ต้องหลายสันพันคม อะไรบ้าง ไม่ถึงล้านแต่หลายแสน เราให้แล้ว
เรากำลังเร่งสอนพระให้เข้มข้นทางด้านจิตตภาวนาให้มาก เราอยากให้พี่น้องทั้งหลายได้เห็นความเลิศเลอของพระพุทธเจ้า โดยความสัมผัสธรรมภายในใจจากการภาวนา การภาวนานี้ใกล้ชิดติดพันมากทีเดียวกับองค์ศาสดา อย่างที่ว่าเราเรียนในตำรา อ่านไปๆ ตั้งแต่บาปมีบุญมี นรกสวรรค์มี นิพพานมี เรื่อยไป ทีนี้เราย่นเอาสุดท้ายเลยวา อ่านไปเรียนไปถึงนิพพาน เออ นิพพานมีจริง ๆ นั่นเห็นไหมล่ะ นิพพานมีจริง ๆ เหรอ นี่ละหัวใจมันมืดมันบอด นิพพานเป็นธรรมของผู้สิ้นกิเลส เพราะฉะนั้นมันจึงต่อสู้กัน นิพพานมีจริงๆ เหรอ
จึงมารับกันตอนนี้ที่ว่า เวลาความเพียรมันเร่ง มันถึงจุดของมันจะหมุนเข้าหานิพพานอะไรก็แล้วแต่เถอะ ตอนเรียนว่านิพพานมีจริงๆ เหรอ พอมาปฏิบัตินี้ จิตมันหมุนเข้าๆ จากการบำเพ็ญของเราไม่หยุดไม่ถอย เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ สมควรที่มันจะหมุนติ้วมันก็หมุนละซี หมุนติ้วๆ ถึงขนาดไม่หลับไม่นอนทั้งวันทั้งคืน ต้องได้บังคับเอาไว้ ท่านเรียกว่าความเพียรกล้า ทีนี้ตอนเรียนที่ว่านิพพานมีหรือไม่มีนา กับจิตที่สัมผัสกันกับธรรมเพื่อนิพพาน มันเกี่ยวโยงมาถึงกันแล้ว ทีนี้เวลาความเพียรขนาดนี้มันเร่งนี้ นิพพานเหมือนอยู่ชั่วเอื้อมๆ เท่านั้นละ เลยลืมถามไปว่านิพพานมีหรือไม่มี เห็นไหมล่ะ พุ่งๆ ถึงเลย นิพพานมีหรือไม่มี นั่น เท่านั้นละหายสงสัยเลย
นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมคือความดูดดื่ม ความพุ่งของจิตที่จะให้หลุดพ้นๆ คือนิพพานนั่นละความหลุดพ้น มันก็พุ่งๆ เลย เวลาจิตเป็นอย่างนั้นแล้วมันไม่ได้ถามหานิพพานมีหรือไม่มีนะ ไม่มีเลยไม่ถาม เวลาเรียนมันเป็นอย่างนั้น เวลาปฏิบัติเข้าด้ายเข้าเข็มเข้าไปแล้ว นิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ แล้วพุ่งเลย ทีนี้เรื่องนิพพานว่ามีหรือไม่มีเลยหมดปัญหา เป็นอย่างนั้นละ ใครอยากเห็นองค์ศาสดาเห็นพระพุทธเจ้าแล้ว เอา เร่งความเพียรเข้าไป ธรรมกับใจสัมผัสกันโดยลำดับๆ จากการประกอบความเพียรนี้ พระพุทธเจ้าจะค่อยใกล้ชิดเข้ามาๆ มันเกี่ยวโยงถึงกัน ดึงดูดถึงกัน
พวกตาบอดชาวพุทธเรานี้ พูดแล้วมันโมโหนะไม่ใช่อวดดิบอวดดีต่อผู้ใดนะ คือแต่ก่อนมันก็เป็นแบบเดียวกันไม่ว่าท่านว่าเรา แล้วจะไปว่าให้ใคร ก็ว่าให้เรานี่คนหนึ่ง แต่เวลามันหมุนเข้าไปๆ มันก็เป็นอย่างนี้ละ ตามธรรมพระพุทธเจ้าที่สอนไว้แล้ว ท่านสอนว่ายังไงมันจับติดๆ เข้าไปก็ใกล้เข้าๆ นั่นเห็นไหม ทีนี้เลยกลายเป็นนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ ตลอดไปเลย ผึงเข้าถึงนั้นแล้วไม่ถามหาพระพุทธเจ้าแหละ ถามหาอะไร ท่านแสดงไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ธรรมกับตถาคตเป็นอันเดียวกัน
ใครจะว่าบ้าก็ตาม เรามันจวนจะตายแล้วนี่ เราพูดออกมาด้วยความเมตตาสงสารนะ เรื่องที่ว่าโอ้อวดโอ้เอียดนี่ โห มันเป็นคนละโลกไปเลย เข้ากันไม่ได้เลย ที่ว่าโอ้ว่าอวด เข้ากันไม่ได้เลย อำนาจแห่งความเมตตาสงสารทับแหลกหมดเลย ที่ว่าโมโหนี่ก็คือเกี่ยวกับเรื่องความสงสารนั่นเอง ไม่ใช่โมโหอยากขยี้ขยำมาลาบมาก้อยอะไร มันโมโห มานอนหลับตาอยู่ยังไง มรรคผลนิพพานอยู่กับหัวใจนอนเฝ้ากันอยู่หาอะไร ให้กิเลสซึ่งเป็นเหมือนมูตรเหมือนคูถขยี้ขยำทั้งวันทั้งคืน หมดค่าหมดราคา ตั้งแต่วันเกิดถึงวันตายหมดคนๆ นี้ เกิดมาภพนี้หมด เรียกว่าไม่มีค่าอะไรเลย ไม่ได้สร้างคุณงามความดี เป็นสัตว์ไปเลย
ชาตินี้ตายผ่านไปแล้ว เอ้า เกิดอีก มันก็หมดค่าอีกเหมือนเก่าถ้าจิตเป็นอย่างนี้อยู่ตลอด ก็เป็นอย่างนี้ตั้งกัปตั้งกัลป์ แล้วมาตายกองกัน ศพเจ้าของกับศพเจ้าของตายกองกัน ศพเจ้าของไม่ใช่ศพชนิดเก่านะ ศพนี้เป็นคน ศพหน้าเป็นควาย ศพนั้นเป็นเปรต ศพนั้นเป็นผี ศพนั้นเป็นนรกอเวจี มันสับมันเปลี่ยนไปในใจดวงเดียวกัน แล้วเหล่านี้มันมีค่าหรือไม่ล่ะ พิจารณาซิ เวลาปฏิบัติธรรมเข้านี่มันสดๆ ร้อนๆ หนา เพราะฉะนั้นจึงว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ตถาคตอยู่กับธรรม ธรรมอยู่กับหัวใจ ติดกันตรงนี้
มองดูพระพุทธเจ้าอย่ามองดูที่ไหน ให้มองดูสายทางที่ประกาศไว้แล้ว นั้นคือองค์ศาสดาแทนพระพุทธเจ้านะ ธรรมและวินัย นั่นท่านสอนพระ พระเป็นแนวหน้าจะออกรบสงครามคือกิเลสให้ขาดสะบั้นลงไปเอานิพพานมาครอง พูดง่ายๆ ท่านจึงบอกว่า ภิกษุทั้งหลายหรือเธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราผ่านไปแล้ว เพราะฉะนั้นจึงให้ยึดหลักธรรมหลักวินัยให้ดี พระนี่จะเข้าช่องเข้าด้ายเข้าเข็ม เป็นแนวหน้า ถ้าตายก็ตายก่อนใคร ถึงก็ถึงก่อนใคร นี่ละให้ยึดอันนี้
ใครเป็นผู้รักธรรมรักวินัย ผู้นั้นเป็นผู้ติดตามศาสดา ตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา ผู้ใดล่วงเกินฝ่าฝืนธรรมวินัย หิริโอตตัปปะไม่มี ผู้นั้นเป็นคนอนาถาหาที่พึ่งที่ยึดที่เกาะไม่ได้เลย หมดที่พึ่งก็คือคนผู้ล่วงเกินหลักธรรมวินัยนั้นแล วินัยนี่บังคับสองฟากทาง ความผิด คือข้ามปั๊บนี่ผิดแล้วๆ ลงเหวลงบ่อ มรรคผลนิพพานไม่มีหวังสำหรับพระ เพราะท่านทำทางให้เฉพาะพระ ให้ก้าวตามนี้แล้วจะพุ่งถึงเลย ไม่เป็นน้ำไหลบ่าที่ไหนๆ เหมือนโลกทั่วๆ ไป นี่เป็นเพศของพระ เป็นผู้เข้าช่องแล้ว ช่องที่จะรบที่จะเอาชัยชนะ อย่าหนีจากช่อง คืออย่าข้ามเกินช่องพระวินัย อย่าข้าม ธรรม เอา ก้าวเดิน ธรรมคือสติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม แล้วความอดทน ความอุตส่าห์พยายามหนักเอาเบาสู้ เราดำเนินยังไง เอาๆ สติติดแนบๆ นี่เรียกว่าธรรม พระวินัยไม่ไปแตะ ไม่ข้ามไม่เกิน หิริโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวตลอด นี่ละจะพุ่งๆ ถึง ถ้าผู้ปฏิบัติตามนี้อยู่แล้วเหมือนตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุกฝีก้าวเลย
ศาสดาของเราทั้งหลายคือธรรมคือวินัย ผู้ใดมีธรรมมีวินัยดี ผู้นั้นมีศาสดาติดตัวๆ ไป พ้นได้เลย ท่านสอนไว้แล้ว สอนพระอานนท์ที่มีความเศร้าโศกเสียใจนั่นแหละ พอพระพุทธเจ้าปลงพระชนม์ พระอานนท์เกิดความเดือดร้อนมาก ร้องห่มร้องไห้ แล้วเข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้า ทูลอาราธนาให้อยู่เป็นเวลานานตั้งกัปตั้งกัลป์ ท่านจึงว่า อานนท์ยังมาหวังอะไรกับเราอีก นั่นเห็นไหมล่ะขู่ ทุกสิ่งทุกอย่างเรื่องธรรมเรื่องวินัยเราสอนหมดแล้วทุกอย่าง แล้วจะมาหวังอะไรกับเราซึ่งเหลือแต่ร่างเท่านั้น ร่างคนร่างสัตว์ก็ร่างกายเหมือนกัน ร่างศาสดาก็ร่างกาย แล้วจะมาหวังอะไรกับสิ่งเหล่านี้ล่ะ
สิ่งที่เป็นสาระเราสอนไว้หมดแล้ว ธรรมวินัยสอนไว้สมบูรณ์แล้ว นั้นแหละศาสดาของเธอทั้งหลาย ท่านจึงชี้บอกว่า ธรรมและวินัยนั้นแลเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราผ่านไปแล้ว เป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ ทั้งนั้น ไม่ผิด ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นเรียกว่าเป็นผู้บูชาตถาคต นั่นท่านก็บอกไว้แล้ว ก้าวเดินตามนั้นๆ ก็เป็นไปตามนั้นๆ เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่าศาสดาองค์เอก ไม่มีใครเสมอ ไม่มีใครเทียมสองเลยละ แน่นอนๆ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดแบบเดียวกันหมดเลย
พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีแถวมีแนวมีหลักมีเกณฑ์ ไม่ได้สุ่มสี่สุ่มห้า จับได้ตาสีตาสาก็เอาเข้ามาเป็นเจ้าของศาสนา เป็นศาสดา ศาสนานั้นๆ มีแต่เจ้าของซึ่งเป็นคลังกิเลสทั้งนั้น สอนก็ออกจากกิเลสนี่ละไป สอนโลก โลกก็ยึดไปตามแถวแนวของกิเลส เพราะผู้สอนเป็นคลังกิเลส ผู้เป็นศาสดาเป็นคลังกิเลส สอนออกไปลูกศิษย์ลูกหาที่เคารพนับถือก็คว้าเอาคลังกิเลสนี้เผากันไปเรื่อยๆ กิ่งก้านสาขาดอกใบของศาสนาคือคำสอนของกิเลสมันออก พังกันไปเรื่อยๆ แล้วมรรคผลนิพพานไม่มีทาง เพราะทางนี้เป็นทางกิเลสจะพาโลกให้ล่มจม ลืมเนื้อลืมตัว
ทางของศาสดานี้ไม่เอาไม่เอียง ตรงแน่วเลย จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ใจบริสุทธิ์แล้วจึงมาสอนโลก แจ้งกระจ่างไปหมด อะไรผิดอะไรถูกรู้หมด เพราะฉะนั้นจึงสอนตั้งแต่ที่ถูกต้อง ผิดก็บอกให้ละให้ถอน ถูกก็บอกให้บำเพ็ญ เรียกว่า สวากขาต ธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว เราก็สวดกันทุกวันๆ ไม่ใช่หรือ สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วหรือชอบแล้ว เรียกว่าสฺวากฺขาโต นี่สวากขาต ธรรมเอาย่อๆ เลย ตรัสไว้ชอบแล้ว ผิดที่ตรงไหนล่ะ เป็นแถวเป็นแนวกันมา ตัวเท่าหนูมันเป็นได้นี่ มันรู้บอกว่าไม่รู้ได้ไง เพราะฉะนั้นพูดเหล่านี้พูดมาอย่างยันตัวเลย ไม่เอาใครมาเป็นพยาน
พระพุทธเจ้าที่มานี้เป็นแถวเป็นแนว เป็นหลักเป็นเกณฑ์มาตลอด ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน แล้วจะเป็นแถวไปตลอดถึงอนาคต เช่น อนาคตวงศ์ เป็นต้น พระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้ข้างหน้า มีจำนวนมากทีเดียว แต่ท่านบอกไว้เป็นระยะๆ พระองค์นี้มาตรัสรู้แล้วก็ทำนายบอกไว้ๆ อย่างพระพุทธเจ้าของเรานี้ก็ทรงทำนายไว้เรียบร้อยแล้ว พระพุทธเจ้าท่านบอกย่อๆ ไว้ว่า อนาคตวงศ์ ๑๐ องค์ ท่านก็บอก ทรงพระนามว่าอย่างนั้นๆ องค์หนึ่ง องค์สอง องค์สาม ทรงพระนามว่างั้น ท่านบำเพ็ญบารมีอย่างนั้นๆ นั่นบอกไว้หมด บอกไว้แล้วชัดเจน ในระยะนี้ก็มีพระอริยเมตไตรย เป็นองค์สุดท้ายในภัทรกัปนี้ จากนี้ไปก็จะเป็นอนาคตวงศ์ตั้ง ๑๐ องค์ เรียงลำดับลำดาไป จะเป็นพระพุทธเจ้าสืบต่อกันไป ด้วยพระญาณหยั่งทราบความแน่นอนของโพธิสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ที่จะมาตรัสรู้
ท่านไม่ได้พูดสุ่มสี่สุ่มห้านะ ท่านเป็นแถวเป็นแนว องค์นั้นมาตรัสรู้ อย่างพระอริยเมตไตรยมาตรัสรู้ผ่านไปแล้วก็จะทรงทำนายไปอีก ด้วยพระญาณหยั่งทราบเรียบร้อยแล้ว จึงว่ามาเป็นแถวเป็นแนวเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ไม่มีคว้าได้คว้าเอา ลูกใครก็ตาม ผัวใครก็ตาม เมียใครก็ตาม เอามาเป็นลูกเป็นผัวเป็นเมียของตนหมด มันก็เลวยิ่งกว่าหมาซิคนนั้น เข้าใจไหม ลูกใครผัวใครเมียใครต้องเป็นสมบัติของคนนั้นๆ ศาสดาองค์เอกตรัสไว้ชอบทุกอย่าง แยกแยะไปให้ถูกต้อง ทุกอย่างเป็นแถวเป็นแนวไปเลย มีหลักมีเกณฑ์
อย่างพระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ ตรัสรู้ได้ง่ายๆ เหรอ ไม่ใช่อยู่ๆ คว้ามาเป็นศาสดาสอนโลกได้เหรอ พระพุทธเจ้าของเรานี้เรียกว่าน้อยที่สุด สั้นที่สุด ที่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ๔ อสงไขยแสนมหากัป นี่เรียกว่าเร็วที่สุด ได้รวดเร็วและสั้นที่สุด โพธิสัตว์ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้ามีสามขั้น ๑๖ อสงไขยก็มี แสนมหากัปติด ๘ อสงไขย แสนมหากัปติด นี่ ๔ อสงไขย แสนมหากัป พระองค์ก็ทรงแสดงไว้เรียบร้อยแล้วว่า เราตถาคตไม่มีวาสนากว้างขวางเหมือนพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น นั่นท่านก็บอกไว้ เหล่านั้นท่านถ้าว่าพระชนมายุก็ยืนนานเท่านั้น องค์นั้นปีเท่านี้ปี เป็นหมื่นๆ แต่เราตถาคตนี้ ๘๐ ปีเท่านั้น ท่านก็บอกไว้อย่างนี้
ก็ยังมีอยู่นี่นะ ยังมีอีกองค์ละ ๕๐ ปีก็มีอยู่ เราเห็นในตำราเรียบร้อยแล้ว พระพุทธเจ้าองค์ ๕๐ ปีสิ้นพระชนม์ก็มีอยู่นะ ทีแรกนึกว่าเป็นเฉพาะพระพุทธเจ้าของเรา ๘๐ สิ้นพระชนม์ ๕๐ ยังมีอยู่ ก็พระองค์แสดงไว้นะ นอกจากนั้นเป็นหมื่นๆ ปีทั้งนั้น ตามอำนาจวาสนาบารมีที่ทรงทำความตะเกียกตะกายมาหนักเบามากน้อยต่างกัน ทีนี้ภูมิธรรมทั้งหลายที่จะรื้อขนสัตว์โลกก็ได้มากมายต่างกัน อย่างพระพุทธเจ้าของเราท่านก็ยอมรับตามนั้น เรานี้เพียง ๘๐ นี่ก็บอกไว้แล้วว่า แปดสิบๆ พอ ๘๐ ย่นเข้ามานี่ เดือนสามเพ็ญ จากนี้เดือนสามเพ็ญถึงเดือนหกเพ็ญเราจะตายพูดง่ายๆ ผิดไหมล่ะ มาถึงเดือนสามเพ็ญ ๘๐ ปีแล้ว ย่นเข้ามานี้อีก เดือนสามเพ็ญปลงพระชนมายุ ว่าเดือนหกเพ็ญเป็นวันเราตาย ถึงเวลาแล้วก็เสด็จไปเลยไปตายเลยเห็นไหมล่ะ องอาจกล้าหาญชาญชัยอะไรจะเกินศาสดาผู้สิ้นกิเลสแล้วล่ะ
เรานี้พูดเท่าไรๆ เวลานั้นจะตายเวลานี้จะตาย จะละสังขงสังขาร มันไม่ละถ้าลมหายใจไม่ขาดพวกบ้านี่เข้าใจไหม มันก็ว่าไปอย่างนั้น ถ้าลมหายใจไม่ขาดจ้างให้ละมันก็ไม่ละ แต่มันได้พูดก็เอา พวกบ้าพูดบ้าโม้ หลวงตาบัวนี้องค์หนึ่งละ โอ๊ย มันจวนตายแล้วนะ มันยังไม่ตายมันก็จวนอยู่เรื่อยๆ ละซิ จะให้ว่าไง แล้วจะตำหนิใครก็ตำหนิเราละซิคนหนึ่ง เราก็จวนตายแล้วนะๆ จวนอะไรวันนี้กับวันหน้ามันก็ต่อกัน เพราะลมหายใจยังมีอยู่มันไม่ตาย ถ้าลมหายใจหมดแล้วไม่บอกมันก็ตายเข้าใจไหมล่ะ เอาละวันนี้ไม่พูดมากอะไรนักละ เอาเพียงย่อๆ เท่านั้น
มันจำไม่ได้นะพูดไปแล้วก็จำไม่ได้ พูดไปหายเงียบๆ ไปเลย คือไม่ได้พูดด้วยความจำ มีอะไรขึ้นปัจจุบันๆ จบแล้วหายเงียบๆ เทศน์มานี้นานเท่าไร ได้ ๕๕-๕๖ ปีนี้แล้ว เริ่มเทศน์ตั้งแต่ ๒๔๙๓ มา เทศน์สอนพระ สอนพระล้วนๆ เลย ระยะนั้นสอนพระล้วนๆ อยู่ในป่าในเขา พระนี่ โอ๋ย จมูกหมาสู้ไม่ได้ เรานี่ก็เหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง ไอ้หมาตามล่าเข้าใจไหม ไอ้เราก็เป็นสัตว์ตัวหนึ่ง หมาตามล่า เราก็ตามหลบ มีแต่หลบเรื่อย ไปอยู่ที่ไหนอย่างนานไม่เลยสองอาทิตย์ คือหลบเรื่อยไม่งั้นไม่ได้ หมู่เพื่อนก็ตามเกาะ เราก็หลบหลีกเพื่อความสะดวกสบายของเรา แม้นภาระจะหมดแล้วก็ตาม ความสะดวกสบายระหว่างขันธ์กับจิตอยู่ด้วยกันนี้สะดวกสบายยังไง อยู่คนเดียวอยู่ที่สงัดสะดวกสบายมาก แน่ะมันก็รู้อยู่ ไอ้ยั้วเยี้ยๆ มันสะดวกอะไร นั่น
สุดท้ายมันก็ตามจนได้นั่นละ ตัวนั้นๆ ตัวนี้ๆ สืบกลิ่นหากันซิ ถึงตัวจนได้นะ เลยได้มาสั่งสอนตั้งแต่นั้นเรื่อยมา จากนั้นมาก็ออกสนามเห็นไหมล่ะ กว้างออกมาๆ จนกระทั่งออกช่วยชาติ ธรรมะนี้ก็เป็นไปอย่างที่ว่านี่ละ เทศน์มากี่ปีแล้วล่ะ ที่ออกสนามนี่ ๗ ปีนี้หยุดที่ไหนเทศน์ สักกี่กัณฑ์ล่ะ ตั้งแต่ ๒๔๙๓ มา จนกระทั่ง ๒๕๔๑ ปี ออกช่วยชาตินานเท่าไร ถ้ามันจะหมดมันก็หมดไปแล้วธรรม แต่นี้ธรรมก็อยู่กับลมหายใจ ลมหายใจยังมีอยู่เอากันเรื่อยไปอย่างนั้นนะ เอาละให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |